บ ท ที่ 43
“ท่านเป็นศาลดาของพระผู้เป็นเจ้า” : บุคคลที่อยู่ร่วมลมัยกับโจเขฟ สมิธ ต่างเป็นพยานทึงพันธกิจ การเป็นศาลดาของท่าน
“ข้าพเจ้ารู้สึกอยากร้องตะโกนอาเลลูยาอยู่ตลอดเวลาเมื่อคิดว่า ข้าพเจ้าเคยรู้จักโจเซฟ สมิธศาสดา” (ปริคัม ยังก์)
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
ในเมืองนอวู สิทธิชนมาร่วมชุมนุมกันบ่อยๆ เพื่อฟ้งศาสดาโจเซฟ สมิธพูด กับพวกเขา เพราะไม่มืตึกหลังใดในนอวูใหญ่พอจะรองรับสิทธิชนได้ทั้งหมด ศาสดาจึงพูดข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง ท่านมักจะพูดในป่าทางตะวันตกของพระวิหาร ที่ซึ่งหลายพันคนจะมาชุมนุมกันได้ มืการสร้างเวทีปราศรัยแบบเคลื่อนย้ายได้ให้ ผู้นำศาสนาจักรและผู้พูด ผู้เข้าร่วมประชุมนั่งอยู่บนหญ้าหรือไม่ก็บนท่อนซุง หรือก้อนอิฐ ศาสดาพูดที่ลื่นในนอวูด้วย รวมถึงพระวิหารที่ยังสร้างไม่เสร็จและ ห้านพักส่วนตัว ผู้มาเยือนนอวูตอนด้น ค.ศ. 1843 รายงานว่าเห็นการประชุมจัด “บนพื้นขรุขระในห้องใด้ดินของพระวิหาร และศาสดาสั่งสอนที่นั่นบ่อยครั้ง”1
เมื่อศาสดาพูดกลางแจ้ง ท่านมักจะเริ่มคำปราศรัยโดยขอให้สิทธิชนสวด อ้อนวอนให้ลมหรือฝนสงบจนกว่าท่านจะพูดจบ ที่การประชุมครั้งหนึ่งในนอวู เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1843 ศาสดาเริ่มคำปราศรัยโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามืเรื่องจะขอร้องผู้เข้าร่วมประชุมสามเรื่อง เรื่องแรก ทุกท่านที่มืศรัทธาจะใช้ ศรัทธาของท่านและสวดอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ลมสงบ เพราะขณะนี้มีลมพัด และข้าพเจ้าไม่สามารถพูดนานๆ ได้โดยไบ่เป็นผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพของ ข้าพเจ้า เรื่องต่อไป ท่านจะสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าทรงเพิ่มพลังปอดของ ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะสามารถพูดให้ทุกท่านได้ยิน และสาม ท่านจะสวดอ้อนวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธี้สถิตอยู่กับท่าน ทั้งนี้เพื่อข้าพเจ้าจะสามารถ ประกาศเรื่องเหล่านั้นที่เป็นความจริงได้”2
การนัดพูดของศาสดามีความสำคัญมากต่อสมาชิกของศาสนาจักร และบาง ครั้งท่านพูดกับผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนหลายพันคน “คนที่ฟ้งท่านไม่มีใครเบื่อ หน่ายคำปราศรัยของท่าน” พาร์ลีย์ พี. แพรทท์กล่าว “ข้าพเจ้ารู้แม้กระทั่งว่า ท่านสามารถท่าใม้ผู้เข้าร่วมประชุมพีงท่านได้นานหลายชั่วโมงโดยบื่ยังเต็มใจ และอยากฟังท่านอยู่ ไม่ว่าจะหนาวหรือแดดจะออก ฝนจะตกหรือมีลมพัด หัวเราะม้าง ร้องไม้ม้างสลับกันไป”3 คัลวาห์ เจ. อเล็กซานเดอร์เป็นเด็กในสมัย นอวูและจำได้ว่า “ไม่มีความบันเทิงหรือเกมใดบื่ข้าพเจ้าสนใจเท่าการได้ฟ้ง ท่านพูด”4
อมาซา พอตเตอร์จำได้เมื่ออยู่ฟ้งคำเทศนาอันเป็ยมด้วยพลังคราวศาสดาใจเซฟ สมิธสั่งสอนสิทธิชนกลุ่มใหญ่ในนอวู
“เมื่อ [ศาสดา] พูดไปได้ประมาณสามสิบนาทีก็เกิดลมแรงและพายุ ฝ่นฟุง จนเรามองไม่เห็นกันเว้นแต่จะอยู่ใกล้ๆ และบางคนกำลังจะไปเมื่อศาสดาร้อง เรียกใม้หยุด และให้พวกเขาสวดอ้อนวอนพระผ้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธขอให้ ลมหยุดพัดและฝนหยุดตก และมันควรเป็นเช่นนั้น ในเวลาไม่กี่นาทีลมกับฝน ก็หยุด และทุกอย่างสงบเหมือนยามเข้าของฤดูร้อน พายุแบ่งไปทางเหนือและ ใด้ของเนือง เราเห็นไม้ยืนด้นและไม้ล้มลุกมื่อยู่ไกลออกไปพัดพลิ้วอยู่ในสายลม ส่วนตรงที่ที่เราอยู่เงียบสงบนานหนึ่งชั่วโมง และระหว่างนั้นคำเทศนาที่ เยี่ยมยอดเรื่องหนึ่งที่เคยออกมาจากปากศาสดาคือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคนตาย”5
สิทธิชนผู้ได้ฟ้งศาสดาโจเซฟ สมิธพูดต่างแสดงประจักษ์พยานอันทรงพลัง และชัดเจนถึงพันธกิจการเป็นศาสดาของท่าน หลายคนบันทึกความทรงจำที่ พวกเขามีต่อคำปราศรัยของท่านและประสบการณ์ที่พวกเขามีร่วมกับท่าน เพราะพวกเขาอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้ว่าโจเซฟ สมิธเป็น ศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ
ประจักษ์พยานถึงโจเซฟ สมิธ
เช่นเสียวกับสิทธิชนสมัยเริ่มแรก เราสามารถรู้ได้ว่าโจเซฟ สมิธเป็น ศาสดาผู้ที่พระเจ้าทรงฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณผ่านท่าน
บริคัน ยังก์ ประธานศาสนาจักรคนที่สอง “ข้าพเจ้ารู้สึกอยากร้องตะโกนอาเลลูยาอยู่ตลอดเวลาเมื่อคิดว่าข้าพเจ้าเคยรู้จักใจเซฟ สมิธ ศาสดาผู้ที่พระเจ้า ทรงยกขึ้นและทรงแต่งตั้ง และผู้ที่พระองค์ทรงมอบกุญแจและอำนาจ ในการ เสริมสร้างและคํ้าจุนอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก กุญแจดังกล่าว ถูกมอบให้คนเหล่านี้และเรามีอำนาจสานต่องานที่โจเซฟเริ่มไว้”6
อีไลซา อาร์. สโนว์ ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1866 ถึง 1887 “ในอุดมการณ์แห่งความจริงและความชอบธรรม—ในทั้งหมดที่จะ เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ของท่าน ความสุจริตของท่านมั่นคงดั่งเสาหลัก ของสวรรค์ ท่านรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกท่านมาสุ่งานนึ้ พลังอำนาจทั้งหมด ของแผ่นดินโลกและนรกมารวมกันก็ไม่ สามารถขัดขวางหรือทำให้ท่านหันเท จากจุดประสงค์ของท่านได้ ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าและพี่น้องของ ท่าน ท่านวางรากฐานของงานใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสถาปนา—งานที่ไม่ เพียงขยายไปถึงคนเป็นทั้งหมดและอนุชนรุ่นหลังทุกรุ่นเท่านั้น แต่ไปถึงคน ตายด้วย
“ท่านเผชิญหน์าลับประเพณีผิดๆ ความเชื่อโชคลาง ศาสนา อคติ และ ความเขลาของโลกด้วยความองอาจกล้าหาญ—พิสูจน์ตนว่าแน่วแน่วต่อหลัก ธรรมทุกข้อที่เปิดเผยจากสวรรค์—แน่วแน่ต่อพื่น์องของท่านและแน่วแน่ต่อ พระผู้เป็นเจ้า และผนึกประจักษ์พยานด้วยเลือดของท่าน”7
มัธเชบา ดับเบิลยู. สมิธ ประธานสมาคมสง เคราะห์สามัญตั้งแต่ปี ค.ศ. 1901 ถึง 1910 “ดิฉันทราบว่าท่านเป็นดังที่ท่านประกาศว่าเป็น—ศาสดาที่แห้จริงของพระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้า ทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณอันเป็นนิจ พิธีการ และ เอ็นดาวเห้นห้ทุกอย่างที่จะนำเราไปสู่อาณาจักร ชั้นสูงผ่านท่าน”8
วิลฟอร้ด วูดรัฟฟั ประธานศาสนาจักรคนที่สี่ “ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งในสิ่งที่ข้าพเจ้า เห็นจากบราเดอรีโจเซฟ เพราะในกำรกระทำของท่านทั้งต่อหน์าและลับหลัง ท่านมีพระวิญญาณของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธอยู่ด้วย และท่านแสดงให้เห็นถึง ความยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นในมนุษย์คนใดมาก่อน”9
ดาเนียล ดี. แม็คอาเธอร์ สมาชิกศาสนาจักรสมัยเริ่มแรกผู้ซึ่งต่อมาเป็นผู้นำ คณะรถลากชุดแรกคณะทนึ่งจนมาถึงซอลห์เลคซิตึ้ “ประจักษ์พยานของข้าพเจ้า คือท่านเป็นศาสดาที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ยิ่งข้าพเจ้าได้ยินคำ พูดของท่านและเห็นสิ่งที่ท่านกระท่ามากเพียงใด ข้าพเจ้าก็ยิ่งเชื่อมั่นมากเพียง นั้นว่าท่านได้เห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระเยซูคริสต์จริงๆ และเห็นเหล่าเทพผู้บริสุทธี้ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย… สำหรับข้าพเจ้าแล้วมัก จะดูเหมือนว่าต่อไท้ข้าพเจ้ารู้ทุกเรื่องบนโลกนี้ข้าพเจ้าก็รู้แน่นอนว่าท่านเป็น ศาสดา”10
อเล็กซานเดอร์ แมึคเร คนหนึ่งที่ถูกคุมขังในคุกณิบอร้ตี้พร้อมกับโจเซฟ สมิธ “เราเชื่อมั่นว่า [โจเซฟ สบิธ] เป็นศาสดาถึงขนาดว่าเมื่อท่านพูดว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนั้น’ เราเชื่อมั่นว่าจะเป็นดังที่ท่านพูด และยิ่งเราทดสอบสิ่งที่ ท่านพูดมากเท่าใด ความเชื่อมั่นของเรายิ่งมืมากขึ้นเท่านั้นเพราะเราพบว่าคำพูด ของท่านไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง”11
ไลแมน โอ. ลิทเทิลฟลด้ สมาชิกคนหนึ่งของค่ายไซอัน “พลังงานทั้งหมด ของจิตวิญญาณท่านซึมซาบเข้าไปในงานยุคสุดท้ายอันรุ่งโรจน์ซึ่งพระอาจารย์ผู้ สูงส่งของท่านทรงเรียกท่านใท้ท่างานนี้”12
แมรีย์ อลิซ แคนนอน แลมเมิร้ต ผู้เปลี่ยนใจ เลื่อมใสชาวอังกถูษที่อพยพไปนอวูในปี ค.ศ. 1843 “ข้าพเจ้าเห็นโจเซฟ สบิธครั้งแรกในฤดู ใบไท้ผลิ ปี ค.ศ. 1843 เมื่อเรือที่เราโดยสารจาก แม่นั้ามิสซิสซิปปีมาเทียบท่าที่นอวู ผู้น่าหลายคน ของเรารอพบกลุ่มสิทธิชนอยู่ที่นั่น หนึ่งในบรรดา ผู้นำเหล่านั้นคือศาสดาโจเซฟ สบิธ ข้าพเจ้ารู้จัก ท่านทันทีที่มองเห็นท่าน และขณะนั้นข้าพเจ้าได้ ร์บประจักท้พยานว่าท่านคือศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า… ไม่มืใครชี้ใท้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้ารู้จักท่านจากคนอื่นๆ และเด็กอย่าง ข้าพเจ้า (ข้าพเจ้าอายุเพียงสิบสิ่ปี) รู้ว่าข้าพเจ้าเห็นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า”13
แองอัส เล็ม. แคนนอน สมาชิกศาสนาจักรที่อยู่ในนอวูสมัยเป็นเยาวชน และต่อมาเป็นประธานสเตคในฃอลท์เลคฃิตี้ “ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้เป็น พิเศษคือเมื่อบราเดอร์โจเซฟกำลังปราศรัยกับสิทธิชนที่มาชุมนุมกันในฤดูใบไท้ ผลิ ค.ศ. 1844 ใต้ต้นโอ๊คด้นใหญ่ ในที่ลุ่มทางใด้ของพระวิหารใกล้ถนนพาร์ลีย์ ท่านกำลังปราศรัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมการใท้ชายคน หนึ่งได้รับสิทธิอำนาจที่จะสถาปนาศาสนาจักรของพระองค์และให้เขารับการ เปีดเผยที่ควรจะผูกมัดศาสนาจักร… ในโอกาสเดียวกันนี้ข้าพเจ้าได้ยินศาสดา ประกาศว่าท่านได้รับฐานะปุโรหิตแห่งเม็ลคิเซเด็คแห้ว ภายใด้การปฏิบัติของ เปโดร ยากอบ และยอห์น
“ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับจิตใจเด็กหนุ่มอย่างข้าพเจ้าต่อคำพูดที่ได้รับการ ดลใจของโจเซฟ สมิธติดตามข้าพเจ้าไปตลอดชีวิตที่เหลือ และเมื่อความมืด บดบังจิตใจข้าพเจ้า ประจักษ์พยานของท่านจะปรากฎชัดตรงหน้าข้าพเจ้าโดยให้ หลักฐานยืนยันว่าศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดทัายได้รับการ สถาปนาและปกครองโดยพลังและสิทธิอำนาจอันประจักษ์ชัดของพระผู้เป็นเจัา”14
ไฮรัม สนิธ พี่ชายของศาสดาเเละผู้ประสาทพรของศาสนาจักร “มีศาสดา ก่อนหน้านี้ แต่โจเซฟมืวิญญาณและพลังอำนาจของศาสดาทั้งหมด”15
โจเซฟ สมิธเป็นแบบอย่างที่เราสามารถทำตามได้ ในการพัฒนาอุปนิสัยที่เหมือนพระคริสต์
พาร์ลีย์ พี. แพรทท์ สมาชิกโควรัมอัครสาวก สิบสองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1835 ถึง 1857 “ประธาน โจเซฟ สมิธมืรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรงและกระฉับกระเฉง ผิวค่อนข้างขาว ผมสืบลอนต์ ตาสืฟ้า มีหนวดเคราน้อยมาก และมีลักษณะเด่นเฉพาะ ตัว… สีหน้าของท่านอ่อนโยน นุ่มนวล ฉายแวว ฉลาดปราดเปรี่องและมีเมตตาจิต ผสมผสาน ลับ ลักษณะท่าทางที่น่าสนใจและรอยยิ้มที่จริงใจ หรือ ความร่าเริงเบิกบาน ไม่มีการแนใจหรือเสแสร้ง แต่อย่างใด และมีบางสิ่งสัมพันธ์ลับแววตาอันสงบนึ่งและสายตาคมกริบประหนึ่งว่าท่านจะมองให้ซึ้งถึงลันบึ้งของใจมนุษย์ จ้องเข้าไปในนิรันดร ทะลุ ห้องฟ้า และเข้าใจโลกทั้งมวล ท่านมีความองอาจผึ่งผายและความเป็นตัวของ ตัวเอง ท่านเป็นคนเรียบง่าย และเข้าลับคนง่าย การว่ากล่าวของท่านน่ากลัวดั่ง ราชสีห์ เมตตาจิตของท่านไร้ขอบเขตดั่งมหาสมุทร และสติปัญญาของท่าน ครอบคลุมทุกด้าน”16
จอห์น นีดแฮน ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวอังกฤษสมัยเริ่มแรก “โจเซฟ สมิธ เป็นคนยิ่งใหญ่ มีหลักการ ตรงไปตรงมา ไม่มีสีหน้าอมทุกข์และทำที่ว่าเคร่ง ศาสนา แต่เป็นในทางตรงลันข้าม บางคนสะดุดเพราะท่านเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาเป็ดเผย และร่าเริง แต่นั่นท่าให้ข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้น”17
เอมเมตีน มี. เวลส์ส ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910 ถึง 1921 “ดิฉัน… เป็นพยานว่าท่านเป็นบุรุษยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นศาสดายิ่งใหญ่ ที่สุด และเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สุดของคนรุ่นนี้ ดิฉันรู้สึกนั่นใจในการพูดว่าท่าน เป็นคนยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่สมัยของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านมีความสง่าน่าเกรงขาม เมื่อปรากฎตัว คุณคงจะคิดว่าตัวท่านสูงใหญ่กว่าปกติมาก บางทีหลายคนอาจ จะเคยเห็นคนลักษณะเช่นนี้เมื่อเขาลุกขึ้นเดิน ศาสดาโจเซฟเป็นเช่นนั้น เท่า ที่ดิฉันทราบไม่มีรูปภาพรูปใดของท่านเทียบได้ลับความงามสง่าน่าเกรงขามของ ท่านเมื่อท่านปรากฎตัว”18
แมรีย์ อลิซ แคนนอน แลมเมิร์ต “ความรักที่สิทธิชนมีต่อท่านไม่อาจ พรรณนาได้ พวกเขายอมพลีชีวิตเพื่อท่าน ถ้าท่านด้องพูดพวกเขาจะทิ้งงานทุก อย่างมาฟ้งคำพูดของท่าน ท่านไม่ใช่คนธรรมดา สิทธิชนและคนบาปรู้สึกและ ตระหนักถึงพลังอำนาจและอิทธิพลที่อยู่ลับท่าน เป็นไปไม่ได้ที่จะพบลับท่าน โดยไม่ประทับใจในพลังแห่งบุคลิกภาพและอิทธิพลของท่าน”19
จอห์น เอ็ม. เมิร์นไฮเซิล อายุรแพทย์ผู้พักอยู่ ในบ้านของใจเซฟอับเต็มมาที่นอวูนานหลาย เดือนในช่วงป็ ค.ศ. 1843 และ 1844 “โจเซฟ สมิธเป็นผู้ที่มีพลังจิตแก่กถ้า มีพลังงานเหลือเทืเอ เป็นคนเด็ดเดี่ยว ญาณทัศนะเฉียบแหลม และมีความรู้สึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์ ท่าน เป็นคนมีวิจารณญานอันสุขุม วิสัยทัศน์กว้างไกล และเลื่องชื่อลือนามในเรื่องรักความยุติธรรม ท่านเป็นคนใจดี มีบ้ำใจ เอื้อเฟ้อ และเมตตา ชอบสังคม และร่าเริง เป็นคนชอบตรึกตรองครุ่นคิด ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ เป็ด เผย ไม่หวั่นเกรง และเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีการเสแสร้งแกล้งท่า [ดีหน์าตาย] เช่นที่พบในคนอื่นๆ… ท่านเป็นครูสอนศาสนา และเป็นบุรุษซึ่งเป็นที่รักยิ่ง ของคนเหล่านี้”20
เจสฃี เอ็น. สนิธ ลูกพื่ลูกน้องคนหนึ่งของโจเซฟ สนิธ “[ศาสดาเป็น] คนที่เหมือนพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา… ข้าพเจ้ารู้ว่าท่าน มืคุณสมบัติประจำตัวคือพูดปดและหลอกลวงไม่เป็น มือุปนิสัยอ่อนโยนที่สุด และจิตใจสูงส่งที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านสามารถอ่าน ข้าพเจ้าได้ทะลุปรุโปร่ง ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นทั้งหมดที่ท่านอ้างว่าเป็น”21
วิลเลียน เคลย์อัน ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาว อังกฤษที่รับใช้เป็นเสมียนของโจเซฟ สมีธ “ยิ่ง ข้าพเจ้าอยู่กับท่านมากเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งรักท่าน มากเท่านั้น ยิ่งข้าพเจ้ารู้จักท่านมากเพียงใด ข้าพเจ้าก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวท่านมากเพียงนั้น”22
โจเซฟ เอฟ. สมีธ ประธานศาสนาจักรคนที่ หก “ท่านเปียมด้วยความสูงส่งที่สุดและความ บริสุทธี้ที่สดของธรรมชาติมนุษย์ ซึ่งแสดงให้ เห็นบ่อยครงในกิจกรรมนันทนาการที่ไม่เป็นพิษ เป็นภัย—ในการเล่นฟุตบอล เล่นมวยปลํ้าและเล่นต่อสู้กับพี่ชายน้องชาย ท่าน ทำตัวสนุกสนานร่าเริง ท่านไม่เหมือนคนที่แบกภาระหนักอึ้งไว้บนหลังและคน หลอมหน้าในเตาทองเหลืองจนยิ้มไม่ออกและไม่มืป็ติในใจ โอ้ ท่านเต็มไปด้วย ป็ติ ท่านเต็มไปด้วยความเบิกบาน ท่านเต็มไปด้วยความรักและคุณลักษณะอัน สูงล่งทั้งหมดที่ท่าให้มนุษย์ยิ่งใหญ่และดี ขณะเดียวกันท่านเป็นคนเรียบง่าย และไม่มืพิษภัย ทั้งนี้เพี่อท่านจะสามารถลงมาสู่สภาพตาสุดได้ ท่านมืพกัง อำนาจจากพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าอันจะท่าให้ท่านเข้าใจจุดประสงค์ของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ด้วย มั่นคืออุปนิสัยของศาสดาโจเซฟ สมิธ”23
ในฐานะศาสดาผู้ที่พระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟูผ่านท่าน โจเซฟ สมิธสอนแผนแท่งความรอดของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยความชัดเจนและพลัง
บริอัน ยังก์ “ความดีเด่นอันเป็นเกียรติภูมิในอุปนิสัยของบราเดอรัโจเซฟ สมิธ คือท่านสามารถอธิบายเรื่องของสวรรค์ให้เป็นที่เข้าใจแก่มนุษย์ได้ เมื่อท่าน สั่งสอนผู้คน—เปีดเผยเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แผนแห่งความรอด จุดประสงค์ของพระเยโฮวาห้ ความสัมพันธ์ที่เรามืต่อพระองค์และเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง—ท่านจะอธิบายคำสอนตามสมรรถภาพในการ รับของชายหญิง และเด็กทุกคนโดยทำให้คำสอนเหล่านั้นชัดเจนเท่ากับเส้นทาง ที่กำหนดเขตไว้อย่างดี สิ่งนี้น่าจะท่าให้ทุกคนที่เคยได้ฟ้งท่านเชื่อในพลังและ สิทธิอำนาจจากเบื้องบนของท่าน เพราะไม่มีใครสามารถสอนได้อย่างที่ท่าน สอน และไม่มีใครเป็ดเผยเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าได้ นอกจากโดยการเป็ดเผย ของพระเยซูคริสต์”24
ฮาเวิร์ด โคเรย์ เสมียนของโจเซฟ สนิธ “ข้าพเจ้าศึกษาพระกิตติคุณตามที่ ใจเซฟ สมิธเปีดเผยและสงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่คนๆ หนึ่งจะเป็ดเผยระบบ ความรอดและความสูงส่งสำหรับมนุษยโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ข้อสรุปของข้าพเจ้าคือเป็นไปไม่ได้ ข้าพเจ้านั่งฟ้งท่าน สั่งสอนบนแท่นยกพื้นในนอวูหลายครั้งเมื่อใจข้าพเจ้าจดจ่อกับวาทศิลป๋ที่ไม่อาจ พรรณนาได้—พลังของการแสดงออก—การพูดอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน มนุษย์คนใดเคยพูดเช่นนี้มาก่อน”25
ใจเซฟ แอล. รอบินสัน ที่ปรึกษาฝายอธิการ ในนอวู “เราเชื่อมานานและรู้จริงๆ ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาที่แท้จริงและอ่อนน้อมถ่อมตน ของพระผู้เป็นเจ้า แต่บัดนี้ดวงตาของเราเห็น ท่านและหูของเราได้ยินเสียงของท่าน ซึ่งเป็น เหมือนเสียงฟ้ากังวานจากสวรรค์ แต่คำพูดของ ท่านอ่อนโยนและให้ความรู้ จรรโลงใจมาก แต่ มีพลังและความน่าเกรงขามอยู่ในคำพูดและการ สั่งสอนของท่านอย่างที่เราไม่เคยเห็นในมนุษย์ คนใดมาก่อน เพราะท่านเป็นศาสดาที่เกรียงไกร คนบริสุทธึ้ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านรอบรู้อย่างแท่จริงในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและเต็มไป ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนท่านเสมอ”26
ออร์สัน สเป็นเซอร์ บาทหลวงนิกายแบปทิสต์ผู้เข้าร่วมศาสนาจักรในปี ค.ศ. 1841 “ในหลักคำสอน คุณสมิธเชี่ยวชาญพระคัมภีร์อย่างเห็นได้ชัด ข้าพเจ้า ทราบว่าท่านไม่เคยปฏิเสธหรือลดค่าความจริงของพันธสัญญาเติมและพันธสัญญาใหม่แห้แต่ข้อเดียว แต่ข้าพเจ้าทราบมาตลอดว่าท่านอธิบายและแส้ต่างให้ พระคัมภีร์ได้อย่างเชี่ยวชาญ โดยได้รับการเจิมจากพระผู้เป็นเจ้าให้สอนและทำ ให้ศาสนาจักรดีพร้อม จึงจำเป็นที่ท่านจะด้องรู้วิธีจัดระเบียบสิ่งที่ยังขาดตกบก พร่องเพื่อนำเรื่องใหม่และเก่าออกมา เฉกเช่นนักกฎหมายชาวยิวที่ได้รับการ สอนมาอย่างดี ดูเหมือนท่านจะขยายตำแหน่งนี้และการเป็นอัครสาวก ทำให้ ศาสดาสมัยโบราณมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำพูดของท่าน และท่าให้ความสวยงามและพลังแห่งการเป็ดเผยของศาสดาเหล่านั้นเป็นที่น่าตื่นเด้นน่าสนใจต่อทุก คนที่ได้ยินได้ฟ้ง”27
โจนาห์ อาร์. บอลล์ สมาชิกคนหนึ่งของศาสนาจักรผู้อาศัยอยู่ในนอวู “ไป การประชุม ฟ้งศาสดาสั่งสอนบริเวณพระวิหาร มีหลายพันคนมาฟ้งท่าน ไม่มี ความเข้าใจผิด วิธีที่ท่านอธิบายพระคัมภีร์อยู่เหนือการคาดคะเนหรือการโด้แย้ง เนื้อหาของท่านคือ 2 เปโดรบทที่ 1 ท่านอธิบายได้กระจ่างประหนึ่งดวงอาทิตย์ [ตอนเที่ยงวัน]”28
วิลเลียน เคลย์ตัน “เราเคยได้รับเกียรติให้สนทนากับใจเซฟ สมิธ จูเบียร์ และเราพอใจอัธยาศัยของท่านมาก… ท่านเป็น… คนมีวิจารณญาณดีและมี ความเฉลียวฉลาดรอบด้าน ขณะฟ้งการสนทนาของท่านคุณจะได้รับความเฉลียว ฉลาดซึ่งจะขยายความคิดและทำให้ใจคุณปลาบปลื้มยินดี ท่านไปใช่คน เจ้ายศ เจ้าอย่าง ท่านชอบสอนสิทธิชนที่ยากจน ผมสามารถสนทนาอับท่านได้อย่าง เป็นอันเองเช่นที่ผมสนทนาอับคุณ และเกี่ยวกับการยินดีถ่ายทอดความรู้ ท่าน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้รับเปล่าๆ และข้าพเจ้าจะให้เปล่าๆ’ ท่านยินดีตอบคำถาม ทุกข้อที่ผมถามและชอบอกชอบใจเมื่อเราถาม ดูเหมือนท่านจะเชี่ยวชาญพระคัมภีร์เป็นอย่างมาก และขณะสนทนาเรื่องใดก็ตามท่านจะเป็ดเผย ความสว่าง และความสวยงามของเรื่องนั้นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าผมด้องตรงดิ่ง จากประเทศอังกฤษมาสนทนากับท่านสองสามวัน ผมถือว่าความลำบากของ ผมคุมค่า”29
เมอร์ซี ฟืลดิง ธอมผัสัน ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส ชาวอังกฤษที่โรเบิร์ต มี. ธอนพ็สันสามีเธอรับใช้ เป็นเสมียนของโจเซฟ สมิธ “ดิฉันเคย… ฟ้งคำอธิบายที่ชัดเจนและชาญฉลาดของท่าน เมื่อท่านตอบคำถามที่ลีกซึ้งและยาก อับท่าน แล้วดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบง่ายและเข้า’ใจง่าย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสามารถอธิบายให้ใครต่อใครเข้า ใจได้อย่างที่ไม่มีใครท่าได้มาก่อน”30
เช่นเสียวกับสิทธิชนสมัยเริ่มแรก เราจะต้องจดจำคำพูดของโจเซฟ สมิธและดำเนินชีวิตตามหลักธรรมที่ท่านสอน
เอ็มเมลีน มี. ทลล์ส “ในศาสดาโจเซฟ สมิธ ดิฉันเชื่อว่าดิฉันรู้ซึ้งถึงพลังยิ่งใหญ่ทาง วิญญาณที่นำปีติและความสบายใจมาให้สิทธิชน… เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับท่านจน ถึงระดับที่ดูเหมือนท่านจะแปลงสภาพหลายครั้ง การแสดงออกของท่านอ่อนโยนและท่านเหมือน เด็กมากเวลาที่ท่านอยู่นิ่งๆ เมื่อปราศรัยกับผู้คน ที่รักท่านดูเหมือนพวกเขาจะเลื่อมใสท่าน รัศมี ภาพในสีหห้าของท่านมีมากเกินพรรณนา หลาย ครั้งที่ลูเหมือนพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ในกิริยาท่าทางของท่านซึ่งมืมากกว่าใน นํ้าเสียงของท่าน (ซึ่งกินใจดิฉันมาก) จะท่าให้บริเวณที่ดิฉันยืนอยู่สั่นสะเทือน และทะลุถึงส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณผู้ฟ้ง และดิฉันมั่นใจว่า ณ เวลานั้น พวกเขายอมพลีชีวิตเพื่อปกป็องท่าน ดิฉัน ตั้งใจฟ้งท่านเสมอทุกอำที่ท่านพูด —ผู้ได้รับเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าในสมัยการประทานสุดห้ายนี้”31
ลอเรนโซ สโนว์ ประธานศาสนาจักรคนที่ห้า “ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นศาสดาใจเซฟคือเมื่อเป็น เด็กหนุ่ม [อายุประมาณ 17 ปี] ท่านกำลังพูดกับ ผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มเล็กๆ ท่านบอกพวกเขาว่า เทพมาเยือนท่าน… ผู้คนชอบฟ้งท่าน เพราะ ท่านเต็มไปด้วยการเป็ดเผย… ตามอำสัญญา ของพระเจ้า ผู้ยอมรับหลักธรรมที่ท่านสอนจะได้ รับประจักษ์พยานถึงความจริงของหลักธรรมเหล่า นั้นจากพระเจ้า”32
เอ็ดเวิร์ด สตีเวนสัน สมาชิกสาวกเจ็ดสิบตั้งแต่ป็ ค.ศ. 1844 ถึง 1897 “ข้าพเจ้าเห็นท่านครั้งแรกในปี 1834 ที่พอนทิอัค [มิชิแกน] และความประทับใจที่ข้าพเจ้ามืต่อท่านเวลานั้นท่าให้ข้าพเจ้าพอใจมากเมื่อได้เล่าเรื่องดังกล่าว ให้เพื่อนๆ หลายคนของท่านฟ้ง ความรักที่มืต่อท่านในฐานะศาสดาที่แห้จริง ของพระผู้เป็นเจ้าตราตรึงอยู่ในใจข้าพเจ้าไม่เสื่อมคลาย และอยู่กับข้าพเจ้ามา ตลอดนับแต่นั้น แม้เกือบหกสิบปึนับแต่ท่านจากไป ในปึเดียวกันนั้น ค.ศ. 1834 ท่ามกลางผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก ศาสดาเป็นพยานด้วยพลังอันยิ่ง ใหญ่ถึงการเสด็จเยือนของพระบิดากับพระบุตร และการสนทนาของท่านกับทั้ง สองพระองค์ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกถึงพลังเช่นที่ประจักษ์ชัดในโอกาสเหล่านี้มา ก่อน”33
แม่รืย์ แอน สเติร์นส์ วินเทอร์ส บุตรสาวของภรรยาเอ็ลเดอร์พาร์ลีย์ พี. แพรทท์ “ดิฉันยืนชิดศาสดาขณะที่ท่านสั่งสอนชาวอินเดียนแดงในป่าใกล้พระ วิหาร พระวิญญาณศักดสิทธี้ท่าใหใบหม้าของท่านส่องสว่างเหมือนมีรัศมีทรง กลดอยู่รอบตัวท่าน และคำพูดของท่านเข้าถึงจิตใจทุกคนที่ได้ยิน…
“ดิฉันเห็นศพของบราเดอรัโจเซฟและบราเดอร์ไฮรัมที่วางไวในแมนชั่นเฮาส์ หลังจากพวกท่านถูกนำมาจากคาร์เทจ เห็นเสื้อผ้าบางชุดที่พวกท่านเคยสวมใส่ ซึ่งมีกลิ่นคาวเลือดของพวกท่าน ดิฉันรู้ว่าพวกท่านเป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า ศาสดาและผู้ประสาทพร แน่วแน่และซื่อสัตย์ ขอใม้เรามีค่าควรแก่การได้พบ พวกท่านในโลกที่จะมาถึง!”34
วิลพีอร์ด วูดรัพีพีรายงานการเทศนาเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1837 “ประธานโจเซฟ สบิธ จูเนียร์ ลุกขึ้นปราศรัยกับผู้เข้าร่วมประชุมนานสาม ชั่วโมง เดชานุภาพ พระวิญญาณ และพระฉายาของพระผู้เป็นเจ้าปกคลุมไปทั่ว ท่านเป็ดเผยความคิดและความรู้สึกของท่านในม้านเพื่อนๆ ของท่าน ท่านนำ เสนอเรื่องสำคัญมากมายต่อเหล่าเอ็ลเดอร์ของอิสราเอล โอ ขอให้เรื่องเหล่านั้น ถูกจารึกไวในใจเราด้วยเหล็กจารเพื่อจะคงอยู่ตลอดกาลและขอให้เราน่ามาปฏิบัติในชีวิต [ดู โยบ 19:23–24] อเกิดของความสว่าง หลักธรรม และคุณธรรมที่มาจากใจและจากปากของศาสดาโจเซฟ สบิธ ผู้ที่จิตวิญญาณของท่าน พองโตชั่วนิรันดรเฉกเช่นจิตวิญญาณของอีนิค—ข้าพเจ้ากล่าวว่า สั่งที่ประจักษ์ ชัดในลักษณะโม้มม้าวใจเช่นนั้นควรขจัดความไม่เชื่อและความสงสัยให้หมด สิ้นใปจากใจผู้ฟ้ง เพราะภาษา ข้อคิดเห็น หลักธรรม และวิญญาณเช่นนั้นมา จากความมีดไม่ได้ โจเซฟ สบิธ จูเนียร์เป็นศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงยกขึ้น เพื่อปลดปล่อยอิสราเอลเท่าๆ กับปลดปล่อยใจข้าพเจ้าที่เร่าร้อนอยู่ขณะนี้”35
บริคัน ยังก์ “นับจากครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นศาสดาโจเซฟ ข้าพเจ้าไม่เคยลืม คำพูดที่มาจากท่านเกี่ยวกับอาณาจักร กุญแจไขความรู้ที่ข้าพเจ้ามีอยู่เวลานี้ คือ ข้าพเจ้าตั้งใจฟ้งคำพูดของโจเซฟ จำใส่ใจ และสะสมไล้ โดยทูลขอพระบิดาใน พระนามของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ให้น่ามาสู่ความคิดข้าพเจ้ายามจำเป็น ข้าพเจ้าจดจำเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า และนี่คือกุญแจที่ข้าพเจ้าครอบครองเวลานี้ ข้าพเจ้าปรารถนาจะเรียนรู้จากโจเซฟและพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า”36
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านประจักษ์พยานเกี่ยวกับศาสดาโจเซฟ สมิธในหน้า 532–535 ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับประจักษ์พยานเหล่านี้ อะไรคือรากฐานของประจักษ์พยาน ของท่านในโจเซฟ สมิธ ท่านได้ประจักษ์พยานนี้อย่างไร ท่านอาจจะเขียน ประจักษ์พยานของท่านไวในบันทึกส่วนตัวหรือจะแบ่งปันกับครอบครัวก็ได้
-
หน้า 535–537 มีข้อความบรรยายรูปลักษณะ บุคลิกภาพ และอุปนิสัยของ ใจเซฟ สมิธ คำกล่าวเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างไรต่อความรู้สึกที่ท่านมีต่อใจเซฟ สมิธ คิดหาวิธีที่ท่านจะพัฒนาคุณลักษณะและอุปนิสัยบางอย่างเหล่านี้
-
ศึกษาประจักษพยานเกี่ยวกับวิธีที่ศาสดาใจเซฟสอนพระกิตติคุณและอธิบาย พระคัมภีร์ (หน้า 537–539) ประจักษ์พยานเหล่านี้ช่วยเราได้อย่างไรขณะที่ เราศึกษาและสอนพระกิตติคุณ
-
อ่านทวนหัวข้อสุดทัายของบทนี้ (หน้า 540–542) ท่านจะทำตามแบบอย่าง ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟและบริกัม ยังกในการศึกษาหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร ท่านจะทำตามแบบอย่างของทั้งสองท่านขณะศึกษาคำสอนของศาสดาที่มี ชีวิตได้อย่างไร ท่านคิดว่า ให้ความจริง “จารึกไว์ในใจเราตังด้วยเหล็กจาร” หมายความว่าอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เคี่ยวข้อง: 2 มีไฟ 3:6–19; ค.พ. 24:1–9; 124:1