คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 5: การสวดอ้อนวอน หลักประกันฤึงพลังทางวิญญาณ


บทที่ 5

การสวดอ้อนวอน หลักประกันฤึงพลังทางวิญญาณ

โดยพ่านการสวดอ้อนวอนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ เราจะใด้รับความรัก พลัง และความเข้มแข็ึงจากพระบิดาบนสวรรค์ของเรา

จากชีวิตของสเป็็ินเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

“ข้าพ เจ้ามักจะมีความรู้สีกที่ละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับการสวดอ้อน วอน พลังและพรของการสวดอ้อนวอน” ประธานสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบััลล์กล่าว “ในชั่วชีวิตนี้ข้าพเจ้าได้รับพรมากเกินกว่าจะขอบพระทัยได้หมด พระเจ้าทรงดีต่อข้าพเจ้าเสมอมา ข้าพเจ้ามีประสบการณ์มากมายในความเจ็บ ป่วยและในสุขภาพดีที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ในใจและ ในความคิดว่ามีพระผู้เป็ีนเจ้าในสวรรค์ พระองค์คือพระบิดาของเรา และพระ องค์ทรงได้ยินและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเรา”1

ประสบการณ์ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อประธานคิมมัลล์กับคาบิลลาภรรยาเดินทาง ไปการประชุมใหญ่ในนิวซีแลนด์ เมื่อพวกท่านไปถึงเมืองแฮมิิลตัน พวกท่าน ป่วยมากจนประธานคิมบัลล์ขอให้ประธานเอ็น. เอลดอน แทนเนอร์ที่ปรึกษาที่ หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุดไปร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมในเย็นวันนั้นแทนท่าน หลายชั่วโมงต่อมา ประธานคิมมัลล์ “ตกใจตื่นและถามดร. รัสเซลล์ เนลสันที่ นั่งเฝ้าท่านว่า ‘บราเดอร์เนลสัน โปรแกรมเย็นนี้เริ่มกี่โมงครับ’

“ ‘หนึ่งทุ่มครับประธานคิมมัลล์’

“ ‘ตอนนี้กี่โมงครับ’

“ ‘เกือบทุ่มแล้วครับ’

“สเป็ีนเซอร์เหงื่อโชกไปทั้งตัว ไข้ลดแล้ว… ท่านพูดว่า ‘บอกซิสเตอร์คิมมัลล์ว่าเราจะไป’

“คามิิลลาลุกจากเตียง ทั้งสองรีบแต่งตัวแล้วขึ้นรถไปสนามกีฬาใกล้ๆ ซึ่ง โปรแกรมเพิ่งเริ่ม ประธานแทนเนอร์อธิบายตอนเริ่มการประชุมว่าพวกท่านป่วย เกินกว่าจะมาร่วมได้ ในคำสวดอ้อนวอนเปีด เด็กหนุ่มชาวนิวซีแลนด์คนหนึ่ง ทูลอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าว่า ‘พวกข้าพระองค์เยาวชนนิวซีแลนด์สามร้อย คนมาชุมนุมกันที่นึ่โดยเตรียมตัวมานานเพื่อร้องเพลงและเตันรำให้ศาสดา ขอ พระองค์ทรงรักษาท่านและช่วยให้ท่านมาที่นึ่’ เมื่อสวดอ้อนวอนจบ รถยนต์ก็ พาสเป็นเซอร์และคานิลลาเข้ามา สนามกีฬาดังกึก้อ้องในทันทีด้วยเสียงโห่ร้อง ต้อนรับคำตอบการสวดอ้อนวอนชองพวกเขา”2

คำสอนของสเป็ีนเชอร์ ดับเบิลยู. คิมบิลล์

เราถูกเรียกร้องให้สวดอ้อนวอน เช่นเดียวกับถูกเรียกร้อง ให้รักษาพระบัญญัติข้ออื่น

การสวดอ้อนวอนไม่ใช่กิจกรรมที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ หากแต่เป็นพื้นฐาน ของศาสนาของเรา3

เหตุใดเราจึงสวดอ้อนวอน เพราะเราคือบุตรและธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ ผู้ซึ่งเราพึ่งพาสำหรับทุกสิ่งที่เราได้รับ—อาหาร เสื้อผ้า สุขภาพ ชีวิต การมอง เห็น การได้ยิน เสียง การเคลื่อนไหว แม้แต่สมองของเรา

… ท่านให้ลมหายใจ ชีวิต และการดำรงอยู่แก่ตัวท่านเองหรือ ท่านยืดวัน เวลาของท่านให้ยาวออกไปหนึ่งชั่วโมงได้ไหม ท่านจะเข้มแข็งหรือหากปราศจากของประทานแห่งสวรรค์ สมองของท่านเกิดขึ้นมาเองและท่านปั้นขึ้นมา อย่างนั้นหรือ ท่านสร้างชีวิตหรือทำให้ชีวิตยืนยาวกว่านี้ได้ไหม ท่านจะมีพลัง ทำสิ่งต่างๆ หรือไม่หากปราศจากพระเจ้าของท่าน ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังพบว่า มีหลายคนไม่สวดอ้อนวอน …

ท่านที่สวดอ้อนวอนห้างเป็นบางครั้ง เหตุใดจึงไม่สวดอ้อนวอนให้สมํ่าเสมอ กว่านี้ บ่อยกว่านี้ และนอบน้อมจริงใจกว่านี้ เวลามีค่ามาก ชีวิตสั้นมาก หรือ ศรัทธามีน้อยมากจนท่านสวดอ้อนวอนอย่างนั้นไม่ได้หรือ …

เราต่างก็อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดแน่นหนาต่อพระเจ้า ไม่มีใครบรรลุถึงความดี พร้อม ไม่มีใครไม่ผิดพลาด การสวดอ้อนวอนถูกเรียกร้องจากมนุษย์ทั้งปวงเช่น เดียวกับพรหมจรรย์ การรักษาวันแซบัธ ส่วนสิบ การดำเนินชีวิตตามพระวาจา แห่งปัญญา เข้าร่วมการประชุม และการเข้าสู่การแต่งงานของอาณาจักรชั้นสูง นึ่คือพระบัญญัติของพระเจ้าเช่นเดียวกับข้ออื่น4

สมัยที่ข้าพเจ้าเดินทางไปทั่วสเตคและคณะเผยแผ่ของศาสนาจักรเมื่อหลายปี ก่อน ข้าพเจ้ามักจะพบผู้คนที่อยู่ในความเดือดร้อนหรือขัดสนมาก คำถามข้อ แรกของข้าพเจ้าคือ “การสวดอ้อนวอนของท่านเป็นอย่างไร บ่อยแค่ไหน ท่าน ตั้งอกตั้งใจเพียงใดเมื่อท่านสวดอ้อนวอน” ข้าพเจ้าสังเกตว่าบาปมักจะเกิดขึ้น เมื่อเส้นทางการสื่อสารหยุดชะงัก เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสกับศาสดาใจเซฟ สมิธว่า “อะไรที่เรากล่าวกับคนหนึ่งเรากล่าวกับทุกคน จงสวดอ้อนวอนเสมอ เกลือกคนชั่วร้ายคนนั้นจะมีอำนาจในเจ้า” (ค.พ. 93:49)5

ในโลกทุกวันนี้ต้องการการสวดอ้อนวอนมากเพราะการสวดอ้อนวอนเป็น การเปิดช่องทางการสื่อสารและเราจะสามารถติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าได้ ไม่ควร มีใครในพวกเราที่ชีวิตมีแต่งานยุ่งจนเราไม่สามารถครุ่นคิดด้วยการสวดอ้อนวอน ได้ การสวดอ้อนวอนคือหลักประกันถึงพลังทางวิญญาณ6

การสวดอ้อนวอนของเราควรรวมถึงการแสดงความกตัญณู และการทูลวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์ด้วยความนอบน้อม ให้ทรงอวยพรเราและคนรอบข้าง

เราจะสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับอะไรบ้างในคำสวดอ้อนวอนของเรา เราควร แสดงความกตัญญด้วยความยินดีและจริงใจต่อพรที่ผ่านมา พระเจ้าตรัสว่า “และเจ้าต้องถวายความขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในพระวิญญาณสำหรับพรใดก็ ตามที่เจ้าได้รับ” (ค.พ. 46:32) วิญญาณที่ยอดเยี่ยมและมั่นใจเกิดกับเราเมื่อ เราแสดงความกตัญญที่จริงใจต่อพระบิดาบนสวรรค์สำหรับพรของเรา—สำหรับ พระกิตติคุณและความรู้ในพระกิตติคุณที่เราได้รับ สำหรับความพยายามและการ ทำงานหมักของบิดามารดาและผู้อื่นเพื่อเรา สำหรับครอบครัวและมิตรสหาย สำหรับโอกาส สำหรับความคิด ร่างกาย และชีวิต สำหรับประสบการณ์ที่ดืและ เป็นประโยชน์ตลอดชีวิตเรา สำหรับความช่วยเหลือของพระบิดา ความเมตตา และคำสวดอ้อนวอนทั้งหมดที่ทรงตอบ

เราสามารถสวดอ้อนวอนให้ผู้นำของเราได้ เปาโลเขียนว่า

“เหตุฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลายให้วิงวอนอธิษฐานทูล ขอและขอบพระคุณเพื่อคนทั้งปวง

“เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและคนทั้งปวงที่มีตำแหน่งสูง” (1 ทิโมธี 2:1–2)

เราจะเกิดความภักดีต่อประเทศชาติและต่อกฎหมายที่ปกครองเราถ้าเราสวด อ้อนวอน เราจะมีความรักและศรัทธาในผู้นำศาสนาจักรมากขึ้นและลูกของเรา จะเคารพพวกเขา เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ศาสนาจักรเลยอ้าเราสวดอ้อน วอนให้พวกเขา นับเป็ีนเรื่องน่ายินดีที่ตลอดชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสนับสนุนผู้นำ สวดอ้อนวอนเพื่อความผาสุกของพวกเขา และเมื่อไม่กี่ปีมฺานี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า พลังอันยิ่งใหญ่มาถึงข้าพเจ้าเพราะคำสวดอ้อนวอนแบบนี้ของสิทธิชนขึ้นถึง สวรรค์เพื่อข้าพเจ้า

งานสอนศาสนาที่กำลังแผ่ไปทั่วทุกพื้นที่ควรเป็นจุดมุ่งหมายในการสวดอ้อน วอนของเราเสมอ เราสวดอ้อนวอนขอให้ประเทศต่างๆ เปิดประตูรับพระกิตติ คุณ เราสวดอ้อนวอนขอโอกาสและการนำทางเพื่อแบ่งปันข่าวพระกิตติคุณอัน น่าชื่นชมยินดีกับผู้อื่น เมื่อเด็กแต่ละคนสวดอ้อนวอนตลอดชีวิตเขาเพื่องานสอน ศาสนา เขาจะเป็นผู้สอนศาสนาที่ดี

… เราสวดอ้อนวอนให้บุคคลที่เรารู้สึกว่าเป็ีนศัตรู เพราะเราระลึกถึงพระดำ รัสแนะนำอันลํ้าเลิศและทรงพลังของพระเจ้าที่ว่า “แต่เราบอกท่านทั้งหลายที่ กำลังฟ้งอรู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรคนที่ แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน” (ลูกา 6:27–28) คนๆ นั้น จะยังมีศัตรูอีกหรือเมื่อเขาสวดอ้อนวอนให้คนรอบข้างผู้ที่เขาอาจจะมีความรู้สึก ไม่ดีต่อคนนั้น

เราสวดอ้อนวอนขอปัญญา วิจารณญาณ และความเข้าใจ เราสวดอ้อนวอน ขอการคุ้มครองในสถานที่อันตราย ขอความเข้มแข็งในชั่วขณะของการล่อลวง เรานึกถึงบุคคลที่เรารักและมิตรสหาย เรากล่าวกำสวดอ้อนวอนทุกขณะในกำพูด หรือความคิด ออกเสืยงหรือในใจ เรามีกำสวดอ้อนวอนอยู่ในใจเสมอเพื่อเราจะ ทำกิจกรรมประจำวันได้ดี คนๆ นั้นจะทำชั่วได้หรือเมื่อกำสวดอ้อนวอนที่ชื่อ สัตย์อยู่ในใจและที่ริมฟีปากของเขา

เราสวดอ้อนวอนเพื่อชีวิตแต่งงานของเรา ลูกๆ ของเรา เพื่อนบ้้านของเรา งานของเรา การตัดสินใจของเรา งานมอบหมายของเราในศาสนาจักร ประจักษ์ พยานของเรา ความรู้สืกของเรา เป้าหมายของเรา โดยแท้แล้วเราทำตามคํา แนะนำที่ยอดเยี่ยมของอมิวเล็คและเราสวดอ้อนวอนขอความเมตตา เราสวด อ้อนวอนขอปัจจัยในการดำรงชีวิต เพื่อคนในครอบครัวและต่ออ้านพลังของศัตรู เราสวดอ้อนวอน “ต่ออ้านมาร ซึ่งเป็นศัตรูของความชอบธรรมทั้งมวล” และ เพื่อพืชผลในทุ่งของเรา และเมื่อเราไม่ร้องทูลพระเจ้า “ก็ขอให้ใจ [เรา] จงอิ่ม เอิบ และออกมาเป็นการสวดอ้อนวอนพระองค์ตลอดเวลาเพื่อความผาสุก [ของ เรา] และเพื่อความผาสุกของคนที่อยู่รอบๆ [เรา] ด้วย” (ดู แอลมา 34:18–27)7

เราสวดอ้อนวอนขอการให้อภัย ข้าพเจ้าเคยสัมภาษณ์ผู้บุ่งหวังจะเป็นผู้สอน ศาสนาจำนวนมาก บ่อยเหลือเกินที่ข้าพเจ้าพบว่าพวกเขาไม่สวดอ้อนวอน แม้ พวกเขาจะมีความโง่เขลาที่ไม่น่าให้อภัยก็ตาม “ทำไมคุณไม่สวดอ้อนวอน” ข้าพเจ้าฤาม “เมื่อคุณมีพันธะหนี้สินที่ต้องจ่ายคืน คุณคิดหรือว่าคุณจะเพิกเฉย ยักไหล่ และแก้ตัวว่าใครๆ ก็ทำเช่นนั้น คุณอายที่จะคุกเช่าหรือ คุณละอายต่อ พระคริสต์หรือ มีความไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าอยู่บ้างอย่างนั้นหรือ คุณไม่รู้หรือ ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ ทรงรัก และให้อภัยเมื่อการกสับใจเกิดขึ้น คุณรู้ ไหมว่าจะลบบาปไม่ได้และจะอภัยการล่วงละเมิดไม่ได้ฤ้าคุณหลบเลี่ยงหรือทำ เป็นหลงลืม”…

เราสวดอ้อนวอนขอทุกสื่งที่จำเป็น ลํ้าค่า และเหมาะสม ข้าพเจ้าได้ยินว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณสิบสิ่ปีวิงวอนพระเจ้าในการสวดอ้อนวอนเป็น ครอบครัวขอให้ทรงคุ้มครองแกะของครอบครัวซึ่งอยู่บนภูเขา วันนั้นหิมะตก และอากาศหนาวจัด ข้าพเจ้าได้ยินครอบครัวหนึ่งสวดอ้อนวอนขอฝนเมื่อเกิด ความแห้งแล้งแสนสาหัสและหาทางออกไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ยินเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือในการสอบที่จะมาถึงวันนั้น

เราอ้อนวอนเพื่อคนป่วยและคนมีทุกข์ด้วย พระเจ้าจะทรงฟังคำสวดอ้อน วอนที่จริงใจของเรา พระองค์อาจจะไม่รักษาพวกเขาให้หายเสมอไป แต่จะประ ทานสันติสุขหรือความกล้าหาญหรือความเข้มแข็งให้เขาทนได้ เราไม่ลืมสวด อ้อนวอนให้คนทั่วไปที่ต้องการพรมากกว่าคนที่ไม่สมบูรณ์ทางกายซึ่งได้แก่ คน ที่ท้อแท้และสับสน คนที่ถูกล่อลวง คนบาป และคนที่ถูกรบกวน

เราสวดอ้อนวอนเพื่อความผาสุกของลูกๆ ของเรา บางครั้งขณะที่ลูกเติบใหญ่ จะมีความดื้อรั้นเข้ามาในชีวิตเขาทั้งๆ ที่เราพูดและทำทั้งหมดแล้ว แอลมาพบ ว่าคำตักเตือนของท่านไม่มีผลต่อ [บุตรชาย] และท่านสวดอ้อนวอนให้ [เขา] และคำสวดอ้อนวอนของท่านเป็นคำสวดอ้อนวอนที่มีพลัง บางครั้งนั่นคือสิ่งที่ เหลือให้บิดามารดาทํา การสวดอ้อนวอนของคนชอบธรรมเกิดผลมากด้งที่พระ คัมภีร์กล่าว และเกิดผลมากในกรณีนี้ [ดู ยากอบ 5:16; โมไซยา 27:14]8

นับเป็นสิทธิพิเศษและความปีติยินดีที่ได้สวดอ้อนวอนพระบิดาในสวรรค์ นับเป็นพรอย่างยิ่งสำหรับเรา แต่ประสบการณ์ของเราไม่สิ้นสุดหลังจากเราสวด อ้อนวอนเสรืจ อมิวเล็คสอนอย่างถูกต้องดังนี้ “และนัดนี้ดูเถิด พี่น้องที่รักของ ข้าพเจ้า … หลังจากท่าน [สวดอ้อนวอนแล้ว] หากท่านหันหนีคนขัดสนและ คนเปลือยเปล่า และไม่เยี่ยมเยือนคนเจ็บและคนมีทุกข์ และให้ข้าวของของ ท่านหากท่านมีแก่คนที่อยู่ในความต้องการแล้ว—ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านว่า หาก ท่านไม่ทําสิ่งเหล่านี้ ดูเฤิด การสวดอ้อนวอนของท่านก็ไร้ประโยชน์และไม่ช่วย อะไรท่านเลย และท่านเป็นดังคนหน้าซื่อใจคดผู้ได้ปฏิเสธความเชื่อ” (แอลมา 34:28) เราต้องไม่ลืมว่าเราต้องดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอย่างซื่อสัตย์และ จริงใจเช่นที่เราสวดอ้อนวอน9

ในการสวดอ้อนวอนเป็ีนส่วนตัวนั้น เราสามารถติดต่อกับ พระผู้เป็ีนเจ้าได้และเรียนรู้พระประสงค์ของพระองค์

เราสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับบางเรื่องได้ดีที่สุดในสถานที่ส่วนตัว ที่ซึ่งไม่ต้องคำ นึงถึงเวลาและการถูกผู้อื่นล่วงรู้ความลับ การสวดอ้อนวอนคนเดียวได้ผลและ เกิดประโยชน์ การสวดอ้อนวอนตามลำพังช่วยให้เราหลุดพ้นความอายหรือการ เสแสร้ง การหลอกลวงที่ยืดเยื้อ ช่วยให้เราเปิดใจ ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ในการแสดงความหวังและทัศนคติทั้งหมดของเรา

ข้าพเจ้าประทับใจมานานเกี่ยวกับการต้องมีความเป็นส่วนตัวในการสวดอ้อน วอนส่วนตัวของเรา บางครั้งพระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นความจำเป็นที่จะทรงหา สถานที่ในภูเขาหรือที่สงัดเพื่อสวดอ้อนวอน ทำนองเดียวกัน อัครสาวกเปาโล ไปอยู่ในที่สงัดคนเดียวหลังจากการเรียกครั้งใหญ่ของเขา อีนัสอยู่ในที่ลับตาคน เพื่อติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า โจเซฟ สมิธพบความเป็นส่วนตัวในป่าที่มีแต่นก กับต้นไม้ และพระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคำสวดอ้อนวอนของท่าน พึงสังเกตคำสำคัญ บางคำในเรื่องของท่าน “เช่นนั้นเพื่อให้เป็นไปตามนี้ ความตั้งใจของข้าพเจ้าที่ จะทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึง (ปลีกตัว) เข้าโป ในป่าเพื่อพยายามดู … มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่พยายามเช่นนั้น เพราะท่ามกลางความ กังวลทั้งหมดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่เคยพยายามสวดอ้อนวอนโดย ออก เสียง เลย” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:14; เน้นตัวเอน)

เราเองก็ควรพยายามหาห้อง มุม ที่มิดชิด หรือสถานที่ที่เราจะสามารถ “ปลีก ตัว” “สวดอ้อนวอนโดยออกเสียง” ในที่ลับตาได้ด้วย เราจำได้ว่าพระเจ้าทรง สั่งสอนเราหลายครั้งให้สวดอ้อนวอนออกเสียง “และอนึ่ง เราสั่งเจ้าว่าเจ้าจง สวดอ้อนวอนโดยออกเสียงเช่นเดียวกับสวดในใจ แท้จริงแล้วต่อโลกเช่นเดียว กับในที่ลับ ในชุมนุมชนเช่นเดียวกับในที่เฉพาะ” (ค.พ. 19:28.)10

ฤ้าในช่วงเวลาพิเศษเหล่านี้ของการสวดอ้อนวอน เรายังปิดบังพระเจ้า นั่น อาจจะหมายความว่าเราอาจจะถูกระงับพรบางอย่าง แท้ที่จริงเราสวดอ้อนวอน ในฐานะผู้วิงวอนอยู่เบื้องพระพักตร์พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงปรีชาญาณ แล้ว เหตุใดเราจึงคิดจะปิดบังความรู้สึกหรือความนึกคิดซึ่งแสดงถึงความต้องการ และพรของเราเล่า11

การสวดอ้อนวอนของเราต้องไม่มีการตบตา ความหน้าซื่อใจคด เพราะจะมี การหลอกลวงไม่ได้ พระเจ้าทรงทราบสภาพที่แท้จริงของเรา เราทูลพระเจ้าหรือ ไม่ว่าเราดีเพียงใดหรือเราอ่อนแอเพียงใด เราไม่มีอะไรปกปีดพระองค์ เราทูลวิง วอนพระองค์ไนความสุภาพ ความจริงใจ และด้วย “ใจที่ชอกชํ้าและวิญญาณที่ สำปึกผิด” หรือไม่ หรือเราเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่อวดอ้างว่าตนทำตามกฎของ โมเสสดีเหลือเกิน [ดู อีเธอร์ 4:15; ลูกา 18:11–12] เราใช้คำพูดซํ้าๆ และวลี เดิมๆ หรือเราพูดกับพระเจ้าอย่างสนิทสนมตราบที่โอกาสเรียกร้อง เราสวด อ้อนวอนเป็ีนครั้งคราวหรือไม่ทั้งที่เราควรสวดอ้อนวอนเป็ีนประจำ บ่อยๆ และ ตลอดเวลา12

การสวดอ้อนวอนคือสิทธิพิเศษ—ไม่เพียงพูดกับพระบิดาในสวรรค์เท่านั้น แต่ได้รับความรักและการดลใจจากพระองค์ด้วย เมื่อจบการสวดอ้อนวอน เรา ต้องตั้งใจพิง—อาจจะหลายนาที เราสวดอ้อนวอนขอคำแนะนำและความช่วย เหลือไปแล้ว และตอนนี้เราต้อง “นิ่งเสีย และรู้เถอะว่า [พระองค์คือ] พระ เจ้า” (สดุดี 46:10)13

เราควรจัดเวลาสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวทุกวัน

ศาสนาจักรขอให้มีการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวทุกคํ่าเช้า นั่นคือการคุก เข่าสวดอ้อนวอนกับทุกคนหรือกับสมาชิกหลายๆ คนในครอบครัวเท่าที่จะเป็น ไปได้… สมาชิกทุกคนในครอบครัว รวมถึงเด็กเล็กๆ ควรมีโอกาสกล่าวคำสวด อ้อนวอนตามการกำกับดูแลของผู้นำซึ่งโดยปกติคือบิดาผู้ดำรงฐานะปุโรหิต แต่ มารดาจะทำแทนถ้าบิดาไม่อยู่ และบุตรคนโตจะทำแทนถ้าบิดามารดาไม่อยู่14

พระบิดาในสวรรค์ของเราประทานพรแห่งการสวดอ้อนวอนเพื่อช่วยให้เรา ประสบความสำเร็จในกิจกรรมสำคัญทั้งหมดของครอบครัวและชีวิต ข้าพเจ้า ทราบว่าถ้าเราสวดอ้อนวอนอย่างตรงไปตรงมาและด้วยศรัทธาแรงกล้า ทั้งโดย ส่วนตัวและเป็นครอบครัว เมื่อเราลุกขึ้นในตอนเช้าและเมื่อเราเช้านอนตอน กลางคืน และรอบโต๊ะอาหาร เราจะไม่เพียงผูกพันกันฉันบุคคลที่รักกันเท่านั้น แต่เราจะเติบโตทางวิญญาณด้วย เราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระบิดา บนสวรรค์ขณะที่เราพยายามเรียนรู้ความจริงพระกิตติคุณและดำเนินชีวิตตามนั้น และขณะที่เราแสวงหาความช่วยเหลือจากพระองค์ในการตัดสินใจของชีวิต15

การสวดอ้อนวอนเป็นกลุ่มครอบครัวควรมีความยาวและองค์ประกอบเหมาะ แก่ความต้องการ การสวดอ้อนวอนของ … สามีภรรยาจะแตกต่างจากการสวด อ้อนวอนสำหรับครอบครัวที่ลูกโตแล้วหรือสำหรับครอบครัวที่ลูกยังเล็กอยู่ แน่นอนว่าไม่ควรสวดอ้อนวอนยาวเมื่อมีเด็กเล็กอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจ จะสูญเสืยความสนใจ เมื่อหน่ายการสวดอ้อนวอนและถึงกับไม่ชอบสวดอ้อน วอน เมื่อเด็กสวดอ้อนวอน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสวดอ้อนวอนยาวเกินไป ตัวอย่างเช่น การสวดอ้อนวอนของพระเจ้ายาวประมาณสามสิบวินาที และแน่ นอนว่าเราสามารถขอบพระทัยและขอไดมากในการสวดอ้อนวอนหนึ่งหรีอสอง หรือสามนาที แม้จะเห็นได้ชัดว่ามีหลายครั้งที่น่าจะส์อสารยาวกว่านั้น16

เมื่อเราคุกเข่าในการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ลูกๆ ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ เรา กำลังเรียนรู้นิสัยที่จะอยู่กับเขาตลอดชีวิต ถ้าเราไม่ใช้เวลาสวดอ้อนวอน สิ่งที่ เรากำลังบอกลูกๆ คือ “การสวดอ้อนวอนไม่สำกัญเท่าใดลัก เราจะไม่กังวล เรื่องนั้น ถ้าเราทําได้สะดวก เราจะสวดอ้อนวอน แต่ฤ้าโรงเรียนเคาะระฆังและ รถโดยสารกำลังมาและที่ท่างานเรียก—การสวดอ้อนวอนไม่สำคัญเลยและเรา จะสวดอ้อนวอนเมี่อสะดวก” หากไม่วางแผนย่อมไม่มีวันสะดวก17

ไม่มีมารดาคนใดส่งลูกเล็กๆ ออกไปโรงเรียนในตอนเช้าของฤดูหนาวโดยไม่ สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นป้ีองกันหิมะ ฝน และความหนาวเย็น แต่มีบิดาและมารดา จำนวนมากที่ส่งลูกๆ ไปโรงเรียนโดยปราศจากสิ่งคุ้มกันผ่านการสวดอ้อนวอน—เครื่องป้องกันการเปิดรับอันตรายที่ไม่รู้จัก คนชั่วร้าย และการล่อลวงที่ตํ่า ทราม18

ในอดีต การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัววันละครั้งอาจจะถือว่าใช้ได้ แต่ใน อนาคตไม่พอแน่นอนถ้าเราจะช่วยให้ครอบครัวรอด19

ในแวดวงครอบครัวเรา ลูกๆ จะเรียนรู้วิธีพูดคุยกับพระบิดาบนสวรรค์โดยฟัง บิดามารดา ไม่นานพวกเขาจะเห็นว่าการสวดอ้อนวอนของเราจริงใจและตรงไป ตรงมาเพียงใด ถ้าการสวดอ้อนวอนของเราเร่งรีบ จนถึงกับมีแนวโน้มว่าจะเป็น พิธีกรรมแบบไร้ความคิด พวกเขาก็จะเห็นสิ่งนี้ด้วย ดีกว่าที่เราจะทำในครอบ ครัวและเป็นส่วนตัวตามที่มอรมอนขอร้อง “ดังนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จง สวดอ้อนวอนพระบิดาด้วยสุดพลังของใจ” (โมโรไน 7:48)20

การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวมีมากกว่าการวิงวอนและการสวดอ้อนวอน ด้วยความกตัญฌู แต่คือการก้าวไปข้างหน้าสู่ความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันใน ครอบครัวและความสมานฉันท์ไนครอบครัว สร้างจิตสำนึกในครอบครัวและวิญ ญาณของการถ้อยทีถ้อยอาศัยในครอบครัว นี่คือชั่วขณะของวันอันเร่งรีบที่เสียง วิทยุดังลั่นเงียบงันไป แสงไฟหรี่ลง ความคิดและใจทุกดวงหันเข้าหากันและหัน ไปหาความไม่สิ้นสุด ชั่วขณะที่โลกถูกปิดไม่ให้เข้าและสวรรค์ถูกโอบล้อมไว้ ข้างใน21

เมื่อเราสวดอ้อนวอนเป็นกลุ่ม เราควรสวดอ้อนวอน ให้เหมาะกับโอกาส

ขณะที่เราสวดอ้อนวอนเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะในบ้าน ในศาสนาจักร ในสภาพ แวดล้อมทางสังคมหรือต่อหน้าสาธารณชน เราควรระลึกถึงจุดประสงค์ของการ สวดอ้อนวอนของเรา นั่นคือ เพื่อสื่อสารกับพระบิดาในสวรรค์ ที่ยากพอๆ กัน คือข้าพเจ้าพบว่าเมื่อสวดอ้อนวอนกับผู้อื่นจะดีกว่าถ้าเจตคติของเราเกี่ยวข้อง กับการสิ่อสารด้วยความอ่อนโยนและตรงไปตรงมากับพระผู้เป็นเจ้าแทนที่จะ วิตกว่าผู้ฟังจะคิดอย่างไร แน่นอนว่าเราต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของการ สวดอ้อนวอนด้วยและนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมการสวดอ้อนวอนต่อหน้า สาธารณชนหรือแบ้แต่การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวจึงไม่สามารถเป็นการ สวดอ้อนวอนของเราทั้งหมดได้22

การสวดอ้อนวอนต่อหน้าสาธารณชนควรเหมาะกับโอกาสเสมอ การสวดอุทิศ อาจจะยาวกว่าแต่การสวดอ้อนวอนเปิดจะสั้นกว่ามาก อีกทั้งควรขอสิ่งที่จำเป็น สำหรับโอกาสนั้น การสวดอ้อนวอนปิดยิ่งสั้นกว่า เพราะนั่นคือการสวดอ้อน วอนขอบพระทัยและการจากลา การชโลมนํ้ามันเป็นส่วนที่สั้นและเฉพาะเจาะ จงของพิธีการและไม่ควรซํ้าซ้อนกับการผนึกซึ่งจะทำหลังจากนั้นและอาจจะ กล่าวเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในการเรียกพรลงมาให้ผู้รับ การให้พรอาหารไม่ จำเบ็นต้องยาว แต่ควรแสดงความกตัญญและขอพรให้อาหาร ทั้งใม่ควรชํ้ากับ การสวดอ้อนวอนเบ็นครอบครัวที่กล่าวไว้ข้างต้น23

เราได้ยินผู้สวดอ้อนวอนกล่าววาทคิลป์โน้มน้าวจิตใจจนถึงขั้นกล่าวเทศนา สั่งสอนบ่อยเพียงใด ผู้ฟังเบื่อหน่ายและไม่เกิดผลแต่อย่างใด24

เพราะพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักและรักเราที่สุด เราจึงวางใจคำตอบการสวดอ้อนวอนของพระองค์ได้

การสวดอ้อนวอนเป็นการสื่อสารทางเดียวใช่หรือไม่ ไม่ใช่!…

การเรียนรู้ภาษาของการสวดอ้อนวอนเป็นประสบการณ์ชั่วชีวิตที่น่ายินดี บางครั้งสมองเราเต็มไปด้วยความคิดขณะที่เราพังหลังจากสวดอ้อนวอน บางครั้ง ความรู้สืกต่างๆ ประดังเข้ามา วิญญาณแห่งความเงียบสงบรับรองกับเราว่าทุก อย่างจะราบรื่น แต่เราจะประสบความรู้สืกที่ดีเสมอถ้าเราซื่อสัตย์และจริงจัง—ความรู้สึกถึงความรักที่มีต่อพระบิดาในสวรรค์และรู้สึกถึงความรักที่พระองค์ ทรงมีต่อเรา ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่พวกเราบางคนไม่เรียนรู้ความหมาย ของความอบอุ่นอันเงียบสงบทางวิญญาณ เพราะสิ่งนั้นเป็นพยานต่อเราว่าพระ องค์ทรงพังคำสวดอ้อนวอนของเรา และเนื่องจากพระบิดาในสวรรค์ทรงรักเรา ด้วยความรักแม้มากกว่าที่เรารักตัวเราเอง นั่นจึงหมายความว่าเราวางใจในพระ กรุณาธิคุณของพระองค์ไต้ เราวางใจพระองค์ได้ นั่นหมายความว่าถ้าเราอังคง สวดอ้อนวอนต่อไปและดำเนินชีวิตอย่างที่ควรทำ พระหัตถ์ของพระบิดาจะทรง นำทางและอวยพรเรา

และด้วยเหตุนี้ในการสวดอ้อนวอนของเรา เราจะกล่าวว่า “ขอให้เป็นไป ตามพระประสงค์ของพระองค์”—และหมายความเช่นนั้น เราจะไม่ขอคำแนะมํา จากผู้นำแล้วใม่สนใจ เราต้องไม่ขอพรจากพระเจ้าแล้วเพิกเฉยคำตอบ เพราะ เหตุนี้เราจึงสวดอ้อนวอนว่า “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ โอ้ พระเจ้า พระองค์ทรงทราบดีที่สุด พระบิดาผู้ทรงเมตตา ข้าพระองค์จะยอมรับ และทำตามการนำทางของพระองค์อย่างสำนึกในพระกรุณา”25

เราควรสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธา แต่ด้วยการรับรู้ว่าเบื่อพระเจ้าทรงตอบ คำ ตอบอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังหรือปรารถนา ศรัทธาของเราต้องเป็นว่า สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกให้เรานั้นเหมาะสมแล้ว26

หลังจากสวดล้อนวอนมาชั่วชีวิต ข้าพเจ้ารู้ถึงความรัก พลัง และความเข้ม แข็งที่มาจากการสวดอ้อนวอนที่จริงใจและตรงไปตรงมา ข้าพเจ้ารู้ถึงความพร้อม ของพระบิดาที่จะทรงช่วยเราในประสบการณ์มรรตัยของเรา สอนเรา นำเรา นำ ทางเรา เพราะเหตุนี้ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ พระผู้ช่วยให้รอดของเราตรัสดังนี้ “อะไรที่เรากล่าวกับคนหนึ่งเรากล่าวกับทุกคน จงสวดอ้อนวอนเสมอ” (ค.พ. 93:49)

ถ้าเราจะทำเช่นนั้น เราจะได้ความรู้ด้วยตัวเราเองว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงได้ ยินและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนจริงๆ พระองค์ทรงด้องการให้เราแต่ละคนมี ความรู้นี้ จงแสวงหา! พี่ห้องชายหญิงที่รักของข้าพเจ้า จงแสวงหาความรู้นั้น!27

ข้อ เสนอ แนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • ชีวิตท่านจะต่างจากนี้อย่างไรล้าท่านไม่สวดอ้อนวอน ไตร่ตรองเหตุผลที่ว่าเหตุ ใดพระเจ้าทรงบัญชาเราให้สวดอ้อนวอน (หน้า 53–54)

  • อ่านทวนหน้า 54–57 เราได้รับอิทธิพลในทางใดเมื่อเราแสดงความกต้ญญใน การสวดอ้อนวอน และเมื่อเราสวดอ้อนวอนให้ผู้อื่น

  • อ่านทวนย่อหน้าที่สามในหน้า 57 เหตุใดการสวดอ้อนวอนของเราจึงไม่สม บูรณ์ถ้าเราไม่ “ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอย่างซื่อสัตย์และจริงใจเช่นที่เรา สวดอ้อนวอน”

  • ประธานคิมบัลล์กล่าวว่า “การสวดอ้อนวอนคนเดียวได้ผลและเกิดประโยชน์” (หน้า 58) เราทําอะไรได้บ้างเพื่อจัดเวลาสำหรับการสวดอ้อนวอนส่วนต้วที่มี ความหมาย ท่านคิดว่าเหตุใดบางครั้งการสวดอ้อนวอนออกเสืยงในการสวด อ้อนวอนเป็นส่วนตัวจึงมีประโยชน์ เหตุใดการพังจึงเป็นส่วนสำคัญของการ สวดอ้อนวอน

  • ในหน้า 59–61 ประธานคิมบัลล์พูดถึงพรที่มาจากการสวดอ้อนวอนเป็นครอบ ครัว ท่านเคยมีประสบการณ์ใดบ้างกับพรเหล่านี้ ครอบครัวจะทําอะไรได้ห้าง เพื่อจัดเวลาสำหรับการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวทุกเช้าคํ่า

  • ประธานคิมบัลล์สอนว่าการสวดอ้อนวอนในสภาพแวดล้อมที่เป็นกลุ่มควร เหมาะกับโอกาส (หน้า 61) เมื่อเราได้รับเชิญให้สวดอ้อนวอนเช่นนั้น ความ รับผิดชอบของเราคืออะไร เราเรียนรู้อะไรบ้างจากตัวอย่างของเด็กหนุ่มชาว นิวซีแลนด์ในเรื่องเล่าหน้า 52–53

  • อ่านย่อหน้าที่สามของหน้า 62 การสวดอ้อนวอนมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ ของท่านกับพระบิดาบนสวรรค์อย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวของ: สดุดี 55:17; มัทธิว 6:5–15; ยากอบ 1:5–6; 2 นีไฟ 32:8–9; 3 นีไฟ 18:18–21

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, Oct. 1979, 5; หรือ Ensign, Nov. 1979, 5.

  2. Caroline Eyring Miner and Edward L. Kimball, Camilla: A Biography of Camilla Eyring Kimball (1980), 182–84.

  3. Faith Precedes the Miracle (1972), 200.

  4. “Prayer,” New Era, Mar. 1978, 15, 17, 18.

  5. “Pray Always,” Ensign, Oct. 1981, 3.

  6. ใน Conference Report, Apr. 1979, 7; หรือ Ensign, May 1979, 6–7.

  7. Ensign, Oct. 1981, 4–5.

  8. Faith Precedes the Miracle, 205, 206.

  9. Ensign, Oct. 1981, 6.

  10. Ensign, Oct. 1981, 4.

  11. ใน Conference Report, Oct. 1979, 5; หรือ Ensign, Nov. 1979, 4.

  12. Faith Precedes the Miracle, 207.

  13. Ensign, Oct. 1981, 5.

  14. Faith Precedes the Miracle, 200–201.

  15. “Therefore I Was Taught,” Ensign, Jan. 1982, 4.

  16. Faith Precedes the Miracle, 201.

  17. The Miracle of Forgiveness (1969), 253.

  18. Faith Precedes the Miracle, 207.

  19. อ้างโดยเจมส์ อี. เฟาสท์ใน Conference Report, Oct. 1990, 41; or Ensign, Nov. 1990, 33.

  20. Ensign, Oct. 1981, 4.

  21. “Family Prayer,” Children’s Friend, Jan. 1946, 30.

  22. Ensign, Oct. 1981, 4.

  23. Faith Precedes the Miracle, 201.

  24. The Teachings of Spencer W. Kimball, ed. Edward L. Kimball (1982), 119–20.

  25. Ensign, Oct. 1981, 5.

  26. Faith Precedes the Miracle, 207.

  27. Ensign, Oct. 1981, 6.

President Kimball

“ไม่ควรมิใครในผวกเราทิ่ซิวิตมีเเต่งานยู่อจนเราไม่สามารถครู่นถิดด้วยการสวดอ้อนวอนได้”

bishop praying

“เราสวดอ้อนวอนเผื่อชีวิตเเต่งงานบองเรา จูกๆ บองเรา เผื่อนบัาบองเรา งานบองเรา การตัดสินใจบองรา งานมอบทํมาองเราในศาสนาจักร บระจักษ์ผยานบองเรา ความรู้กบองเรา เปัาทํมายบองเรา”

family praying

การสวดอ้อนวอนเม็นครอมคร้ว “คือการก้าวไปข้างหน้าสู่ความเม็นนํ้าหนิ่งใจเดิยวก้นในครอมคร้วและความสมานฉ้นท์ในครอบครัว”