บทที่ 4
มรดกแห่งศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิก
“ไม่ว่าท่านจะมีบรรพชนเป็นผู้บุกเบิกหรือเพิ่งเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวานนี้ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ภาพนี้ที่ชายหญิงเหล่านั้นฝันถึง … พวกเขาวางรากฐาน หน้าที่ของเราคือสร้างบนรากฐานนั้น”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
ที่การอุทิศพระวิหารโคลัมบัส โอไฮโฮ ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์นึกถึงบรรพชนผู้บุกเบิกของท่าน ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า
“ขณะข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องซีเลสเชียล ข้าพเจ้านึกถึงคุณปู่ทวดของข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าเพิ่งไปเยือนสถานที่ฝังศพของท่านในแคนาดาทางภาคเหนือของชายแดนนิวยอร์ก … ท่านถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 38 ปี”
เมื่อคุณปู่ทวดของประธานฮิงค์ลีย์เสียชีวิต ไอราบุตรชายของท่านผู้เป็นคุณปู่ของประธานฮิงค์ลีย์อายุยังไม่ถึงสามขวบ ไม่นานคุณแม่ของไอราก็แต่งงานใหม่และภายในไม่กี่ปีก็ย้ายไปโอไฮโอ จากนั้นจึงย้ายไปอิลลินอยส์ เธอสิ้นชีวิตในปี 1842 ทิ้งไอราให้เป็นเด็กกำพร้าเมื่ออายุ 13 ปี ประธานฮิงค์ลีย์เล่าเรื่องนี้ต่อไปว่า
“คุณปู่ของข้าพเจ้า [ไอรา ฮิงค์ลีย์] รับบัพติศมาในนอวูและ … ด้วยเหตุนี้จึงอพยพข้ามทุ่งราบไปกับ [ผู้บุกเบิก] ” ระหว่างการเดินทางครั้งนั้นในปี 1850 “ภรรยาสาว [ของไอรา] กับ [น้องชายคนละพ่อ] สิ้นชีวิตในวันเดียวกัน ท่านทำโลงศพแบบลวกๆ และฝังคนทั้งสอง จากนั้นจึงอุ้มลูกซึ่งยังเป็นทารกของท่านพาไปหุบเขา [ซอลท์เลค]
“ท่านสร้างโคฟฟอร์ทตามคำขอของบริคัม ยังก์ ท่านเป็นประธานคนแรกของสเตคในฟิลล์มอร์ [ยูทาห์] และทำสิ่งต่างๆ นับพันอย่างเพื่อให้งานนี้ก้าวหน้า
“ต่อจากนั้นก็มาถึงบิดาข้าพเจ้า … ท่านเป็นประธานของสเตคใหญ่ที่สุดในศาสนจักร มีสมาชิกมากกว่า 15,000 คน”
ไม่นานประธานฮิงค์ลีย์เปลี่ยนจากนึกถึงบรรพชนของท่านมาเป็นนึกถึงลูกหลานของท่าน ท่านกล่าวต่อไปว่า
“ขณะข้าพเจ้านั่งอยู่ในพระวิหารพลางครุ่นคิดถึงชีวิตของชายสามท่านนี้ ข้าพเจ้ามองไปที่บุตรสาวของข้าพเจ้า บุตรสาวของเธอซึ่งเป็นหลานของข้าพเจ้า และมองไปที่ลูกๆ ของเธอ ซึ่งเป็นเหลนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตระหนักในทันใดว่าข้าพเจ้าอยู่ตรงกลางคนเจ็ดรุ่นนี้พอดี—สามรุ่นก่อนข้าพเจ้าและสามรุ่นหลังข้าพเจ้า
“ในพระนิเวศน์อันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์นั้นข้าพเจ้าสำนึกว่าข้าพเจ้ามีภาระหน้าที่ใหญ่หลวงต้องส่งต่อทั้งหมดที่ได้รับเป็นมรดกจากบรรพชนไปให้คนรุ่นต่อจากข้าพเจ้า”1
นอกจากจะแสดงความสำนึกคุณต่อบรรพชนผู้บุกเบิกของท่านและมรดกของผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยแรกแล้ว ประธานฮิงค์ลีย์มักจะเน้นเช่นกันว่าสมาชิกศาสนจักรทั่วโลกเป็นผู้บุกเบิกในปัจจุบัน คริสต์ศักราช 1997 ท่านบอกวิสุทธิชนของกัวเตมาลาว่า “ปีนี้เราเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีที่ผู้บุกเบิกมอรมอนมาถึงหุบเขาซอลท์เลค พวกเขาเดินทางมาไกลด้วยเกวียนและรถลาก พวกเขาเป็นผู้บุกเบิก แต่การบุกเบิกยังดำเนินต่อไป เรามีผู้บุกเบิกอยู่ทั่วโลก และท่านอยู่ในหมู่ผู้บุกเบิกเหล่านั้น”2 ท่านประกาศกับวิสุทธิชนในประเทศไทยว่า “ท่านเป็นผู้บุกเบิกในการผลักดันงานของพระเจ้าในประชาชาติที่ยิ่งใหญ่นี้”3 ขณะเยือนยูเครนในปี 2002 ท่านพูดทำนองเดียวกันว่า “ศาสนจักรมีผู้บุกเบิกในสมัยแรก และเวลานี้ท่านเป็นผู้บุกเบิกในสมัยนี้”4
เมื่อประธานฮิงค์ลีย์พูดถึงผู้บุกเบิกสมัยแรก จุดประสงค์ของท่านใหญ่กว่าการมุ่งเน้นไปที่ผู้คนในอดีต ท่านมองไปที่อนาคตโดยหวังว่าศรัทธาและการเสียสละของวิสุทธิชนเหล่านั้นจะ “กลายเป็นแรงผลักดันที่มีผลมากต่อเราทุกคน เพราะเราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในชีวิตเราเอง และบ่อยครั้งในชีวิตครอบครัวของเราเอง”5
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
ด้วยวิสัยทัศน์ การทำงานหนัก และความเชื่อมั่นในเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังทำงานผ่านพวกเขา ผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยแรก ทำให้ศรัทธาของพวกเขาเป็นจริง
ศรัทธาทำให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสยุคแรกกลุ่มเล็ก [ทางภาคตะวันออกของสหรัฐ] ย้ายจากรัฐนิวยอร์กไปรัฐโอไฮโอ และจากรัฐโอไฮโอไปรัฐมิสซูรี และจากรัฐมิสซูรีไปรัฐอิลลินอยส์เพื่อแสวงหาความสงบสุขและเสรีภาพในการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามการวินิจฉัยจากมโนธรรม
พวกเขามองเห็นเมืองงาม [รัฐนอวู] ผ่านดวงตาแห่งศรัทธาเมื่อพวกเขาเดินข้ามหนองน้ำของเมืองคอมเมิร์ซ รัฐอิลลินอยส์เป็นครั้งแรก ด้วยความเชื่อมั่นว่าศรัทธาที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว พวกเขาจึงระบายน้ำออกจากบริเวณหนองน้ำ วางผังเมือง สร้างบ้านหลายหลัง บ้านสำหรับการนมัสการและการศึกษา และสำคัญยิ่งกว่าทั้งหมดคือพระนิเวศน์ที่งดงาม ซึ่งต่อมาเป็นอาคารสวยที่สุดในรัฐอิลลินอยส์
… การข่มเหง [ตามมาไม่นาน] พร้อมกับกลุ่มคนร้ายที่ไม่นับถือพระเจ้าและกระทำฆาตกรรม ศาสดาพยากรณ์ของพวกเขาถูกสังหาร ความฝันของพวกเขาสูญสลาย อีกครั้งที่ศรัทธาดึงพวกเขามารวมกันภายใต้แบบแผนที่พระองค์ทรงวางไว้แล้วและจัดกลุ่มสำหรับการอพยพอีกครั้ง
พวกเขาออกจากบ้านที่สะดวกสบาย ทิ้งงานของพวกเขาด้วยน้ำตาและใจที่ปวดร้าว พวกเขาเหลียวหลังมองพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ และด้วยศรัทธาพวกเขามองไปทางตะวันตก ดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ถึงแม้หิมะของฤดูหนาวตกใส่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังข้าม [แม่น้ำ] มิสซิสซิปปีในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1846 และลุยโคลนข้ามทุ่งหญ้าไอโอวา
ด้วยศรัทธาพวกเขาสถาปนาวินเทอร์ควอเตอร์ริมฝั่ง [แม่น้ำ] มิสซูรี หลายร้อยคนเสียชีวิตเมื่อโรคระบาด โรคบิด และโรคคอตีบคร่าชีวิตพวกเขา แต่ศรัทธาค้ำจุนคนที่รอดชีวิต พวกเขาฝังคนที่พวกเขารักไว้ที่นั่น บนตลิ่งกว้างชันเหนือแม่น้ำ และในฤดูใบไม้ผลิปี 1847 พวกเขาเริ่ม … ไปถึงเทือกเขาฝั่งตะวันตก
โดยศรัทธาที่บริคัม ยังก์มองเห็นหุบเขา [ซอลท์เลค] ซึ่งสมัยนั้นทั้งร้อนและแห้งแล้ง ท่านประกาศว่า “ตรงนี้แหละ” สี่วันต่อมา โดยศรัทธา ท่านแตะดินด้วยไม้เท้าของท่าน … และพูดว่า “นี่จะเป็นพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าของเรา” [พระวิหารซอลท์เลค] ที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์เป็นประจักษ์พยานยืนยันศรัทธา ไม่เฉพาะศรัทธาของคนสร้างเท่านั้นแต่ศรัทธาของคนที่ใช้พระวิหารเวลานี้ด้วยในงานอันสำคัญยิ่งที่พวกเขาทำด้วยใจรักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
เปาโลเขียนถึงชาวฮีบรูดังนี้ “[ศรัทธา] คือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น” (ฮีบรู 11:1) ผลสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูดไปแล้วเป็นเพียง “ความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น” แต่ด้วยวิสัยทัศน์ การทำงานหนัก และความมั่นใจในเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำงานผ่านพวกเขา พวกเขาทำให้ศรัทธาเป็นจริง6
พลังที่ผลักดันบรรพชนในพระกิตติคุณของเราคือพลังแห่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นพลังเดียวกับที่ทำให้การอพยพจากอียิปต์ การข้ามทะเลแดง การเดินทางไกลผ่านถิ่นทุรกันดาร และการสถาปนาอิสราเอลในแผ่นดินที่สัญญาไว้เกิดขึ้นได้ …
เราจำเป็นต้องมีพลังศรัทธาแรงกล้ามากๆ ในพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และในพระบุตรผู้ฟื้นคืนพระชนม์และทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ เพราะนี่คือศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่ผลักดันบรรพชนในพระกิตติคุณของเรา
วิสัยทัศน์ของพวกเขาสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นทั้งหมดที่ควรพิจารณา เมื่อพวกเขามาตะวันตกพวกเขาอยู่ห่างจากถิ่นฐานใกล้สุดไปทางตะวันออกหนึ่งพันไมล์ หนึ่งพันไมล์อันน่าเอือมระอา [1,600 กิโลเมตร] และแปดร้อยไมล์ [1,300 กิโลเมตร] จากถิ่นฐานเหล่านั้นไปทางตะวันตก การยอมรับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ที่พวกเขาแต่ละคนพึ่งพาได้ในศรัทธาเป็นส่วนสำคัญมากในความเข้มแข็งของพวกเขา พวกเขาเชื่อในพระบัญชาจากพระคัมภีร์ที่สำคัญยิ่งนั้น “พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต” (แอลมา 37:47) ด้วยศรัทธาพวกเขาหมายมั่นทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยศรัทธาพวกเขาอ่านและยอมรับคำสอนของพระเจ้า ด้วยศรัทธาพวกเขาทำงานหนักจนกระทั่งพวกเขาล้ม ด้วยความเชื่อมั่นเสมอว่าจะต้องตอบพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาและพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา7
เบื้องหลังเราคือประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ ตกแต่งด้วยวีรกรรม การยึดมั่นหลักธรรม และความซื่อสัตย์ภักดีไม่เสื่อมคลาย ประวัติศาสตร์ดังกล่าวเป็นผลพวงของศรัทธา ตรงหน้าเราคืออนาคตที่สำคัญยิ่ง เริ่มจากวันนี้ เราจะหยุดไม่ได้ เราจะช้าลงไม่ได้ เราจะก้าวช้าลงหรือก้าวสั้นลงไม่ได้8
2
ผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยเริ่มแรกมองอนาคตด้วยความฝันใหญ่โตเกี่ยวกับไซอัน
สมควรที่เราจะหยุุดสักครู่เพื่อแสดงความคารวะต่อคนที่วางรากฐานของงานอันสำคัญยิ่งนี้ … วัตถุประสงค์ใหญ่ของพวกเขาคือไซอัน [ดู คพ. 97:21; โมเสส 7:18] พวกเขาร้องเพลงเกี่ยวกับไซอัน พวกเขาฝันถึงไซอัน นั่นเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา การเดินทางอันเกริกก้องของพวกเขาต้องยืนยงตลอดกาลเสมือนหนึ่งเป็นภาระหน้าที่อันหาที่เปรียบมิได้ การเคลื่อนย้ายคนหลายหมื่นคนไปทางตะวันตกเต็มไปด้วยภยันตรายนานัปการเท่าที่จะนึกออก รวมถึงความตาย ซึ่งขบวนเกวียนทุกขบวนและคณะรถลากทุกคณะของพวกเขาคุ้นเคยดีกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเหล่านั้น
ข้าพเจ้าขอแสดงความคารวะต่อบริคัม ยังก์ ท่านเห็นหุบเขาซอลท์เลคในนิมิตมานานแล้วก่อนจะมาเห็นด้วยตาตนเอง มิฉะนั้นข้าพเจ้าสงสัยว่าท่านคงไม่หยุดที่นี่ ที่ดินในแคลิฟอร์เนียและออริกอนเขียวกว่าที่นี่ ที่อื่นมีดินลึกกว่าและอุดมสมบูรณ์กว่า ที่อื่นมีทุ่งไม้สักขนาดใหญ่ มีน้ำมากกว่ามาก สภาพอากาศน่าอยู่และเงียบสงบกว่า
ที่นี่มีลำธารระหว่างช่องเขาก็จริง แต่ลำธารเหล่านั้นไม่ใหญ่มาก ไม่เคยมีการตรวจสอบเนื้อดินว่าจะให้ผลผลิตหรือไม่ ไม่มีรอยไถบนผิวดินแตกระแหงของที่นั่น ข้าพเจ้าประหลาดใจ ข้าพเจ้าเพียงแค่ประหลาดใจที่ประธานยังก์นำคนกลุ่มใหญ่ … มาถึงที่ซึ่งไม่เคยมีการไถ่หว่านและเก็บเกี่ยวมาก่อน …
พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกที่เดินทางตรากตรำ ท่านใช้เวลา 111 วันนำพวกเขาออกจากวินเทอร์ควอเตอร์สมาหุบเขาซอลท์เลค พวกเขาเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่น สัตว์ของพวกเขาอ่อนเพลีย สภาพอากาศร้อนแห้ง—อากาศร้อนของเดือนกรกฎาคม แต่ที่นี่พวกเขาเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของไซอันขณะมองไปที่อนาคตและฝันถึงมิลเลเนียม9
เมื่อวันก่อนข้าพเจ้ายืนอยู่บนอู่เรือเก่าๆ ของเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ไม่มีกิจกรรมใดๆ ในเช้าวันศุกร์เมื่อเราอยู่ที่นั่น แต่ที่นี่เคยเป็นเหมือนผึ้งแตกรัง ในช่วงทศวรรษ 1800 คนของเราหลายหมื่นคนเดินบนถนนศิลาสายเดียวกันกับที่เราเดิน พวกเขามาจากทั่วบริติชไอลส์และจากประเทศแถบยุโรป เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักร พวกเขามาพร้อมประจักษ์พยานที่ริมฝีปากและศรัทธาในใจ ยากไหมที่พวกเขาต้องจากบ้านเข้าไปในดินแดนที่ไม่รู้จักของโลกใหม่ แน่นอนว่ายาก แต่พวกเขาจากมาด้วยการมองโลกในแง่ดีและความกระตือรือร้น พวกเขาลงเรือ พวกเขารู้ดีว่าการข้ามมหาสมุทรนั้นอันตรายที่สุด ไม่นานพวกเขาก็พบว่าการเดินทางส่วนใหญ่ยากแค้นลำเค็ญ พวกเขาอาศัยอยู่ในที่แออัดสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า พวกเขาอดทนต่อมรสุม และโรคภัยไข้เจ็บ หลายคนเสียชีวิตระหว่างทางและถูกฝังในทะเล นั่นเป็นการเดินทางที่ตรากตรำและน่ากลัว พวกเขามีความสงสัย ใช่ แต่ศรัทธาของพวกเขาอยู่เหนือความสงสัยเหล่านั้น การมองโลกในแง่ดีของพวกเขาอยู่เหนือความกลัว พวกเขาฝันถึงไซอัน และพวกเขาอยู่ระหว่างทำให้ฝันเป็นจริง10
3
การช่วยชีวิตผู้บุกเบิกรถลากมาร์ตินและวิลลีแสดงให้เราเห็นเนื้อแท้ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ข้าพเจ้านำท่านย้อนกลับไปใน … เดือนตุลาคม ค.ศ. 1856 วันเสาร์ที่ [4 ตุลาคม] แฟรงคลิน ดี. ริชาร์ดส์กับเพื่อนร่วมทางกลุ่มเล็กเดินทางมาถึงหุบเขา [ซอลท์เลค] พวกเขาเดินทางจากวินเทอร์ควอเตอร์ส์ด้วยม้าที่แข็งแรงและรถม้าขนาดย่อมทำให้สามารถเดินทางได้เร็วกว่าปรกติ บราเดอร์ริชาร์ดส์ตามหาประธานยังก์ทันที เขารายงานว่ามีชายหญิงและเด็กหลายร้อยคนกระจายอยู่ตลอดทาง … มาถึงหุบเขา [ซอลท์เลค] พวกเขาส่วนใหญ่กำลังลากรถลาก … ทางเดินข้างหน้าพวกเขาเป็นเนินไปตลอดทางจนถึงเส้นแบ่งทวีปและยังต้องไปอีกหลายไมล์ พวกเขาลำบากเหลือแสน … พวกเขาทั้งหมดจะตายแน่นอนถ้าไม่มีใครไปช่วย
ข้าพเจ้าคิดว่าคืนนั้นประธานยังก์ไม่ได้นอน ข้าพเจ้าคิดว่าภาพคนลำบากยากแค้น … เหล่านั้นผ่านเข้ามาในความคิดท่านไม่ขาดสาย
เช้าวันรุ่งขึ้นท่าน … พูดกับผู้คนว่า
“ตอนนี้ข้าพเจ้าจะบอกหัวข้อและเนื้อหาที่เอ็ลเดอร์จะพูด … คือ … พี่น้องชายหญิงของเราจำนวนมากอยู่กับรถลากบนทุ่งราบ และตอนนี้หลายคนน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่เจ็ดร้อยไมล์ [1,100 กิโลเมตร] เราต้องไปพาพวกเขามาที่นี่ เราต้องส่งคนไปช่วยพวกเขา ข้อความคือ ‘ไปพาพวกเขามาที่นี่’
“นั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า นั่นคือคำบัญชาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้รับ เราต้องช่วยชีวิตผู้คน
“ข้าพเจ้าจะเรียกประชุมอธิการวันนี้ ข้าพเจ้าจะไม่รอรถเทียมล่อดีๆ 60 คันกับรถเทียมม้า 12 ถึง 15 คันจนถึงวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องการส่งวัวไป ข้าพเจ้าต้องการม้าและล่อดีๆ พวกนั้นอยู่แถวนี้ และเราต้องใช้ นอกจากคนขับรถม้าแล้ว ต้องมีคนขับมือดีอีก 40 คนและแป้ง 12 ตันด้วย
“ข้าพเจ้าจะบอกท่านทุกคนว่าศรัทธา ศาสนา และการนับถือศาสนาของท่านจะไม่ช่วยจิตวิญญาณท่านให้รอดในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้าแม้แต่จิตวิญญาณเดียว เว้นแต่ท่านจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักธรรมที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ขณะนี้ จงไปพาคนที่อยู่บนทุ่งราบมาเดี๋ยวนี้” (ใน LeRoy R. Hafen and Ann W. Hafen, Handcarts to Zion [1960], 120–21)
บ่ายวันนั้นบรรดาสตรีรวบรวมอาหาร เครื่องนอน และเครื่องนุ่งห่มได้เป็นจำนวนมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาใส่เกือกม้า ซ่อมรถม้า และขนของขึ้นรถม้า
เช้าวันอังคารต่อมา รถเทียมล่อ 16 คันมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ราวปลายเดือนตุลาคมบนถนนมีรถเทียมล่อ 250 คันไปช่วยบรรเทาทุกข์11
เมื่อคนช่วยชีวิตมาถึงวิสุทธิชนที่ยากลำบาก พวกเขาเปรียบเสมือนเหล่าเทพจากสรวงสวรรค์ ผู้คนหลั่งน้ำตาด้วยความสำนึกคุณ คนใช้รถลากถูกย้ายเข้ามาอยู่ในรถม้าเพื่อพวกเขาจะสามารถเดินทางไปชุมชนซอลท์เลคได้เร็วขึ้น
มีผู้เสียชีวิตประมาณสองร้อยคน แต่หนึ่งพันคนรอดชีวิต12
เรื่องราวของวิสุทธิชนที่ยากลำบาก [เหล่านั้น] ความทุกข์ทรมาน และความตายของพวกเขาจะนำมาเล่าขานอีกครั้ง … เรื่องราวการช่วยชีวิตของพวกเขาต้องนำมาเล่าขานครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวเหล่านั้นแสดงให้เห็นเนื้อแท้ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
… ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราไม่มีพี่น้องคนใดติดอยู่ในหิมะ หนาวจนแข็งตาย ขณะพยายามมาให้ถึง … ไซอันในเทือกเขาของพวกเขา แต่มีคนไม่มากนักที่สภาวการณ์ของพวกเขาเข้าตาจน พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือและการบรรเทาทุกข์
มีคนหิวโหยและอัตคัดขัดสนอยู่มากมายทั่วโลกนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่สามารถพูดได้ว่าเรากำลังช่วยคนจำนวนมากที่นับถือศาสนาต่างจากเราแต่พวกเขาเดือดร้อนแสนสาหัสและเรามีแหล่งช่วยคนเหล่านั้น แต่เราไม่ต้องมองไกลตัว เรามีคนของเราที่ร้องไห้เพราะความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความเหงา และความกลัว หน้าที่สำคัญยิ่งและจริงจังของเราคือยื่นมือช่วยเหลือพวกเขา พยุงพวกเขา ให้อาหารพวกเขาหากพวกเขาหิวโหย บำรุงเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาหากพวกเขากระหายความจริงและความชอบธรรม
มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เร่ร่อนไร้จุดหมายและเดินไปตามเส้นทางอันน่าโศกสลดของยาเสพติด พวกมิจฉาชีพ การผิดศีลธรรม และความเดือดร้อนสารพัดที่มากับสิ่งเหล่านี้ มีหญิงม่ายผู้โหยหาเสียงอันเป็นมิตรและความรู้สึกห่วงใยซึ่งแสดงถึงความรัก มีคนที่เคยอบอุ่นในศรัทธา แต่ศรัทธาของพวกเขาเริ่มเย็นชา พวกเขาหลายคนประสงค์จะกลับมาแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกเขาต้องการมือฉันมิตรเอื้อมมาช่วยพวกเขา ด้วยความพยายามเล็กน้อย เราสามารถนำพวกเขาหลายคนกลับมากินเลี้ยงที่โต๊ะเสวยของพระเจ้าอีกครั้ง
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหวัง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ขอให้เราทุกคน … ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเสาะหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ คนที่อยู่ในสภาพสิ้นหวังและยากลำบาก ขอให้พยุงพวกเขาด้วยวิญญาณแห่งความรักเข้ามาในอ้อมกอดของศาสนจักรซึ่งมีมืออันแข็งแรงและหัวใจเปี่ยมรักจะทำให้พวกเขาอบอุ่นใจ ปลอบโยนพวกเขา ค้ำจุน และวางพวกเขาไว้บนวิถีของชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และมีความสุข13
4
เราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิก
เป็นเรื่องดีที่จะมองอดีตเพื่อจะเห็นคุณค่าของปัจจุบันและเห็นภาพอนาคต เป็นเรื่องดีที่จะมองดูคุณงามความดีของคนที่ล่วงลับไปก่อนเรา เพื่อจะมีพลังรับมือกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นเรื่องดีที่จะใคร่ครวญงานของคนเหล่านั้นผู้ทำงานหนักมากและแทบไม่ได้อะไรตอบแทนในโลกนี้ แต่จากความฝันและแผนในตอนแรกของผู้คนเหล่านั้นทำให้เราได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แบบอย่างที่ดีมากของพวกเขากลายเป็นแรงผลักดันเราทุกคน เพราะเราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในชีวิตเราเอง บ่อยครั้งในครอบครัวของเราเอง และพวกเราหลายคนบุกเบิกทุกวันขณะพยายามวางฐานพระกิตติคุณในภูมิภาคห่างไกลของโลก14
เรายังคงบุกเบิก เราไม่เคยหยุดบุกเบิกนับจากเวลา … ที่ผู้คนของเราออกจากนอวูและมา … ถึงหุบเขาเกรทซอลท์เลคในที่สุด มีการผจญภัยในนั้น แต่จุุดประสงค์ของการผจญภัยคือหาที่ซึ่งพวกเขาจะสามารถสถาปนาตนเองและนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามการวินิจฉัยจากมโนธรรม …
เวลานี้เรายังคงขยายงานออกไปทั่วโลกเข้าไปในที่ซึ่ง [ครั้งหนึ่ง] ดูเหมือนจะเข้าไม่ถึง … ข้าพเจ้าเป็นพยานส่วนตัวถึงการเติบโตของศาสนจักรในฟิลิปปินส์ ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เปิดงานเผยแผ่ศาสนาที่นั่นในปี 1961 เวลานั้นเราได้พบสมาชิกชาวฟิลิปปินส์พื้นเมืองคนหนึ่งของศาสนจักรในการประชุมซึ่งเราจัดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 [คริสต์ศักราช 1996] เราอยู่ในมะนิลาและมีผู้เข้าร่วมการประชุม … ประมาณ 35,000 คนในสนามกีฬาอราเนต้า … สำหรับข้าพเจ้านั่นเป็นปาฏิหาริย์ [ตั้งแต่] เราเปิดงานในแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ของฟิลิปปินส์ [ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์นี้ในหน้า 29-30 ]
เรากำลังขยายงานไปทุกที่ และนั่นอาศัยการบุกเบิก ผู้สอนศาสนาของเราอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเมื่อพวกเขาเข้าไปพื้นที่เหล่านี้บางแห่ง แต่พวกเขาออกไปทำงาน และนั่นเกิดผล ไม่นานมานี้เรามีสมาชิกแค่หยิบมือ ต่อมามีร้อยคน จากนั้นมีห้าร้อยคน และต่อจากนั้นมีหนึ่งพันคน15
ยุคของการบุกเบิกในศาสนจักรยังอยู่กับเรา ยุคนั้นไม่ได้สิ้นสุดพร้อมรถม้ามีประทุนและรถลาก … เราพบผู้บุกเบิกอยู่ในบรรดาผู้สอนศาสนาที่สอนพระกิตติคุณและอยู่ในบรรดาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เข้ามาในศาสนจักร ปกติแล้วจะยากสำหรับพวกเขาแต่ละคน มักจะเกี่ยวข้องกับการเสียสละเสมอ และอาจเกี่ยวข้องกับการข่มเหงด้วย แต่นี่เป็นราคาที่เต็มใจจ่าย และราคาที่จ่ายจริงจะเท่ากันกับราคาของคนข้ามทุ่งราบในการพยายามบุกเบิกครั้งใหญ่นั้นเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่แล้ว16
ไม่ว่าท่านจะมีบรรพชนเป็นผู้บุกเบิกหรือเพิ่งเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวานนี้ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมภาพใหญ่นี้ที่ชายหญิงเหล่านั้นฝันถึง ภาระหน้าที่ของพวกเขาใหญ่หลวง ความรับผิดชอบของเราต่อเนื่องและสำคัญยิ่ง พวกเขาวางรากฐาน เรามีหน้าที่สร้างบนรากฐานนั้น
พวกเขาทำเครื่องหมายเส้นทางและนำทาง ภาระผูกพันของเราคือขยาย ทำให้กว้าง และเสริมเส้นทางนั้นให้แข็งแรงจนกว่าจะล้อมทั้งแผ่นดินโลก … ศรัทธาเป็นหลักนำทางในวันเวลายุ่งยากเหล่านั้น ศรัทธาเป็นหลักนำทางที่เราต้องเดินตามในปัจจุบัน17
5
เรายกย่องการเสียสละและมรดกของผู้บุกเบิกโดยทำตามแบบอย่างของพวกเขาและสร้างบนรากฐานของพวกเขา
นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งที่มีมรดกตกทอดมากมาย พี่น้องทั้งหลาย นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่รู้ว่ามีคนล่วงหน้าไปก่อนเราและได้วางผังเส้นทางที่เราควรเดิน โดยสอนหลักธรรมนิรันดร์เหล่านั้นที่ต้องเป็นดาวนำทางชีวิตเราและชีวิตคนที่มาหลังจากเรา ทุกวันนี้เราสามารถทำตามแบบอย่างของพวกเขาได้ ผู้บุกเบิกเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า มีความจงรักภักดีอย่างมาก มีความอุตสาหะอย่างนึกไม่ถึง เชื่อใจได้แน่นอน และซื่อสัตย์สุจริตไม่คิดคด18
ปัจจุบันเราเป็นผู้รับผลจากความวิริยะอุตสาหะของ [ผู้บุกเบิก] ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะขอบคุณ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะรู้สึกสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งในใจเราสำหรับทั้งหมดที่พวกเขาทำเพื่อเรา
… มีการคาดหวังสิ่งต่างๆ มากมายจากพวกเขาฉันใด ย่อมคาดหวังจากพวกเราฉันนั้น เราสังเกตสิ่งที่พวกเขาทำกับสิ่งที่พวกเขามี เรามีมากกว่านั้นมาก พร้อมด้วยความท้าทายอันน่าหนักใจให้ก้าวต่อไปและสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า มีงานมากมายให้เราทำ เราได้รับพระบัญชาให้นำพระกิตติคุณไปถึงทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน เรามีหน้าที่ต้องสอนและให้บัพติศมาในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์ตรัสว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” [มาระโก 16:15] …
บรรพชนของเราได้วางรากฐานอันมั่นคงและน่าอัศจรรย์ บัดนี้โอกาสอันสำคัญยิ่งของเราคือสร้างส่วนที่อยู่เหนือฐาน ประกอบให้ทั้งหมดเข้ากันได้พอดีกับพระคริสต์ผู้ทรงเป็นศิลาหัวมุม19
ท่านเป็นผลของการวางแผนทั้งหมด [ของผู้บุกเบิก] และการทำงานทั้งหมดของพวกเขา … พวกเขาเป็นผู้คนที่ยอดเยี่ยม ไม่มีสิ่งใดเท่าเทียมกับความวิริยะอุตสาหะของพวกเขาในประวัติศาสตร์ทั้งหมด … ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรให้เราระลึกถึงพวกเขาเพื่อประโยชน์ของเรา เมื่อทางดูเหมือนยาก เมื่อเราท้อแท้ขณะคิดว่าทุกอย่างสูญสิ้น เราสามารถเหลียวมองพวกเขาและดูว่าสภาพของพวกเขาเลวร้ายเพียงใด เมื่อเราสงสัยเกี่ยวกับอนาคต เราสามารถมองไปที่พวกเขาและแบบอย่างอันดีเยี่ยมของศรัทธาที่พวกเขามี …
เราต้องมุ่งไปข้างหน้าพร้อมด้วยมรดกอันยิ่งใหญ่นั้น เราต้องไม่ละความพยายาม เราต้องเชิดศีรษะ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เราต้อง “ทำแต่ความดี [และ] ให้ผลลัพธ์มีมา” (“ทำแต่ความดี,” เพลงสวด, 1985, บทเพลงที่ 117)20
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เหตุใดศรัทธาจึงจำเป็นสำหรับผู้บุกเบิกที่ต้องการมารวมกันในหุบเขาซอลท์เลค (ดู หัวข้อ 1) พวกเขาทำให้ศรัทธาเป็นการปฏิบัติอย่างไร เราจะทำให้ศรัทธาของเราเป็นการปฏิบัติได้อย่างไรเพื่อช่วยทำให้เกิด “อนาคตที่สำคัญยิ่ง” ตรงหน้าเรา
-
ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่าผู้บุกเบิกสมัยก่อนมองไปที่อนาคต โดยมีไซอันเป็น “วัตถุประสงค์ใหญ่” “ความหวังอันยิ่งใหญ่” และ “ความฝัน” ของพวกเขา (หัวข้อ 2) ท่านคิดว่าเหตุใดสิ่งนี้จึงเป็นแรงผลักดันอันทรงอานุภาพสำหรับผู้บุกเบิกสมัยก่อน มีความหวังอะไรบ้างที่คล้ายคลึงกันและเป็นแรงผลักดันเราในทุกวันนี้
-
ท่านประทับใจอะไรในเรื่องราวของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับการช่วยชีวิตผู้บุกเบิกรถลากวิลลีกับมาร์ติน (ดู หัวข้อ 3) การที่บริคัม ยังก์ขอร้องให้ไปช่วยชีวิตแสดงให้เห็นการดลใจในฐานะศาสดาพยากรณ์ของท่านอย่างไร เราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากคนที่ขานรับคำขอร้องของท่าน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือและยกระดับชีวิตของคนตกทุกข์ได้ยากในทุกวันนี้
-
การมองไปที่อดีตช่วยให้ท่าน “เห็นคุณค่าของปัจจุบันและเห็นภาพอนาคต” อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) เราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในด้านใด
-
เหตุใดการยกย่องผู้บุกเบิกสมัยแรกจึงดีสำหรับเรา (ดู หัวข้อ 5) สมาชิกทุกคนของศาสนจักรได้รับพรในแง่ใดจากศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิกเหล่านั้น แบบอย่างของผุ้บุกเบิกสมัยแรกจะช่วยเราได้อย่างไรขณะที่เราเผชิญความท้าทาย
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 25:40; อีเธอร์ 12:6–9; คพ. 64:33–34; 81:5; 97:8–9; 98:1–3
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“การสนทนาที่เต็มไปด้วยความหมายเป็นรากฐานของการสอนพระกิตติคุณ … โดยผ่านการสนทนาที่ดำเนินไปด้วยดี ความสนใจและความใส่ใจของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นจะได้รับการกระตุ้นให้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น … ถามคำถามที่กระตุ้นให้เกิดการแสดงความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยสาระทางความคิดและช่วยให้ทุกท่านไตร่ตรองอย่างแท้จริง” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 63)