บทที่ 44
การฟื้นฟูสรรพสิ่ง: สบ้ยการประทาน ความสมบูรณ์แห่งเวลา
“[นี่]เป็นสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาอย่างแท้จริง เมื่อสรรพสิ่งซึ่ง อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก จะรวมไว้ใน พระองค์ และเมื่อสรรพสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู”
จากชีวิตของโจเซฟ สมิธ
ศาสดาโจเซฟ สมิธรักพระวิหารนอวูและใฝ่ฟันอยากเห็นพระวิหารแล้วเสร็จ มาร์ธา โคเรย์ผู้อาศัยในนอวูฟ้งคำปราศรัยอยู่ที่นั่นเมื่อเธอเห็นศาสดาเหยียดมือ ชี้ไปที่พระวิหารและพูดด้วยนํ้าเสืยงเศร้าสร้อยว่า “ถ้าเป็น … พระประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่จนได้เห็นพระวิหารแห่งนั้นเสร็จสมบูรณ์ตั้ งแต่ฐานรากไปจนถึงหินล้อนบนสุด ข้าพเจ้าจะทูลว่า ‘โอัพระเจ้า พอแล้ว ข้า แต่พระเจ้า ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์จากไปอย่างสงบเถิด’ ”1
จอร์จ คิว. แคนนอนผู้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุดในเวลาต่อมาเล่าว่า “ก่อนการเสียชีวิตของห่าน ศาสดาโจเซฟแสดงให้เห็นว่าห่านปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้เห็นพระวิหาร [นอวู] เสร็จสมบูรณ์ ตามที่พวกห่านส่วนใหญ่ผู้อยู่กับ ศาสนาจักรในช่วงสมัยของศาสดาทราบดี ‘เร่งมือกันหน่อยครับพี่น้อง’ ท่านจะ พูดอยู่เสมอ—‘ขอให้เราสร้างพระวิหารให้เสร็จ พระเจ้าทรงมีเอ็นดาวเน้นท์อัน ยิ่งใหญ่เตรียมไวให้ท่าน และข้าพเจ้าปรารถนาให้พี่น้องมีเอ็นดาวเน้นท์ของตน และได้รับความบริบูรณ์ของฐานะปุโรหิต’ ท่านขอให้สิทธิชนรุดหน้าต่อไป โดย สั่งสอนพวกเขาถึงความสำคัญของการสร้างพระวิหารให้แล้วเสร็จ เพี่อปฏิบัติ พิธีการแห่งชีวิตและความรอดในนั้นให้คนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้โควรัม ของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธี้ ‘จากนั้น’ ท่านกล่าว ‘อาณาจักรจะได้รับการสถาปนา และข้าพเจ้าไม่สนใจว่าจะเถิดอะไรขึ้นกับข้าพเจ้า’ ”2
แปลนพระวิหารนอวูด้องการให้อาคารดังกล่าวใหญ่กว่าและแน้สวยงามกว่า พระวิหารเคิร์ทแลนด์ พระวิหารนอวูซึ่งตั้งอยู่บนยอดผามองลงมาเห็นแม่นํ้า มิสซิสซิปปีจะเป็นอาคารงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิลลินอยส์ สร้างจากหินปูน ขาวที่ได้จากเหมืองหินใกล้นอวูและแผ่นไม้ที่ล่องตามกระแสนํ้ามาจากป่าสนใน วิสคอนซิน เมื่อสร้างเสร็จ พระวิหารจะยาว 39 เมตร กว้างประมาณ 27 เมตร และสูงถึงยอดแหลมประมาณ 50 เมตร ภายนอกตกแต่งด้วยหินรูปดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวที่แกะสลักอย่างประณีต ขณะแสงแดดที่ลอดผ่าน หม้าต่างหลายบานจะทำให้ภายในสว่างไสว
โจเซฟ สมิธไม่ได้มีชีวิตอยู่จนเห็นพระวิหารนอวูเสร็จสมบูรณ์ แต่หลังจาก การเสียชีวิตของท่าน สิทธิชนหลายพันคนได้รับพิธีการคักดสิ์ทธิ์ในพระวิหาร ภายใต้การทำลับดูแลของบริคัม ย่งค์ หลังจากสิทธิชนถูกบังคับให้ออกจากนอวู พระวิหารที่สวยงามแห่งนี้ก็ถูกทำลาย ถูกเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1848 และในปี ค.ศ. 1850 ทอร์นาโดทลายทำแพงบางส่วน ส่งผลให้ทำแพงที่เหลือพังลงมา อีกประมาณ 150 ปีต่อมา เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารนอวูแห่งใหม่บนที่ดินผืน เดิม พระวิหารที่สร้างขึ้นใหม่ได้รับการอุทิศเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2002 เป็นพระวิหารแห่งหนึ่งในบรรดาร้อยกว่าแห่งทั่วโลก พระวิหารแต่ละแห่งเป็น สัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าความบริบูรณ์ของพรที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ลูกๆ ของพระองค์ ทั้งคนเป็นและคนตาย ได้รับการฟื้นฟูในสมัยการประทานสุดห้าย นี้
ศาสดาใจเซฟ สมิธได้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้าให้ฟื้นฟูพรประเสริฐเหล่านี้ บนแผ่นดินโลกและเป็นหัวหม้าของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา ในระหว่างการปฎินัติศาลนกิจของศาสดา สรรพสิ่งที่จำเป็นต่อการวางรากฐาน ของสมัยการประทานยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสมัยการประทานทั้งหมดได้รับการ ฟื้นฟู ฐานะปุโรหิตพร้อมกุญแจที่จำเป็นได้รับการฟื้นฟู พระคัมภีร์มอรมอนได้ รับการแปล ศาสนาจักรได้รับการจัดตั้ง หลักคำสอน พิธีการ และพันธสัญญาได้ รับการเปีดเผย รวมถึงพิธีการและพันธสัญญาของเอ็นดาวเม้นท้ตลอดจนการ ผนึกการแต่งงาน พระเจ้าทรงประกาศว่าพระองค์ทรงมอบ “กุญแจของอาณาจักรของเรา และสมัยการประทานพระกิตติคุณเพื่อเวลาสุดห้ายและเพื่อความ สมบูรณ์แห่งเวลา ซึ่งในนั้นเราจะรวบรวมทุกสิ่งใว้เป็นอันเดียว ทั้งที่อยู่ใน สวรรค์และที่อยู่บนแผ่นดินโลก” ให้โจเซฟ สมิธ (ค.พ. 27:13)
คำสอนของโจเซฟ สมิธ
ในสมัยการประทานสุดท้ายนี้ สิทธิอำนาจ พิธีการ และความรู้ทั้งสิ้นของสมัยการประทานก่อนๆ ได้รับการฟื้นฟู
“ตามระเบียบของสวรรค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งสมัยการประทานใหม่เข้ามา ในโลกเสมอเมื่อมนุษย์ละทิ้งความเชื่อจากความจริงและสูญเสียฐานะปุโรหิต”3
วันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1842 ศาสดาโจเซฟ สนิธเขียนถึงสิทธิชนซึ่งต่อมา บันทึกไว้ในคำสอนและพันธสัญญา 128:18 ด้งนี้ “เพราะจำเป็นในการนำสมัย การประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาเข้ามา ซึ่งสมัยการประทานนั้นมัดนี้เริ่มเข้า มาแล้วเพื่อการรวมกันที่สมบูรณ์ และครบล้วน และดีพร้อม และเชื่อมสมัย การประทานต่างๆ เข้าด้วยกัน และกุญแจ และอำนาจ และรัศมีภาพจะเกิดขึ้น และถูกเปีดเผยตั้งแต่วันเวลาของแอดัม แม้จนถึงเวลาปัจจุมัน และไม่ เพียง เท่านี้ แต่สิ่งเหล่านั้นซึ่งไม่เคยถูกเปีดเผยมาตั้งแต่การวางรากฐานของโลก แต่ถูกเก็บซ่อนไว้ให้ฟ้นจากคนฉลาดและรอบคอบก็จะถูกเปีดเผยแก่ทารก และ ทารกที่ยังดูดนมในยุคนี้ สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา”4
“แห้จริงแล้วนี่คือยุคที่สิทธิชนในวันเวลาสุดท้ายจะจดจำไปอีกนาน—ยุคที่ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงเริ่มฟื้นฟูระเบียบแต่โบราณของอาณาจักรต่อผู้รับ ใชัของพระองค์และผู้คนของพระองค์—ยุคที่สรรพสิ่งพร้อมใจกันทำให้เกิดความ บริบูรณ์แห่งความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ ความสมบูรณ์ของสมัยการประทาน ในสมัยการประทานทั้งหลาย แมัความสมบูรณ์แห่งเวลา ยุคที่พระผู้เป็นเจ้าทรง เริ่มแสดงให้เห็นและวางระเมียบสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นมา และสิ่งเหล่านั้นซึ่งศาสดา และนักปราชญ์สมัยก่อนปรารถนาจะเห็นแต่เสียชีวิตก่อนจะได้เห็น ยุคที่สิ่ง เหล่านั้นซึ่งถูกปีดมังไว้ตั้งแต่ก่อนการวางรากฐานของโลกเริ่มประจักษ์ชัดและ ซึ่งพระเยโฮวาห้ทรงสัญญาจะทำให้เป็นที่รู้ในเวลากันเหมาะสมของพระองค์แก่ผู้รับใชัของพระองค์ เพื่อเตรียมแผ่นดินโลกให้พร้อมรับการกลับคืนของพระสิริ แห่งพระองค์ แห้รัศมีภาพชั้นสูง และอาณาจักรของบรรดาปุโรหิตและกษัตริย์ ของพระผู้เป็นเจ้าและพระเมษโปดก ตลอดกาล บนเขาไซอัน”5
“สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาจะนำเรื่องที่เคยเปีดเผยในสมัยการ ประทานก่อนๆ ทั้งหมดมาสู่ความแจ้งชัด และเรื่องอื่นที่ยังไม่เคยเปีดเผยมา ก่อน พระองค์จะทรงส่งเอลียาษ์ศาสดา และคนอื่นๆ มาฟื้นพีสรรพสิ่งในพระคริสต์”6
“ ‘พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เรารู้ความลํ้าลึกในพระทัยของพระองค์ ตามพระเจตนารมณ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงดำริไวัในพระคริสต์ ประสงค์ว่าเมื่อ เวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว พระองค์จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลกไวัในพระคริสต์’ [เอเฟซัส 1:9–10]
“พระดำริในพระองค์ในภาพอวสานของสมัยการประทานสุดท้ายคือให้สรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสมัยการประทานนั้นดำเนินการสอดคล้องกับสมัยการประทาน ก่อนๆ
“และอนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าทรงดำริไวัในพระองค์ว่าจะไม่มีความสมบูรณ์นิรันดร จนกว่าสมัยการประทานทั้งหมดจะบังเกิดสัมฤทธิผลและถูกรวมไจ้เป็นอันเดียว กัน และควรรวบรวมทุกสิ่งไม่ว่าอะไรก็ตามไจ้เป็นอันเดียวกันในสมัยการประทานเหล่านั้นจนมีความสมบูรณ์และรัศมีภาพนิรันดรเหมือนกัน และควรจะอยู่ ในพระเยซูคริสต์ …
“… พิธีการและหน้าที่ทั้งหมดที่เคยเรียกร้องจากฐานะปุโรหิต ภายใด้การ กำกับดูแลและพระบัญชาของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ในสมัยการประทานใดก็ตาม ทั้งหมดจะมีอยู่ในสมัยการประทานสุดท้าย เพราะเหตุนี้ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ภายใด้ สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตไม่ว่าจะช่วงใดก็ตามในอดีต จะดำรงอยู่อีกครั้ง โดยทำให้เกิดการฟื้นฟูที่พูดไวัโดยปากของศาสดาผู้บริสุทธี้ทั้งหลาย”7
โจเซฟ สมิธถือกุญแจของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา
“ข้าพเจ้า … ถือกุญแจของอาณาจักรสุดท้าย ซึ่งคือสมัยการประทานความ สมบูรณ์ของสรรพสิ่งที่พูดจากปากของของศาสดาผู้บริสุทธี้ทั้งหลายตั้งแต่โลก เริ่มด้น ภายใด้อำนาจการผนึกของฐานะปุโรหิตแห่งเป็ลคิเซเด็ก”8
“มนุษย์ทุกคนผู้มีการเรียกให้ปฏิบัติศาลนกิจก่อผู้อาศัยของโลกล้วนได้รับ แต่งตั้งสู่จุดประสงค์นั้นในสภาใหญ่ของสวรรค์ก่อนโลกเป็นมา ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งสู่ดำแหน่งนี้ในสภาใหญ่ดังกล่าว ประจักษ์พยานที่ข้าพเจ้า ด้องการคือข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าและของคนเหล่านี้ซึ่งเป็นผู้คน ของพระองค์ ศาสดาสมัยโบราณประกาศว่าในวันเวลาสุดห้าย พระผู้เป็นเจ้าแห่ง สวรรค์จะทรงจัดตั้งอาณาจักรหนึ่งซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลายหรือยกให้ใคร …
“ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งของการจัดตั้งอาณาจักรของดาเมียล ตามพระกำของพระเจ้าและข้าพเจ้าประสงค์จะวางรากฐานซึ่งจะปฏิวัติโลกทั้ง โลก”9
“ข้าพเจ้ามีแผนทั้งหมดของอาณาจักรอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า และไม่มีใครอื่นที่ มีแผนนี้”10
เมื่อโจเซฟ สมิธสั่งสอนในเกิร์ทแลนด์ โอไฮโอ ในปี ค.ศ. 1832 ลูซี แป็ค สมิธอยู่มื่นั่น เธอเล่าว่าศาสดากล่าวดังนี้ “ตัวข้าพเจ้าถือกุญแจของสมัยการ ประทานสุดท้ายนี้ และข้าพเจ้าจะถือตลอดกาลทั้งในกาลเวลาและในนิรันดร ตังนั้น จงท้าใจใหัสบายเถิด เพราะทุกอย่างดี”11
สมัยการประทานสุดท้ายนี้มีความสำคัญอย่างกว้างขวางถึงขนาดต้องเรียกร้องการอุทิศตนโดยสมบูรณ์และไม่เห็นแก่ตัวของสิทธิชน
ในเดือนดันยายน ค.ศ. 1840 โจเซฟ สมิธและที่ปรึกษาของท่านในฝ่าย ประธานสูงสุดประกาศต่อสมาชิกของศาสนาจักรดังนี้ “งานของพระเจ้าในวัน เวลาสุดท้ายนี้เป็นงานหนึ่งที่มีความสำคัญมากและแทบจะอยู่เหนือความเข้าใจ ของมนุษย์ มีรัศมีภาพเกินบรรยายและมีความยิ่งใหญ่หาใดเทียบได้ เป็นมัวข้อ ที่กระตุ้นความสนใจของบรรดาศาสดาและคนชอบธรรมนับแต่การสร้างโลกสืบ มารุ่นแล้วรุ่นเล่าจนถึงปัจจุบัน และนึ่เป็นสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่ง เวลาอย่างแท้จริง เมื่อสรรพสิ่งซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าในสวรรค์หรือบน แผ่นดินโลก จะรวมไวัในพระองค์ และเมื่อสรรพสิ่งจะได้รับการฟื้นฟู ตังที่พูด ไว้โดยศาสดาผู้บริสุทธี้ทั้งหลายนับแต่โลกเริ่มด้น เพราะในนั้นจะบังเกิดสับฤทธิผลอันน่าชื่นชมยินดีของคำสัญญาที่กำาไว้กับบรรพบุรุษขณะที่ปรากฎการณ์ แห่งพระเดชานุภาพของพระผู้สูงสุดจะยิ่งใหญ่ น่าชื่นชม และลํ้าเลิศ …
“… เรามีความประสงค์จะออกไปและรวมพลังกันเสริมสร้างอาณาจักร และสถาปนาฐานะปุโรหิตทั้งในความสมบูรณ์และรัศมีภาพ งานซึ่งด้องบรรลุผล ในวันเวลาสุดท้ายคืองานที่มีความสำคัญอย่างกว้างขวาง และจะด้องใช้พลังงาน ทักษะ พรสวรรค์ และความสามารถของสิทธิชน เพื่อใท้งานกลิ้งออกไปด้วย รัศมีภาพและเดชานุภาพตังที่ศาสดาบรรยายไว้ [ดู ดาเมียล 2:34–35, 44–45] และด้วยเหตุนี้จึงเรียกร้องความเอาใจใส่ของสิทธิชน เพื่อใหังานที่มีความสำคัญ และความยิ่งใหญ่เช่นนั้นบรรลุผล
“งานแห่งการรวมที่พูดไว้ในพระ คัมภีร์จะจำเป็นต่อการกำใหัเกิดรัศมีภาพ ของสมัยการประทานสุดท้าย …
“พี่น้องที่รักทั้งหลาย โดยปรารถนาจะดำเนินตามเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้าในงานซึ่งเราได้รับเรียกและเป็นผู้ร่วมงานกับพระองค์ในสมัยการประทาน สุดท้ายนี้ เราจึงรู้สึกถึงความจำเป็นของการที่สิทธิชนทั่วแผ่นดินนี้และบนเกาะ อื่นๆ ของทะเลจะใหัความร่วมมือเต็มที่ สิทธิชนจำเป็นต้องฟ้งคำแนะนำและ เบนความสนใจมาที่ศาสนาจักร การสถาปนาอาณาจักร ทิ้งหลักการทุกอย่างที่ เห็นแก่ตัว ทุกอย่างที่ตาช้าและไร้ศักดี้ศรี ยืนหยัดในอุดมการณ์แห่งความจริง และช่วยผู้ได้รับแบบแผนและแผนงานจนสุดพลังอำนาจของเขา …
“พี่น้องที่รักทั้งหลาย งานนี้คู่ควรแก่การให้ห้วหน้าเทพเช้ามามีส่วนร่วม—งานซึ่งจะทำให้สิ่งที่ทำสำเร็จมาแล้วต้อยลงไปถนัดตา งานซึ่งบรรดากษัตริย์ ศาสดา และคนชอบธรรมในอดีตแสวงหา คาดหวัง และปรารถนาอย่างจริงจัง ว่าจะได้เห็น แต่สิ้นชีวิตก่อนจะได้เห็น และจะดีสำหรับคนเหล่าทั้นผู้จะช่วย ดำเนินการให้แผนงานลันยิ่งใหญ่ของพระเยโฮวาห์บังเกิดผล”12
“การเสริมสร้างไซอันเป็นอุดมการณ์ที่ผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคทุก สมัยให้ความสนใจ เป็นมัวช้อที่บรรดาศาสดา ปุโรหิต และกษัตริย์บรรยายด้วย ความเบิกบานใจเป็นพิเศษ พวกท่านตั้งตาคอยยุคที่เราจะมืชีวิตอยู่ด้วยความ คาดหวังอันเมื่ยมปีดิ และด้วยแรงบันดาลใจจากความคาดหวังอันเมื่ยมมื่ดิจาก เบื้องบนพวกท่านร้องเพลง เขียน และพยากรณ์ถึงยุคของเรา แต่พวกท่านเสีย ชีวิตก่อนจะได้เห็น เราเป็นคนโปรดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกให้นำรัศมีภาพยุค สุดท้ายออกมา เพี่อให้เราเห็น มีส่วนร่วม และช่วยให้รัศมีภาพยุคสุดท้ายหน้น กลิ้งไปข้างหน้า ‘เมื่อเวลากำหนดครบบริบูรณ์แล้ว พระองค์จะทรงรวบรวมทุก สิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกไวัในพระคริสต์’ [ดู เอเฟซัส 1:9] เมื่อ สิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าจะถูกรวมเช้าด้วยกันจากทุกประชาชาติ ตระกูล ผู้คน และภาษา เมื่อชาวยิวจะถูกรวมเช้าด้วยลัน คนชั่วจะถูกรวมเช้าด้วยลันเพี่อถูก กำลายตังที่ศาสดากล่าวไว้ พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะสถิตลับผู้คนของ พระองค์และจะทรงถอนไปจากประชาชาติที่เหลือ และทุกสิ่งไม่ว่าจะในสวรรค์ หรือบนแผ่นดินโลกจะเป็นหนึ่งเดียว แมัในพระคริสต์
“ฐานะปุโรหิตในสวรรค์จะเป็นหนึ่งเดียวกับฐานะปุโรหิตทางโลกเฟือให้บรรลุ จุดประสงค์ลันยิ่งใหญ่เหล่านั้น และขณะที่เราเป็นหนึ่งในอุดมการณ์เดียวกัน เพี่อกลิ้งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าออกไป ฐานะปุโรหิตจากสวรรค์จะไม่เป็นผู้ ที่ยืนมองอยู่เฉยๆ พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะโปรยลงมาจากเบื้องบน และจะอยู่ท่ามกลางพวกเรา พรของพระผู้สูงสุดจะอยู่บนแทเบอร์นาเคิลของเรา และคนรุ่นหลังจะพูดถึงชื่อของเรา ลูกหลานของเราจะลุกขึ้นเรียกเราว่าผู้ได้รับ พร และอนุชนที่ยังไม่เกิดจะพูดด้วยความพอใจเป็นพิเศษถึงเหตุการณ์ที่เราประสบ ความขาดแคลนที่เราอดทน ความกระดือรือร้นไม่ย่อท้อที่เราแสดงให้ เห็นประจักษ์ ความยากลำบากทุกอย่างที่เอาชนะได้ยากแต่เราก็เอาชนะมาแล์ว ขณะวางรากฐานของงานอันก่อให้เกิดรัศมีภาพและพรซึ่งพวกเขาจะตระหนัก งานที่พระผู้เป็นเจ้าและเหล่าเทพจับตามองคนรุ่นก่อนๆ ด้วยความพอพระนัย งานที่กระตุ้นจิตวิญญาณของเหล่าปีตุและศาสดาสมัยโบราณ งานที่นุ่งหมายจะ ก่อให้เกิดความพินาศของพลังแห่งความมืด การเปลี่ยนโฉมใหม่ให้แผ่นดินโลก พระสิริของพระผู้เป็นเจ้า และความรอดของครอบครัวมนุษย์”13
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านทวนหน้า 547–548 เหตุใดพระวิหารจึงสำคัญต่อการท่าให้งานของพระเจ้าบรรลุผล
-
ท่านคิดว่าเหตุใดศาสดาและนักปราชญ์สมัยโบราณจึงตั้งตาคอยยุคของเรา (ดูตัวอย่างหน้า 549–550) ไตร่ตรองสิทธิพิเศษของการเป็นสมาชิกศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดห้ายในสมัยการประทานความ สมบูรณ์แห่งเวลา
-
ศึกษาย่อหน้าก่อนย่อหน้าห้ายสุดของหน้า 550 ขณะไตร่ตรองข้อความนี้ท่าน มีความคิดและความรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการเรียกของท่านให้รับใช้ในศาสนาจักร
-
อ่านย่อหน้าสุดท้ายของหน้า 550 และอ่านต่อไปอีกสองย่อหน้า ข้อความ เหล่านี้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประจักษ์พยานของท่านอย่างไรเกี่ยวกับ พันธกิจของศาสดาโจเซฟ สมิธ
-
ศาสดาโจเซฟ สมิธกล่าวว่า “งานของพระเจ้าในวันเวลาสุดห้ายนี้มีความ สำคัญมาก” (หน้า 551) ศึกษาหน้า 551–553 ไตร่ตรองความรับผิดชอบ ของเราที่จะช่วยให้งานของพระเจ้าในสมัยการประทานสุดท้ายนี้บรรลุผลสำ เร็จ เหตุใดเราจึงด้อง “รวมพลังคัน” หากด้องท่าให้งานนี้บรรลุผล เหตุใด เราจึงต้อง “ทิ้งหลักการทุกอย่างที่เห็นแก่ตัว” พิจารณาว่าท่านจะใช้ “พลังงาน ทักษะ พรสวรรค์ และความสามารถ” ของท่านเพื่อส่งเสริมงานของ พระเจ้าได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: ค.พ. 27:12–13; 90:2–3; 112:30–32; 124:40–41