บทที่ 22
การเปีดเผย: “ท่วงทำนองต่อเมื่อง และเสียงอ้อนวอนทื่ดังกึกก้อง”
การเปิดเผยต่อเนื่องคือโลหิตหล่อเลี้ยงพระกิตติคุฌของพระเยซูคริสต์
จากชีวิตของสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์
ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์เคยพูดในการให้สัมภาษณ์หนังสือ พิมพ์ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของพระวิหารแอริโซนา นักข่าวคนหนึ่ง ถามท่านว่า “ในการแนะนำตัว เราทราบว่าท่านเป็นประธานศาสนาจักรของพระ เยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายและเป็นศาสดาด้วย คำถามของผมคือ พระผู้ เป็นเจ้าตรัสกับท่านหรือครับ และถ้าตรัส พระองค์ตรัสอย่างไร” ประธานคิมบัลล์ตอบว่า “ครับ พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับศาสดาของพระองค์วันนี้ เช่นเดียวกับ ที่พระองค์ตรัสกับ ศาสดาของพระองค์เมื่อวานนี้ และเช่นเดียวกับที่พระองค์จะ ตรัสกับพวกท่านในวันพรุ่งนี้ คุณคงจำสิ่งที่อาโมสเขียนไว้ได้ ‘แท้จริงพระเจ้า มิได้ทรงกระทำอะไรเลยโดยมิได้เปิดเผยความลี้ลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือ ผู้เผยพระวจนะ’ (อาโมส 3:7) บางครั้งพระองค์ตรัสด้วยเสียงที่ได้ยิน บางครั้ง พระองค์ทรงส่งเทพของพระองค์มา เช่นเดียวกับที่มาหาโยเซฟบิดาเลี้ยงของ พระเยซู แต่ปกติพระผู้เป็นเจ้าจะตรัสด้วยสุรเสียงสงบแผ่วเบากับวิญญาณภาย ใน ผมตอบคำถามของคุณหรือยังครับ คุณนักข่าว”1
ประธานคิมบัลล์เซื่่อมั่นในหลักธรรมแห่งการเปิดเผยต่อเนื่องโดยประกาศว่า มั่นคือ “โลหิตหล่อเลี้ยงพระกิตติคุณของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรง พระชนม์ พระเยซูคริสต์”2เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์แห่งโควรัมอัครสาวก สิบสองกล่าวว่าความเชื่อมั่นเช่นนี้ “เห็นได้ชัดว่าเป็นอุปนิสัยส่วนหนึ่งของชาย ที่พิเศษมากท่านนี้”3 ประธานคิมบ้ลล์ทำหน้าที่รับผิดชอบในฐานะประธานศาสนาจักรอย่างจริงจัง โดยรู้ว่าท่านเป็นเพียงบุคคลเดียวบนแผ่นดินโลกที่มีอำนาจ รับการเปิดเผยเพื่อศาสนาจักร ท่านเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงเรียก ข้าพเจ้าสู่ตำแหน่งนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่ามีศาสดาที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าประ สงค์จะทำสุดความสามารถเพื่อส่งเสริมงานของพระเจ้าให้ก้าวหน้าดังที่พระองค์ ทรงต้องการให้ทำ ทุกดำเช้าข้าพเจ้าจะคุกเข่าสวดอ้อนวอนด้วยความจริงใจทูล ขอพระเจ้าให้ทรงดลใจข้าพเจ้าและทรงเปิดเผยต่อข้าพเจ้าถึงทิศทางที่ข้าพเจ้า ควรไปและสิ่งที่ข้าพเจ้าควรบอกผู้คนของศาสนาจักรนี้”4
ตลอดการรับใช้ของท่านในฐานะประธานศาสนาจักร ท่านได้รับการเปิดเผย มากมายเพื่อนำทางสิทธิชน การเปิดเผยเรื่องหนึ่งที่รู้จักกันดีที่สุดมาถึงในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1978 เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยต่อท่านและต่อพื่น้องชายในฝ่าย ประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองว่าพรของฐานะปุโรหิตซึ่งเคยถูกจำ กัดเฉพาะบางคน บัดนี้มีผลต่อสมาชิกที่มีค่าควรทุกคนของศาสนาจักรแล้ว (ดู ข้อประกาศอย่างเป็นทางการ 2) การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากประธาน ศาสนาจักรท่านอื่นๆ ไตร่ตรองและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานหลายปี
ประธานคิมบัลลัใม่ได้พูดรายละเอียดของการเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชน แต่ท่านกล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการเตรียมของท่านเพื่อรับฐานะปุโรหิตและบอกเล่า ความรู้สึกของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งคราว
“ข้าพเจ้ารู้ว่าบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรามีความสำคัญยิ่งต่อลูกๆ ส่วนใหญ่ของ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าเราจะได้รับการเปิดเผยของพระเจ้าก็ต่อเมื่อมิค่าควร พร้อมรับ พร้อมยอมรับ และนำมาปฏิบัติ หลายวันที่ข้าพเจ้าอยู่ตามลำพังต้วย ความเคร่งขรึมและจริงจังมากในห้องชั้นบนของพระวิหาร และที่นั่นข้าพเจ้า ถวายจิตวิญญาณและความมุ่งนั่นเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กับแผนงาน ข้าพเจ้าต้องการทำสิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ ข้าพเจ้าทูลเรื่องนี้กับพระ องค์ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น พวกข้าพระ องค์จะไม่วางแผนงานใดๆ เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ พวกข้าพระองค์ต้องการ ทำแต่สิ่งที่พระองค์ทรงมิพระประสงค์ และพวกข้าพระองค์ต้องการสิ่งนั้นเมื่อ พระองค์ทรงมีพระประสงค์และไม่ทำจนกว่าจะถึงเวลา’”5
“ในฤดูใบไม้ผลิปี 1978 พวกเราในวันนี้ผู้ที่ท่านสนับสนุนเป็นศาสดา ผู้พยา กรณ์ และผู้เปิดเผยต่างรู้สึกเหมือนกันมากกับพื่น้องชายสมัยเริ่มแรกเมื่อการ เปิดเผยระบุให้ ‘คนต่างชาติได้เป็นผู้รับมรดกร่วมกัน และบีส่วนได้รับคำสัญญา ในพระเยซูคริสต์โดยข่าวประเสริฐนั้น’(เอเฟซัส 3:6) เปาโลกล่าวว่านึ่คือสิ่งซึ่ง ‘ในสมัยก่อนพระองค์ไม่ได้ทรงโปรดสำแดงแก่มนุษย์เหมือนอย่างบัดนี้ซึ่งทรง โปรดเผยแก่พวกอัครทูตผู้บริสุทธี์และพวกผู้เผยพระวจนะโดยพระวิญญาณ’ (เอเฟซัส 3:5)
“เรามีประสบการณ์อันน่าชื่นชมยินดีเมื่อพระเจ้าทรงระบุชัดเจนว่าเวลามาถึง แล้วเมื่อชายหญิงที่มีค่าควรทุกคนทุกแห่งหนจะได้เป็นผู้รับมรดกร่วมกันและ เป็นผู้มีส่วนในพรที่ครบล้วนสมบูรณ์แบบของพระกิตติคุณ ในฐานะพยานพิเศษ ของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดพระองค์ และพระบิดาบนสวรรค์ของเราเพียงใดเมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปที่ห้องชั้นบนของพระ วิหาร บางวันก็ขึ้นไปหลายครั้ง พระเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าชัดเจนมากว่าต้องทำ อะไร เราไม่ได้คาดหวังให้ผู้คนของโลกเข้าใจเรื่องเช่นนั้น เพราะพวกเขาจะรีบ ยกเหตุผลของตนขึ้นมาอ้างเสมอ ไม่ก็มองข้ามกระบวนการศักดิ์สิทธิ์ของการ เปิดเผย”6
นอกจากจะเป็นพยานว่าการเปิดเผยชี้นำการตัดสินใจของผู้นำศาสนาจักร แล้ว ประธานคิมบัลล์ยังสอนด้วยว่าเราทุกคนสามารถรับการเปิดเผยเพื่อนำทาง ชีวิตเราและเสริมสร้างเราในความรับผิดชอบของเรา ท่านกล่าวว่า “พรของการ เปิดเผยคือพรประการหนึ่งที่ทุกคนควรแสวงหา”7
คำสอนของสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์
พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ ทรงมีพระประสงค์จะติดต่อกับมนุษย์
บางคนพูดว่าเรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกนิ่งเงียบ ถ้าหาก มีพระผู้เป็นเจ้า แต่ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายประกาศ ต่อโลกว่าทั้งพระบิดาและพระบุตรมิได้ทรงนิ่งเงียบ พระองค์ตรัสและทรงติด ต่อตามที่ทรงเห็นเหมาะสมและจำเป็น และเต็มพระทัยเสมอ แท้จริงแล้วพระ องค์ทรงประสงค์จะติดต่อกับมนุษย์8
นักเทววิทยาคนหนึ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะพบพระผู้เป็นเจ้าหรือรู้จัก พระผู้เป็นเจ้า คำกล่าวนี้เหมือนกับพูดว่า “ผมไม่เคยปีนเขาอรารัต—ไม่มีใคร ปีนเขาอรารัตได้ หรือผมไม่เคยอาบนํ้าอุ่นใสสะอาดของทะเลอาเดรียติก—ไม่มี ทะเลอาเดรืยติก หรือผมไม่เคยเห็นสัตว์ป่าในอุทยานครูเกอร์—ไม่มีอุทยานครู เกอร์ หรือผมมีสุขภาพดีดลอด—ด้งนั้นความเจ็บปวดที่คนอื่นอัางจะต้องเป็น ความรู้สึกที่เขาคิดไปเองแน่นอน ผมไม่เคยสำรวจอวกาศ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใคร ฝ่าอวกาศไปได้”
ไม่แตกต่างแต่อย่างใดกับคนที่พูดว่าผมไม่เคยได้ยินหรือเห็นพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีมนุษย์คนใดเคยได้ยินพระผู้เป็นเจ้าหรือเดินกับพระองค์ ช่าง กำเริบเสิบสานและโอหังเหลือเกินสำหรับคนที่พูดว่าไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ รู้จัก มองเห็น และได้ยินพระผู้เป็นเจ้าได้ และนั่นก็เพราะตัวเขาไม่พร้อมรับ ประสบการณ์ตังกล่าว9
พึงจำไว้ว่าเราจะไม่พบพระผู้เป็นเจ้าจากการสำรวจครั้งเดียว หรือเราจะไม่เข้า ใจและซาบซึ้งในพระกิตติคุณของพระองค์โดยการศึกษาเผียงครั้งเดียว เพราะ ไม่มีใครรู้จักพระบิดาหรือพระบุตรได้นอกจาก “ผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดง ให้รู้”(ลูกา 10:22) สักวันหนึ่งไม่ในเวลานี้ก็ในนิรันดรคนช่างสงสัยจะด้องเสืย ใจเมื่อรู้ว่าความถือดีของเขาทำให้เขาสูญเสืยความปีติยินดีและความเติบโตไป มากทีเดียว10
เรามีความสุขในความรู้ของเราที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลนี้คือพระผู้เป็น เจ้าแห่งการเปิดเผย พระเจ้าของเราทรงถ่ายทอดพระดำริและพระประสงค์ของ พระองค์ต่อลูกๆ ของพระองค์บนแผ่นดินโลก หากเราแสวงหา พระองค์จะทรง เปีดเผยพระองค์มากขึ้นทุกวันและครบถ้วนบริบูรณ์ยิ่งขึ้น และเราจะเข้าใจพระ องค์เท่าที่มนุษย์มรรตัยจะสามารถเข้าใจพระผู้เป็นเจ้าได้ เราจะกราบไหว้สิงที่มา จากการสร้างของเราหรือจินตนาการจากความคิดเราไม่ได้ เรานมัสการพระองค์ ผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงถ่ายทอดพระอุปนิสัย พระลักษณะ และความ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ไห้เราทราบ11
ทั้งพระบิดาเอโลฮิมและพระบุตรพระเยโฮวาห์จะไม่ทรงเหินห่างจากลูกหลาน มนุษย์ มนุษย์นั่นแหละที่ทำตัวเหินห่างจากพระองค์ ทั้งพระบิดาและพระบุตร ทรงยินดีจะติดต่อและเชื่อมสัมพันธ์กับมนุษย์ …
… แม้จะมีเทพเจ้าทั้งหลายที่มนุษย์สร้างด้วยตนเองและเกิดความสับสน เกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว แต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และแห้จริงประทับ ในสวรรค์และทรงพร้อมจะช่วยลูกๆ ของพระองค์12
แม้การเปิดเผยบางอย่างจะตื่นตาตื่นใจ แต่ส่วนใหญ่จะเป็น ความประทับใจ ในส่วนลึกของความคิดและจิตใจ
ในยุคสมัยของเรา เช่นเดียวกับยุคที่ผ่านมา คนเป็นอันมากคาดหวังว่าถ้ามี การเปิดเผย การเปิดเผยจะต้องมาพร้อมภาพที่น่าประทับใจชวนให้ครั่นคร้ามและ ทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น หลายคนไม่อาจยอมรับได้ว่าการเปิดเผยมาก มายในสมัยโมเสส สมัยโจเซฟ และในวันเวลาของเราคือการเปิดเผย—การเปิด เผยเหล่านั้นเป็นความประทับใจในส่วนลึกและไม่อาจปฏิเสธได้ซึ่งมาถึงศาสดา โดยทำให้ความคิดและจิตใจของศาสดาสงบดังนํ้าด้างจากสวรรค์หรือดังรุ่งอรุณ ขับความมืดยามราตรี
โดยที่คาดหวังความตื่นตาตื่นใจ เขาจึงไม่ตื่นตัวเต็มที่ต่อการลื่อสารที่เปิดเผย มาอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด แต่ด้วยพลังและ อำนาจของประจักษ์พยานที่กำลังเผาไหม้จิตวิญญาณข้าพเจ้าว่า นับแต่ศาสดา แห่งการฟึ้นฟูจนมาถึงศาสดาในวันเวลาของเรา เส้นทางการสื่อสารยังไม่ขาด และสิทธิอำนาจยังมือยู่ แสงอันเจิดจ้าที่มองเห็นทะลุปรุโปร่งยังคงส่องสว่าง สุรเสียงของพระเจ้าคือท่วงทำนองต่อเนื่องและเสืยงอ้อนวอนที่ดังกึกก้อง13
การเปิดเผยมิได้หมายถึง “การเดินกับพระผู้เป็นเจ้า” หรือ “หน้าต่อหน้า” หรือ “ปากต่อหู” เสมอไป มีการเปิดเผยมากมายหลายแบบ บ้างก็ตื่นตาตื่นใจ บ้างก็ไม่ตื่นตาตื่นใจ14
การเปิดเผยบางอย่างเกิดขึ้นโดยความฟัน ความผัส่วนใหญ่ของเรากลับไป กลับมาและไม่มืความหมาย แต่พระเจ้าทรงใช้ความฟันเพื่อชี้แนวทางให้ผู้คน ของพระองค์ …เนบูคัดเนสซาร์ฟัน (ดู ดาเนียล 2) เป็นความฟันที่มืผลมาก และเขาลืม แต่ดาเนียลปรากฎตัว ช่วยให้กษัตริย์จำความฟันได้ และแก้ฟันดัง กล่าว พระเจ้าทรงทำให้ดาเมียลรู้ความฟันเพราะทรงมีเหตุผลบางอย่าง
มีความฟันของเปโตรที่ท่านเห็นผ้าผืนใหญ่ลงมาจากสวรรค์เต็มไปด้วยสัตว์ นานาชนิดและแต่ละชนิดมีความหมายเฉพาะเจาะจง (ดู กิจการ 10:9–35) …
เปาโลในประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของท่านได้รับการเปิดเผยแบบเดียวกันผ่าน ความฟัน “ในเวลากลางคืนเปาโลได้นิมิต” ท่านได้รับคำแนะนำที่จำเป็นสำหรับ ท่านและสำหรับอาณาจักร (กิจการ 16:9) …
มีการเปิดเผยที่น่าตื่นตาตื่นใจอื่นๆ อีก มีการมาของโมโรไนผู้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว เพื่อนำบันทึกอันยิ่งใหญ่ของคนสมัยโบราณในอเมริกาและการฟื้นฟูพระกิตติคุณ กลับมา …
จากนั้นคือยอห์นผู้ถวายบัพดิศมาผู้ถูกกษัตริย์ดัดคืรษะประหารชีวิตในชั่ว ขณะของความอ่อนแอ … [ต่อมา] ก็เปโตร ยากอบ และยอห์น … มีการฟื้นฟู ทุกลื่งทืละขั้นทืละตอน และทั้งหมดเกิดขึ้นโดยการเปีดเผย โดยภาพปรากฎ โดยความฟัน หรือโดยความประทับใจ
การเปีดเผยทั้งหมดในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มิได้มาจากปรากฎการณ์อันน่าตื่น ตาตื่นใจ ขณะที่ท่านอ่านพันธสัญญาเดิม ท่านจะพบว่าพระเจ้าตรัส พระองค์ ตรัสก้บอิสยาห์ เยเรมีย์ และคนอื่นๆ แต่จะไม่ปรากฎองค์เสมอไป เหมือนคัน มากกับประสบการณ์ของอีนัส เพราะขณะที่ท่านอ่านในหนังสืออีนัสในพระคัมภีร์มอรมอน เขาอดอาหาร สวดอ้อนวอน แสวงหา ทูลขอข้อมูล และโดย เฉพาะอย่างยิ่งทูลขออภัยบาป “และขณะที่ข้าพเจ้ากำลังดิ้นรนอยู่ดังนั้นในวิญญาณ ดูเถิด สุรเสียงของพระเจ้ามาในจิตใจข้าพเจ้าอีก โดยตรัสว่า … ” (อีนัส 1:10) ในวิธีนั้น การเปิดเผยมากมายได้เกิดขึ้น
การเปีดเผยจึงเกิดขึ้น บางครั้งด้วยการปรากฎร่างของเหล่าทูตฺสวรรค์ … แต่ การเปิดเผยส่วนใหญ่ของศาสดาโจเซฟ สมิธในบันทึกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ พระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา มิได้เกิดขึ้นแบบนั้น แต่เกิดขึ้นในรูปแบบของความ ประทับใจในส่วนลึก15
การเปิดเผยส่วนใหญ่ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญาและใน พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นความรู้สึกลึกๆ และเป็นความประทับใจที่รับรู้ได้ถึงการนำ ทางจากเบื้องบน นี่คือการเปิดเผยในแบบที่แต่ละบุคคลจะมีบ่อยครั้งสำหรับ ความจำเป็นของตน16
บางครั้งเราไม่รู้จัก [การเปิดเผย] เมื่อมีการเปิดเผยเกิดขึ้น เราสวดอ้อนวอน ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอปัญญาและวิจารณญาณ จากนั้นเราก็รู้สึกเหมือนว่าเรา ควรไปทางนี้ มีการเปิดเผยที่นั่น พระเจ้าทรงตอบคำถามเหล่านี้ที่ท่านทูลถาม17
พระเจ้าจะทรงใช้ภาษาอะไร พระเจ้าทรงแนะนำออลิเวอร์ คาวเดอรีผู้สงสัย ในคำตอบของการสวดอ้อนวอนผ่านศาสดาโจเซฟ สมิธว่า
“ตามจริงแล้ว ตามจริงแล้ว เรากล่าวคับเจ้า หากเจ้าปรารถนาพยานอีก จง ส่งความคิดไปยังคืนที่เจ้าร้องหาเราในใจของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้เกี่ยวกับความจริง ของสิ่งเหล่านี้
“เรามีได้พูดให้ความสงบแก่จิตใจของเจ้าหรือเกี่ยวกับเรื่องนี้? พยานอะไรเล่า ที่ใหญ่ยิ่งกว่าที่เจ้าจะมีได้จากพระผู้เป็นเจ้า?” (ค.พ.6:22–23)18
พระเจ้าทรงเปิดเผยพระประสงค์ สำหรับศาสนาจักรผ่านศาสดาที่มีชีวิต
ในบรรดาสรรพสิ่งที่เราควรสำนึกในความกรุณามากที่สุดในทุกวันนี้คือสวรรค์ เปิดจริงๆ และศาสนาจักรที่ได้รับการฟึ้นฟูของพระเยซูคริสต์ก่อตั้งบนศิลาแห่ง การเปิดเผย การเปิดเผยต่อเนื่องคือโลหิตหล่อเลี้ยงพระกิตติคุณของพระเจ้าและ พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงพระชนม์ พระเยซูคริสต์19
บันทึกอันลํ้าค่าและสำคัญยิ่งของอเมริกาสมัยโบราณ พร้อมด้วยคำสอนของ พระคริสต์ ประจักษ์พยานอีกเล่มหนึ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ กลาย เป็นพระคัมภีร์มอรมอนซึ่งเราประกาศว่าเป็นพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้า ร่วม สมัยและสนับสนุนพระคัมภีร์ไบเบิล
ตั้งแต่ [ภาพปรากฎครั้งแรกของโจเซฟ สมิธ] ในปี 1820 พระคัมภีร์เพิ่ม เติมยังคงมีมา รวมถึงการเปิดเผยสำคัญๆ มากมายซึ่งมีมาไม่ขาดสายจากพระผู้ เป็นเจ้าถึงศาสดาของพระองค์บนแผ่นดินโลก การเปิดเผยมากมายเหล่านี้ถูก บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งเรียกว่าพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา หนังสือที่ทำให้พระคัมภีร์สิทธิชนยุคสุดท้ายสมบูรณ์คือพระคัมภีร์ไข่มุกอันลํ้าค่า ซึ่งเป็นบันทึกอีกเล่มหนึ่งของการเปิดเผยและงานเขียนที่แปลแล้วของศาสดา ทั้งในสมัยโบราณและปัจจุบัน
มีคนสันนิษฐานว่าการพิมพ์และการเข้าเล่มบันทึกศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้น่าจะเป็น “อวสานของศาสดา” แต่เราเป็นพยานต่อโลกอีกครั้งว่าการเปิดเผยยังมีอยู่ ห้องใต้ดินและแฟ้มต่างๆ ของศาสนาจักรบรรจุการเปิดเผยเหล่านี้ซึ่งเกิดขึ้น เดือนแล้วเดือนเล่า วันแล้ววันเล่า เราเป็นพยานด้วยว่าตั้งแต่ปี 1830 เป็นต้น มาเมื่อศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายได้รับการจัดตั้ง เรา มีศาสดาและจะยังมีศาสดาต่อไปตราบที่เวลายังเหลืออยู่ ท่านรู้จักพระผู้เป็นเจ้า และผู้คนของท่าน และจะยังคงตีความพระดำริและพระประสงค์ของพระเจ้าต่อ ไป20
เมื่อ … [ผู้นำศาสนาจักร] ตัดสินใจเรื่องสำคัญหลังจากสวดอ้อนวอนและอด อาหาร ก่อตั้งคณะเผยแผ่แห่งใหม่และสเตคใหม่ ริเริ่มรูปแบบและนโยบายใหม่ ข่าวต่างๆ จะถูกมองข้ามและอาจคิดว่าเป็นเพียงการคาดคะเนของมนุษย์ แต่ สำหรับผู้อยู่ในแวดวงใกล้ชิด ได้ยินคำสวดอ้อนวอนของศาสดาและประจักษ์ พยานของสาวกผู้นี้ฃองพระผู้เป็นเจ้า สำหรับผู้เห็นความเฉียบแหลมของการ พิจารณาใคร่ครวญของท่านและความปราดเปรื่องของการตัดสินใจและคำประ กาศของท่าน สำหรับพวกเขาแล้วท่านคือศาสดาอย่างแท้จริง การได้ยินท่านสรุป พัฒนาการสำคัญใหม่ๆ ด้วยคำกล่าวอันน่าเกรงขามว่า “พระเจ้าทรงพอพระ ทัย” “การตัดสินใจครั้งนั้นถูกต้อง” “พระบิดาบนสวรรค์ของเราตรัสไว้” คือก ารรู้อย่างไม่สงสัย21
การเปิดเผยไม่ยุติและจะไม่ยุติ อาณาจักรนี้ของพระผู้เป็นเจ้าตั้งขึ้นเพื่อเวลา ที่เหลือ ไม่มีวันถูกโค่นหรือยกให้ใคร เป็นโปรแกรมต่อเนื่องและจะเติบโตโดย ไม่ถดถอย คำสอนของอาณาจักรนี้ได้รับการสถาปนาไว้ดืแล้ว แต่เพราะความ เจริญและการขยายตัว จึงต้องใช้วิธีที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อสอนพระกิตติคุณคนทั่วโลก มีการเรียกผู้รับใช้เพิ่มขึ้นเพื่อทำงานที่เพิ่มขึ้นสำหรับโลกที่ใหญ่ ขึ้น การเปิดเผยและการอัศจรรย์อื่นๆ จะไม่ยุติเว้นแต่ศรัทธาจะยุติ ที่ใดมีศรัทธา เพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะดำเนินต่อไป
ศาสดาโมโรไนเตือนว่า “แท้จริงแล้ว วิบ้ติแก่คนที่จะปฏิเสธการเปิดเผยของ พระเจ้า และที่จะกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงทำงานโดยการเปิดเผย หรือโดยการ พยากรณ์ หรือโดยของประทาน หรือโดยภาษา หรือโดยการรักษา หรือโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทสุทธี์อีกต่อไปแล้ว!” (3 นีไฟ 29:6)22
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าศาสนาจักรเจริญรุดหน้าผ่านการเปิดเผยของพระผู้เป็น เจ้าต่อผู้นำที่ได้รับเรียกจากสวรรค์ พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอยู่กับคนเหล่านั้น23
เมื่อเรารักษาพระบัญญัติ ใช้ศรัทธา และสวดอ้อนวอนด้วยความจริงใจ เราย่อมมีคุณสมบัติ สำหรับการเปีดเผยส่วนตัว
พรของการเปิดเผยคือสิ่งที่ทุกคนควรแสวงหา ชายหญิงที่ชอบธรรมพบว่า พวกเขามีวิญญาณแห่งการเปิดเผยนำทางครอบครัวและช่วยพวกเขาในความรับ ผิดชอบอื่นๆ แต่ … เราต้องพยายามทำตนใท้มีคุณสมบัติสำหรับการเปิดเผย เช่นนั้นโดยจัดชีวิตใท้อยู่ในระเบียบและคุ้นเคยกับพระเจ้าผ่านการสนทนากับ พระองค์บ่อยๆ และเป็นประจำ24
พระเจ้าจะไม่ทรงยัดเอียดพระองค์ใท้ผู้คน และถ้าพวกเขาไม่เชื่อ พวกเขาจะ ไม่ได้รับการเสด็จเยือน ถ้าพวกเขาพอใจจะพึ่งพาการคาดคะเนและการตีความ อันจำกัดของตน พระเจ้าจะทรงปล่อยให้เขาอยู่กับชะตาที่เขาเลือก …
… การเปิดเผย ภาพปรากฎ การรักษา และภาษาเดียวกันกับที่มีอยู่ในทุก วันนี้ล้วนเหมือนกับในสมัยอื่นหากมีศรัทธาที่จำเป็น25
พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอยู่กับคนเหล่านี้ เราจะมีการเปิดเผยทั้งหมดที่เรา ต้องการถ้าเราจะทำหน้าที่ของเราและรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า …
พึงจำไว้ว่า
ถ้ามีตามองเห็น ย่อมมีภาพปรากฎเป็นแรงบันดาลใจ
ถ้ามีหูได้ยิน ย่อมมีการเปิดเผยไห้ประสบ
ถ้ามีใจที่เข้าใจได้ จงรู้เถิดว่า ความจริงอันสูงค่าแห่งพระกิตติคุณของพระ คริสต์จะไม่ถูกปีดบังและเป็นเรื่องลึกลับอีกต่อไป ผู้แสวงหาที่จริงใจทุกคนจะรู้ จักพระผู้เป็นเจ้าและแผนงานของพระองค์26
โดยที่ประทานสิทธิ์เสรีแก่พวกเขาแล้ว พระบิดาบนสวรรค์จึงทรงชักชวนและ ชี้ทางลูกๆ ของพระองค์ แต่ทรงรอคำวิงวอน คำสวดอ้อนวอน และคำร้องทูล ที่จริงใจของพวกเขา …
พระเจ้าทรงประสงค์จะเห็นความปรารถนาที่ตื่นตัวครั้งแรกของเขาและความ พยายามในเบื้องตันของเขาที่จะฝ่ากวามมืคออกมา โดยที่ประทานอิสรภาพใน การตัดสินใจให้แจ้ว พระองค์จืงฑรงยอมให้มนุษย์คลำหาทางของตนจนมาถึง ความสว่าง แต่เบื้อมนุษย์เริ่มหิว เบื้อแขนของเขาเริ่มกางออก เบื้อเข่าของเขา เริ่มงอและเสืยงของเขาเริ่มเปล่งออกมาเป็นถ้อยคำ ยังไม่ทันที่พระเจ้าจะทรง ผลักเส้นขอบฟ้าไปด้านหลังและทรงปิดม่าน มนุษย์จะโผล่ออกจากการเดิน สะดุดในความมืดสลัวมาสู่ความแน่นอนในความสว่างจากสวรรค์27
ถ้าคนหนึ่งลุกขึ้นยืนหลังจากดุกเข่ากล่าวคำสวดอ้อนวอน เขาควรจะถอยกลับ ไปคุกเข่าเหมือนเดิมจนกว่าเขาจะไตัสี่อสารทับพระเจ้าผู้ทรงกระดือรือร้นจะให้ พรเขา แต่โดยที่ประทานสิทธิ์เสรืเเก่เขาแจ้ว พระองค์จงไม่ทรงยัดเขียดพระองค์ ให้คนนั้น28
ท่านตัองการการน่าทางหรือไม่ ท่านสวดอ้อนวอนพระเจ้าสำหรับการดลใจ หรือไม่ ท่านต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องหรือท่านต้องการทำตามใจชอบไม่ว่าจะถูก ต้องหรือไม่ก็ตาม ท่านต้องการทำซึ่งที่ดีที่สุดสำหรับท่านในระยะยาวหรือซึ่งซึ่ง ดูเหมือนจะถูกใจในขณะนั้นมากกว่า ท่านสวดอ้อนวอนหรือไม่ ท่านสวดอ้อน วอนมากเพียงใด ท่านสวดอ้อนวอนอย่างไร ท่านสวดอ้อนวอนดังเช่นพระผู้ช่วย ให้รอดของโลกทรงทำในเกทเสมนีหรือท่านทูลขอสิ่งที่ท่านต้องการโดยไม่คำนึง ถึงความเหมาะสม ท่านกล่าวในคำสวดอ้อนวอนของท่านหรือไม่ว่า “ขอให้เป็น ไปตามพระทัยของพระองค์” ท่านกล่าวหรือไม่ว่า “พระบิดาบนสวรรค์ หาก พระองค์จะทรงดลใจและทำให้ข้าพระองค์รู้สืกว่าถูกต้อง ข้าพระองค์จะทำตาม นั้น” หรือท่านสวดอ้อนวอนว่า “โปรดประทานตามที่ข้าพระองค์ต้องการ แต่ หากไม่เป็นเช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะรับไว้ทุกสิ่ง” ท่านกล่าวหรือไม่ว่า “พระบิดา ในสวรรค์ ข้าพระองค์รักพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ ข้าพระองค์ทราบ ว่าพระองค์ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ซื่อสัตย์ ข้าพระองค์ปรารถนา จะทำสิ่งที่ ถูกต้องต้วยความจริงใจ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงเห็นที่สุดจาก จุดเริ่มต้น พระองค์ทรงเห็นอนาคต พระองค์ทรงมองออกว่าถ้าข้าพระองค์อยู่ ในสถานการณ์นี้ ข้าพระองค์จะมืสันติสุขหรือความวุ่นวาย ความสุขหรือ ความ เศร้า ความสำเร็จหรือความถ้มเหลว โปรดบอกข้าพระองค์ด้วยเถิด พระบิดา บนสวรรค์ผู้เป็นที่รักของข้าพระองค์ และข้าพระองค์สัญญาว่าจะทำตามที่พระ องค์รับสั่ง” ท่านสวดอ้อนวอนแบบนั้นหรือไม่ ท่านไม่คิดหรือว่านั่นคือการ สวดอ้อนวอนที่ฉลาด ท่านกจ้าพอจะสวดอ้อนวอนแบบนั้นหรือไม่29
พระเจ้าจะประทานคำตอบสำหรับคำถามและคำสวดอ้อนวอนของท่านถ้าท่าน ฟ้ง ไม่ต้องผ่านมาทางศาสดาทั้งหมด … แต่ถ้าทุกคนมืค่าควรมากพอและใกล้ ชิดพระเจ้ามากพอ เขาจะมีการเปิดเผย30
ฃ้อเสนอเเนะสำหรับสีกษาเเละสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมไค้ที่หน้า ⅴ–ⅸ
-
อ่านทวนเรื่องราวของประธานคิมบัลล์เมื่อท่านไต้รับการเปิดเผยในปี 1978 เกี่ยวกับฐานะปุโรหิต (หน้า 255–256) แม้ประสบการณ์บางต้านของประ ธานคิมบัลล์จะเทียบไม่ไต้กับการเปิดเผยนั้น แต่ประสบการณ์ต้านใดของประ ธานคิมบัลล์ที่เหมือนกับความพยายามทั้งหมดของเราเพื่อรับการเปิดเผย เรา จะทำตามแบบอย่างของท่านไต้อย่างไร
-
อ่านทวนหัวฃ้อที่เริ่มต้นในหน้า 256 ท่านจะพูดอย่างไรกับเพื่อนที่อ้างว่าพระ ผู้เป็นเจาทรงนิ่งเงียบ ท่านจะแบ่งปันพระคัมภีร์ข้อใดหรือเล่าประสบการณ์ใด เพื่อช่วยเพื่อนของท่าน
-
การเปีดเผยเกิดขึ้นด้วยวิธีใดบ้าง (ดูตัวอย่างในหน้า 257–260) ประธาน คิมบัลล์สอนว่าการเปีดเผยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรูปของความประทับใจในส่วน ลึกมากกว่าปรากฎการณ์ตื่นตาตื่นใจ เราจะทราบไต้อย่างไรว่าความคิดหรือ ความรู้สืกนั้นมาจากพระเจ้า (ดู หน้า 260)
-
เหตุใดเราจึงต้องมีศาสดาที่มีชีวิตนอกเหนือจากพระคัมภีร์ (ดูตัวอย่างใน หน้า 260–262) ท่านเคยไต้รับพรผ่านการเปีดเผยต่อประธานศาสนาจักร อย่างไร
-
ท่านจะใบ้คำแนะนำอะไรแก่คนที่กำลังแสวงหาการนำทางจากพระเจ้า (ดู หน้า 262–264)
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: 1 พงศ์กษัตริย์ 19:9–12; โมโรไน 10:3–5; ค.พ. 1:38; 8:2–3; 43:1–4; 76:5–10