บทที่ 37
ความใจบุญ ความรักอันบริสุทธิ้ ของพระคริสต์
“ความรักเป็นคุฌลักษฌะสำคัญประการหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และผู้ปรารถนาจะเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าควรแสดงให้เห็น”
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
ในการเปิดเผยที่ประทานผ่านโจเซฟ สมิธ ในปี ค.ศ. 1841 พระเจ้าทรง กำหนดให้สเตคในเมืองนอวู รัฐอิลลินอยส์เป็น “ศิลามุมของไซอัน ซึ่งจะถูก ขัดด้วยความประณีตซึ่งเป็นไปตามแบบที่เหมือนวัง” (ค.พ. 124:2) ภายใด้การ กำกับดูแลของศาสดา เมืองนอวูกลายเป็นศูนย์การค้า การศึกษา และศิลปะที่ เจริญรุ่งเรือง คนจำนวนมากทำการเกษตร ส่วนผู้มืที่ตินหนึ่งเอเคอร์ในเมืองจะ ปลูกผักและผลไม้ในสวนที่บ้าน โรงเลื่อย ร้านขายอิฐ สำนักพิมพ์ โรงโม่แป้ง และร้านขนมปังผุดขึ้นในเมือง เช่นเดียวกับร้านของช่างไม้ ช่างปั้นหห้อ ช่าง บัดกรี พ่อค้าเพชรพลอย ช่างดีเหล็ก และช่างทำตู้ ในเมืองนอวูสิทธิชนได้รับ ความเพลิดเพลินจากโรงมหรสพ งานเด้นรำ และคอนเสิร์ต นักเรียนหลายร้อย คนลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนทั่วชุมชนและวางแผนจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ขณะที่เมืองนอวูเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ร้านขายอิฐหลายแห่งก็ผลิตอิฐสี แดงที่ทำให้ตึกรามบ้านช่องในนอวูลูเด่นสะดุดตา ตึกหลังหนึ่งคือร้านอิฐแดง ของศาสดา ร้านดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทำงานของศาสดากับฝ่ายประธาน สูงสุดและใช้ทำธุรกิจเพื่อช่วยศาสดาเลี้ยงดูครอบครัว เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ในร้านอิฐแดงแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยของความใจบุญอันส่งผลให้ศาสดาเป็น ที่รักยิ่ง
เจมส์ ลีชเป็นชาวอังกฤษที่มานอวูพร้อมกับแอ็กเนสพี่สาวที่เปลี่ยนใจเลื่อม ใสและเฮนรีย์ ไนติงเกลสามีเธอ หลังจากหางานทำไม่ได้ เจมส์กับเฮนรีย์จึง ตัดสินใจมาขอให้ศาสดาช่วย เจมส์เล่าว่า
“เรา …พบ [ศาสดา] ในร้านเล็กๆ กำลังขายสินค้าบางอย่างให้สตรีผู้หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสอยู่ใกล้ท่านและเห็นท่านชัดๆ ผมรู้สึกว่ามีวิญญาณ ที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่ในตัวท่าน ท่านแตกต่างจากคนที่ผมเคยพบ และผมพูด ในใจว่าท่านเป็นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดจริงๆ
“เพราะผมไม่ได้เป็นสมาชิกของศาสนาจักร ผมจึงด้องการให้เฮนรีย์สอบถาม ท่านเรื่องงาน แต่เขาไม่ยอมถาม ผมจึงด้องถามเอง ผมพูดว่า ‘คุณสมิธครับ ล้าคุณจะกรุณา คุณพอจะมีงานให้เราสองคนทํามั้ยครับ เราจะได้มีอาหารห้าง’ท่านมองเราด้วยสึหห้าเบิกบานและด้วยความรู้สึกเมตตาพลางพูดว่า ‘เอาอย่าง นี้หนุ่มๆ พวกคุณทําอะไรได้ห้าง’ เราบอกท่านว่าเราท่าอาชีพอะไรก่อนจะจาก ห้านเกิดเมืองนอนของเรามาที่นี่
“ท่านถามว่า ‘คุณขุดห้องร่องใด้มั้ย’ เราตอบว่าเราจะทำให้ดีที่สุด ‘ดีเลยพ่อ หนุ่ม่ แล้วท่านก็หยิบสายวัดพลางพูดว่า ‘ตามผมมา’
“ท่านพาเราออกจากร้านมาได้ไม่กี่เมตรก็ยื่นวงแหวนให้ผมถือ ดึงสายวัด ออก และดีเส้นให้เราขุดห้องร่อง ‘เอาละ พ่อหนุ่ม่ ท่านถาม ‘คุณขุดห้องร่อง ให้กว้างสามฟุตและลึกสองฟุตครึ่งตามเส้นนี้ได้มั้ย’
“เราตอบว่าเราจะทำให้ดีที่สุดแล้วท่านก็จากไป เราทำงานและเมื่อท่าเสร็จ ข้าพเจ้าไปบอกท่านว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านมาดูและพูดว่า ‘พ่อหนุ่ม ถ้าผม ทําเองคงไม่ดีกว่านี้แน่ มากับผม’
“ท่านนำทางกลับไปที่ร้านของท่าน และบอกให้เราหยิบแฮมที่ดีที่สุดหรือ เนื้อหมูตามใจชอบ ด้วยความเขินอายผมจึงบอกว่าอยากให้ท่านหยิบให้เราเอง ท่านหยิบเนื้อที่ดีที่สูดและใหญ่ที่สูดให้เราคนละสองก้อนพร้อมแป้งอีกหนึ่งถุง และถามเราว่าพอไหม เราบอกท่านว่าเราอยากจะทำงานให้ท่านมากกว่านี้ แต่ ท่านพูดว่า “ถ้าคุณพอใจ ผมจะให้ทำ”
“เราขอบคุณท่านอย่างจริงใจ และกลับห้านด้วยความปลื้มป็ติในความมีนํ้าใจ ของศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า”
เจมส์ ลึชรับบัพติศมาปืนั้นและบันทึกว่า เขา “มีโอกาสเห็นใบหน้าที่มีราศี [ของศาสดา] อยู่บ่อยๆ ซึ่งส่องสว่างเพราะพระวิญญาณและพลังอำนาจของ พระผู้เป็นเจ้า”1
คำสอนฃองโจเซฟ สมิธ
บุคคลที่เนึ่ยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าปรารถนา จะเปึนพรแก่ผู้อื่น
“ความรักเป็นคุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และผู้ปรารถนา จะเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าควรแสดงให้เห็น คนที่เปึยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่พอใจเพียงแค่เป็นพรแก่ครอบครัวตนเท่านั้น แต่จะขยายขอบเขต ไปทั่วโลกเพราะเขาปรารถนาจะเป็นพรแก่เผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของมนุษย์”2
ลูซี บืเซิร์ฟ สมิธ บันทึกดังนี้ “[โจเซฟ สมิธ] กล่าวว่า ‘พี่น้องชายหญิงทั้ง หลาย จงรักกัน จงรักัลันและมีเมตตาต่อศัตรูของเรา’ ท่านทวนคำพูดเหล่านี้ ด้วยนํ้าเสียงที่เฉียบขาดมากพร้อมกับอาเมนเสียงดัง”3
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1839 ศาสดาพูดกับผู้นำศาสนาจักรกลุ่มหนึ่งดังนี้“ข้าพเจ้ากล่าวสุนทรพจน์และให้คำแนะมำมากมาย…โดยพูดมากมายหลาย เรื่องที่มีความสำคัญและมีคุณค่าต่อทุกคนผู้ปรารถนาจะเดินด้วยความอ่อนน้อม ถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สอนพวกเขาให้ปฏิบัติความ ใจบุญ ใช้ปัญญา มีความเห็นอกเห็นใจ และมีความรักต่อกันในทุกเรื่องและ ภายใด้สภาวการณ์ทุกอย่าง”4
เรามีข้อผูกมัดพิเศษให้รักและดูแลคนตกทุกข์ได้ยาก
“นี่คือหน้าที่ซึ่งสิทธิชนทุกคนพึงปฏิบัติต่อพี่น้องของเขาอย่างอิสระ—รักพี่ น้องของเขาเสมอและให้ความช่วยเหลือทุกเมื่อ การจะเป็นที่โปรดปรานจำเพาะ พระผู้เป็นเจ้า เราต้องรักกัน เราด้องเอาชนะความชั่ว เราด้องเยี่ยมเยียนเด็ก กําพร้าพ่อและหญิงม่ายในความทุกข์ยากของพวกเขา และเราต้องรักษาตนให้ หมดจดจากโลก เพราะคุณธรรมเช่นนั้นใหลมาจากแหล่งนํ้าขนาดใหญ่ของศาสนา ที่บริสุทธิ์ [ดู ยากอบ 1:27]”5
“[สมาชิกของศาสนาจักร] ด้องเลี้ยงดูคนหิวโหย ให้เสื้อผ้าคนเปลือยเปล่า จัดหาให้หญิงม่าย ซับนํ้าตาเด็กคำพร้า ปลอบโยนคนทุกข์ใจ ไม่ว่าในศาสนาจักรนี้ หรือในที่อื่น หรือในคนไม่มีศาสนา ทุกที่ที่เขาพบคนเหล่านั้น”6
“คนรํ่ารวยจะรอดไม่ไต้หากไม่มีความใจบุญ เขาต้องให้อาหารคนยากจนไม่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเรียกร้องเมื่อใดและอย่างไร”7
“จงนึกถึงสภาพของคนทุกข์ยากและพยายามบรรเทาความทุกข์ของพวกเขา ให้ขนมปังของท่านเลี้ยงดูคนหิวโหย และให้เสื้อผ้าของท่านคลุมกายคนเปลือย เปล่า ให้ความเสื้อเฟื้อของท่านซับนํ้าตาเด็กกำพร้า และช่วยให้หญิงม่ายที่หดหู่ ร่าเริงเบิกบาน ให้กำสวดอ้อนวอนของท่าน การปรากฎตัว และความเมตตา ของท่านบรรเทาความเจ็บปวดของคนรันทดใจ ให้ความเอื้อเฟื้อของท่านเสื้อ ประโยชน์ต่อความจำเป็นของพวกเขา ทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ ครอบครัวที่มีศรัทธา เพื่อท่านจะไม่ถูกติเตียน ไม่มีความผิด และเป็นบุตรที่ ปราศจากตำหนิของพระผู้เป็นเจ้า จงรักษาบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า—ทั้งหมดที่ พระองค์ประทานไอ้แอ้ว ประทานให้ขณะนี้ หรือจะประทานให้ในภายหลัง และ รัศมีทรงกลดจะส่องสว่างรอบเอ้นทางของท่าน คนยากจนจะลุกขึ้นชมเชยท่าน ท่านจะได้รับเกียรติและความเคารพนับถือจากคนดีทุกคน และเส้นทางของท่าน จะเป็นเอ้นทางของคนเที่ยงธรรม ซึ่งสว่างจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์ [ดู สุภาษิต 4:18]”8
“พระวิญญาณศักคิ์สิทธิ์… จะเทลงมาบนศีรษะท่านตลอดเวลา เมื่อท่าน ปฏิบัติตามหลักแห่งความชอบธรรมเหล่านั้นที่สอดคอ้องกับพระดำริของพระผู้เป็นเจ้า เอื้ออาทรกัน และพึงนึกถึงคนที่อยู่ในพันธนาการ ในความระทมทุกข์ และในความทุกข์ยากแสนสาหัสเพื่อเห็นแก่ท่าน และหากมีคนใดในพวกท่าน ปรารถนาจะเพิ่มพูนอำนาจวาสนาของตน และแสวงหาความมั่งคั่งให้ตนขณะที่ พื่น์องของพวกเขาครวญครางค้วยความยากจน และอยู่ในความยากกลําบากแสน สาหัสและการล่อลวง พวกเขาจะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยจากการวิงวอนของ พระวิญญาณศักคิ์สิทธิ์ซึ่งทรงวิงวอนแทนเราทุกวันคืนในเมื่อเราครวญครางไม่เป็นกำ [ดู โรม 8:26]
“เราควรระบัดระวังตลอดเวลาไม่ให้ความบักใหญ่ใฝ่สูงเช่นนั้นมีที่ในใจเรา แต่จงนอบน้อมต่อคนที่อยู่ในสถานะตํ่าค้อย และทนต่อความบกพร่องของคน อ่อนแออ้วยความอดกลั้น”9
ความใจบุญคืออดกลั้น มีเมตตา และอ่อนโยน
อีไลซา อวร์. สโนว์รายงานคำปราศรัยของศาสดาดังนี้ “ท่านเริ่มโดยอ่าน [1 โครินธ์] บทที่ 13—‘แห้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ไอ้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็น ภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก [ความใจบุญ] ข์าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือ ฉาบที่กำลังส่งเสียง’ และกล่าวว่า อย่ามีขีดจำกัดในการมองหาคุณงามความดี ของเพื่อนบ้านแต่จงระวังอย่าคิดว่าตนชอบธรรม และประเมินเฉพาะคุณงาม ความดีของตน และอย่าคิดว่าตัวท่านชอบธรรมกว่าคนอื่นๆ ท่านด้องขยายจิตวิญญาณของกันและกันบ้าท่านอยากทำเหมือนพระเยซู และพาเพื่อนมนุษย์ ของท่านไปสู่อ้อมอกของอับราฮัม โจเซฟ สมิธกล่าวว่าตัวท่านแสดงใบ้เห็น ความอดกลั้น ขันติ และความอดทนต่อศาสนาจักรมาแล้ว และต่อศัตรูของ ท่านต้วย และเราต้องทนต่อข้อบกพร่องของกันและกัน เฉกเช่นบิดาผู้อ่อนโยน ที่อะลุ้มอล่วยต่อข้อบกพร่องเล็กๆ บ้อยๆ ของบุตร
“…ขณะที่ท่านเพิ่มพูนความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและคุณธรรม ขณะที่ท่าน เพิ่มพูนความดี ขอให้ใจท่านเบิกบาน ขอให้ใจท่านเ ปิดรับผู้อื่น ท่านต้องรู้จัก อดกลั้น ทนต่อความผิดและความผิดพลาดของมนุษย์ จิตวิญญาณของมนุษย์ มืค่ามากเหลือเกิน!…
“…อย่าอิจฉาเสื้อผ้าสวยหรูและความฉาบฉวยของคนบาป เพราะพวกเขา อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนา แต่จงมืเมตตาต่อพวกเขาเท่าที่ท่านจะทำไต้ เพราะ ในเวลากันสั้นพระผู้เป็นเจ้าจะทรงท่าลายพวกเขาบ้าพวกเขาจะไม่กลับใจและ หันไปหาพระองค์”10
“คนฉลาดควรมืความเข้าใจมากพอจะเอาชนะด้วยความอ่อนโยน ปราชญ์ กล่าวว่า ‘คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป’ [สุภาษิต 15:1]; และจะสร้างเสริมเกียรติคุณอย่างมากใบ้สิทธิชนยุคสุดท้ายผู้แสดงความรัก ของพระผู้เป็นเจ้าโดยปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนต่อคนที่อาจท่าผิดในช่วงขาดสติ เพราะพระเยซูตรัสว่า จงสวดบ้อนวอนเผื่อศัตรูของเจ้า [ดู หัทธิว 5:44]”11
“ข้าพเจ้าไม่หมกนุ่นอยู่กับข้อบกพร่องของท่านและท่านจะไม่หมกนุ่นอยู่กับ ข้อบกพร่องของข้าพเจ้า ความใจบุญ ซึ่งคือความรัก ลบล้างความผิดมากมาย [ดู 1 เปโตร 4:8] และข้าพเจ้ามองข้ามข้อบกพร่องทั้งหมดในบรรดาพวกท่าน เสมอ แต่จะดีที่สุดก้าไม่มีข้อบกพร่องเลย เราควรปลูกฟังวิญญาณที่อ่อนโยน ละมุนละไม และรักสงบ”12
อีไลซา อทร์. สโนว์รายงานคำปราศรัยอีกครั้งหนึ่งของศาสดาดังนี้ “เมื่อผู้คน แสดงความอ่อนโยนและความรักต่อข้าพเจ้าแบ้เพียงบ้อยนิด โบ้ สิ่งนั้นช่างมี อำนาจเหนือจิตใจข้าพเจ้ามากเหลือเกิน ขณะที่การกระทำตรงกันข้ามมีแนวโบ้ม ว่าจะขุดคุ้ยความรู้สึกหยาบกระต้างและท่าใบ้ใจมนุษย์ห่อเที่ยว
“หลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่คุ้นเคยกับหลักธรรมของ ความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าคือมนุษย์มีความรู้สึกเอื้ออาทรน้อยลงและขาด ความใจบุญในโลก พลังและรัศมีภาพของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าขยาย วงกว้างโดยอาศัยหลักของการโยนเสื้อคลุมแห่งความใจบุญออกไป พระผู้เป็นเจ้า มิทรงมองดูบาปด้วยการผ่อนปรน แต่เมื่อมนุษย์ทำบาป ด้องมีการผ่อนปรนให้พวกเขา…ยิ่งเราเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์มากเพียงใดเรายิ่งมีแนว โน้มว่าจะมองดูจิตวิญญาณที่ใกล้ถึงความพินาศด้วยความสงสารมากเพียงนั้น เพราะเรารู้สึกว่าเราด้องการแบกพวกเขาไว้บนบ่าและโยนบาปของพวกเขาทิ้งไว้ ข้างหลังเรา …
“…ชายหญิงที่ฉลาดมักจะคอยบงการบราเดอร์โจเซฟอยู่เสมอโดยพูดว่า ‘ล้าผมเป็นบราเดอร์โจเซฟ ผมจะทำอย่างนั้นอย่างนี้’ แต่ก้าพวกเขาอยู่ใน สถานการณ์ของบราเดอร์โจเซฟ พวกเขาจะพบว่าจะบังคับให้ชายหรือหญิงเข้า ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ แต่ด้องดำเนินการด้วยความอดกลั้น และ ในที่สุดเราจะช่วยให้พวกเขารอด วิธีทำให้สิทธิชนทั้งหมดได้อยู่ด้วยกัน และ ทำให้งานก้าวหน้าต่อไปคือรอคอยด้วยความอดกลั้น จนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะ ทรงลงโทษคนบาป ไม่ควรมีใบอนุญาตให้ทำบาป แต่ความเมตตาควรมาควบคู่กับการว่ากล่าวตักเตือน”13
เราแสดงความใจบุญผ่านการกระทำอันเรียบง่าย ของการรับใช้และความอ่อนโยน
“ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของท่าน และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เทำนั้นที่ข้าพเจ้า จะทำให้ท่านเป็นคนตืได้…พวกเรามิได้เสนอตัวเป็นอะไรอื่นต่อท่านแต่เสนอ ตัวเป็นผู้รับใช้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน โดยยอมอุทิศและทุ่มเทในการรับใช้”14
เอ็ดวิน โฮลเด็นเล่าว่า “ในปี ค.ศ. 1838 โจเซฟกับเยาวชนชายบางคนกำลัง เล่นกีพำกลางแจ้งด้วยกัน กีฬาอย่างหนึ่งคือแข่งบอล ไม่นานพวกเขาก็เริ่มหมด แรง เมื่อเห็นเช่นนั้นท่านจึงเรียกพวกเขามารวมกันและพูดว่า ‘พวกเราไปสร้าง กระท่อมไม้ซุงกันเถิต่ โจเซฟกับเยาวชนชายไปสร้างกระท่อมไม้ซุงให้หญิงม่าย คนหนึ่ง วิธีของโจเซฟคือช่วยเสมอไม่ว่าอะไรต็ตามที่ท่านจะช่วยได้”15
ลูซี แมีค สมิธ มารดาของศาสดาโจเซฟ สมิธพูดถึงคราวที่สิทธิชนตั้งรกราก ครั้งแรกในเมืองคอมเมิร์ซ รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งต่อมาเรียกว่านอวู ตังนี้ “ขณะที่ กาลเวลาล่วงเลย พี่น้องที่ตั้งรกรากที่นี่แล้วเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของความยาก ลำบาก ผนวกกับสภาพอากาศที่เลวร้าย ทำให้พวกเขาป่วยเป็นโรคไข้จับสั่น และไข้ขึ้นจากอาการตับอักเสบจนถึงขั้นบางครอบครัวไม่มีใครสามารถเอานํ้าเย็น ให้กันดื่มได้หรือแม้กระทั่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ครอบครัวของไฮรัม ป่วยหนักที่สุด ลูซีบุตรสาวคนเล็กของฉันป่วยหนักด้วยและมีผู้อยู่อาศัยเพียงไม่กี่คนในถิ่นนั้นที่สบายดี
“โจเซฟกับเอ็มมานำคนป่วยมาดูแลที่ห้าน และจะนำมาทันทีที่ล้มป่วยจน กว่าบ้านของพวกเขาซึ่งมีทั้งหมดสี่ห้องจะแออัดจนด้องกางเต็นท์นอกบ้านเพี่อ รองรับคนบางคนในครอบครัวที่ยังแข็งแรงดี ไจเซฟกับเล็มมาทุ่มเทเวลาและ ดูแลเอาใจใส่คนป่วยในยามเดือดร้อนเช่นนี้”16
จอห์น แอล. สมิธ ลูกพี่ลูกน้องของศาสดาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน ช่วงเวลาเดียวก้น “ศาสดาไจเซฟกับไฮรัมพี่ชายท่านมาเยี่ยมเรา พวกเราป่วย กันหมดแต่คุณแม่มีไข้จนหนาวสั่น และคุณพ่อมีอาการเพ้อเสียเป็นส่วนใหญ่ ไจเซฟถอดรองเท้าของท่านออกเมื่อเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของเราและสวม รองเท้าคู่นั้นให้คุณฟ่อ ส่วนท่านเดินเท้าเปล่าและขี่ท้ากลับบ้านโดยไม่สวม รองเท้า ท่านส่งคนมารับคุณฟ่อไปพักที่ท้านท่าน ช่วยชีวิตคุณฟ่อเอาไว้ และ จัดหาสิ่งต่างๆ มากมายใท้เราได้อยู่อย่างสบายจนหายดี”17
เอลิซาเณธ แอน วิทนีย์เล่าว่า “ด้นฤดูใบไท้ผลิ ปื ค.ศ. 1840 เราขึ้นไปที่ เมืองคอมเมิร์ซ ชื่อที่ยังคงใช้เรียกตอนบนของเมืองนอวู เราเช่าบ้านหลังหนึ่ง ของไฮรัม คิมบัลล์ … เราทุกคนป่วยด้วยโรคไช้จับสั่น หนาวสั่นและมีไข้จน แทบจะไม่สามารถคลานไปหาลันและดูแลลันได้ ภายใด้สภาพการณ์ที่ยากลำบาก เช่นนี้ บุตรคนที่เก้าของฉันก็ลืมตาลูโลก เมื่อใจเซฟมาเยี่ยมเราและเห็นสภาพ ความเปลี่ยนแปลง ท่านขอใท้เราไปพักอยู่กับท่านทันที เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถ ทนต่อสภาพอากาศ น้ำ และความขาดแคลนได้อีก เราจึงยอมรับข้อเสนอและ ไปอยู่ในบริเวณบ้านของศาสดาไจเซฟในกระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่นานเรา ก็หายเป็นปกติ และลูกๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมมากขึ้น สามีของฉันได้รับว่าจ้างให้ทำงานในร้านที่โจเซฟสร้างไว้และสั่งสินค้าที่ผู้คนต้องการจริงๆ ให้ร้านค้า
“วันหนึ่งขณะออกจากท้านมาที่ลานนอกท้าน ความทรงจำถึงคำพยากรณ์ที่ ใจเซฟ สมิธให้ไว้ลับดิฉันช่วงที่ท่านอาศัยอยู่ในท้านของเราที่เคิร์ทแลนด์ก็แวบ เข้ามาในสมองของดิฉันเหมือนถูกจู่โจมด้วยกระแสไฟฟื้า ท่านพยากรณ์ว่า เรา ปฏิบัติต่อท่านโดยเปืดประตูด้อนรับท่านและครอบครัวเมื่อท่านไม่มืบ้านอยู่ ฉันใด ในอนาคตท่านจะด้อนรับเราเข้าไปในบ้านของท่านฉันนั้น”18
โมไซยา แอล. แฮนก็อครายงานประสบการฌ์ซึ่งเกิดขึ้นในนอวูช่วงที่เขาเป็น เยาวชนดังนี้ “ฤดูร้อนปีนี้ [ค.ศ. 1841] ผมแข่งบอลครั้งแรกกับศาสดา เรา ผลัดกันตีลูกและไล่จับลูก เมื่อการแข่งขันสิ้นสุด ศาสดาพูดว่า ‘พี่บ้องทั้งหลาย ขึ้นรถบ้ากันเถิด” เราทำตาม และพากันขับเข้าไปในป่า ข้าพเจ้าขับรถเทียมบ้า หนึ่งตัวโดยยืนอยู่บนคานรถด้านหบ้า ส่วนบราเดอรัโจเซฟกับคุณฟ่อนั่งอยู่บน คานรถด้านหลัง มืรถบ้า 39 กันในกลุ่ม เราเก็บไบ้ขนขึ้นรถบ้า เมื่อใส่จนเต็ม แล้วบราเดอรัโจเซฟก็เสนอตัวเล่นเกมดึงไบ้กับคนที่ด้องการแข่งกับท่าน—และ ท่านดึงพวกเขาขึ้นทีละคน
“จากนั้น ศาสดาส่งรถบ้าออกไปตามจุดต่างๆ ที่มืคนด้องการความช่วยเหลือ และท่านบอกให้พวกเขาช่วยกันตัดไม้ใบ้สิทธิชนที่ด้องการ ทุกคนยินดีทำตาม ที่ศาสดาบอก และแบ้เราจะสิ้นเรี่ยวแรง และความตายวนเวียนอยู่รอบตัว แต่ ทุกคนยิ้มสู้และพยายามใบ้กำลังใจกัน”19
วันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1842 ศาสดาเขียนจดหมายถึงเอ็ดเวิร์ด ฮันเตอร์ผู้รับ ใข้เป็นอธิการควบคุมในเวลาต่อมาว่า “การจัดหมวดหผู่สินค้า [ที่ร้านอิฐแดง] ทําได้ไม่เลว—ดีมาก โดยคำนึงถึงการซื้อแต่ละครั้งของบุคคลหลายประเภทใน เวลาต่างกัน และภายใด้สภาพการณ์ซึ่งควบคุมการเลือกซื้อของพวกเขาในระดับ หนึ่ง แต่ผมดีใจที่เราสามารถทําได้อย่างที่เราทําไปแล้ว เพราะใจของพี่บ้องชาย หญิงจำนวนมากที่ยากจนจะเปรมปรีดิ์ด้วยสิ่งที่ท่าให้เถิดความสบายซึ่งบัดนี้อยู่ ในรัศมีที่เอื้อมถึง
“ร้านค้ามืคนเต็มจนล้น และผมยืนปักหลักจ่ายสินค้าอยู่หลังเคุาน์เตอร์ตลอด ทั้งวันเหมือนเสมียนทั่วไปที่คุณเคยเห็นเพี่อช่วยคนที่ไม่มีอาหารมื้อปกติสำหรับ คริสต์มาสและปีใหม่เพราะขาดนํ้าตาล นํ้าค้อย องุ่นแบ้ง ฯลฯ และเพี่อให้ ตนเองพอใจด้วย เพราะผมชอบปรนนิบัติรับใข้สิทธิชนและเป็นผู้รับใข้ทุกคน โดยหวังว่าผมจะได้รับความสูงส่งในเวลาอันเหมาะสมของพระเจ้า”20
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ตูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
ขณะอ่านทวนเรื่องราวในหน้า 457–458 และหน้า 462–465 ให้ไตร่ตรอง ความรู้สึกที่ท่านมีต่อศาสดาโจเซฟ สมิธ เรื่องเหล่านี้สอนอะไรเกี่ยวกับ ศาสดาโจเซฟ ท่านคิดว่าการกระท่าของศาสดามีอิทธิพลต่อคนรอบข้างใน ทางใด ความกรุณาของผู้อื่นส่งผลต่อชีวิตท่านอย่างไรบ้าง
-
อ่านทวนสามย่อหน้าแรกในหน้า 459 ท่านคิดว่าเหตุใดคนที่เปียมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าจึงด้องการเป็นพรแก่มนุษยชาติทั้งมวล การกระทำแห่ง ความรักและความกรุณาของเราจะช่วยเป็นพรแก่คนทั้งปวงได้อย่างไร
-
เรามีความรับผิดชอบอะไรห้างในการดูแลคนตกทุกข์ได้ยาก (ดูตัวอย่างใน หน้า 459–460) ความรับผิดชอบเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความด้องการทางโลก ของผู้คนอย่างไร และเกี่ยวข้องกับความด้องการทางวิญญาณอย่างไร ท่านเคย เห็นตัวอย่างใดบ้างของคนที่ดูแลผู้ตกทุกข์ได้ยาก
-
อ่านย่อหน้าที่เริ่มจากห้ายสุดของหน้า 460 เราทำอะไรได้บ้างเพื่อจะชื่นชม คุณงามความดีของผู้กี่นมากขึ้น ท่านคิดว่าเหตุใดเราจึงควร “ระวังอย่าคิดว่า ตนชอบธรรม และประเมินเฉพาะคุณงามความดี [ของเรา]”
-
ศาสดาโจเซฟแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับ “การมีความรู้สึกเอื้ออาทรน้อยลง …ในโลก” (หน้า 462) ในทางตรงกันข้าม ท่านกล่าวว่าเราควร “ขยาย จิตวิญญาณของกันและกัน” และ “ขอให้ใจท่านเบิกบาน ขอให้ใจท่านเปีด รับผู้อื่น” (หน้า 461–462) ท่านคิดว่าขยายใจและจิตวิญญาณของกันและ กันหมายความว่าอย่างไร
-
อ่านย่อหน้าที่ห้าหน้า 461 เราจะนำคำสอนนี้ไปใช้ในด้านใดขณะที่เราปฎิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
ข้อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: 1 โครินธ์ 13:1–13; โมไซยา 4:14–16, 26–27; อีเธอร์ 12:33–34; โมโรไน 7:45–48; ค.พ. 121:45–46