คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 3: พระเยซูคริสต์: พระผู้ช่วยให้รอด ของข้า พระเจ้าของข้า


บทที่ 3

พระเยซูคริสต์: พระผู้ช่วยให้รอด ของข้า พระเจ้าของข้า

พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด ของมนุษยชาติ และเราจะได้รับพรทุกประการที่พระองค์ทรงพระชนม์ และสิ้นพระชนม์เพื่อประทานแก่เรา

จากชีวิตของสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

ในการรับใช้เป็นอัครสาวกช่วงแรกๆ เอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ เกิดภาวะหัวใจวายสามครั้งภายในระยะเวลาประมาณสองสัปดาห์ หลังจากพัก ฟื้นที่บ้านเกือบเจ็ดสัปดาห์ ท่านก็ “เริ่มหาทางหนีออกจากการถูกจำกัดให้อยู่ แต่ในบ้าน” ท่านเตรียมการไปพักฟื้นอยู่ในหมู่มิตรสหายชาวนาวาโฮที่ท่านรักใน รัฐนิวเม็กซิโก1

“เช้าวันหนึ่งในช่วงพักฟื้นครั้งนี้ มีคนพบว่าเตียงนอนของเอ็ลเดอร์คิมบัลล์ ว่างเปล่า โดยที่คิดว่าท่านออกไปเดินเล่นตอนเช้าและคงจะกลับมาทันอาหาร เช้า ผู้ดูแลจึงมัวยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน แต่เมื่อท่านไม่กลับจนถึง 10 นาฬิกา พวกเขาก็เริ่มวิตก การค้นหาเริ่มขึ้น

“ในที่สุดก็พบท่านใต้ต้นสนไกลออกไปหลายไมล์ พระคัมภีร์ไบเบิลวางอยู่ ใกล้ตัวท่าน เปิดที่บทสุดท้ายของหนังสือยอห์น ท่านหลับตาและเมื่อคณะค้นหา มาถึงท่านยังคงนิ่งเฉยเหมือนตอนที่พวกเขาเห็นท่านครั้งแรก

“อย่างไรก็ดี เสียงตกใจของพวกเขาปลุกท่านให้ตื่นและเมื่อท่านเงยหน้า พวกเขาเห็นคราบนํ้าตาที่แก้มท่าน ท่านตอบคำถามของพวกเขาว่า ‘วันนี้เมื่อ [ห้า] ปีก่อน ผมได้รับเรียกเป็ีนอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และผมก็ แค่อยากจะให้้เวลาทั้งวันกับพระองค์ผู้ที่ผมเป็นพยานถึง’”2

ประธานคิมบัลล์เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอด “ครั้ง แล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า”3 ท่านประกาศว่า “ไม่ว่าเราจะพูดถึงพระองค์มาก เพียงใด นั่นก็ยังน้อยไป”4 และคุณความดีของชีวิตประธานคิมบัลล์เข้ากันได้ กับพลังแห่งประจักษ์พยานของท่าน เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์แห่งโควรัม อัครสาวกสิบสองตั้งข้อสังเกตดังนี้ “ประธานคิมบัลล์เป็ีนคนของพระเจ้าไม่ใช่ ของใครอื่น ความปรารถนาสูงสุดของท่านคือรับใช้พระเจ้า และท่านไม่ยอม เสื่อมเสียเพราะเรื่องอื่น”5

คำสอนของสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นมากกว่าครูผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็ีนพระบุตรของพระผู้เป็ืนเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ

ในนิตยสาร Time ฉบับเร็วๆ นี้ได้หยิบยกคำอธิบายยาวเหยียดตามเหตุผล ของศาสตราจารย์เกียรติคุณผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดแห่ง หนึ่งของเรา ศาสตราจารย์ท่านนี้ถือว่าเยซูแห่งนาซาเร็ธมีความอบอุ่นตามวิสัย มนุษย์ มีความสามารถที่จะรักสูงมาก มีความเช้าใจที่ไม่ธรรมดา เขาเรียกพระ องค์ว่านักมนุษยธรรมที่ยิ่งใหญ่ ครูผู้ยิ่งใหญ่ และผู้เขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่ เขา อธิบายตามหลักเหตุผลของเขาว่าลาซารัสไม่ตาย เพียงแต่พระเยซูทรง“… นำ ‘กลับไปฟื้เน’ พลังแห่งความคิดและการเรียนรู้ และ ‘รักษาเขาให้มีพลังชีวิต มากมายเหมือนเติม’”

ข้าพเจ้าต้องการแสดงประจักษ์พยานวันนี้ว่า พระเยซูมิได้เป็ีนเพียงครูผู้ยิ่ง ใหญ่ นักมนุษยธรรมที่ยิ่งใหญ่ และผู้เขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ความ จริงแล้วพระองค์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระผู้สร้าง พระ ผู้ไถ่ของโลก และพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ6

ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตร1ของพระผู้เป็ีนเจ้าผู้ทรงพระ ชนม์ ข้าพเจ้าทราบเช่นนั้น7

พระคริสต์ทรงประกาศว่าพระองค์คือองค์พระผู้เป็ีนเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ พระ คริสต์พระเจ้า ปฐมและอวสาน พระผู้ไถ่ของโลก พระเยซูพระคริสต์ ผู้ทรง มหิทธิฤทธิ์ของอิสราเอล พระผู้สร้าง พระบุตรของพระผู้เป็ีนเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเยโฮวาห์

พระบิดาเอโลฮิมทรงประกาศว่าพระเยซูทรงเป็็น พระบุตรผู้ถือกำเนิดองค์ เดียวของเรา กำแห่งอำนาจของเรา และอย่างน้อยสองครั้งเมื่อบัพติศมาที่ จอร์แดนและอีกครั้งบนภูเขาแห่งการแปลงสภาพที่พระองค์ทรงประกาศว่า

ท่านเป็ีนบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (ดู มาระโก 1:11; ลูกา 3:22) และตรัสว่า “โดยพระองค์โลกทั้งหลายถูกท่า มนุษย์ถูกท่าโดยพระองค์ สารพัดสิ่งถูกทําโดยพระองค์ และโดยทางพระองค์ และจากพระองค์” [ดู ค.พ. 93:10]8

เราเป็็นพยานร่วมกับยอห์นผู้ถวายบัพติศมาซึ่งกล่าวขณะเห็นพระเจ้าเสด็จ เข้ามาใกล้ว่า “… จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) มิทรงเป็็นเพียงมนุษย์ที่มีความอบอุ่นตามวิสัย มนุษย์เท่านั้น แต่ทรงเป็็นพระเมษโปดกของพระผู้เป็็นเจ้าด้วย

เราเป็็นพยานร่วมกับนาธานาเอล ชาวอิสราเอลที่ในตัวเขาไม่มีอุบายว่า “… รับบี พระองค์ทรงเป็็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็็นกษัตริย์ของชน ชาติอิสราเอล” (ยอห์น 1:49) มิทรงเป็็นเพียงครูผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ทรงเป็็น พระบุตรของพระผู้เป็็นเจ้าด้วย

เราเป็็นพยานอีกครั้งร่วมกับยอห์นผู้เป็็นที่รัก ผู้เห็นพระเยซูประทับริมฟั่ง ทะเลและกล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่า “เป็็นองค์พระผู้เป็็นเจ้า” [ดู ยอห์น 21:7] มิทรงเป็็นเพียงนักมนุษยธรรมที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ทรงเป็็นองค์พระผู้เป็็นเจ้า แห่งสวรรค์ด้วย

และเป็็นพยานร่วมกับซีโมนเปโตร เมื่อพระเจ้าตรัสถามว่า “แล้วพวกท่าน เล่าว่าเราเป็็นใคร” เขาตอบว่า “พระองค์ทรงเป็็นพระคริสต์พระบุตรของพระ เจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (มัทธิว 16:15, 16) และได้รับพระดำรัสจากพระผู้ช่วย ให้รอดตังนี้ “… ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้ง ความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” (มัทธิว 16:17)

และสุดท้าย เราเป็็นพยานร่วมกับศาสดาโจเซฟ สมิธผู้ยอมสละชีวิตเพื่อ ประจักษ์พยานของท่าน9

ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของโลก พระองค์คือสหายของข้าพ เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า และพระผู้เป็็นเจ้าของ ข้าพเจ้า10

การปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอดแผ่ขยาย ตลอดนิรันดร—อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ข้าพเจ้าต้องการ … เป็็นพยานว่า [พระเยซูคริสต์] มิเพียงทรงพระชนม์ใน ศูนย์กลางแห่งเวลานานประมาณสามสิบปีเท่านั้น แต่พระองค์ทรงพระชนม์ชั่ว นิรันดร์ก่อนหน้านี้ และจะทรงพระชนม์ชั่วนิรันดร์หลังจากนี้ และข้าพเจ้าแสดง ประจักษ์พยานว่า พระองค์มิทรงเป็นเพียงผู้จัดตั้งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า บนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ทรงเป็นพระผู้สร้างโลกนี้และพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ ด้วย11

พระเยซูคริสต์คือพระผู้เป็นเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิม พระองค์คือผู้ที่ทรง สนทนากับเอบราแฮมและโมเสส พระองค์คือผู้ที่ทรงดลใจอิสยาห์และเยเรมีย์ พระองค์คือผู้ที่ทรงบอกล่วงหน้าผ่านคนเหล่านั้นที่ทรงเลือกไว้ถึงเหตุการณ์ใน อนาคต แน้จนถึงวันและโมงสุดน้าย12

พระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราคือผู้ทรงได้รับการแนะนำ ให้ผู้ฟ้งที่พิศวงได้รู้จักที่จอร์แดน (ดู มัทธิว 3:13–17) ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่ง การแปลงสภาพ (ดู มัทธิว 17:1–9) ที่พระวิหารของชาวนีไฟ (ดู 3 นีไฟ 11–26) และในป่าที่เมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์ก [ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17–25] และบุคคลที่แนะนำพระองค์มิใช่ใครอื่นแต่คือพระบิดาจริงๆ ของพระ องค์ เอโลฮิมองค์ศักดิ์ศิทธิ์ ผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงมีพระลักษณะเหมือนพระองค์ และทรงดำเนินตามพระประสงค์ของพระองค์13

ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าทรงพระชนม์และข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงเปิด เผยพระดำริและพระประสงค์ของพระองค์ต่อเราทุกวัน ทั้งนี้เพื่อเราจะสามารถ รับการดลใจเกี่ยวกับทิศทางที่ควรไป14

พระองค์คือศิลามุมเอก พระองค์คือประมุขของอาณาจักร—คนเหล่านี้คือผู้ ติดตามพระองค์—นี่คือศาสนาจักรของพระองค์—นี่คือดำสอนและพิธีการ1ของ พระองค์—นี่คือพระบัญญัติของพระองค์15

ขณะนี้เราตั้งตาคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ตามสัญญา คำสัญญา ดังกล่าวจะบังเกิดสัมฤทธิผลเช่นเดียวกับคำสัญญาอีกมากมายของพระองค์ และ ในระหว่างนี้ เราสรรเสริญพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์และรับใช้พระองค์ และแสดงประจักษ์พยานถึงความสูงส่งแห่งพันธกิจของพระองค์ ร่วมกับศาสดา ทุกยุคทุกสมัย …

ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคือพระผู้สร้าง พระผู้ไภ่ พระผู้ช่วยให้รอด และพระ บุตรของพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร์ทั้งอดีตและปัจจุบัน16

โดยการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงช่วย ให้ทุกคนรอดจากผลของการตกและช่วยให้ผู้กลับใจ รอดจากบาปส่วนตัว

พี่น้องชายหญิงที่รักของข้าพเจ้า พระผู้เป็ีนเจ้าทรงพระชนม์ และข้าพเจ้า แสดงประจักษ์พยานถึงสิ่งนี้ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ และพระองค์คือพระ ผู้ทรงลิขิตหนทางที่ถูกต้องของชีวิตและความรอด

นี่คือข่าวสารของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย นี่คือ ข่าวสารสำคัญที่สุดในโลกทุกวันนี้ พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาทรงเลือกพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้17

เมื่ออาคัมจงใจรับส่วนผลไม้ต้องห้ามในสวนเอเดนอย่างรู้เท่าทัน ท่านนำ ความตายสองอย่างมาให้เราทุกคนผู้เป็นลูกหลานของท่าน—ความตายทางร่าง กายหรือ “ความตายของมรรตัย” และความตายทางวิญญาณหรือการถูกเนรเทศ จากที่ประทับของพระเจ้า18

แผนอันลํ้าเลิศของพระผู้เป็นเจ้าได้เตรียมการให้ผู้ไถ่มาทำลายสายรัดแห่ง ความตายและโดยผ่านการฟื้นคืนชีวิต วิญญาณและร่างกายของทุกคนที่เคยอยู่ บนแผ่นดินโลกจึงอยู่ในวิสัยที่จะกลับมารวมคันได้อีก

เยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ได้รับเลือกให้มายังแผ่นดินโลกก่อนโลกถูกสร้างเพื่อ ปฏิบัติการรับใช้ดังกล่าว เพื่อเอาชนะความตายของมรรตัย การกระทำด้วยความ สมัครใจครั้งนี้จะชดใช้การตกของแอคัมกับอีฟ และยอมให้วิญญาณของมนุษย์ ได้ร่างกายกลับคืน ด้วยเหตุนี้ร่างกายคับวิญญาณจึงมารวมกันอีก19

การฟื้นคืนชีวิตที่กล่าวถึงคืองานของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรง สามารถเอาชนะพลังปกครองเนื้อหนังไต้เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งมรรตัย (บุตร ของมารืย์) และพระเจ้า (พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า) พระองค์ทรงสละพระ ชนม์ชีพและทรงรับคืนอีกในฐานะ “ผลแรก” ตามด้วยจิตวิญญาณทุกดวงที่เคย มีชีวิต [ดู 1 โครินธ์ 15:22–23] โดยที่ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรง สละพระชนม์ชีพ ไม่มีใครพรากไปจากพระองค์ได้ พระองค์ทรงพัฒนาพลังที่ จะรับชีวิตคืนอีกโดยผ่านความดีพร้อมในการเอาชนะทุกสิ่ง ความตายคือศัตรู ตัวสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ทรงเอาชนะความตายนั้นและทรงสถาปนาการ ฟื้นคืนชีวิต20

สืบเนื่องจากของประทานแห่งพระบุตรของพระบิดาบนสวรรค์ มนุษย์ทั้งปวง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต—จึงสามารถกลับไปอยู่กับพระองค์ผู้ทรงเป็น พระบิดาของวิญญาณเราได้ แต่เพื่อรับประกันว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น ความจำ เป็นอันดับแรกคือพระเยซูต้องเสด็จมายังโลกนี้ในเนื้อหนังเพื่อสอนวิธีดำเนิน ชีวิตอย่างถูกต้องแก่มนุษย์โดยแบบอย่างของพระองค์และจากนั้นทรงยอมสละ พระชนม์ชีพ และทรงยอมรับภาระบาปของมนุษยชาติด้วยวิธีที่น่าพิศวง21

การชำระให้สะอาดจากบาปจะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากการกลับใจโดยสิ้น เชิงของแต่ละบุคคลและพระเมตตากรุณาของพระเจ้าพระเยซูคริสตในการเสีย สละอันเป็นการชดใช้ของพระองค์ โดยวิธีนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะได้คืนอีก จะได้ รับการรักษา ได้รับการชำระล้างให้สะอาด และจะยังคงมีสิทธิ์รับรัศมีภาพแห่ง นิรันดร ฮีลามันเตือนบุตรชายให้นึกถึงความคิดเห็นของกษัตริย์เบ็นจาบินเกี่ยว กับบทบาทอันยิ่งใหญ่ของพระผู้ช่วยให้รอดในเรื่องนี้

“… ไม่มีทางหรือวิธีอื่นใดเลยที่โดยทางนั้นคนจะรอดได้ นอกจากโดยทาง พระโลหิตที่ชดใช้ของพระเยซูคริสต์ผู้จะเสด็จมาเท่านั้น แท้จริงแล้วจงจำไว้ว่า พระองค์จะเสด็จมาเพื่อทรงไถ่โลก” (ฮีลามัน 5:9)

และเมื่อนึกถึงถ้อยดำที่อมิวเล็คพูดกับซีเอสรอม ฮีลามันได้เน้นส่วนที่มนุษย์ ต้องทำเพื่อจะได้รับการยกโทษ นั่นก็คือกลับใจจากบาปของเขา

“… ท่านกล่าวกับเขาว่าพระเจ้าจะเสด็จมาแน่นอน เพื่อทรงไถ่ผู้คนของ พระองค์ แต่ว่าพระองค์จะไม่เสด็จมาเพื่อทรงไถ่เขา ในบาปของเขา แต่จะทรง ไถ่เขา จากบาปของเขา

“และพระองค์ทรงมีอำนาจซึ่งได้รับจากพระบิดาเพื่อทรงไถ่เขาจากบาปของ เขา เพราะการกลับใจ…” (ฮีลามัน 5:10–11; เน้นตัวเอน)22

[พระผ้ช่วยให้รอด] สิ้นพระชนม์อันเป็นการไภ่บาปของเราเพื่อเปิดทางสำ หรับการฟื้นคืนชีวิตของเรา เพื่อชี้ทางส่ความดีพร้อมของชีวิต เพื่อแสดงให้เห็น ทางสู่ความสูงส่ง พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างมีจุดประสงค์ ด้วยความสมัคร ใจ การประสูติของพระองค์ตํ่าต้อย พระชนม์ชีพของพระองค์ดีพร้อม แบบ อย่างของพระองค์โน้มน้าวใจ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เปิดประตู และ มนุษย์ได้รับของประทานอันดีและพรทุกอย่าง23

เพื่อให้ได้รับพรทุกประการจากการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องร่วมมือกับพระองค์

จิตวิญญาณทุกดวงมีสิทธิ์เสรี เขาสามารถมีพรทุกประการที่พระคริสต์ทรง พระชนม์และสิ้นพระชนม์เพื่อประทานแก่เขาได้ แต่การสิ้นพระชนม์และแผน ของพระคริสต์จะไร้ประโยชน์และไม่เกิดผลแต่อย่างใดถ้าเราไม่เอามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ “เพราะดูเถิด เราพระผู้เป็นเจ้าทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน เพื่อ เขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากเขาจะกลับใจ” (ค.พ. 19:16)

พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาเพื่อ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิดนิรันดร์ ของมนุษย์” (โมเสส 1:39) การประสูติ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระ ชนม์ของพระองค์ก่อให้เกิดอย่างแรก แต่เราต้องร่วมมือกับพระองค์เพื่อให้เกิด อย่างที่สองนั่นก็คือการบรรลุถึงชีวิตนิรันดร์24

เมื่อเรานึกถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเราและ ความทุกขเวทนาที่พระองค์ทรงอดทนเพื่อเรา เราคงจะไม่ซาบซึ้งถ้าเราไม่เห็น คณค่าของการเสียสละนั้นเท่าที่พลังของเราจะทำได้ พระองค์ทรงทนทุกข์และ สินพระชนม์เพื่อเรา แต่ถ้าเราไม่กลับใจ ความทรมานสุดแสนและความเจ็บปวด ทั้งสิ้นของพระองค์เพื่อประโยชน์ของเราคงไม่เกิดผล25

ความทุกขเวทนาของพระองค์ก่อนและบนกางเขน และการเสียสละอันยิ่ง ใหญ่ของพระองค์จะมีความหมายเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความหมายต่อเราเลย หากเราไม่ดำเนินชีวิตตามพระบัญญ่ติของพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า

“… เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า แต่ไม่กร ะทำตามที่เราบอกนั้น” (ลูกา 6:46)

“ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14:15)26

มนุษย์ที่รู้จักพระผู้เป็นเจ้า รักพระองค์ ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระ องค์ และปฎิบ้ติพิธีการที่ถูกต้องของพระองค์อาจจะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ในชีวิตนี้หรือชีวิตที่จะมาถึง และรู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์และจะทรงติดต่อกับ พวกเขา27

เรา เชื่อ และนี่คือประจักษ์พยานของเรา และเราประกาศต่อโลกว่า “จะไม่ มีนามอื่นใดให้ไว้หรือทางอื่นใดหรือวิธีที่โดยการนั้นความรอดจะมาสู่ลูกหลาน มนุษย์ได้ นอกจากในและโดยพระนามของพระคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ ฤทธิ์” (โมไซยา 3:17)

เรา รู้ และนี่คือประจักษ์พยานของเรา และเราประกาศต่อโลกด้วยว่าเพื่อจะ รับการช่วยให้รอดมนุษย์ต้อง “เชื่อว่าความรอดเป็นอยู่แล้ว และเป็นอยู่ และ จะมาถึงใน และโดยพระโลหิตที่ทรงชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” (โมไซยา 3:18)

ด้วยเหตุนี้ “เรา [จึง] ทำงานอย่างพากเพียร [ร่วมกับนีไฟ] ที่จะเขียน ที่จะ ชักชวนลูกหลานของเราและพี่น้องของเราด้วยให้เชื่อในพระคริสต์และให้ปรอง ดองกับพระผู้เป็นเจ้า เพราะเรารู้ว่าแม้ เรา จะทำได้ทุกสิ่ง เป็นโดยพระคุณที่ เรารอด …

“และเราพูดถึงพระคริสต์ เราชื่นชมในพระคริสต์ เราสั่งสอนเรื่องพระคริสต์ เราพยากรณ์ถึงพระคริสต์ และเราเขียนตามคำพยากรณ์ของเราเพื่อลูกหลานของ เราจะได้รู้ว่าเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของเขา” (2 นีไฟ 25:23, 26; เน้นตัวเอน)28

เราทำให้พระเจ้าพอพระทัยเมื่อเราดำเนินชีวิต ตามพระกิตติคุณของพระองค์

ข้าพเจ้านึกภาพออกเมื่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์ [ระหว่างการปฎิบัติศาสนกิจ ในความเป็นมรรตัยของพระองค์] ทรงแย้มพระสรวลขณะทอดพระเนตรผู้คน ของพระองค์ในการปวารณาตนของพวกเขา …

… ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงแย้มพระสรวลอยู่เมื่อพระองค์ ทอดพระเนตรเข้ามาในน้านของคนเหล่านี้และทรงเห็นพวกเขาคุกเข่าสวดอ้อน วอนเป็นครอบครัวทุกคํ่าเข้า และทรงเห็นเด็กๆ มีส่วนด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าพระ องค์ทรงแย้มพระสรวลเมื่อทรงเห็นสามีภรรยาหนุ่มสาวและสามีภรรยาสูงอายุ รักใคร่กัน ยังคงผูกสมัครรักใคร่กัน … ยังคงรักกันสุดจิตวิญญาณของเขาจนถึง วันที่เขาสิ้นชีวิตและหล่อเลี้ยงความรักนั้นชั่วนิรันดร์

ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์พอพระทัยกับครอบครัวที่เสืยสละและแบ่งปัน… ข้าพเจ้าคิดว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงแย้มพระสรวลอยู่เมื่อพระองค์ทอดพระ เนตรลงมาเห็น [หลายพันคน] ที่ไม่แข็งขันเมื่อปีก่อน แต่วันนี้มีความสุขใน อาณาจักร หลายคนไปพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า รับเอ็นดาวเน้นท์ และการผนึกของตนเอง และขอบพระทัยพระเจ้าสำหรับโปรแกรมของพระองค์ ด้วยนํ้าตาแห่งความกตัญญ

ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเห็นนํ้าพระเนตรแห่งความปีติยินดีในพระเนตรของพระ องค์และรอยแย้มพระสรวลที่พระโอษฐ์ขณะพระองค์ทรงเห็น… จิตวิญญาณ ดวงใหม่มาส่พระองค์ปีนี้ ยอมรับพระนามของพระองค์ เข้าสู่นํ้าแห่งบัพติศมา และข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงรักคนที่ช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนใจเลื่อมใสด้วยเช่น กัน

ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลขณะทอดพระเนตรเห็นคนมากมาย คุกเช่าในการกลับใจ เปลี่ยนชีวิต ทำให้ชีวิตสว่างขึ้นและสะอาดขึ้น เป็นเหมือน พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์พระเชษฐาของเขามากขึ้น

ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์พอพระทัยและทรงแย้มพระสรวลเมื่อทรงเห็นเยาวชน วางระเบียบชีวิต ป้องกัน และสร้างความแข็งแกร่งเพื่อต้านความผิดพลาดแห่ง ยุคสมัย ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยในทีแรก และแล้วอาจจะพอพระ ทัยเมื่อพระองค์ทรงเห็นเช่นที่ทรงเห็นมาแล้วเมื่อสองสามวันก่อนในห้องทำงาน ของข้าพเจ้าเมื่อสามีภรรยาหนุ่มสาวที่ทำผิดร้ายแรงคุกเช่าและกุมมือกันแน่น จะต้องมีความปีติยินดีในรอยแย้มพระสรวลของพระองค์เป็นแน่เมื่อพระองค์ ทอดพระเนตรเข้าไปในจิตวิญญาณของพวกเขาและเห็นว่าพวกเขากำลังแก้ไข ให้ถูกต้องขณะที่นํ้าตาของพวกเขาไหลอาบมือข้าพเจ้าที่วางอย่างแผ่วเบาบนมือ พวกเขา

โอ ข้าพเจ้ารักพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าหวังว่าข้าพเจ้าจะสามารถแสดง ให้พระองค์ประจักษ์ถึงความจริงใจและการปวารณาตนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยาก อยู่ใกล้ชิดพระองค์ ข้าพเจ้าอยากเป็นเหมือนพระองค์ และข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราทุกคนเพื่อเราจะเป็นดังที่พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์ชาว นีไฟว่า “ฉะนั้น เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า” และพระองค์ทรงตอบคำถามของ พระองค์เองโดยตรัสว่า “แม้ดังที่เราเป็น” (3 นีไฟ 27:27)29

การชดใช้ให้ความหวังแถ่เราในชีวิตนี้ และสำหรับนิรันดรที่อยู่ข้างหน้า

เรามีความหวังในพระคริสต์ที่นี่และเวลานี้ พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของ เรา เนื่องจากพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์ บาปของเราจึงถูกชำระล้าง ในนํ้าบัพติศมา บาปและความชั่วร้ายถูกเผาออกจากจิตวิญญาณของเราประหนึ่ง ด้วยไฟ และเรากลับสะอาด มีจิตสำนึกที่ใสสะอาด และไต้รับสันติสุขซึ่งเกิน ความเข้าใจ (ดู ฟีลิปปี 4:7)

โดยการดำเนินชีวิตตามกฎแห่งพระกิตติคุณของพระองค์ เราจะได้รับความรุ่ง เรืองทางโลก มีร่างกายแข็งแรง และจิตใจเข้มแข็ง พระกิตติคุณเป็นพรแก่เรา ในปัจจุบัน

แต่ปัจจุบันเป็นเพียงเม็ดทรายในซาฮาร่าแห่งนิรันดร เรามีความหวังในพระ คริสต์สำหรับนิรันดรที่อยู่ข้างหน้าด้วย หาไม่แล้วเราคงเป็น “พวกที่น่าสังเวช ที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง” ดังที่เปาโลกล่าว (1 โครินธ์ 15:19)

ความเศร้าโศกของเราจะใหญ่หลวงเพียงใด—และเป็นอย่างนั้นแน่นอน—ถ้า ไม่มีการฟื้นคืนชีวิต เราจะน่าสมเพชเพียงใดถ้าไม่มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ถ้า ความหวังของเราในความรอดและรางวัลนิรันดร์เลือนหายไป เราคงน่าสมเพช ยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยตั้งความหวังเช่นนั้น

“แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรง เป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น” (1 โครินธ์ 15:20)

บัดนี้ผลของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์จะบังเกิดแก่มนุษย์ทั้งปวง “เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น” (1 โครินธ์ 15:22)

บัดนี้ “เมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับ มนุษย์สวรรค์ด้วย” (1 โครินธ์ 15:49)

บัดนี้มีทางถูกเตรียมไว้แล้วซึ่งโดยทางนั้น “สิ่งซึ่งเน่าเปื่อย… จะสวมซึ่งไม่ เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้จะสวมสภาพอมตะ เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้ในพระ คัมภีร์จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนถึงปราชัยแล้ว” (1 โครินธ์ 15:54)…

เรามีความหวังนิรันดร์ในพระคริสต์ เราทราบว่าชีวิตนี้ประทานแก่เราเพื่อ เตรียมรับนิรันดร “และอยู่ร่วมกันอย่างเดียวกันนั้น ซึ่งมีอยู่ในบรรดาพวกเราที่ นี่จะมีอยู่ในบรรดาพวกเราที่นั่น แต่จะมีรัศมีภาพนิรันดร์เป็นคู่ ซึ่งรัศมีภาพนั้น เราไม่ได้รับขณะนี้” (ค.พ. 130:2)30

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเิิติมได้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • อ่านเรื่องในหน้า 25 เราจะใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและ “ให้เวลาทั้งวัน” กับ พระองค์ดังที่ประธานคิมบัลล์ทำได้อย่างไร

  • อ่านทวนหน้า 26–27 เพื่อหาพระนามและฉายานามที่ประธานคิมบัลล์ใช้กับ พระเยซูคริสต์ พระนามและฉายานามใดมีความหมายต่อท่านเป็นพิเศษและ เพราะอะไร ท่านจะตอบคนที่กล่าวว่าพระเยซูเป็นเพียงครูผู้ยิ่งใหญ่อย่างไร

  • ไตร่ตรองประจักษ์พยานของประธานคิมบัลล์เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจใน โลกก่อนเกิด ในชีวิตมรรตัย และหลังชีวิตมรรตัยของพระผู้ช่วยให้รอด (หน้า 28–29) ตรึกตรองว่าท่านจะทำอะไรเพื่อให้ประจักษ์พยานของท่านใน พระพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอดลึกซึ้งยิ่งขึ้น

  • ศึกษาหน้า 29–30 เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องการพระผู้ช่วยใน้รอด การ ชดใช้ของพระเยซูคริสต์ส่งผลอะไรในชีวิตท่าน

  • ในหน้า 26–30 ประธานคิมบัลล์เป็นพยานถึงสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำ เพื่อเรา ในหน้า 31–35 เราเรียนรู้ว่าเราต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับพรทุกประ การของการชดใช้ ท่านรู้สึกอย่างไรขณะเปรียบเทียบสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอด ทรงทำเพื่อเรากับสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้เราทำ

  • อ่านทวนทัศนะของประธานคิมบัลล์เกี่ยวกับวิธีที่เราจะทำให้พระเจ้าพอพระ ทัย (หน้า 33–34) พิจารณาว่าท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าพระเจ้าพอพระทัย ท่าน

  • ประธานคิมบัลล์สอนว่าเรามีความหวังในพระคริสต์ได้ทั้งในเวลานี้และในนิรันดรที่อยู่ข้างหน้า (หน้า 34–35) ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อเขามีความ หวังในพระคริสต์

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: ยอห์น 14:6, 21–23; 2 นีไฟ 9:5–13, 21–23; โมโรไน 7:41; 10:32–33; ค.พ. 19:15–19

อ้างอิง

  1. ดู Edward L. Kimball and Andrew E. Kimball Jr., Spencer W. Kimball (1977), 249–52.

  2. ใน “The Gospel of Love: Stories about President Spencer W. Kimball,” Ensign, Dec. 1985, 22–23.

  3. ใน Conference Report, Apr. 1978, 9; หรือ Ensign, May 1978, 7.

  4. The Teachings of Spencer W. Kimball, ed. Edward L. Kimball (1982), 7.

  5. “Spencer, the Beloved: Leader-Servant,” Ensign, Dec. 1985, 15.

  6. ใน Conference Report, Oct. 1946, 55–56.

  7. ใน Conference Report, Oct. 1974, 163; หรือ Ensign, Nov. 1974, 113.

  8. ใน Conference Report, Apr. 1964, 94; หรือ Improvement Era, June 1964, 496–97.

  9. ใน Conference Report, Oct. 1946, 64.

  10. ใน Conference Report, Oct. 1982, 6; หรือ Ensign, Nov. 1982, 6.

  11. Faith Precedes the Miracle (1972), 70.

  12. ใน Conference Report, Apr. 1977, 113; หรือ Ensign, May 1977, 76.

  13. ใน Conference Report, Oct. 1977, 111; หรือ Ensign, Nov. 1977, 73.

  14. ใน Conference Report, Apr. 1977, 117; หรือ Ensign, May 1977, 78.

  15. The Teachings of Spencer W. Kimball, 6.

  16. ใน Conference Report, Oct. 1946, 63, 64.

  17. ใน Conference Report, Apr. 1978, 7; หรือ Ensign, May 1978, 6.

  18. The Teachings of Spencer W. Kimball, 68.

  19. ใน Conference Report, Apr. 1978, 7; หรือ Ensign, May 1978, 6.

  20. “Absolute Truth,” Ensign, Sept. 1978, 6.

  21. “Christmas Message from the First Presidency to the Children of the World: Gifts That Endure,” Friend, Dec. 1982, 3.

  22. The Miracle of Forgiveness (1969), 339–40.

  23. “Jesus of Nazareth,” Ensign, Dec. 1980, 4.

  24. Ensign, Dec. 1980, 4.

  25. The Miracle of Forgiveness, 145.

  26. ใน Conference Report, Apr. 1972, 26; หรือ Ensign, July 1972, 37.

  27. ใน Conference Report, Apr. 1964, 99; หรือ Improvement Era, June 1964, 499.

  28. ใน Conference Report, Oct. 1978, 109–10; หรือ Ensign, Nov. 1978, 72.

  29. ใน Conference Report, Apr. 1956, 120.

  30. ใน Conference Report, Oct. 1978, 108–9; หรือ Ensign, Nov. 1978, 72.

Jesus Christ

“ข้าพเจ้าทราขวำพระเยซูคือพระคริสต์ พระขุตรขอวพระผู้เข็นเจ้าผู้ทรอพระชนม้”

resurrected Christ

“ความตายคือศัตรูตัวสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ทรงเอาชนะความตายนั้น และทรงสถาปนาการฟื้นคืนชีวิต”