คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 1: การฟื้นฟูพระกิตติคุณ—รุ่งอรุณของวันแจ่มจ้ากว่า


บทที่ 1

การฟื้นฟูพระกิตติคุณ—รุ่งอรุณของวันแจ่มจ้ากว่า

“พระกิตติคุณอันรุ่งโรจน์นี้เริ่มต้นพร้อมกับการปรากฏของพระบิดาและพระบุตรต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ตลอดชีวิตของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ ท่านมีความเคารพลึกซึ้งต่อผู้คนและสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ ท่านสำนึกคุณเป็นพิเศษต่อโจเซฟ สมิธและบทบาทของเขาในการฟื้นฟู ท่านพูดถึง “แรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้แสดงประจักษ์พยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าและพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ”1

คริสต์ศักราช 1935 เมื่อกอร์ดอนกำลังเดินทางกลับจากงานเผยแผ่ในอังกฤษ ท่านกับอดีตผู้สอนศาสนาคนอื่นๆ ไปเยือนป่าศักดิ์สิทธิ์และเนินเขาคาโมราห์ พวกท่านแวะที่คุกคาร์เทจด้วย สถานที่ซึ่งศาสดาพยากรณ์โจเซฟและไฮรัม สมิธถูกสังหารเป็นมรณสักขี พวกท่านเดินไปตามถนนดินของนอวู ซึ่งวิสุทธิชนพลัดถิ่นได้เปลี่ยนบริเวณหนองน้ำให้กลายเป็นเมืองงาม การใคร่ครวญเกี่ยวกับการทดลองและชัยชนะของวิสุทธิชนสมัยแรกบีบคั้นจิตใจกอร์ดอนอย่างไม่ต้องสงสัยขณะอยู่ในสถานที่เหล่านี้และเมื่อท่านเดินทางตามรอยผู้บุกเบิกไปทางตะวันตกจนถึงซอลท์เลคซิตี้

กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กลับไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการฟื้นฟูอีกหลายครั้งในทศวรรษต่อๆ มา ที่การประชุมให้ข้อคิดทางวิญญาณจากฝ่ายประธานสูงสุดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2000 ท่านแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวจากการเยือนป่าศักดิ์สิทธิ์ดังนี้

“หลายปีก่อนข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปการประชุมใหญ่สเตคโรเชสเตอร์ นิวยอร์ก วันเสาร์ข้าพเจ้ากล่าวกับพี่น้องชายที่อยู่กับข้าพเจ้าว่า ‘พรุ่งนี้ให้เราตื่นแต่เช้า เช้าตรู่วันอาทิตย์ เราจะไปป่าศักดิ์สิทธิ์ก่อนการประชุมใหญ่’ ทุกคนเห็นด้วย ดังนั้น เช้าตรู่ของวันสะบาโตในฤดูใบไม้ผลินั้น ประธานคณะเผยแผ่ ประธานสเตค ตัวแทนเขต และข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปในป่าที่พอลไมรา ไม่มีคนอื่นอยู่ที่นั่น ป่าเงียบสงบและสวยงาม ฝนตกช่วงกลางคืน ต้นไม้ระบัดใบอ่อน

“เราพูดคุยกันเบาๆ เราคุกเข่าบนดินชื้นและสวดอ้อนวอน เราไม่ได้ยินเสียงใดๆ เราไม่เห็นนิมิต แต่เราตระหนักแน่แก่ใจเราแต่ละคนอย่างไม่อาจอธิบายได้ว่า ใช่ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่นี่ตามที่โจเซฟบอก ที่นี่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเราและพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ทรงปรากฏต่อเด็กหนุ่มวัย 14 ปีและตรัสกับท่าน แสงสว่างอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์ตกต้องท่านและพระองค์รับสั่งกับท่านในสิ่งที่ท่านควรทำ

“โอกาสอันล้ำเลิศนั้นหรือนิมิตแรกแหวกม่านให้การฟื้นฟูศาสนจักรของพระคริสต์บนแผ่นดินโลก ศาสนจักรออกจากแดนทุรกันดารแห่งความมืด ออกจากความสิ้นหวังของอดีตกาลเข้าสู่รุ่งอรุณเจิดจ้าของวันใหม่ พระคัมภีร์มอรมอนตามมาเป็นพยานอีกเล่มหนึ่งของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ฐานะปุโรหิตอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้รับการฟื้นฟูภายใต้มือผู้ดำรงฐานะปุโรหิตนี้ในสมัยโบราณ ท่านเหล่านั้นมอบกุญแจและพลังอำนาจให้ท่านศาสดาพยากรณ์และเพื่อนร่วมงาน ศาสนจักรสมัยโบราณอยู่บนแผ่นดินโลกอีกครั้งพร้อมด้วยพร พลังอำนาจ หลักคำสอน กุญแจ และหลักธรรมทุกประการของสมัยการประทานทั้งหลายก่อนหน้านี้ นี่คือศาสนจักร [ของพระคริสต์] มีพระนามของพระองค์ ปกครองโดยฐานะปุโรหิตของพระองค์ ไม่มีนามอื่นใดภายใต้ฟ้าสวรรค์ซึ่งมนุษย์ต้องได้รับการช่วยให้รอดโดยนามนั้น โจเซฟ สมิธ…กลายเป็นพยานคนสำคัญของพระองค์”2

นิมิตแรก

นิมิตแรกเริ่ม “บทสุดท้ายในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงติดต่อกับชายหญิงบนแผ่นดินโลก”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

หลังจากพระผู้ช่วยให้รอดสิ้นพระชนม์ ศาสนจักรที่พระองค์ทรงสถาปนาค่อยๆ ก้าวไปสู่การละทิ้งความเชื่อ

[พระเยซูคริสต์] ทรงเป็นพระบุคคลที่สำคัญยิ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ ทรงเป็นจุดสูงสุดของยุคสมัยและกาลเวลาของมนุษย์ทั้งปวง

ก่อนการสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสอง พวกท่านดำเนินงานอยู่ช่วงหนึ่ง ศาสนจักรของพระองค์ดำเนินไปตามระเบียบแบบแผน3

หลังจากพระผู้ช่วยให้รอดสิ้นพระชนม์ ศาสนจักรที่พระองค์ทรงสถาปนาค่อยๆ ก้าวไปสู่การละทิ้งความเชื่อ ถ้อยคำของอิสยาห์เกิดสัมฤทธิผล ท่านกล่าวว่า “โลกเป็นมลทินเนื่องด้วยผู้อาศัยของมัน เพราะเขาทั้งหลายละเมิดธรรมบัญญัติ ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ และหักทำลายพันธสัญญานิรันดร์นั้น” (อิสยาห์ 24:5)4

จดหมายของเปาโลร้องขอความเข้มแข็งในหมู่ผู้ติดตามพระคริสต์ ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะตกไปในทางของคนชั่วคนนั้น แต่ในที่สุดวิญญาณของการละทิ้งความเชื่อก็มีอำนาจเหนือกว่า5

หลายศตววรษผ่านไป เมฆหมอกแห่งความมืดปกคลุมแผ่นดินโลก อิสยาห์บรรยายว่า “เพราะว่าดูสิ ความมืดจะปกคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย” (อสย. 60:2)

นี่เป็นฤดูกาลของการปล้นและความทุกข์ทรมานอันเกิดจากต่อสู้อย่างกระหายเลือดมายาวนาน … นี่เป็นยุคของความสิ้นหวัง เวลาของเจ้านายและข้าทาสบริวาร

พันปีแรกผ่านไป และพันปีที่สองเริ่มต้น ศตวรรษต้นๆ ต่อเนื่องมาจากพันปีก่อน เป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความกลัวและความทุกข์ทรมาน6

2

ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการและยุคปฏิรูปช่วยเตรียมทางสำหรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในฤดูกาลอันยาวนานของความมืดนั้น มีผู้จุดเทียนไข ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการมาพร้อมกับช่วงเวลาที่เบ่งบานของการเรียนรู้ ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ มีการเคลื่อนไหวของชายหญิงที่องอาจกล้าหาญผู้แหงนมองสวรรค์ด้วยความรู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรของพระองค์ เราพูดถึงยุคนี้ว่าเป็นยุคปฏิรูป7

นักปฏิรูปมุ่งไปที่การเปลี่ยนศาสนา [คริสต์] มีหลายคนที่โดดเด่น อาทิ ลูเธอร์, เมลันค์ทอน, ฮัส, ซวิงลี, และทินเดล คนเหล่านี้กล้าหาญมาก บางคนทนรับความตายที่โหดร้ายเพราะความเชื่อของพวกเขา นิกายโปรเตสแตนท์ถือกำเนิดพร้อมการเรียกร้องให้ปฏิรูป เมื่อการปฏิรูปไม่บรรลุผลสำเร็จ นักปฏิรูปจึงจัดตั้งศาสนจักรของตน พวกเขาทำเช่นนั้นโดยปราศจากสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต ความปรารถนาประการหนึ่งของพวกเขาคือหาช่องเล็กๆ บนผนังไว้บูชาพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขารู้สึกว่าควรบูชา

ขณะที่ความสับสนอลหม่านครั้งใหญ่นี้กำลังสร้างความระส่ำระสายทั่วโลกของชาวคริสต์ ทัพการเมืองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ตามมาด้วยสงครามปฏิวัติอเมริกา ส่งผลให้เกิดประเทศที่รัฐธรรมนูญประกาศว่าฝ่ายปกครองไม่ควรยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา วันใหม่เริ่มต้นแล้ว วันอันน่าชื่นชมยินดี อเมริกาไม่มีศาสนาประจำรัฐอีกต่อไป ไม่มีศาสนาหนึ่งเป็นที่นิยมชมชอบมากกว่าอีกศาสนาหนึ่ง

หลังจากหลายศตวรรษของความมืด ความเจ็บปวด และการล้มลุกคลุกคลาน เวลาก็สุกงอมสำหรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณกล่าวถึงวันที่เฝ้ารอมานานนี้

ประวัติศาสตร์ทั้งหมดในอดีตบ่งชี้ช่วงเวลานี้ หลายศตวรรษที่มีทั้งความทุกข์ทรมานและความหวังทั้งหมดของพวกเขาล้วนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พระผู้พิพากษาผู้ทรงฤทธานุภาพของประชาชาติ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ทรงตัดสินว่าเวลาที่ศาสดาพยากรณ์พูดไว้มาถึงแล้ว ดาเนียลมองเห็นล่วงหน้าว่าหินก้อนหนึ่งถูกตัดจากภูเขาไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์และกลายเป็นภูเขาลูกใหญ่เต็มแผ่นดินโลก [ดู ดาเนียล 2:35, 44]8

3

การฟื้นฟูเริ่มต้นพร้อมกับการปรากฏของพระบิดาและพระบุตรต่อโจเซฟ สมิธ

หลังจากคนหลายรุ่นดำเนินชีวิตบนแผ่นดินโลก—หลายคนตกอยู่ในความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ความมืด และความชั่วร้าย—วันใหม่อันสำคัญยิ่งของการฟื้นฟูก็มาถึง พระกิตติคุณอันรุ่งโรจน์นี้เริ่มต้นพร้อมกับการปรากฏของพระบิดาและพระบุตรต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ9

นิมิตในปี ค.ศ. 1820 น่าทึ่งยิ่งนักเมื่อโจเซฟสวดอ้อนวอนในป่าและที่นั่นทั้งพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏตรงหน้าท่าน องค์หนึ่งรับสั่งกับท่าน โดยทรงเรียกชื่อท่านและตรัสพลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง “นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17)

ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เหตุการณ์อันชวนให้สงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงสำคัญมากที่ทั้งพระบิดาและพระบุตรต้องทรงปรากฏ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเพราะทั้งสองพระองค์จะทรงเริ่มสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา สมัยการประทานสุดท้ายและท้ายสุดของพระกิตติคุณ เมื่อจะรวมองค์ประกอบของทุกสมัยการประทานก่อนหน้านี้ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ต้องเป็นบทสุดท้ายในประวัติศาสตร์อันยาวนานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงติดต่อกับชายและหญิงบนแผ่นดินโลก10

สิทธิ์ทุกอย่างที่เราอ้างเกี่ยวกับสิทธิอำนาจจากสวรรค์ ความจริงทุกประการที่เรามอบให้เกี่ยวกับความถูกต้องของงานนี้ ล้วนมีรากฐานอยู่ในนิมิตแรกของศาสดาพยากรณ์หนุ่ม หากปราศจากนิมิตแรกเราคงไม่มีเรื่องใดจะกล่าวได้มากนัก นี่เป็นการยกม่านครั้งใหญ่ของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟื้นฟูพลังอำนาจ ของประทาน และพรทั้งหลายของสมัยการประทานก่อนหน้านี้ทั้งหมด11

4

สิทธิอำนาจและกุญแจฐานะปุโรหิตได้รับการฟื้นฟู

รูปปั้นการฟื้นฟูฐานะปุโรหิต

สิทธิอำนาจและกุญแจของฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู

ในการฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วได้วางมือบนศีรษะโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรีและกล่าวว่า “แก่ท่านเพื่อนผู้ร่วมรับใช้ทั้งหลายของข้าพเจ้า, ในพระนามของพระเมสสิยาห์ ข้าพเจ้าประสาทฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน, ซึ่งถือกุญแจทั้งหลายแห่งการปฏิบัติของเหล่าเทพ, และของพระกิตติคุณแห่งการกลับใจ, และของบัพติศมาโดยลงไปในน้ำทั้งตัวเพื่อการปลดบาป” (คพ. 13:1)12

เหตุการณ์ดังกล่าวตามมาด้วยการเยือนของเปโตร ยากอบ และยอห์น เหล่าอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ผู้ประสาทฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคให้โจเซฟและออลิเวอร์ คาวเดอรี ซึ่งอัครสาวกเหล่านี้ได้รับภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้าพระองค์เอง13

อัครสาวกทั้งสามท่าน [ของพระผู้ช่วยให้รอด]—เปโตร ยากอบ และยอห์น—ปรากฏต่อโจเซฟและออลิเวอร์ที่ใดที่หนึ่ง “ในแดนทุรกันดาร” ริมแม่น้ำซัสเควฮันนา (ดู คพ. 128:20) อัครสาวกทั้งสามวางมือบนศีรษะพวกท่านและประสาทสิทธิอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ …

ข้าพเจ้าสามารถสืบสายอำนาจฐานะปุโรหิตของข้าพเจ้าย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ ดังต่อไปนี้ ผู้วางมือแต่งตั้งข้าพเจ้าคือเดวิด โอ. แมคเคย์ ผู้วางมือแต่งตั้งเดวิดคือโจเซฟ เอฟ. สมิธ ผู้วางมือแต่งตั้งโจเซฟคือบริคัม ยังก์ ผู้วางมือแต่งตั้งบริคัมคือพยานสามคน ผู้วางมือแต่งตั้งท่านทั้งสามคือโจเซฟ สมิธ จูเนียร์ และออลิเวอร์ คาวเดอรี ผู้วางมือแต่งตั้งท่านทั้งสองคือเปโตร ยากอบ และยอห์น ซึ่งทั้งสามท่านนี้พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงวางพระหัตถ์แต่งตั้ง

[ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคแต่ละคน] มีสายอำนาจในทำนองเดียวกัน พี่น้องชายแต่ละท่านที่ดำรงฐานะปุโรหิตนี้ล้วนได้รับฐานะปุโรหิตสายตรงจากเปโตร ยากอบ และยอห์น14

5

โดยผ่านโจเซฟ สมิธ พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงที่ทำให้เราต่างจากศาสนจักรอื่น

ข้าพเจ้าขออนุญาตบอกหลักคำสอนและหลักปฏิบัติบางประการซึ่งทำให้เราต่างจากศาสนจักรอื่นทั้งหมด และหลักคำสอนทั้งหมดนี้มาจากการเปิดเผยต่อท่านศาสดาพยากรณ์วัยหนุ่ม พวกท่านรู้จักดี แต่สมควรนำมากล่าวย้ำและใคร่ครวญ

พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

เรื่องแรก … คือการปรากฏองค์ของพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ผู้คืนพระชนม์ การปรากฏครั้งใหญ่นี้ ในความเห็นของข้าพเจ้า ถือเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การประสูติ พระชนม์ชีพ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าในความเรืองโรจน์แห่งเวลา

เราไม่มีบันทึกเหตุการณ์ใดทัดเทียมเหตุการณ์นี้

หลายศตวรรษที่มนุษย์มาชุมนุมกันและโต้เถียงกันเกี่ยวกับพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า คอนสแตนตินเรียกประชุมนักวิชาการหลายฝ่ายที่เมืองไนเซียในปี 325 หลังจากถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนสองเดือน พวกเขาจึงตกลงกันได้เกี่ยวกับนิยามซึ่งเป็นถ้อยแถลงหลักคำสอนในบรรดาชาวคริสต์มาหลายรุ่นเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านอ่านนิยามดังกล่าวและเปรียบเทียบกับคำกล่าวของเด็กหนุ่มโจเซฟ ท่านกล่าวเพียงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยืนตรงหน้าท่านและตรัสกับท่าน โจเซฟเห็นพระองค์และได้ยินพระองค์ พระองค์ทรงมีรูปกายเหมือนมนุษย์ องค์สัตภาวะที่จับต้องได้ ประทับข้างพระองค์คือพระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระสัตภาวะอีกองค์หนึ่ง ผู้ที่พระองค์ทรงแนะนำว่าเป็นพระบุตรที่รักของพระองค์และโจเซฟพูดกับพระองค์เช่นกัน

ข้าพเจ้ายอมรับว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ของนิมิตอันน่าทึ่งนั้นโจเซฟ สมิธเรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่านักวิชาการและพระราชาคณะทุกคนในอดีต

การเปิดเผยจากเบื้องบนครั้งนี้ยืนยันอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัยเกี่ยวกับความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์จริงๆ ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์

ความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งปิดไว้ไม่ให้โลกรู้มาหลายศตวรรษ เป็นเรื่องสำคัญเรื่องแรกที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยต่อผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงเลือก15

พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานคู่กับพระคัมภีร์ไบเบิล

ภาพวาด พระเมษบาล

“พระคัมภีร์มอรมอน … พูดดังเสียงจากภัสมธุลีในประจักษ์พยานถึงพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”

ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผย

โลกของคริสต์ศาสนายอมรับว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าพระคัมภีร์ไบเบิลมาถึงเราอย่างไร

ข้าพเจ้าเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบ เป็นหนังสือที่เพิ่งจัดพิมพ์โดยนักวิชาการมีชื่อเสียงคนหนึ่ง จากข้อมูลที่เขาให้ปรากฏชัดว่าหนังสือต่างๆ ของพระคัมภีร์ไบเบิลตามที่เห็นถูกนำมารวมกันอย่างไม่เป็นระบบ ในบางกรณี ไม่ได้ผลิตงานเขียนออกมาจนหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้ว จึงมีคนถามว่า “พระคัมภีร์ไบเบิลจริงหรือไม่ เป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าจริงหรือ”

เราตอบว่าจริงตราบเท่าที่แปลถูกต้อง พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงอยู่ในการนั้น แต่เวลานี้พระคัมภีร์ไบเบิลไม่อยู่โดดเดี่ยว มีพยานอีกเล่มหนึ่งยืนยันความจริงอันสำคัญยิ่งที่อยู่ในนั้น

พระคัมภีร์ประกาศว่า “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปากจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้” (2 โครินธ์ 13:1)

พระคัมภีร์มอรมอนออกมาโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์เล่มนี้พูดดังเสียงจากภัสมธุลีในประจักษ์พยานถึงพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์มอรมอนพูดถึงการประสูติ การปฏิบัติศาสนกิจ การตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ การปรากฏองค์ต่อคนชอบธรรมในแผ่นดินอุดมมั่งคั่งที่ทวีปอเมริกา

นี่เป็นหนังสือที่จับต้องได้ อ่านได้ และทดสอบได้ ในปกหนังสือมีคำสัญญาถึงที่มาอันศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือ เวลานี้คนหลายล้านคนทดสอบแล้วและพบว่าเป็นบันทึกศักดิ์สิทธิ์และจริง …

พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพยานหลักฐานของโลกเก่าฉันใด พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานของโลกใหม่ฉันนั้น ทั้งสองร่วมกันประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระบิดา …

พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ ซึ่งออกมาเป็นการเปิดเผยของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ เป็นพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าของเรา16

สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตและการจัดตั้งศาสนจักร

ฐานะปุโรหิตคือสิทธิอำนาจที่จะกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า … ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ [เล่มหนึ่ง] เมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับการละทิ้งความเชื่อของศาสนจักรแต่แรกเริ่ม ถ้าสิทธิอำนาจของศาสนจักรนั้นสูญสิ้น เราจะนำกลับมาได้อย่างไร

สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตมาจากที่เดียวที่มาได้ และนั่นคือจากสวรรค์ โดยได้รับมอบภายใต้มือผู้ดำรงสิทธิอำนาจนั้นเมื่อครั้งพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำเนินบนแผ่นดินโลก …

การเผยรูปแบบการฟื้นฟูซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งศาสนจักรในปี 1830 เป็นเรื่องดีงาม … ชื่อของศาสนจักรมาจากการเปิดเผย ศาสนจักรเป็นของใคร ของโจเซฟ สมิธหรือ ของออลิเวอร์ คาวเดอรีหรือ เปล่าเลย แต่เป็นศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกในยุคสุดท้ายนี้17

ครอบครัว

การเปิดเผยที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นอีกเรื่องหนึ่งที่ประทานแก่ท่านศาสดาพยากรณ์คือแผนสำหรับชีวิตนิรันดร์ของครอบครัว

ครอบครัวเป็นงานสร้างของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในบรรดาความสัมพันธ์ทั้งหมด และจริงจังที่สุดในบรรดาภาระหน้าที่ทั้งหมด ครอบครัวเป็นองค์กรพื้นฐานของสังคม

หลักคำสอนและสิทธิอำนาจที่ผนึกครอบครัวไว้ด้วยกันไม่เฉพาะสำหรับชีวิตนี้เท่านั้นแต่ชั่วนิจนิรันดร์ด้วยผ่านมาทางการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้าต่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์18

ความไร้เดียงสาของเด็กเล็ก

ความไร้เดียงสาของเด็กเล็กเป็นการเปิดเผยอีกเรื่องหนึ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านการเป็นเครื่องมือของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ การปฏิบัติทั่วไปคือการบัพติศมาทารกเพื่อนำผลของสิ่งที่เรียกว่าบาปของอาดัมและเอวาออกไป แต่ภายใต้หลักคำสอนเรื่องการฟื้นฟู บัพติศ-มามีไว้เพื่อการปลดบาปของแต่ละคน บัพติศมากลายเป็นพันธสัญญาระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ บุคคลรับบัพติศมาเมื่อถึงวัยรับผิดชอบได้ คือเมื่อบุคคลนั้นมีอายุมากพอจะแยกแยะถูกผิดได้ บัพติศมาทำโดยการจุ่มลงไปในน้ำทั้งตัวอันเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นพระชนม์ การฝังพระเยซูคริสต์ และทรงออกมาในการฟื้นคืนพระชนม์19

ความรอดสำหรับคนตาย

ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงความจริงที่เปิดเผยอีกเรื่องหนึ่ง เราทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง แต่ในศาสนจักรที่ข้าพเจ้ารู้จักไม่มีศาสนจักรใดเตรียมการให้คนที่อยู่หลังม่านแห่งความตายได้รับพรทุกประการที่คนเป็นได้รับ หลักคำสอนอันสำคัญยิ่งเรื่องความรอดสำหรับคนตายมีเฉพาะในศาสนจักรนี้เท่านั้น … คนตายได้รับโอกาสเช่นเดียวกับคนเป็น อีกครั้งที่การจัดเตรียมของพระผู้ทรงฤทธานุภาพผ่านการเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ช่างน่าชื่นชมและวิเศษยิ่ง20

ธรรมชาติ จุดประสงค์ และศักยภาพของบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า

ธรรมชาตินิรันดร์ของมนุษย์เปิดเผยไว้แล้ว เราเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของวิญญาณเรา เรามีชีวิตก่อนเรามาที่นี่ เรามีลักษณะเฉพาะตัว เราเกิดมาในชีวิตนี้ภายใต้แผนของสวรรค์ เราอยู่ที่นี่เพื่อทดสอบความมีค่าควรของเรา โดยทำตามสิทธิ์เสรีที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา เมื่อเราตายเราจะมีชีวิตอีก ชีวิตนิรันดร์ของเรามีสามช่วง หนึ่ง การดำรงอยู่ก่อนชีวิตมรรตัย สอง การดำรงอยู่ในชีวิตมรรตัย และสาม การดำรงอยู่หลังชีวิตมรรตัย ในความตายเราตายจากโลกนี้และก้าวผ่านม่านเข้าไปในอาณาเขตที่เรามีค่าควรเข้าไป นี่เป็นหลักคำสอนอันล้ำค่า โดดเด่น และมีเฉพาะในศาสนจักรนี้ซึ่งมาจากการเปิดเผย21

การเปิดเผยยุคปัจจุบัน

ข้าพเจ้าขอสรุปสั้นๆ เรื่องการหลั่งเทความรู้และสิทธิอำนาจครั้งยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าบนศีรษะศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ … มีอีกเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวถึง นั่นคือหลักธรรมของการเปิดเผยยุคปัจจุบัน หลักแห่งความเชื่อซึ่งท่านศาสดาพยากรณ์เขียนไว้ประกาศว่า

“เราเชื่อทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยมาแล้ว, ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยขณะนี้, และเราเชื่อว่าพระองค์จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” (หลักแห่งความเชื่อ 1:9)

ศาสนจักรที่กำลังเติบโต ศาสนจักรที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วโลกในยุคสมัยที่ซับซ้อนนี้ต้องได้รับการเปิดเผยสม่ำเสมอจากบัลลังก์สวรรค์เพื่อนำทางและทำให้ศาสนจักรก้าวหน้า

ด้วยการสวดอ้อนวอนและมุ่งแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า เราเป็นพยานว่าเราได้รับการนำทาง การเปิดเผยมาถึงเรา และพระเจ้าประทานพรศาสนจักรของพระองค์ขณะศาสนจักรก้าวไปสู่จุดหมาย

บนฐานมั่นคงของการเรียกศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งผ่านมาทางท่าน เราก้าวไปข้างหน้า22

ในฐานะศาสดาพยากรณ์คนที่ 15 นับจากโจเซฟ สมิธและในฐานะกระบอกเสียงของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าประกาศประจักษ์พยานว่าเรื่องราวใน [เหตุการณ์เรื่องการฟื้นฟู] ของศาสดาพยากรณ์โจเซฟเป็นความจริง พระบิดาทรงเป็นพยาน … ถึงความเป็นพระเจ้าของพระบุตร พระบุตรทรงสอนศาสดาพยากรณ์วัยหนุ่ม และมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นต่อจากนั้นซึ่งนำไปสู่การจัดตั้ง “ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่แห่งเดียวตลอดทั้งพื้นพิภพ” [คพ. 1:30]23

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เหตุใดคนของโลกจึงต้องการให้ฟื้นฟูศาสนจักรและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ (ดู หัวข้อ 1) พระเจ้าทรงเตรียมทางอะไรบ้างสำหรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ (ดู หัวข้อ 2)

  • ไตร่ตรองคำสอนของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับนิมิตแรก (ดู หัวข้อ 3) ประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับนิมิตแรกมีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร

  • เหตุใดจึงจำเป็นที่ผู้ส่งสารจากสวรรค์ต้องฟื้นฟูฐานะปุโรหิต (ดู หัวข้อ 4) เหตุใดจึงสำคัญที่ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคต้องสามารถสืบสายอำนาจฐานะปุโรหิตของตนย้อนไปถึงพระเยซูคริสต์ได้

  • ในหัวข้อ 5 ให้ทบทวนบทสรุปของความจริงบางประการที่มาโดยการเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์โจซฟ สมิธ ความจริงเหล่านี้เป็นพรแก่ชีวิตท่านอย่างไร เราจะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจและเห็นคุณค่าของความจริงเหล่านี้ได้อย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

อิสยาห์ 2:1–3; กิจการของอัครทูต 3:19–21; วิวรณ์ 14:6–7; 2 นีไฟ 25:17–18; คพ. 128:19–21

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“การศึกษาพระกิตติคุณจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน ทุกครั้งที่ท่านจะศึกษาพระกิตติคุณจงเริ่มต้นด้วยการสวดอ้อนวอนให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยในการเรียนรู้” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 18)

อ้างอิง

  1. ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: Teachings of Gordon B. Hinckley (1996), 326.

  2. “My Redeemer Lives,” Ensign, Feb. 2001, 72.

  3. “จุดสูงสุดแห่งยุค,” เลียโฮนา, ม.ค. 2000, 90.

  4. “ก้อนหินถูกสกัดจากภูเขา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2007, 108.

  5. “อรุณรุ่งของวันที่สดใสกว่า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2004, 102.

  6. “จุดสูงสุดแห่งยุค,” 90.

  7. “อรุณรุ่งของวันที่สดใสกว่า,” 102.

  8. “จุดสูงสุดแห่งยุค,” 90.

  9. “อรุณรุ่งของวันที่สดใสกว่า,” 102.

  10. “ก้อนหินถูกสกัดจากภููเขา,” 108.

  11. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 226.

  12. “เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 106.

  13. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” เลียโฮนา, พ.ค. 2005, 102.

  14. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 2: 2000-2004 (2005), 411.

  15. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 100.

  16. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 101.

  17. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 102.

  18. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 102.

  19. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 102.

  20. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 102.

  21. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 102-103.

  22. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” 103.

  23. “พยานพิเศษของพระคริสต์,” เลียโฮนา, เม.ย. 2001, 24.