บทที่ 9
ของประทานแห่งพระวิญญาณ
“หากท่านจะปฏิบ้ติตามพระกิตติคุณด้วยใจซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าสัญญาัักับท่านในพระนามของพระเจ้าว่า ของประทานที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงสัญญาไว้จะติดตามท่านมา”
จากชีวิตของโจเซฟ สมิธ
หน้าชื่อเรื่องของพระคัมภีร์มอรมอนอธิบายว่าพระคัมภีร์ที่น่าทึ่งเล่มนี้จะมีผล ต่อชาวโลกอย่างไร ในสมัยโบราณ แผ่นจารึกทองคำ “เขียนและผนึกและซ่อน ไว้คับพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่ถูกทำลาย” ในยุคสุดท้าย แผ่นจารึกดังกล่าว “ออกมาโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า” และแปล “โดยของ ประทานของพระผู้เป็นเจ้า” ในสัมฤทธิผลแห่งคำพยากรณ์เหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกโจเซฟ สมิธใทํแปลบันทึกศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของโจเซฟในการแปลตัวอักษรโบราณมิได้มาจากการศึกษา ท่านมีเพียงความรู้ด้านการ อ่าน เขียน และคณิตศาสตร์ระดับประถมเท่านั้น ความสามารถของท่านในการ แปลบันทึกที่เขียนไว้เมื่อหลายศตวรรษก่อนในภาษาที่ท่านไม่มีความรู้คือของ ประทานป็ท่านได้จากพระผู้เป็นเจ้า
เอ็มมา สมิธ ผู้จดคนแรกในงานของสามี เป็นพยานถึงของประทานจากเบื้อง บนดังกล่าวว่า “ไ่่่่่ม่มีใครบอกให้เขียนลงในด้นฉบับแปลได้เว้นแต่เขาคนนั้นจะ ได้รับการดลใจ เพราะเมื่อ [ฉัน] ทำหน้าที่เป็นผู้จด [โจเซฟ] จะบอกให้จด ติดต่อกันหลายชั่วโมง และเมื่อกลับจากรับประทานอาหาร หรือหลังจากถูกขัด จังหวะ เขาจะเริ่มตรงที่ค้างไว้ทันที โดยไม่ด้องดูด้นฉบับแปลหรืออ่านส่วนใด ให้เขาฟัง”1
พระเจ้าประทานความช่วยเหลือชั่วคราวที่จำเป็นแก่ศาสดาเพื่อให้งานแปล คืบหน้า โจเซฟ ไนท์ ซีเนี่ยร์ เพื่อนคนหนึ่งของศาสดาให้เงินและอาหารแกใจเซฟหลายครั้ง ในช่วงที่สิ้นหวังอย่างมาก บราเดอร์ไนท์เดินทางมาที่บัานของ ศาสดาเพื่อให้ “ปลาแมคเคอเรลหนึ่งถังคับกระดาษมีเส้นจำนวนหนึ่งไว้เขียน” พร้อม “ธัญพืชเก้าถึงสิบบุชเชลและมันฝรั่งห้าถึงหกบุชเชล” บราเดอร์ไนท์เล่า ว่า “โจเซฟและออลิเวอร์…กลับถึงบ้านและเห็นข้าพเจ้าที่นั่นพร้อมเสบียง พวกเขาดีใจมาก เพราะพวกเขาไม่บีเสบียงเหลืออยู่เลย”2
ในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1829 การข่มเหงที่ทวีความ รุนแรงขัดจังหวะงานแปลของโจเซฟที่บ้านของท่านในฮาร์โมบี เพนน์ซิลเวเบีย ออณิวอร์ คาวเดอรีเขียนจดหมายถึงเพื่อนชื่อเดวิด วิตเบอร์เพื่อบอกเขาเรื่อง งานศักดิ์สิทธิ์และขอให้เขาช่วยให้งานดำเนินต่อไปในบ้านตระกูลวิตเนอร์ที่เฟเยทท์ นิวยอร์ก ปลายเดือนพฤษภาคมและด้นเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1829 ศาสดาและออลิเวอร์จึงนั่งเกวียนของเดวิดซึ่งมีม้าลากตัวเดียวเดินทางไปที่บ้าน ไร่ของปีเตอร์ วิตเนอร์ ซีเนียร์บิดาของเดวิดด้วยกัน ในช่วงเดือนมิถุนายน ใน ห้องชั้นบนของบ้านตระกูลวิตเบอร์ การแปลเสร็จสมบูรณ์โดยของประทานและ อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
ออลิเวอร์ คาวเดอรีบรรยายถึงประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ของการทำหห้าที่ เป็นผู้จดของศาสดา ตังนี้ “ข้าพเจ้าจะไม่ลืมวันเหล่านั้นเมื่อนั่งอยู่ใด้เสียงบอก ให้จดตามการดลใจของสวรรค์ รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณอย่างเหลือก้นอยู่ภายใน วันแจ้ววันเล่าที่ข้าพเจ้าเขียนตามคำบอกของเขาโดยไม่ถูกขัดจังหวะขณะที่เขา ใช้ยูรับและธัมมัมแปล… ประวัติศาสตร์หรือบันทึกที่เรียกว่า ‘พระคัมภีร์มอรมอน’”3
ระหว่างนี้ โจเซฟ สมิธเรียนรู้ว่าของประทานจากเบื้องบนอยู่กับท่านเฉพาะ เมื่อท่านมีค่าควรแก่การนำทางของพระวิญญาณเท่านั้น เดวิด วิตเบอร์เล่าว่า “เช้าวันหนึ่งเมื่อ [โจเซฟ สมิธ] เตรียมจะทำงานแปลต่อ เกิดเรื่องบางอย่างใน บ้านและท่านหงุดหงิดมาก เป็นเรื่องที่เอ็มมาภรรยาของท่านทำ ข้าพเจ้ากับออลิเวอร์ขึ้นชั้นบน ไม่นานโจเซฟก็ตามขึ้นมาเพื่อแปลต่อ แต่ท่านทำอะไรไม่ได้ เลย ท่านแปลไม่ได้แห้แต่พยางค์เดียว ท่านลงไปข้างล่าง เข้าไปในสวนผลไม้ และวิงวอนพระเจ้า ท่านออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมง กลับเข้าบ้าน ขอโทษเอ็มมา จากนั้นก็ขึ้นชั้นบนมาหาเราและงานแปลดำเนินไปด้วยดื ท่านทำอะไรไม่ได้ เลยเว้นแต่ท่านจะถ่อมตนและเปี่ยมด้วยศรัทธา”4
โดยใช้ของประทานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ท่านด้วยความอ่อนน้อมถ่อม ตนและต้วยศรัทธา ศาสดาจึงทำงานแปลพระคัมภีร์มอรมอนเกือบทั้งเล่มได้สำเร็จระหว่างด้นเดือนเมษายนถึงปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1829 แบ้ดูเหมือนใม่ น่าจะเป็นไปไต้ก็ตาม
คำสอนของโจเซฟ สมิธ
เราต่างก็ได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณ ของประทานของแต่ละบุคคลมีความจำเป็นในศาสนาจักร
หลักแห่งควานเชื่อข้อ 7: “เราเชื่อในของประทานแห่งการพูดภาษา การ พยากรณ์ การเปีดเผย ภาพที่มาให้เห็น การรักษา การแปลภาษา และอื่นๆ”5
“เรา … เชื่อในการพยากรณ์ ในการพูดภาษา ในภาพที่มาให้เห็น และในการเปีดเผย ในของประทาน และในการรักษา และจะชื่นชมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ หากปราศจากของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”6
อนาสา พอตเตอร์กล่าวว่า: “ผมจำได้เมื่อศาสดาลุกขึ้นสั่งสอนผู้ชุมนุมกลุ่ม ใหญ่ในป่าทางตะวันตกของพระวิหารในนอวู ท่านกล่าวว่าท่านจะสั่งสอนเรื่อง ของประทานทางวิญญาณ…โจเซฟกล่าวว่าสิทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนมีของ ประทาน และเมื่อดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและทูลขอของประทานนั้น พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเปีดผยต่อเขาหรือเธอ”7
“เปาโลกล่าวว่า ‘ให้คนหนึ่งของประทานแห่งการพูดภาษา ให้อีกคนหนึ่ง ของประทานแห่งการพยากรณ์ และให้อีกคนหนึ่งของประทานแห่งการรักษา’ และอนึ่ง ‘ทุกคนพยากรณ์หรือ ทุกคนพูดได้หลายภาษาหรือ ทุกคนแปลได้ หรือ’ เห็นได้ชัดว่าทุกคนมิได้มีของประทานหลายอย่างเหล่านี้ แต่คนหนึ่งได้รับ ของประทานอย่างหนึ่ง และอีกคนหนึ่งได้รับของประทานอีกอย่างหนึ่ง— ทุก คนไม่ได้พยากรณ์ ทุกคนไม่ได้พูดหลายภาษา ทุกคนไม่ได้ทำสิ่งอัศจรรย์ แต่ทุก คนได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางครั้งพวกเขาพูดหลายภาษา และพยากรณ์ไนสมัยของอัครสาวก และบางครั้งพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น …
“ศาสนาจักรคือองค์กรหนึ่งที่ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย และเปรียบ เทียบได้อย่างดีกับร่างกายมนุษย์ หลังจากพูดถึงของประทานต่างๆ แล้วเปาโล กล่าวว่า ‘ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์และต่างก็เป็นอวัยวะกายนั้น และพระเจ้าได้ทรงโปรดตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง อัครทูต สอง ผู้เผยพระวจนะ สาม ครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีผู้กระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาโรค ผู้อุปการะ ผู้ครอบครอง และผู้รู้ภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นครบาอาจารย์หรือ ทุกคนกระทำการอันเป็นอิทธิฤทธิ์หรือ ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ ทุกคนแปลได้หรือ’ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ แต่ทุกคนเป็นสมาชิกขององค์กร หนึ่ง อวัยวะทั้งหมดของร่างกายไม่ใช่ตา หู ศีรษะหรือมือ แต่ตาจะพูดกับหูไม่ ได้ว่าฉันไม่ต้องการเจ้า หรือศีรษะจะพูดกับเท้าไม่ได้ว่าฉันไมม่ต้องการเจ้า อวัยวะ ทุกส่วน้้ล้วนเป็นส่วนประกอบในเครื่องจักรที่สมบรณ์แบบ ซึ่งก็คือร่างกาย และ ก้าอวัยวะอย่างหนึ่งได้รับความเจ็บปวด อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย ก้าอวัยวะอย่างหนึ่งชื่นชมยินดี อวัยวะทั้งหมดก็พลอยได้รับเกียรติไปด้วย [ดู 1 โครินธ์ 12:9–10, 18–21, 26–30]
“นี่คือของประทาน ทั้งหมดนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นของพระผู้เป็นเจ้า และทั้งหมดคือของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”8
เราได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณผ่านการเชื่อฟ้งและศรัทธา
“เพราะขาดศรัทธา จึงขาดผล ตั้งแต่สร้างโลกไม่มืมนุษย์คนใดมืศรัทธาโดย ไม่มืบางสิ่งติดมากับศรัทธา คนในสมัยโบราณดับความรุนแรงของไฟ รอดท้นคม ดาบ สตรีได้รับคนตายของพวกเธอ เป็นด้น โดยศรัทธาโลกต่างๆ ถูกสร้าง [ดู ฮีบรู 11:3, 34–35] คนใดไม่มืของประทานแสดงว่าคนนั้นไม่มืศรัทธา และเขา หลอกตนเองก้าเขาคิดว่าตนมื เราขาดศรัทธามานาน ไม่เฉพาะในพวกนอก ศาสนาเท่านั้น แต่ในคนที่ประกาศตนว่าเป็นชาวคริสต์ด้วย เพราะเหตุนี้จึงขาด การพูดภาษาต่างๆ การรักษา การพยากรณ์ ศาสดาและอัครสาวก ของประทาน และพรทุกอย่าง”9
“ฤดูหนาวปีนี้ [1832–1833] ใช้ไปกับการแปลพระคัมภีร์ โรงเรียนศาสดา และนั่งอยู่ในการประชุมใหญ่ ช้าพเจ้ามืโอกาสอันน่าชื่นชมยินดีหลายครั้งที่หาให้ ความคิดและจิตใจกระปรี้กระเปร่า ของประทานซึ่งติดตามคนที่เชื่อฟ้งและปฏิบัติตามพระกิตติคุณ อันเป็นเครื่องหมายแสดงว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนเติม ตลอดกาลในการติดต่อกับผู้ที่รักความจริงและติดตามความจริงด้วยความอ่อนท้อมถ่อมตน เริ่มเทมาให้พวกเราเช่นเดียวกับในสมัยโบราณ”10
เอ็ดเวิร์ด สตีเวนสันอยู่ในขณะที่โจเซฟ สนิธ สอนในพอนทิแอค มิชิแกน ในปี ค.ศ. 1834 เขาเล่าถึงก้อยคำของศาสดาว่า “หากท่านจะปฏิบัติตามพระกิตติคุณด้วยใจซื่อสัตย์ ช้าพเจ้าสัญญากับท่านในพระนามของพระเจ้าว่า ของ ประทานที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงสัญญาไว้จะติดตามท่าน และโดยสิ่งนี้ ท่านย่อมพิสูจใร์ให้ช้าพเจ้าเห็นได้ว่าท่านเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า”11
โดยปกติจะได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณอย่างเงียบๆ และเป็นส่วนตัว ไม่มีปรากฏการณ์ภายนอก
“หลากหลายและขัดแย้งกันคือความคิดเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับของประทาน แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางคนมีนิสัยชอบเรียกปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติทุก อย่างว่าเป็นผลจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่หลายคนคิดว่าไม่มี ปรากฎการณ์เช่นนั้นเลย และนั่นเป็นเพียงแรงผลักดันของความคิด หรือความ รู้สึกข้างใน ความประทับใจ หรือประจักษ์พยานหรือหลักฐานเร้นสับ ซึ่งมนุษย์ ครอบครอง และไม่มีปรากฎการณ์ภายนอกทำนองนั้น
“ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่นำพาหลักธรรมแห่งความรอด และ ยิ่งกว่านั้นคือไม่นำพาคุณสมบัติ หน้าที่ พลัง อิทธิพล ของประทาน และพร จากของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้งที่เราเห็นว่าครอบครัวมนุษย์ถูกห่อ หุ้มไว้ด้วยความมีดมิดและความไม่รู้มานานหลายศตวรรษ ปราศจากการเปีดเผย หรือบรรทัดฐานใดๆ [ที่] ช่วยให้บรรลุถึงความรู้ในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะ รู้ได้โดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ ว่าเมื่อเอ็ลเดอร์ของศาสนาจักรนี้สั่งสอนผู้อาศัยของโลก ถ้าพวกเขาปฏิบัติตาม พระกิตติคุณพวกเขาจะได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ผู้คน กลับคาดหวังว่าจะเห็นปรากฎการณ์อันน่าอัศจรรย์บางอย่าง การโถ้อวดพลัง หรือการแสดงปาฏิหาริย์ที่ผิดธรรมดา …
“ครอบครัวมนุษย์มักชอบทำอะไรสุดโต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องศาสนา และด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงอยากเห็นปาฏิหาริย์ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่เชื่อใน ของประทานแห่งพระวิญญาณปริสุทธิ์ ถ้าเอ็ลเดอร์คนหนึ่งวางมือบนบุคคลหนึ่ง หลายคนจะคิดว่าบุคคลนั้นด้องลุกขึ้นทันทีและพูดภาษาแปลกๆ และพยากรณ์ ซึ่งพวกเขาได้ความคิดนี้มาจากสถานการณ์ตอนที่เปาโลวางมือบนบุคคลที่ (พวก เขาบอกว่า) รับทัพติศมาเข้าสู่ทัพติศมาของยอห์นมาแถ้ว ซึ่งเมื่อเปาโลวางมือ เสร็จ พวกเขาก็ ‘พูดภาษาแปลกๆ และได้ทำนายด้วย’ [ดู กิจการ 19:1–6] …
“เราเชื่อว่าเราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือของผู้มีสิทธิอำนาจ และว่าของประทานแห่งการพูดภาษา และของประทานแห่งการพยากรณ์คือ ของประทานแห่งพระวิญญาณ และได้มาโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กลับ พูดว่ามนุษย์มักจะพยากรณ์และพูดภาษาแปลกเสมอเมื่อพวกเขาได้รับการวางมือ อยากจะบอกว่านั่นไม่เป็นความจริง ตรงข้ามกับการปฏิบัติของเหล่าอัครสาวก และใม่สอดคล้องกับงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ …
“…ของประทานแห่งพระวิญญาณทุกอย่างมองไม่เห็นด้วยการมองเห็นตาม ธรรมชาติ หรือความเข้าใจของมนุษย์ แท้จริงแล้วมีของประทานน้อยมากที่มอง เห็น … ของประทานที่คนทั่วไปรู้มืเพียงไม่กี่อย่าง เปโตรและยอห์นเป็นอัครสาวก แต่ศาลชาวยิวโบยพวกท่านโทษฐานเป็นนักด้มตุ๋น เปาโลเป็นทั้งอัครสาวกและศาสดา แต่พวกเขาขว้างก้อนหินใส่ท่านและเอาท่านเข้าคุก ผู้คนไม่รู้ อะไรเลย แท้เปาโลจะมืของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม พระผู้ช่วยใท้รอดของเราทรงได้รับการ ‘เจิม … ด้วยนํ้าบันแห่งความยินดียิ่งกว่าพระ สหายทั้งปวงของพระองค์’ [ฮีบรู 1:9] แต่ผู้คนก็ยังไม่รู้จักพระองค์ถึงขนาดพูด ว่าพระองค์คือเบเอลเฃมูล และตรึงกางเขนพระองค์ในฐานะบักด้มตุ๋น ล้ามอง จากรูปลักษณ์ภายนอกใครเลยจะบอกได้ว่าคนๆ ทั้นเป็นศิษยาภิบาล ผู้สอน หรือ ผู้ประสาทพร นอกเสียจากว่าเขาจะมืของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
“แต่เมื่อมาถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของศาสนาจักร และสำรวจของประทานตาม ที่เปาโลกล่าวไว้ เราจะพบว่าโดยปกติแล้วโลกไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับของประทานเหล่านี้ และมีเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้นที่รู้ได้ทันที ล้าหลั่งเททันทีที่ วางมือ ใน [1 โครินธ์ 12:4–11] เปาโลกล่าวว่า ‘ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้มีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์ เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรม นั้นๆ ในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม กัน พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณใท้คนหนึ่งมีก้อยคำประกอบ ด้วยสติปัญญา และใท้อีกคนหนึ่งมีก้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระ วิญญาณองค์เดียวกัน และใท้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และใท้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณ องค์เดียวกัน และใท้อีกคนหนึ่งท่าการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และใท้อีกคนหนึ่งเผย พระวจนะได้ และใท้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และใท้อีกคนหนึ่งพูด ภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์’
“มีของประทานหลายอย่างกล่าวไว้ที่นึ่ แต่ขณะวางมีอผู้สังเกตจะรู้ได้อย่างไร ว่ามีของประทานใดท้าง ก้อยคำกันประกอบด้วยสติปัญญา และก้อยคำกัน ประกอบด้วยความรู้เป็นของประทานเท่าๆ กับของประทานอื่นๆ แต่ถ้าบุคคล หนึ่งครอบครองของประทานทั้งสองอย่างนี้ หรือได้รับโดยการวางมือ ใครจะรู้ เล่า อีกคนหนึ่งอาจได้รับของประทานแห่งศรัทธา และพวกเขาไม่รู้อะไรเลย หรือสมมุติว่าคนหนึ่งมีของประทานแห่งการรักษาหรืออำนาจกระหางานอัศจรรย์ จะไม่มีใครรู้ในขณะนั้น จะด้องใช้เวลาและมีสถานการณ์ไห้ด้องใช้ของประทาน ดังกล่าว สมมติว่าคนหนึ่งสังเกตวิญญาณต่างๆ ได้ ใครจะรับรู้ได้เล่า หรือถ้า เขาแปลภาษาต่างๆ ได้ หากไม่มีคนพูดในภาษาที่ไม่มีใครรู้ เขาจะไม่ปริปากแน่ มีของประทานเพียงสองอย่างที่มองเห็นได้ นั่นคือ ของประทานแห่งการพูด ภาษาและของประทานแห่งการพยากรณ์ นึ่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูดถึง แต่ถ้า บุคคลหนึ่งพูดในภาษาที่ไมมีใครรู้ ตามประจักษ์พยานของเปาโลคือ เขาจะเป็น คนต่างภาษากับผู้อยู่ที่นั่น [ดู 1 โครินธ์ 14:11] พวกเขาจะพูดว่านั่นเป็นคำพูด ที่ไม่มีความหมาย และถ้าเขาพยากรณ์ พวกเขาจะบอกว่าไร้สาระ ของประทาน แห่งการพูดภาษาอาจเป็นของประทานเล็กที่สุดในบรรดาของประทานทั้งหมด แต่เป็นของประทานที่คนส่วนใหญ่แสวงหา
“ดังนั้น ตามประจักษ์พยานของพระคัมภีร์และปรากฎการณ์ของพระวิญญาณ ในสมัยโบราณ คนแวดล้อมจะรู้น้อยมากเกี่ยวกับของประทานแห่งพระวิญญาณ บริสุทธิ์ ยกเว้นในโอกาสที่พิเศษกว่าธรรมดาบางครั้งเช่นวันเพ็นเทคอศต์ ผู้สังเกตการณ์จะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ดีที่สุด และมี ประโยชน์มากที่สุด …
“ปรากฎการณ์อันเนื่องจากของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ การปฏิบัติ ของเหล่าเทพ หรือการพัฒนาพลังอำนาจ ความน่าเกรงขามและรัศมีภาพของ พระผู้เป็นเว้าจะไม่ค่อยปรากฎให้สาธารณชนเห็น และปกติจะแสดงให้ผู้คนของ พระผู้เป็นเว้าเห็น ตัวอย่างเช่น ชาวอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่เมื่อเหล่า หรือพระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยพระองค์ บุคคลนั้นๆ จะเห็นเป็นส่วนตัว ในห้อง นอน ในถิ่นทุรกันดารหรือในทุ่ง และโดยปกติจะไม่มีเสียงอึกทึกครืกโครม เทพปล่อยเปโตรออกจากคุกตอนเที่ยงคืน มาหาเปาโลโดยที่คนอื่นๆ ไม่เห็น ปรากฎต่อมารืย์และเอลีซาเบธโดยไม่มีใครล่วงรู้ พูดกับยอห์น ผู้ถวายมัพติศมา ขณะที่ผู้คนบริเวณนั้นไม่รู้อะไรเลย
“เมื่อเอลีชาเห็นรถรบเทียมน้าและทหารม้าของอิสราเอล คนอื่นมองไม่เห็น เมื่อพระเจ้าทรงปรากฎต่ออับราฮัม พระองค์ทรงปรากฎที่ประตูกระโจม เมื่อ เหล่าเทพไปหาโลท ไม่มีใครรู้นอกจากเขา ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับอับราฮัมและ ภรรยาของเขา เมื่อพระเจ้าทรงปรากฎต่อโมเสส พระองค์ทรงปรากฎในพุ่มไม้ที่ ลุกเป็นไฟ ในพลับพลา หรือบนยอดเขา เมื่อเอลียาห์ถูกนำเข้าไปในรถเพลิง ชาวโลกมองไม่เห็น และเมื่อท่านอยู่ในถํ้า เกิดฟ้าร้องเสียงดัง แต่พระเจ้ามิได้ สถิตในเสียงฟ้าร้อง มีแผ่นดินไหว แต่พระเจ้ามิได้สถิตในแผ่นดินไหว และจาก นั้นก็มีสุรเลียงสงบแผ่วเบา ซึ่งคือสุรเลียงของพระเจ้าตรัสว่า ‘เอลียาห์เอ๋ย เจ้า หําอะไรอยู่ที่นี่’ [ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–13]
“ปกติจะไม่มีใครรู้จักพระเจ้าจากสุรเสียงเหมือนฟ้าร้อง การแสดงใม้เห็นรัศมีภาพของพระองค์ หรือปรากฎการณ์แห่งพลังอำนาจของพระองค์ และคนที่ อยากเห็นสิ่งเหล่านี้มากที่สุดคือคนที่พร้อมจะเห็นม้อยที่สุด และก้าพระเจ้าแสดง ให้เห็นพลังอำนาจของพระองค์ดังที่ทรงกระหาต่อลูกหลานอิสราเอล คนเช่นนั้น แหละจะเป็นคนแรกที่พูดว่า ‘อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกข้าพเจ้าเลย เกรงว่า ข้าพเจ้าจะตาย [ดู อพยพ 20:19]”12
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ที่ หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
พระเจ้าทรงมอบของประทานให้ศาสดาโจเซฟ สมิธเพื่อจะสามารถแปลแผ่น จารึกทองคำได้ (หน้า 123–125) เมื่อใดที่พระเจ้าทรงมอบของประทานเพื่อ ช่วยให้ท่านมีส่วนร่วมในงานของพระองค์
-
เราเรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่เดวิด วิตเมอร์เล่าให้ฝังในหน้า 125 ประสมการณ์ใดบ้างในชีวิตท่านที่สอนว่าท่านต้องมีค่าควรทั้งนี้เพื่อจะใช้ของประทาน ทางวิญญาณของท่าน
-
อ่านทวนหัวข้อที่เริ่มด้นในหน้า 126 ศาสนาจักรได้ประโยชน์ด้านใดห้างจาก การที่สมาชิกมีของประทานแห่งพระวิญญาณแตกต่างกัน ท่านเคยได้ประโยชน์อะไรบ้างจากของประทานทางวิญญาณของผู้อื่น เมื่อใดที่ท่านเคยเห็น ผู้มีของประทานต่างกันหางานด้วยกันเพื่อช่วยเหลือกัน
-
ศึกษาหัวข้อที่อยู่ในย่อหน้า 127 นึกถึงของประทานทางวิญญาณบางอย่างที่ จะเสริมความเข้มแข็งให้ท่านเป็นส่วนตัวหรือช่วยให้ท่านรับใช้พระเจ้าและผู้ อื่น ตัดสินใจว่าท่านจะหาอะไรเพื่อ “แสวงหาของประทานที่ดีที่สุดอย่างตั้ง ใจจริง” (ค.พ. 46:8)
-
อ่านทวนหัวข้อในย่อหน้าแรกของหน้า 128 นึกถึงหรือสนทนาคำแนะนำ เฉพาะเจาะจงที่ท่านพบเกี่ยวกับวิธีที่ของประทานทางวิญญาณได้รับการหาให้ ประจักษ์ เหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะจดจำว่าของประทานทางวิญญาณ “จะไม่ค่อยปรากฎให้สาธารณชนเห็น” (หน้า 130) ท่านคิดว่าเหตุใดของ ประทานทางวิญญาณมากมายจึงมาอย่างเงียบๆ และเป็นส่วนตัว เหตุใดจึง เป็นเรื่องสำคัญที่จะจดจำว่าของประทานมากมายด้องใช้ “เวลาและมีสถานการณ์ไห้ด้องใช้ [ของประทานเหล่านั้น]” (หน้า 130)
-
หลังจากอ่านบทนี้ ท่านจะพูดว่าจุดประสงค์บางอย่างในของประทานทาง วิญญาณคืออะไร
ข้อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: 1 โครินธ์ 12:1–31; 3 นึไฟ 29:6; โมโรไน 10:6–23; ค.พ. 46:8–33