คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 4: มรดกแห่งศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิก


บทที่ 4

มรดกแห่งศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิก

“ไม่ว่าท่านจะมีบรรพชนเป็นผู้บุกเบิกหรือเพิ่งเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวานนี้ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ภาพนี้ที่ชายหญิงเหล่านั้นฝันถึง … พวกเขาวางรากฐาน หน้าที่ของเราคือสร้างบนรากฐานนั้น”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ที่การอุทิศพระวิหารโคลัมบัส โอไฮโฮ ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์นึกถึงบรรพชนผู้บุกเบิกของท่าน ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า

“ขณะข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องซีเลสเชียล ข้าพเจ้านึกถึงคุณปู่ทวดของข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าเพิ่งไปเยือนสถานที่ฝังศพของท่านในแคนาดาทางภาคเหนือของชายแดนนิวยอร์ก … ท่านถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 38 ปี”

เมื่อคุณปู่ทวดของประธานฮิงค์ลีย์เสียชีวิต ไอราบุตรชายของท่านผู้เป็นคุณปู่ของประธานฮิงค์ลีย์อายุยังไม่ถึงสามขวบ ไม่นานคุณแม่ของไอราก็แต่งงานใหม่และภายในไม่กี่ปีก็ย้ายไปโอไฮโอ จากนั้นจึงย้ายไปอิลลินอยส์ เธอสิ้นชีวิตในปี 1842 ทิ้งไอราให้เป็นเด็กกำพร้าเมื่ออายุ 13 ปี ประธานฮิงค์ลีย์เล่าเรื่องนี้ต่อไปว่า

“คุณปู่ของข้าพเจ้า [ไอรา ฮิงค์ลีย์] รับบัพติศมาในนอวูและ … ด้วยเหตุนี้จึงอพยพข้ามทุ่งราบไปกับ [ผู้บุกเบิก] ” ระหว่างการเดินทางครั้งนั้นในปี 1850 “ภรรยาสาว [ของไอรา] กับ [น้องชายคนละพ่อ] สิ้นชีวิตในวันเดียวกัน ท่านทำโลงศพแบบลวกๆ และฝังคนทั้งสอง จากนั้นจึงอุ้มลูกซึ่งยังเป็นทารกของท่านพาไปหุบเขา [ซอลท์เลค]

“ท่านสร้างโคฟฟอร์ทตามคำขอของบริคัม ยังก์ ท่านเป็นประธานคนแรกของสเตคในฟิลล์มอร์ [ยูทาห์] และทำสิ่งต่างๆ นับพันอย่างเพื่อให้งานนี้ก้าวหน้า

“ต่อจากนั้นก็มาถึงบิดาข้าพเจ้า … ท่านเป็นประธานของสเตคใหญ่ที่สุดในศาสนจักร มีสมาชิกมากกว่า 15,000 คน”

ไม่นานประธานฮิงค์ลีย์เปลี่ยนจากนึกถึงบรรพชนของท่านมาเป็นนึกถึงลูกหลานของท่าน ท่านกล่าวต่อไปว่า

“ขณะข้าพเจ้านั่งอยู่ในพระวิหารพลางครุ่นคิดถึงชีวิตของชายสามท่านนี้ ข้าพเจ้ามองไปที่บุตรสาวของข้าพเจ้า บุตรสาวของเธอซึ่งเป็นหลานของข้าพเจ้า และมองไปที่ลูกๆ ของเธอ ซึ่งเป็นเหลนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตระหนักในทันใดว่าข้าพเจ้าอยู่ตรงกลางคนเจ็ดรุ่นนี้พอดี—สามรุ่นก่อนข้าพเจ้าและสามรุ่นหลังข้าพเจ้า

“ในพระนิเวศน์อันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์นั้นข้าพเจ้าสำนึกว่าข้าพเจ้ามีภาระหน้าที่ใหญ่หลวงต้องส่งต่อทั้งหมดที่ได้รับเป็นมรดกจากบรรพชนไปให้คนรุ่นต่อจากข้าพเจ้า”1

นอกจากจะแสดงความสำนึกคุณต่อบรรพชนผู้บุกเบิกของท่านและมรดกของผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยแรกแล้ว ประธานฮิงค์ลีย์มักจะเน้นเช่นกันว่าสมาชิกศาสนจักรทั่วโลกเป็นผู้บุกเบิกในปัจจุบัน คริสต์ศักราช 1997 ท่านบอกวิสุทธิชนของกัวเตมาลาว่า “ปีนี้เราเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีที่ผู้บุกเบิกมอรมอนมาถึงหุบเขาซอลท์เลค พวกเขาเดินทางมาไกลด้วยเกวียนและรถลาก พวกเขาเป็นผู้บุกเบิก แต่การบุกเบิกยังดำเนินต่อไป เรามีผู้บุกเบิกอยู่ทั่วโลก และท่านอยู่ในหมู่ผู้บุกเบิกเหล่านั้น”2 ท่านประกาศกับวิสุทธิชนในประเทศไทยว่า “ท่านเป็นผู้บุกเบิกในการผลักดันงานของพระเจ้าในประชาชาติที่ยิ่งใหญ่นี้”3 ขณะเยือนยูเครนในปี 2002 ท่านพูดทำนองเดียวกันว่า “ศาสนจักรมีผู้บุกเบิกในสมัยแรก และเวลานี้ท่านเป็นผู้บุกเบิกในสมัยนี้”4

เมื่อประธานฮิงค์ลีย์พูดถึงผู้บุกเบิกสมัยแรก จุดประสงค์ของท่านใหญ่กว่าการมุ่งเน้นไปที่ผู้คนในอดีต ท่านมองไปที่อนาคตโดยหวังว่าศรัทธาและการเสียสละของวิสุทธิชนเหล่านั้นจะ “กลายเป็นแรงผลักดันที่มีผลมากต่อเราทุกคน เพราะเราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในชีวิตเราเอง และบ่อยครั้งในชีวิตครอบครัวของเราเอง”5

ภาพ
ผู้บุกเบิกออกจากนอวู

“พลังขับเคลื่อนบรรพชนในพระกิตติคุณของเราคือพลังแห่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

ด้วยวิสัยทัศน์ การทำงานหนัก และความเชื่อมั่นในเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังทำงานผ่านพวกเขา ผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยแรก ทำให้ศรัทธาของพวกเขาเป็นจริง

ศรัทธาทำให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสยุคแรกกลุ่มเล็ก [ทางภาคตะวันออกของสหรัฐ] ย้ายจากรัฐนิวยอร์กไปรัฐโอไฮโอ และจากรัฐโอไฮโอไปรัฐมิสซูรี และจากรัฐมิสซูรีไปรัฐอิลลินอยส์เพื่อแสวงหาความสงบสุขและเสรีภาพในการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามการวินิจฉัยจากมโนธรรม

พวกเขามองเห็นเมืองงาม [รัฐนอวู] ผ่านดวงตาแห่งศรัทธาเมื่อพวกเขาเดินข้ามหนองน้ำของเมืองคอมเมิร์ซ รัฐอิลลินอยส์เป็นครั้งแรก ด้วยความเชื่อมั่นว่าศรัทธาที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว พวกเขาจึงระบายน้ำออกจากบริเวณหนองน้ำ วางผังเมือง สร้างบ้านหลายหลัง บ้านสำหรับการนมัสการและการศึกษา และสำคัญยิ่งกว่าทั้งหมดคือพระนิเวศน์ที่งดงาม ซึ่งต่อมาเป็นอาคารสวยที่สุดในรัฐอิลลินอยส์

… การข่มเหง [ตามมาไม่นาน] พร้อมกับกลุ่มคนร้ายที่ไม่นับถือพระเจ้าและกระทำฆาตกรรม ศาสดาพยากรณ์ของพวกเขาถูกสังหาร ความฝันของพวกเขาสูญสลาย อีกครั้งที่ศรัทธาดึงพวกเขามารวมกันภายใต้แบบแผนที่พระองค์ทรงวางไว้แล้วและจัดกลุ่มสำหรับการอพยพอีกครั้ง

พวกเขาออกจากบ้านที่สะดวกสบาย ทิ้งงานของพวกเขาด้วยน้ำตาและใจที่ปวดร้าว พวกเขาเหลียวหลังมองพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ และด้วยศรัทธาพวกเขามองไปทางตะวันตก ดินแดนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ถึงแม้หิมะของฤดูหนาวตกใส่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังข้าม [แม่น้ำ] มิสซิสซิปปีในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1846 และลุยโคลนข้ามทุ่งหญ้าไอโอวา

ด้วยศรัทธาพวกเขาสถาปนาวินเทอร์ควอเตอร์ริมฝั่ง [แม่น้ำ] มิสซูรี หลายร้อยคนเสียชีวิตเมื่อโรคระบาด โรคบิด และโรคคอตีบคร่าชีวิตพวกเขา แต่ศรัทธาค้ำจุนคนที่รอดชีวิต พวกเขาฝังคนที่พวกเขารักไว้ที่นั่น บนตลิ่งกว้างชันเหนือแม่น้ำ และในฤดูใบไม้ผลิปี 1847 พวกเขาเริ่ม … ไปถึงเทือกเขาฝั่งตะวันตก

โดยศรัทธาที่บริคัม ยังก์มองเห็นหุบเขา [ซอลท์เลค] ซึ่งสมัยนั้นทั้งร้อนและแห้งแล้ง ท่านประกาศว่า “ตรงนี้แหละ” สี่วันต่อมา โดยศรัทธา ท่านแตะดินด้วยไม้เท้าของท่าน … และพูดว่า “นี่จะเป็นพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าของเรา” [พระวิหารซอลท์เลค] ที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์เป็นประจักษ์พยานยืนยันศรัทธา ไม่เฉพาะศรัทธาของคนสร้างเท่านั้นแต่ศรัทธาของคนที่ใช้พระวิหารเวลานี้ด้วยในงานอันสำคัญยิ่งที่พวกเขาทำด้วยใจรักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

เปาโลเขียนถึงชาวฮีบรูดังนี้ “[ศรัทธา] คือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น” (ฮีบรู 11:1) ผลสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูดไปแล้วเป็นเพียง “ความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น” แต่ด้วยวิสัยทัศน์ การทำงานหนัก และความมั่นใจในเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำงานผ่านพวกเขา พวกเขาทำให้ศรัทธาเป็นจริง6

พลังที่ผลักดันบรรพชนในพระกิตติคุณของเราคือพลังแห่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นพลังเดียวกับที่ทำให้การอพยพจากอียิปต์ การข้ามทะเลแดง การเดินทางไกลผ่านถิ่นทุรกันดาร และการสถาปนาอิสราเอลในแผ่นดินที่สัญญาไว้เกิดขึ้นได้ …

เราจำเป็นต้องมีพลังศรัทธาแรงกล้ามากๆ ในพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และในพระบุตรผู้ฟื้นคืนพระชนม์และทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ เพราะนี่คือศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่ผลักดันบรรพชนในพระกิตติคุณของเรา

วิสัยทัศน์ของพวกเขาสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นทั้งหมดที่ควรพิจารณา เมื่อพวกเขามาตะวันตกพวกเขาอยู่ห่างจากถิ่นฐานใกล้สุดไปทางตะวันออกหนึ่งพันไมล์ หนึ่งพันไมล์อันน่าเอือมระอา [1,600 กิโลเมตร] และแปดร้อยไมล์ [1,300 กิโลเมตร] จากถิ่นฐานเหล่านั้นไปทางตะวันตก การยอมรับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ที่พวกเขาแต่ละคนพึ่งพาได้ในศรัทธาเป็นส่วนสำคัญมากในความเข้มแข็งของพวกเขา พวกเขาเชื่อในพระบัญชาจากพระคัมภีร์ที่สำคัญยิ่งนั้น “พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต” (แอลมา 37:47) ด้วยศรัทธาพวกเขาหมายมั่นทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยศรัทธาพวกเขาอ่านและยอมรับคำสอนของพระเจ้า ด้วยศรัทธาพวกเขาทำงานหนักจนกระทั่งพวกเขาล้ม ด้วยความเชื่อมั่นเสมอว่าจะต้องตอบพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาและพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา7

เบื้องหลังเราคือประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ ตกแต่งด้วยวีรกรรม การยึดมั่นหลักธรรม และความซื่อสัตย์ภักดีไม่เสื่อมคลาย ประวัติศาสตร์ดังกล่าวเป็นผลพวงของศรัทธา ตรงหน้าเราคืออนาคตที่สำคัญยิ่ง เริ่มจากวันนี้ เราจะหยุดไม่ได้ เราจะช้าลงไม่ได้ เราจะก้าวช้าลงหรือก้าวสั้นลงไม่ได้8

2

ผู้บุกเบิกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสมัยเริ่มแรกมองอนาคตด้วยความฝันใหญ่โตเกี่ยวกับไซอัน

สมควรที่เราจะหยุุดสักครู่เพื่อแสดงความคารวะต่อคนที่วางรากฐานของงานอันสำคัญยิ่งนี้ … วัตถุประสงค์ใหญ่ของพวกเขาคือไซอัน [ดู คพ. 97:21; โมเสส 7:18] พวกเขาร้องเพลงเกี่ยวกับไซอัน พวกเขาฝันถึงไซอัน นั่นเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา การเดินทางอันเกริกก้องของพวกเขาต้องยืนยงตลอดกาลเสมือนหนึ่งเป็นภาระหน้าที่อันหาที่เปรียบมิได้ การเคลื่อนย้ายคนหลายหมื่นคนไปทางตะวันตกเต็มไปด้วยภยันตรายนานัปการเท่าที่จะนึกออก รวมถึงความตาย ซึ่งขบวนเกวียนทุกขบวนและคณะรถลากทุกคณะของพวกเขาคุ้นเคยดีกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเหล่านั้น

ข้าพเจ้าขอแสดงความคารวะต่อบริคัม ยังก์ ท่านเห็นหุบเขาซอลท์เลคในนิมิตมานานแล้วก่อนจะมาเห็นด้วยตาตนเอง มิฉะนั้นข้าพเจ้าสงสัยว่าท่านคงไม่หยุดที่นี่ ที่ดินในแคลิฟอร์เนียและออริกอนเขียวกว่าที่นี่ ที่อื่นมีดินลึกกว่าและอุดมสมบูรณ์กว่า ที่อื่นมีทุ่งไม้สักขนาดใหญ่ มีน้ำมากกว่ามาก สภาพอากาศน่าอยู่และเงียบสงบกว่า

ที่นี่มีลำธารระหว่างช่องเขาก็จริง แต่ลำธารเหล่านั้นไม่ใหญ่มาก ไม่เคยมีการตรวจสอบเนื้อดินว่าจะให้ผลผลิตหรือไม่ ไม่มีรอยไถบนผิวดินแตกระแหงของที่นั่น ข้าพเจ้าประหลาดใจ ข้าพเจ้าเพียงแค่ประหลาดใจที่ประธานยังก์นำคนกลุ่มใหญ่ … มาถึงที่ซึ่งไม่เคยมีการไถ่หว่านและเก็บเกี่ยวมาก่อน …

พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกที่เดินทางตรากตรำ ท่านใช้เวลา 111 วันนำพวกเขาออกจากวินเทอร์ควอเตอร์สมาหุบเขาซอลท์เลค พวกเขาเหน็ดเหนื่อย เสื้อผ้าของพวกเขาขาดวิ่น สัตว์ของพวกเขาอ่อนเพลีย สภาพอากาศร้อนแห้ง—อากาศร้อนของเดือนกรกฎาคม แต่ที่นี่พวกเขาเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของไซอันขณะมองไปที่อนาคตและฝันถึงมิลเลเนียม9

เมื่อวันก่อนข้าพเจ้ายืนอยู่บนอู่เรือเก่าๆ ของเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ไม่มีกิจกรรมใดๆ ในเช้าวันศุกร์เมื่อเราอยู่ที่นั่น แต่ที่นี่เคยเป็นเหมือนผึ้งแตกรัง ในช่วงทศวรรษ 1800 คนของเราหลายหมื่นคนเดินบนถนนศิลาสายเดียวกันกับที่เราเดิน พวกเขามาจากทั่วบริติชไอลส์และจากประเทศแถบยุโรป เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักร พวกเขามาพร้อมประจักษ์พยานที่ริมฝีปากและศรัทธาในใจ ยากไหมที่พวกเขาต้องจากบ้านเข้าไปในดินแดนที่ไม่รู้จักของโลกใหม่ แน่นอนว่ายาก แต่พวกเขาจากมาด้วยการมองโลกในแง่ดีและความกระตือรือร้น พวกเขาลงเรือ พวกเขารู้ดีว่าการข้ามมหาสมุทรนั้นอันตรายที่สุด ไม่นานพวกเขาก็พบว่าการเดินทางส่วนใหญ่ยากแค้นลำเค็ญ พวกเขาอาศัยอยู่ในที่แออัดสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า พวกเขาอดทนต่อมรสุม และโรคภัยไข้เจ็บ หลายคนเสียชีวิตระหว่างทางและถูกฝังในทะเล นั่นเป็นการเดินทางที่ตรากตรำและน่ากลัว พวกเขามีความสงสัย ใช่ แต่ศรัทธาของพวกเขาอยู่เหนือความสงสัยเหล่านั้น การมองโลกในแง่ดีของพวกเขาอยู่เหนือความกลัว พวกเขาฝันถึงไซอัน และพวกเขาอยู่ระหว่างทำให้ฝันเป็นจริง10

3

การช่วยชีวิตผู้บุกเบิกรถลากมาร์ตินและวิลลีแสดงให้เราเห็นเนื้อแท้ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้านำท่านย้อนกลับไปใน … เดือนตุลาคม ค.ศ. 1856 วันเสาร์ที่ [4 ตุลาคม] แฟรงคลิน ดี. ริชาร์ดส์กับเพื่อนร่วมทางกลุ่มเล็กเดินทางมาถึงหุบเขา [ซอลท์เลค] พวกเขาเดินทางจากวินเทอร์ควอเตอร์ส์ด้วยม้าที่แข็งแรงและรถม้าขนาดย่อมทำให้สามารถเดินทางได้เร็วกว่าปรกติ บราเดอร์ริชาร์ดส์ตามหาประธานยังก์ทันที เขารายงานว่ามีชายหญิงและเด็กหลายร้อยคนกระจายอยู่ตลอดทาง … มาถึงหุบเขา [ซอลท์เลค] พวกเขาส่วนใหญ่กำลังลากรถลาก … ทางเดินข้างหน้าพวกเขาเป็นเนินไปตลอดทางจนถึงเส้นแบ่งทวีปและยังต้องไปอีกหลายไมล์ พวกเขาลำบากเหลือแสน … พวกเขาทั้งหมดจะตายแน่นอนถ้าไม่มีใครไปช่วย

ข้าพเจ้าคิดว่าคืนนั้นประธานยังก์ไม่ได้นอน ข้าพเจ้าคิดว่าภาพคนลำบากยากแค้น … เหล่านั้นผ่านเข้ามาในความคิดท่านไม่ขาดสาย

เช้าวันรุ่งขึ้นท่าน … พูดกับผู้คนว่า

“ตอนนี้ข้าพเจ้าจะบอกหัวข้อและเนื้อหาที่เอ็ลเดอร์จะพูด … คือ … พี่น้องชายหญิงของเราจำนวนมากอยู่กับรถลากบนทุ่งราบ และตอนนี้หลายคนน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่เจ็ดร้อยไมล์ [1,100 กิโลเมตร] เราต้องไปพาพวกเขามาที่นี่ เราต้องส่งคนไปช่วยพวกเขา ข้อความคือ ‘ไปพาพวกเขามาที่นี่’

“นั่นคือศาสนาของข้าพเจ้า นั่นคือคำบัญชาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้รับ เราต้องช่วยชีวิตผู้คน

“ข้าพเจ้าจะเรียกประชุมอธิการวันนี้ ข้าพเจ้าจะไม่รอรถเทียมล่อดีๆ 60 คันกับรถเทียมม้า 12 ถึง 15 คันจนถึงวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องการส่งวัวไป ข้าพเจ้าต้องการม้าและล่อดีๆ พวกนั้นอยู่แถวนี้ และเราต้องใช้ นอกจากคนขับรถม้าแล้ว ต้องมีคนขับมือดีอีก 40 คนและแป้ง 12 ตันด้วย

“ข้าพเจ้าจะบอกท่านทุกคนว่าศรัทธา ศาสนา และการนับถือศาสนาของท่านจะไม่ช่วยจิตวิญญาณท่านให้รอดในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้าแม้แต่จิตวิญญาณเดียว เว้นแต่ท่านจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักธรรมที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ขณะนี้ จงไปพาคนที่อยู่บนทุ่งราบมาเดี๋ยวนี้” (ใน LeRoy R. Hafen and Ann W. Hafen, Handcarts to Zion [1960], 120–21)

บ่ายวันนั้นบรรดาสตรีรวบรวมอาหาร เครื่องนอน และเครื่องนุ่งห่มได้เป็นจำนวนมาก

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาใส่เกือกม้า ซ่อมรถม้า และขนของขึ้นรถม้า

เช้าวันอังคารต่อมา รถเทียมล่อ 16 คันมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ราวปลายเดือนตุลาคมบนถนนมีรถเทียมล่อ 250 คันไปช่วยบรรเทาทุกข์11

เมื่อคนช่วยชีวิตมาถึงวิสุทธิชนที่ยากลำบาก พวกเขาเปรียบเสมือนเหล่าเทพจากสรวงสวรรค์ ผู้คนหลั่งน้ำตาด้วยความสำนึกคุณ คนใช้รถลากถูกย้ายเข้ามาอยู่ในรถม้าเพื่อพวกเขาจะสามารถเดินทางไปชุมชนซอลท์เลคได้เร็วขึ้น

มีผู้เสียชีวิตประมาณสองร้อยคน แต่หนึ่งพันคนรอดชีวิต12

ภาพ
การช่วยเหลือรถลาก

“เมื่อคนช่วยชีวิตมาถึงวิสุทธิชนที่ยากลำบาก พวกเขาเปรียบเสมือนเหล่าเทพจากสรวงสวรรค์”

เรื่องราวของวิสุทธิชนที่ยากลำบาก [เหล่านั้น] ความทุกข์ทรมาน และความตายของพวกเขาจะนำมาเล่าขานอีกครั้ง … เรื่องราวการช่วยชีวิตของพวกเขาต้องนำมาเล่าขานครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวเหล่านั้นแสดงให้เห็นเนื้อแท้ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

… ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราไม่มีพี่น้องคนใดติดอยู่ในหิมะ หนาวจนแข็งตาย ขณะพยายามมาให้ถึง … ไซอันในเทือกเขาของพวกเขา แต่มีคนไม่มากนักที่สภาวการณ์ของพวกเขาเข้าตาจน พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือและการบรรเทาทุกข์

มีคนหิวโหยและอัตคัดขัดสนอยู่มากมายทั่วโลกนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่สามารถพูดได้ว่าเรากำลังช่วยคนจำนวนมากที่นับถือศาสนาต่างจากเราแต่พวกเขาเดือดร้อนแสนสาหัสและเรามีแหล่งช่วยคนเหล่านั้น แต่เราไม่ต้องมองไกลตัว เรามีคนของเราที่ร้องไห้เพราะความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความเหงา และความกลัว หน้าที่สำคัญยิ่งและจริงจังของเราคือยื่นมือช่วยเหลือพวกเขา พยุงพวกเขา ให้อาหารพวกเขาหากพวกเขาหิวโหย บำรุงเลี้ยงวิญญาณของพวกเขาหากพวกเขากระหายความจริงและความชอบธรรม

มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เร่ร่อนไร้จุดหมายและเดินไปตามเส้นทางอันน่าโศกสลดของยาเสพติด พวกมิจฉาชีพ การผิดศีลธรรม และความเดือดร้อนสารพัดที่มากับสิ่งเหล่านี้ มีหญิงม่ายผู้โหยหาเสียงอันเป็นมิตรและความรู้สึกห่วงใยซึ่งแสดงถึงความรัก มีคนที่เคยอบอุ่นในศรัทธา แต่ศรัทธาของพวกเขาเริ่มเย็นชา พวกเขาหลายคนประสงค์จะกลับมาแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกเขาต้องการมือฉันมิตรเอื้อมมาช่วยพวกเขา ด้วยความพยายามเล็กน้อย เราสามารถนำพวกเขาหลายคนกลับมากินเลี้ยงที่โต๊ะเสวยของพระเจ้าอีกครั้ง

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหวัง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ขอให้เราทุกคน … ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเสาะหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ คนที่อยู่ในสภาพสิ้นหวังและยากลำบาก ขอให้พยุงพวกเขาด้วยวิญญาณแห่งความรักเข้ามาในอ้อมกอดของศาสนจักรซึ่งมีมืออันแข็งแรงและหัวใจเปี่ยมรักจะทำให้พวกเขาอบอุ่นใจ ปลอบโยนพวกเขา ค้ำจุน และวางพวกเขาไว้บนวิถีของชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และมีความสุข13

4

เราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิก

เป็นเรื่องดีที่จะมองอดีตเพื่อจะเห็นคุณค่าของปัจจุบันและเห็นภาพอนาคต เป็นเรื่องดีที่จะมองดูคุณงามความดีของคนที่ล่วงลับไปก่อนเรา เพื่อจะมีพลังรับมือกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นเรื่องดีที่จะใคร่ครวญงานของคนเหล่านั้นผู้ทำงานหนักมากและแทบไม่ได้อะไรตอบแทนในโลกนี้ แต่จากความฝันและแผนในตอนแรกของผู้คนเหล่านั้นทำให้เราได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แบบอย่างที่ดีมากของพวกเขากลายเป็นแรงผลักดันเราทุกคน เพราะเราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในชีวิตเราเอง บ่อยครั้งในครอบครัวของเราเอง และพวกเราหลายคนบุกเบิกทุกวันขณะพยายามวางฐานพระกิตติคุณในภูมิภาคห่างไกลของโลก14

เรายังคงบุกเบิก เราไม่เคยหยุดบุกเบิกนับจากเวลา … ที่ผู้คนของเราออกจากนอวูและมา … ถึงหุบเขาเกรทซอลท์เลคในที่สุด มีการผจญภัยในนั้น แต่จุุดประสงค์ของการผจญภัยคือหาที่ซึ่งพวกเขาจะสามารถสถาปนาตนเองและนมัสการพระผู้เป็นเจ้าตามการวินิจฉัยจากมโนธรรม …

เวลานี้เรายังคงขยายงานออกไปทั่วโลกเข้าไปในที่ซึ่ง [ครั้งหนึ่ง] ดูเหมือนจะเข้าไม่ถึง … ข้าพเจ้าเป็นพยานส่วนตัวถึงการเติบโตของศาสนจักรในฟิลิปปินส์ ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เปิดงานเผยแผ่ศาสนาที่นั่นในปี 1961 เวลานั้นเราได้พบสมาชิกชาวฟิลิปปินส์พื้นเมืองคนหนึ่งของศาสนจักรในการประชุมซึ่งเราจัดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 [คริสต์ศักราช 1996] เราอยู่ในมะนิลาและมีผู้เข้าร่วมการประชุม … ประมาณ 35,000 คนในสนามกีฬาอราเนต้า … สำหรับข้าพเจ้านั่นเป็นปาฏิหาริย์ [ตั้งแต่] เราเปิดงานในแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ของฟิลิปปินส์ [ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์นี้ในหน้า 29-30 ]

เรากำลังขยายงานไปทุกที่ และนั่นอาศัยการบุกเบิก ผู้สอนศาสนาของเราอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเมื่อพวกเขาเข้าไปพื้นที่เหล่านี้บางแห่ง แต่พวกเขาออกไปทำงาน และนั่นเกิดผล ไม่นานมานี้เรามีสมาชิกแค่หยิบมือ ต่อมามีร้อยคน จากนั้นมีห้าร้อยคน และต่อจากนั้นมีหนึ่งพันคน15

ยุคของการบุกเบิกในศาสนจักรยังอยู่กับเรา ยุคนั้นไม่ได้สิ้นสุดพร้อมรถม้ามีประทุนและรถลาก … เราพบผู้บุกเบิกอยู่ในบรรดาผู้สอนศาสนาที่สอนพระกิตติคุณและอยู่ในบรรดาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เข้ามาในศาสนจักร ปกติแล้วจะยากสำหรับพวกเขาแต่ละคน มักจะเกี่ยวข้องกับการเสียสละเสมอ และอาจเกี่ยวข้องกับการข่มเหงด้วย แต่นี่เป็นราคาที่เต็มใจจ่าย และราคาที่จ่ายจริงจะเท่ากันกับราคาของคนข้ามทุ่งราบในการพยายามบุกเบิกครั้งใหญ่นั้นเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่แล้ว16

ไม่ว่าท่านจะมีบรรพชนเป็นผู้บุกเบิกหรือเพิ่งเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวานนี้ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมภาพใหญ่นี้ที่ชายหญิงเหล่านั้นฝันถึง ภาระหน้าที่ของพวกเขาใหญ่หลวง ความรับผิดชอบของเราต่อเนื่องและสำคัญยิ่ง พวกเขาวางรากฐาน เรามีหน้าที่สร้างบนรากฐานนั้น

พวกเขาทำเครื่องหมายเส้นทางและนำทาง ภาระผูกพันของเราคือขยาย ทำให้กว้าง และเสริมเส้นทางนั้นให้แข็งแรงจนกว่าจะล้อมทั้งแผ่นดินโลก … ศรัทธาเป็นหลักนำทางในวันเวลายุ่งยากเหล่านั้น ศรัทธาเป็นหลักนำทางที่เราต้องเดินตามในปัจจุบัน17

ภาพ
ประธานฮิงค์ลีย์กับสตรีและเด็กชาวแอฟริกา

“ไม่ว่าท่านจะมีบรรพชนเป็นผู้บุกเบิกหรือเพิ่งเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวานนี้ ท่านเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมภาพใหญ่นี้ที่ชายหญิงเหล่านั้นฝันถึง

5

เรายกย่องการเสียสละและมรดกของผู้บุกเบิกโดยทำตามแบบอย่างของพวกเขาและสร้างบนรากฐานของพวกเขา

นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งที่มีมรดกตกทอดมากมาย พี่น้องทั้งหลาย นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่รู้ว่ามีคนล่วงหน้าไปก่อนเราและได้วางผังเส้นทางที่เราควรเดิน โดยสอนหลักธรรมนิรันดร์เหล่านั้นที่ต้องเป็นดาวนำทางชีวิตเราและชีวิตคนที่มาหลังจากเรา ทุกวันนี้เราสามารถทำตามแบบอย่างของพวกเขาได้ ผู้บุกเบิกเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า มีความจงรักภักดีอย่างมาก มีความอุตสาหะอย่างนึกไม่ถึง เชื่อใจได้แน่นอน และซื่อสัตย์สุจริตไม่คิดคด18

ปัจจุบันเราเป็นผู้รับผลจากความวิริยะอุตสาหะของ [ผู้บุกเบิก] ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะขอบคุณ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะรู้สึกสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งในใจเราสำหรับทั้งหมดที่พวกเขาทำเพื่อเรา

… มีการคาดหวังสิ่งต่างๆ มากมายจากพวกเขาฉันใด ย่อมคาดหวังจากพวกเราฉันนั้น เราสังเกตสิ่งที่พวกเขาทำกับสิ่งที่พวกเขามี เรามีมากกว่านั้นมาก พร้อมด้วยความท้าทายอันน่าหนักใจให้ก้าวต่อไปและสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า มีงานมากมายให้เราทำ เราได้รับพระบัญชาให้นำพระกิตติคุณไปถึงทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน เรามีหน้าที่ต้องสอนและให้บัพติศมาในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์ตรัสว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” [มาระโก 16:15] …

บรรพชนของเราได้วางรากฐานอันมั่นคงและน่าอัศจรรย์ บัดนี้โอกาสอันสำคัญยิ่งของเราคือสร้างส่วนที่อยู่เหนือฐาน ประกอบให้ทั้งหมดเข้ากันได้พอดีกับพระคริสต์ผู้ทรงเป็นศิลาหัวมุม19

ท่านเป็นผลของการวางแผนทั้งหมด [ของผู้บุกเบิก] และการทำงานทั้งหมดของพวกเขา … พวกเขาเป็นผู้คนที่ยอดเยี่ยม ไม่มีสิ่งใดเท่าเทียมกับความวิริยะอุตสาหะของพวกเขาในประวัติศาสตร์ทั้งหมด … ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรให้เราระลึกถึงพวกเขาเพื่อประโยชน์ของเรา เมื่อทางดูเหมือนยาก เมื่อเราท้อแท้ขณะคิดว่าทุกอย่างสูญสิ้น เราสามารถเหลียวมองพวกเขาและดูว่าสภาพของพวกเขาเลวร้ายเพียงใด เมื่อเราสงสัยเกี่ยวกับอนาคต เราสามารถมองไปที่พวกเขาและแบบอย่างอันดีเยี่ยมของศรัทธาที่พวกเขามี …

เราต้องมุ่งไปข้างหน้าพร้อมด้วยมรดกอันยิ่งใหญ่นั้น เราต้องไม่ละความพยายาม เราต้องเชิดศีรษะ เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เราต้อง “ทำแต่ความดี [และ] ให้ผลลัพธ์มีมา” (“ทำแต่ความดี,” เพลงสวด, 1985, บทเพลงที่ 117)20

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เหตุใดศรัทธาจึงจำเป็นสำหรับผู้บุกเบิกที่ต้องการมารวมกันในหุบเขาซอลท์เลค (ดู หัวข้อ 1) พวกเขาทำให้ศรัทธาเป็นการปฏิบัติอย่างไร เราจะทำให้ศรัทธาของเราเป็นการปฏิบัติได้อย่างไรเพื่อช่วยทำให้เกิด “อนาคตที่สำคัญยิ่ง” ตรงหน้าเรา

  • ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่าผู้บุกเบิกสมัยก่อนมองไปที่อนาคต โดยมีไซอันเป็น “วัตถุประสงค์ใหญ่” “ความหวังอันยิ่งใหญ่” และ “ความฝัน” ของพวกเขา (หัวข้อ 2) ท่านคิดว่าเหตุใดสิ่งนี้จึงเป็นแรงผลักดันอันทรงอานุภาพสำหรับผู้บุกเบิกสมัยก่อน มีความหวังอะไรบ้างที่คล้ายคลึงกันและเป็นแรงผลักดันเราในทุกวันนี้

  • ท่านประทับใจอะไรในเรื่องราวของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับการช่วยชีวิตผู้บุกเบิกรถลากวิลลีกับมาร์ติน (ดู หัวข้อ 3) การที่บริคัม ยังก์ขอร้องให้ไปช่วยชีวิตแสดงให้เห็นการดลใจในฐานะศาสดาพยากรณ์ของท่านอย่างไร เราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากคนที่ขานรับคำขอร้องของท่าน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือและยกระดับชีวิตของคนตกทุกข์ได้ยากในทุกวันนี้

  • การมองไปที่อดีตช่วยให้ท่าน “เห็นคุณค่าของปัจจุบันและเห็นภาพอนาคต” อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) เราแต่ละคนเป็นผู้บุกเบิกในด้านใด

  • เหตุใดการยกย่องผู้บุกเบิกสมัยแรกจึงดีสำหรับเรา (ดู หัวข้อ 5) สมาชิกทุกคนของศาสนจักรได้รับพรในแง่ใดจากศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิกเหล่านั้น แบบอย่างของผุ้บุกเบิกสมัยแรกจะช่วยเราได้อย่างไรขณะที่เราเผชิญความท้าทาย

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 25:40; อีเธอร์ 12:6–9; คพ. 64:33–34; 81:5; 97:8–9; 98:1–3

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“การสนทนาที่เต็มไปด้วยความหมายเป็นรากฐานของการสอนพระกิตติคุณ … โดยผ่านการสนทนาที่ดำเนินไปด้วยดี ความสนใจและความใส่ใจของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นจะได้รับการกระตุ้นให้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น … ถามคำถามที่กระตุ้นให้เกิดการแสดงความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยสาระทางความคิดและช่วยให้ทุกท่านไตร่ตรองอย่างแท้จริง” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 63)

อ้างอิง

  1. “Keep the Chain Unbroken” (Brigham Young University devotional, Nov. 30, 1999), 2, speeches.byu.edu.

  2. คำปราศรัยที่การประชุมระดับเขตทางภาคเหนือและใต้ของกัวเตมาลาซิตี, 26 ม.ค., 1997, 2; Church History Library, Salt Lake City.

  3. ปราศรัยที่การประชุมสมาชิกในกรุงเทพฯ ประเทศไทย, 13 มิ.ย. 2000, 2; Church History Library, Salt Lake City.

  4. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 2: 2000-2004 (2005), 360-61.

  5. “The Faith of the Pioneers,” Ensign, July 1984, 3.

  6. “God Grant Us Faith,” Ensign, Nov. 1983, 52–53.

  7. “The Faith of the Pioneers,” 5–6.

  8. “God Grant Us Faith,” 53.

  9. “These Noble Pioneers” (Brigham Young University devotional, Feb. 2, 1997), 1–2, speeches.byu.edu.

  10. “Stay the Course—Keep the Faith,” Ensign, Nov. 1995, 72.

  11. “Reach with a Rescuing Hand,” Ensign, Nov. 1996, 85–86.

  12. “ศรัทธาที่จะเลื่อนภูเขา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2006, 104.

  13. “Reach with a Rescuing Hand,” 86.

  14. “The Faith of the Pioneers,” 3.

  15. ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 592.

  16. ใน เกอร์รีย์ อแวนท์, “Present-Day Pioneers: Many Are Still Blazing Gospel Trails,” Church News, July 24, 1993, 6.

  17. “These Noble Pioneers,” 2, 4.

  18. “These Noble Pioneers,” 2.

  19. “มั่นคงต่อศรัทธา,” เลียโฮนา, ก.ค. 1997, 81.

  20. “These Noble Pioneers,” 2, 6.

พิมพ์