คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 19: การเป็นผู้นำฐานะปุโรหิตในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์


บทที่ 19

การเป็นผู้นำฐานะปุโรหิตในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์

“พระเจ้าทรงดูแลงานนี้ นี่คืออาณาจักรของพระองค์ เราไม่ใช่แกะที่ไม่มีคนเลี้ยง เราไม่ใช่กองทัพที่ไม่มีผู้นำ”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ จำได้ว่า “ความรับผิดชอบแรกของข้าพเจ้าในศาสนจักร ตำแหน่งแรกของข้าพเจ้า คือเป็นที่ปรึกษาของเด็กหนุ่มที่เป็นประธานโควรัมมัคนายกของเรา อธิการที่ดีเรียกข้าพเจ้าเข้าไปพบและพูดกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับการเรียกนี้ ข้าพเจ้าประทับใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าวิตกและกังวล ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่าโดยธรรมชาติแล้วข้าพเจ้าเป็นคนค่อนข้างเขินอายและเก็บตัว ข้าพเจ้าคิดว่าการเรียกเป็นที่ปรึกษาในโควรัมมัคนายกทำให้ข้าพเจ้ากังวลในแง่ของอายุและประสบการณ์มากเท่าๆ กับความรับผิดชอบในปัจจุบันในแง่ของอายุและประสบการณ์ของข้าพเจ้า”1

ประธานฮิงค์ลีย์มีความรู้สึกคล้ายกันในปี 1961 เมื่อท่านได้รับเรียกให้รับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง คำพูดในการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกในฐานะอัครสาวก ท่านกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้สึกถึงภาระของความรับผิดชอบนี้ในการยืนเป็นพยานของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ต่อชาวโลกที่ไม่เต็มใจยอมรับพระองค์ ‘ฉันเฝ้าพิศวงต่อความรักพระเยซูให้ฉัน’ ข้าพเจ้าสงบลงเพราะความเชื่อมั่นของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าในตัวข้าพเจ้าและความรักที่พี่น้องชายเหล่านี้แสดงต่อข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอความเข้มแข็ง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ และข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอศรัทธาและความตั้งใจว่าจะเชื่อฟัง”2

วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1995 ประธานฮิงค์ลีย์พูดในการประชุมใหญ่สามัญภาคฐานะปุโรหิตหลังจากสมาชิกสนับสนุนท่านครั้งแรกในฐานะศาสดาพยากรณ์และประธาน 14 ปีก่อนหน้านี้ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาของประธานศาสนจักรอีกสามท่าน ท่านเป็นพยานครั้งแล้วครั้งเล่าถึงการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านประธานเหล่านั้นและกระตุ้นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้ทำตามคำแนะนำของพวกท่าน บัดนี้ เมื่อท่านอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว ความรู้สึกว่าท่านต้องพึ่งพาพระเจ้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อครั้งเป็นมัคนายกหรืออัครสาวกที่เพิ่งได้รับเรียก แต่ท่านตระหนักมากขึ้นว่าท่านต้องการพลังสนับสนุนจากพระเจ้า ท่านกล่าวว่า

“มือที่ท่านยกขึ้นในการชุมนุมศักดิ์สิทธิ์เช้านี้แสดงให้เห็นว่าท่านเต็มใจและปรารถนาจะสนับสนุนเรา พี่น้องของท่านและผู้รับใช้ท่าน ด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธา และการสวดอ้อนวอนของท่าน ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อสิ่งที่ท่านแสดงให้เห็น ข้าพเจ้าขอบคุณทุกท่าน ข้าพเจ้ารับรองกับท่าน เท่าที่ท่านทราบอยู่แล้ว ว่าในกระบวนการของพระเจ้า ไม่มีใครแสวงหาตำแหน่ง ดังพระเจ้าตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ‘ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่าน และแต่งตั้งท่าน’ (ยอห์น 15:16) ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่ต้องแสวงหา พระเจ้าทรงมีสิทธิ์เลือก พระองค์ทรงเป็นเจ้าชีวิตและความตาย พระองค์ทรงมีเดชานุภาพในการเรียกชีวิต พระองค์ทรงมีเดชานุภาพในการนำชีวิตไป พระองค์ทรงมีเดชานุภาพในการรักษาชีวิตไว้ ทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

“ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเหตุใดในแผนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์จึงมีที่ให้คนเช่นข้าพเจ้า แต่เมื่อความรับผิดชอบนี้มาถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงอุทิศพละกำลัง หรือเวลา หรือพรสวรรค์ หรือชีวิต หรืออะไรก็ตามที่มีเพื่องานของพระอาจารย์ในการรับใช้พี่น้องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณท่านอีกครั้ง … สำหรับการกระทำของท่านวันนี้ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ข้าพเจ้ามีค่าควร ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะนึกถึงข้าพเจ้าในคำสวดอ้อนวอนของท่าน”3

ฝ่ายประธานสูงสุด

ฝ่ายประธานสูงสุด 1995 ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (กลาง); ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ที่ปรึกษาที่หนึ่ง (ซ้าย); และประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ ที่ปรึกษาที่สอง (ขวา)

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระเจ้าทรงเรียกประธานศาสนจักรแต่ละท่านหลังจากทดสอบ กล่อมเกลา และขัดเกลาท่านแล้ว

ข้าพเจ้าทำงานกับประธานศาสนจักรตั้งแต่ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์เป็นต้นมา … ข้าพเจ้ารู้จักที่ปรึกษาของท่านเหล่านี้ และรู้จักสภาอัครสาวกสิบสองในช่วงการบริหารงานของประธานเหล่านี้ บุรุษเหล่านี้ทุกท่านเป็นมนุษย์ พวกท่านมีลักษณะของมนุษย์และอาจมีความอ่อนแอตามประสามนุษย์บ้าง แต่นอกเหนือจากทั้งหมดนั้น ในชีวิตของท่านเหล่านั้นทุกท่านล้วนมีปรากฏการณ์อันทรงพลังในเรื่องการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านที่เป็นประธานศาสนจักรเป็นศาสดาพยากรณ์อย่างแท้จริง ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณของการเปิดเผยมาถึงพวกท่านด้วยตาตนเอง แต่ละท่านเป็นฝ่ายประธานหลังจากมีประสบการณ์ในการเป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสองและตำแหน่งอื่นๆ มานานหลายปี พระเจ้าทรงกล่อมเกลาและขัดเกลาแต่ละท่าน ให้ท่านรู้จักความท้อใจและความล้มเหลว ให้ท่านประสบความป่วยไข้และโทมนัสอันสุดซึ้งในบางกรณี ทั้งหมดนี้กลายเป็นกระบวนการขัดเกลาครั้งใหญ่ และผลของกระบวนการนั้นประจักษ์ชัดอย่างสวยงามในชีวิตพวกท่าน

เพื่อนที่รักทั้งหลายในพระกิตติคุณ นี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือศาสนจักรของพระองค์และศาสนจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ซึ่งมีพระนามของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงยอมให้ตัวปลอมมาเป็นหัวหน้าศาสนจักร พระองค์จะทรงระบุชื่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ จะทรงดลใจและกำกับดูแลพวกท่าน4

บางคนแสดงความกังวลที่ประธานศาสนจักรมักจะเป็นชายสูงอายุเสมอ ซึ่งคำตอบของข้าพเจ้าคือ “นั่นเป็นพรอย่างยิ่ง!” … ประธานศาสนจักรไม่จำเป็นต้องอายุน้อย ท่านต้องให้และจะยังให้คนอายุน้อยกว่าเดินทางไปทั่วโลกในงานแห่งการปฏิบัติศาสนกิจ ท่านเป็นมหาปุโรหิตควบคุม ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ถือกุญแจทั้งหมดของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ และสุรเสียงของการเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้ามาถึงผู้คนของพระองค์ …

ข้าพเจ้าคิดว่ามีบางอย่างทำให้คลายกังวลไปได้มากเมื่อรู้ว่า … เราจะมีประธานผู้ได้รับการฝึกฝนและฝึกปรือ ได้รับการทดลองและการทดสอบ ผู้ซึ่งความภักดีต่องานและความสุจริตในอุดมการณ์ของพวกท่านแข็งแกร่งขึ้นผ่านการรับใช้ ศรัทธาของพวกท่านแก่กล้า และความใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้รับการบ่มเพาะมาตลอดหลายปี5

ข้าพเจ้าพูด … ด้วยความสำนึกคุณต่อศาสดาพยากรณ์ผู้นำทางเราในยุคสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าวิงวอนขอความจงรักภักดีต่อท่านผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงเจิม ข้าพเจ้าวิงวอนขอความแน่วแน่ในการสนับสนุนท่านและให้ความเอาใจใส่คำสอนของท่าน ข้าพเจ้ากล่าวไว้ … ว่าถ้าเรามีศาสดาพยากรณ์ เรามีครบทุกอย่าง ถ้าเราไม่มีศาสดาพยากรณ์ เราไม่มีอะไรเลย เรามีศาสดาพยากรณ์ เรามีศาสดาพยากรณ์มาตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักรนี้ เราจะไม่มีวันปราศจากศาสดาพยากรณ์ถ้าเราจะดำเนินชีวิตคู่ควรกับการมีศาสดาพยากรณ์

พระเจ้าทรงดูแลงานนี้ นี่คืออาณาจักรของพระองค์ เราไม่ใช่แกะที่ไม่มีคนเลี้ยง เราไม่ใช่กองทัพที่ไม่มีผู้นำ6

2

เมื่อประธานศาสนจักรถึงแก่กรรม อัครสาวกอาวุโสจะเป็นประธานคนต่อไป

การส่งผ่านสิทธิอำนาจ [ให้ประธานศาสนจักรคนใหม่] ซึ่งข้าพเจ้ามีส่วนร่วมหลายครั้ง เป็นการส่งผ่านที่เรียบง่ายสวยงาม ซึ่งแสดงให้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ภายใต้ระเบียบปฏิบัติของพระองค์ศาสดาพยากรณ์จะเลือกชายคนหนึ่งเป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสอง เขาไม่ได้เลือกสิ่งนี้เป็นอาชีพ เขาได้รับเรียกเฉกเช่นอัครสาวกในสมัยของพระเยซูผู้ซึ่งพระเจ้าตรัสกับพวกท่านว่า “ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่าน” (ยอห์น 15:16) หลายปีผ่านไป เขาได้รับการฝึกปรือและฝึกฝนในตำแหน่งหน้าที่ของเขา เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำการเรียกในฐานะอัครสาวกให้เกิดสัมฤทธิผล นั่นเป็นการเตรียมที่ยาวนาน ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่ที่ใด และวิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้รู้จักเขา พระเจ้าทรงทดสอบใจและเนื้อแท้ของเขา ตามวิถีธรรมชาติของเหตุการณ์ทั้งหลาย ตำแหน่งว่างเกิดขึ้นในสภานั้นและต้องแต่งตั้งคนใหม่ ภายใต้กระบวนการนี้ชายคนนั้นจะกลายเป็นอัครสาวกอาวุโส กุญแจทั้งหมดของฐานะปุโรหิตมีอยู่ในเขา และในพี่น้องชายที่ร่วมรับใช้กับเขาเมื่อครั้งแต่ละคนได้รับการวางมือแต่งตั้ง แต่สิทธิอำนาจในการใช้กุญแจเหล่านั้นจำกัดเฉพาะประธานศาสนจักร เมื่อ [ท่านศาสดาพยากรณ์] ถึงแก่กรรม สิทธิอำนาจดังกล่าวมีผลในอัครสาวกอาวุโสผู้ซึ่งต่อจากนั้นเพื่อนร่วมงานในสภาอัครสาวกสิบสองจะได้รับการเสนอชื่อ วางมือมอบหน้าที่ และแต่งตั้งเขาเป็นศาสดาพยากรณ์และประธาน

ไม่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่มีการรณรงค์ มีเพียงการดำเนินการอย่างเงียบๆ และเรียบง่ายตามแผนของสวรรค์เพื่อจัดหาผู้นำที่ได้รับการดลใจและผ่านการทดสอบมาแล้ว

ข้าพเจ้าเป็นพยาน พยานส่วนตัว ถึงกระบวนการอันน่าพิศวงนี้ ข้าพเจ้าให้ประจักษ์พยานแก่ท่านว่าพระเจ้าคือผู้ [เลือกศาสดาพยากรณ์]7

เนื่องด้วยมรณกรรมของประธาน [ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู.] ฮันเตอร์ ฝ่ายประธานสูงสุดจึงสิ้นสุด ข้าพเจ้ากับบราเดอร์มอนสันผู้รับใช้เป็นที่ปรึกษาของท่าน กลับไปที่ของเราในโควรัมอัครสาวกสิบสอง ซึ่งกลายเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมของศาสนจักร

… อัครสาวกที่ได้รับแต่งตั้งทุกคนที่มีชีวิตอยู่มาชุมนุมกันในวิญญาณของการอดอาหารและการสวดอ้อนวอนในห้องชั้นบนของพระวิหาร ที่นี่เราร้องเพลงสวดอันศักดิ์สิทธิ์และสวดอ้อนวอนด้วยกัน เรารับส่วนศีลระลึกแห่งพระกระยาหารของพระเจ้า ต่อพันธสัญญาของเราในสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นและฟื้นฟูความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา

ต่อจากนั้นจึงจัดตั้งฝ่ายประธาน ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ตั้งแต่รุ่นก่อนๆ

ไม่มีการรณรงค์ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีความทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่ง แต่เป็นการจัดตั้งอย่างเงียบสงบ เรียบง่าย และศักดิ์สิทธิ์ ตามรูปแบบที่พระเจ้าทรงวางไว้ด้วยพระองค์เอง8

3

พระเจ้าทรงกำหนดหลักธรรมและระเบียบปฏิบัติสำหรับปกครองศาสนจักรถ้าประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวถ้อยแถลงต่อไปนี้ในปี 1992 เมื่อท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุด: ประมุขของศาสนจักรคือพระเจ้าพระเยซูคริสต์ นี่คือศาสนจักรของพระองค์ แต่หัวหน้าบนแผ่นดินโลกคือศาสดาพยากรณ์ของเรา ศาสดาพยากรณ์คือคนที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้า ถึงแม้การเรียกนั้นมาจากพระเจ้า แต่พวกท่านเป็นมนุษย์ พวกท่านต้องประสบปัญหาของความเป็นมรรตัย

เรารัก เคารพ ยกย่อง และมองไปที่ศาสดาพยากรณ์เวลานี้ ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน ท่านเป็นผู้นำที่ประเสริฐและมีปัญญาเลิศ บุรุษผู้เปล่งเสียงแสดงประจักษ์พยานถึงงานนี้ไปทั่วโลก ท่านถือกุญแจทั้งหมดของฐานะปุโรหิตบนแผ่นดินโลกในเวลานี้ แต่ท่านถึงวัยที่ไม่สามารถทำหลายอย่างที่เคยทำ สิ่งนี้ไม่ได้ลดค่าการเรียกของท่านในฐานะศาสดาพยากรณ์ แต่ส่งผลให้ท่านทำกิจกรรมทางกายได้จำกัด9

ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวถ้อยแถลงต่อไปนี้ในปี 1994 เมื่อท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุด: คนทั่วศาสนจักรอยากทราบอาการของท่านประธาน เวลานี้ประธานเบ็นสันอายุเก้าสิบห้าปีแล้ว … ท่านทรมานแสนสาหัสจากผลกระทบของอายุและความเจ็บป่วย ท่านไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญของตำแหน่งอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ประธานศาสนจักรท่านอื่นเคยป่วยหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในช่วงเดือนหรือช่วงปีสุดท้ายของชีวิตพวกท่าน เป็นไปได้ว่าจะเกิดกรณีเช่นนี้อีกในอนาคต

หลักธรรมและระเบียบปฏิบัติที่พระเจ้าทรงวางไว้ปกครองศาสนจักรของพระองค์จัดเตรียมไว้เพื่อรับสภาวการณ์เช่นนั้น ที่สำคัญ … คือต้องไม่มีความสงสัยหรือความกังวลเกี่ยวกับการปกครองศาสนจักรและการใช้ของประทานการเป็นศาสดาพยากรณ์ รวมไปถึงสิทธิที่จะรับการดลใจและการเปิดเผยในการบริหารกิจจานุกิจและโปรแกรมต่างๆ ของศาสนจักรเมื่อท่านประธานป่วยหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ฝ่ายประธานสูงสุดและสภาอัครสาวกสิบสองผู้ได้รับเรียกและวางมือแต่งตั้งให้ถือกุญแจของฐานะปุโรหิต มีสิทธิอำนาจและความรับผิดชอบในการปกครองศาสนจักร ปฏิบัติศาสนพิธี อรรถาธิบายหลักคำสอน วางแนวทางปฏิบัติและถือปฏิบัติตามนั้น บุรุษแต่ละท่านที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกและรับการสนับสนุนเป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสองล้วนได้รับการสนับสนุนให้เป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย เฉกเช่นคนเหล่านั้นก่อนหน้าท่าน ประธานเบ็นสันเป็นอัคร-สาวกอาวุโสเมื่อท่านได้รับเรียกเป็นประธานศาสนจักร ที่ปรึกษาของท่านดึงมาจากสภาอัครสาวกสิบสอง ด้วยเหตุนี้สมาชิกทุกท่านในโควรัมฝ่าประธานสูงสุดและสภาอัครสาวกสิบสองจึงเป็นผู้รับกุญแจ สิทธิ์ และสิทธิอำนาจเกี่ยวกับการเป็นอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์

ข้าพเจ้ายกคำพูดจากหลักคำสอนและพันธสัญญามากล่าวดังนี้

“จากฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค, มหาปุโรหิตควบคุมสามคน, ซึ่งได้รับเลือกโดยองค์ประชุม, ซึ่งกำหนดขึ้นและแต่งตั้งสู่ตำแหน่งนั้น, และได้รับการสนับสนุนโดยความไว้วางใจ, ศรัทธา, และการสวดอ้อนวอนของศาสนจักร, ประกอบเป็นโควรัมฝ่ายประธานสูงสุดของศาสนจักร” (คพ. 107:22)

เมื่อประธานป่วยหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมดของท่าน ที่ปรึกษาทั้งสองของท่านประกอบเป็นโควรัมฝ่ายประธานสูงสุด พวกท่านดำเนินงานของฝ่ายประธานในแต่ละวันตามปรกติ ในสภาวการณ์พิเศษ เมื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เพียงคนเดียว ท่านจะปฏิบัติในสิทธิอำนาจของตำแหน่งฝ่ายประธานดังอธิบายไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญา ภาค 102 ข้อ 10-11 …

… ที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุดดำเนินงานประจำของตำแหน่งนี้ต่อไป แต่ฝ่ายประธานสูงสุดและอัครสาวกสิบสองจะพิจารณาปัญหาใหญ่ๆ ด้วยกันอย่างรอบคอบร่วมกับการสวดอ้อนวอนในเรื่องนโยบาย ระเบียบปฏิบัติ โปรแกรม หรือหลักคำสอน สองโควรัมนี้ ได้แก่ โควรัมฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองจะประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหาใหญ่ทุกปัญหาโดยทุกคนมีอิสระเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็น

และบัดนี้ข้าพเจ้าจะอ้างจากพระดำรัสของพระเจ้าอีกครั้ง “และคำตัดสินทุกเรื่องที่กระทำโดยโควรัมใดก็ตามในโควรัมเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นโดยเสียงเอกฉันท์ของโควรัมเหล่านี้; กล่าวคือ, สมาชิกทุกคนในแต่ละโควรัมต้องเห็นพ้องกันกับคำตัดสินของโควรัม, เพื่อทำให้คำตัดสินของโควรัมเหล่านั้นต่างฝ่ายต่างมีอำนาจหรือผลบังคับเท่ากันในแต่ละโควรัม” (คพ. 107:27) …

… ขอให้เราทุกคนเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรนี้ซึ่งมีพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงดูแลศาสนจักร พระองค์ทรงนำทาง พระองค์ทรงกำกับดูแลงานนี้ ทรงยืนเบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบิดา พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจ เดชานุภาพ และสิทธิ์ในการเรียกคนมาสู่ตำแหน่งอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ทรงปลดพวกเขาตามพระประสงค์ของพระองค์โดยทรงเรียกพวกเขากลับบ้าน พระองค์ทรงเป็นเจ้าชีวิตและความตาย ข้าพเจ้าไม่วิตกเกี่ยวกับสภาวการณ์ที่เราอยู่ ข้าพเจ้ายอมรับว่าสภาวการณ์เหล่านี้เป็นวิธีแสดงพระประสงค์ของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้ายอมรับหน้าที่รับผิดชอบ โดยปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพี่น้องชายของข้าพเจ้า ในการทำสุดความสามารถเพื่อให้งานศักดิ์สิทธิ์นี้ก้าวหน้าด้วยวิญญาณของการอุทิศถวาย ความรัก ความอ่อนน้อมถ่อมตน หน้าที่ และความจงรักภักดี10

4

อัครสาวกเป็นพยานพิเศษถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก

หลังจาก [รับ] การวางมือแต่งตั้งสู่การเป็นอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์และ … รับการวางมือมอบหน้าที่เป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสอง พระเจ้าทรงคาดหวังให้ [อัครสาวก] อุทิศตนในเบื้องต้นให้แก่งานแห่งการปฏิบัติศาสนกิจ พวกท่าน … วางความรับผิดชอบในการยืนเป็นพยานพิเศษถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลกไว้เป็นอันดับแรกในชีวิตพวกท่าน เหนือเรื่องอื่นทั้งหมด …

พวกท่านเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคน พวกท่านมีความเข้มแข็งและความอ่อนแอ แต่นับจากนี้ตลอดชีวิตที่เหลือ ตราบเท่าที่พวกท่านซื่อสัตย์ ข้อกังวลหลักประการหนึ่งของพวกท่านคือความก้าวหน้าในงานของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก พวกท่านต้องห่วงใยความผาสุกของบุตรธิดาของพระบิดา ทั้งในศาสนจักรและนอกศาสนจักร พวกท่านต้องทำสุดความสามารถเพื่อให้การปลอบโยนคนโศกเศร้า เสริมกำลังคนอ่อนแอ ให้กำลังใจคนลังเล เป็นมิตรกับคนไม่มีเพื่อน เลี้ยงดูคนอัตคัดขัดสน ให้พรผู้ป่วย กล่าวคำพยาน ไม่ใช่จากความเชื่อแต่จากความรู้ที่แน่ชัดเกี่ยวกับพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระสหายและพระอาจารย์ของพวกท่าน ผู้ที่พวกท่านรับใช้พระองค์ …

… ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความเป็นพี่น้องของพวกท่าน ถึงความภักดี ศรัทธา ความอุตสาหะ และการรับใช้มากมายของพวกท่านในการทำให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าก้าวหน้า11

โควรัมอัครสาวกสิบสอง

โควรัมอัครสาวกสิบสอง ค.ศ. 1965 นั่งจากซ้ายไปขวา: เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, มาร์ค อี. ปีเตอร์เซ็น (นั่งบนพนักเก้าอี้), โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ (ประธานโควรัม) และเลอแกรนด์ ริชาร์ดส์ ยืนจากซ้ายไปขวา: กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์, เดลเบิร์ต แอล. สแตพลีย์, โธมัส เอส. มอนสัน, สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์, ฮาโรลด์ บี. ลี, มาเรียน จี. รอมนีย์, ริชาร์ด แอล. อีแวนส์, และฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

5

ฝ่ายประธานสูงสุดและอัครสาวกสิบสองแสวงหาการเปิดเผยและความสมานฉันท์ก่อนพวกท่านทำการตัดสินใจ

ไม่มีการตัดสินใจใดออกมาจากการพิจารณาหารือของฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองโดยทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ เมื่อเริ่มพิจารณาเรื่องต่างๆ อาจมีความเห็นต่างกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน บุรุษเหล่านี้มาจากภูมิหลังต่างกัน พวกท่านเป็นคนที่คิดด้วยตนเอง แต่ก่อนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ต้องมีความคิดและเสียงเป็นเอกฉันท์

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าจะทำตามพระวจนะที่พระเจ้าทรงเปิดเผย [ดู คพ. 107:27, 30-31] …

… [เมื่อ] ข้าพเจ้ารับใช้เป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสอง และ [เมื่อ] ข้าพเจ้ารับใช้ในฝ่ายประธานสูงสุด เรื่องสำคัญทุกเรื่องไม่เคยดำเนินการโดยไม่มีการออกความเห็น … จะมีการกลั่นกรองและประเมินความเห็นตลอดจนแนวคิดที่ได้จากกระบวนการนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงหรือความเป็นปฏิปักษ์ในบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเคยเห็นแต่เรื่องสวยงามและน่าทึ่ง—เห็นทัศนะหลากหลายที่ออกมาภายใต้อิทธิพลนำทางของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และภายใต้พลังของการเปิดเผยจนเกิดความปรองดองและความเห็นพ้องต้องกันอย่างสมบูรณ์ …

ข้าพเจ้าไม่รู้จักกลุ่มปกครองกลุ่มใดที่เราจะพูดถึงพวกเขาแบบนี้ได้12

6

ประธานสเตคได้รับเรียกโดยการดลใจให้รับใช้เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่อธิการและเป็นผู้นำของผู้คน

ประธานสเตคเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับเรียกภายใต้การเปิดเผยให้ยืนอยู่ระหว่างอธิการของวอร์ดกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักร นี่เป็นความรับผิดชอบสำคัญที่สุด เขาได้รับการอบรมจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ และเขาอบรมอธิการตามลำดับ …

ประธานสเตครับใช้เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่อธิการ อธิการทุกคนรู้ว่าเมื่อเขาต้องจัดการแก้ไขปัญหายุ่งยากมีคนหนึ่งอยู่ที่นั่นและพร้อมจะให้เขาไปบอกเรื่องหนักใจและรับคำแนะนำ

ประธานสเตคประเมินความปลอดภัยเป็นอันดับสองในการตัดสินคนที่มีค่าควรไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า … ประธานสเตคเป็นผู้พิจารณาอันดับสองในการตัดสินความมีค่าควรของคนที่จะออกไปเป็นตัวแทนของศาสนจักรในสนามเผยแผ่ เขาสัมภาษณ์ผู้สมัครด้วย และเขาลงนามรับรองต่อเมื่อเขาพอใจความมีค่าควรของบุคคลนั้น เขาได้รับสิทธิอำนาจให้วางมือมอบหน้าที่ผู้ได้รับเรียกเป็นผู้สอนศาสนาและให้การปลดเมื่อบุคคลนั้นเสร็จสิ้นการรับใช้

สำคัญที่สุดคือเขาเป็นเจ้าหน้าที่สภาวินัยคนสำคัญที่สุดของสเตค … เขาแบกรับหน้าที่รับผิดชอบหนักมากที่ต้องดูว่าหลักคำสอนที่สอนในสเตคบริสุทธิ์และไม่แปดเปื้อน หน้าที่ของเขาคือดูว่าไม่มีการสอนหลักคำสอนเท็จหรือเกิดการปฏิบัติเทียมเท็จ หากผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคคนใดประพฤติไม่เหมาะสม หรือบุคคลใดทำเช่นนั้น ภายใต้สภาวการณ์บางอย่าง เขาต้องให้คำแนะนำคนเหล่านั้น และถ้าคนนั้นยังขืนประพฤติเช่นนั้น ประธานจำต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาจะขอให้ผู้กระทำความผิดมาปรากฏตัวต่อหน้าสภาวินัย สภาดังกล่าวอาจดำเนินการภาคทัณฑ์ช่วงหนึ่งหรือกำจัดสิทธิ์หรือปัพพาชนียกรรมบุคคลนั้นออกจากศาสนจักร

นี่เป็นภารกิจที่ไม่พึงปรารถนาและยากที่สุด แต่ประธานต้องยอมรับทำโดยไม่กลัวหรือเกรงจะทำให้บุคคลนั้นไม่พอใจ เขาต้องทำทั้งหมดนี้ตามการนำทางของพระวิญญาณและดังอธิบายไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 102

ต่อจากนั้นเขาต้องทำสุดดวามสามารถเพื่อทำงานกับคนที่ถูกลงโทษทางวินัยและนำบุคคลนั้นกลับมาในเวลาที่เหมาะสม

ทั้งหมดนี้และมากกว่านั้นประกอบเป็นความรับผิดชอบของเขา ด้วยเหตุนี้ชีวิตเขาจึงต้องเป็นแบบอย่างต่อคนของเขา …

… เพราะเรามีความเชื่อมั่นเช่นนั้นใน [ประธานสเตค] เราจึงขอร้องสมาชิกในท้องที่ไม่ให้ขอคำปรึกษาหรือขอพรจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ประธานสเตคของพวกเขาได้รับเรียกภายใต้การดลใจเช่นเดียวกับการเรียกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่13

7

อธิการเป็นเมษบาลของฝูง

[ศาสนจักร] จะเติบโตและเพิ่มจำนวนแน่นอน เราต้องนำพระกิตติคุณไปให้ทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน ในอนาคตที่มองเห็นล่วงหน้าได้สมาชิกจะนิ่งดูดายหรือจะไม่ยื่นมือออกไปช่วยทำให้ก้าวหน้า สร้าง หรือขยายไซอันทั่วโลกไม่ได้ แต่ด้วยทั้งหมดนี้สมาชิกทุกคนต้องมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับอธิการหรือประธานสาขาที่ชาญฉลาดและห่วงใย คนเหล่านี้คือเมษบาลของฝูงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลคนจำนวนค่อนข้างน้อยทั้งนี้เพื่อจะไม่หลงลืม มองข้าม หรือละเลยใคร พระเยซูทรงเป็นเมษบาลแท้ผู้ทรงยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือคนทุกข์ยากทีละคนโดยมอบพรให้พวกเขาแต่ละคน14

ในความหมายที่แท้จริงอธิการของศาสนจักร … คือเมษบาลของอิสราเอล ทุกคน [ในศาสนจักร] ต้องชี้แจงต่ออธิการหรือประธานสาขา อธิการแบกภาระมากมาย ข้าพเจ้าเชื้อเชิญสมาชิกทุกคนของศาสนจักรให้ทำสุดความสามารถเพื่อแบ่งเบาภาระที่อธิการและประธานสาขาแบกอยู่

เราต้องสวดอ้อนวอนให้พวกเขา พวกเขาต้องการความช่วยเหลือขณะแบกภาระอันหนักหน่วง เราสามารถสนับสนุนพวกเขามากขึ้นได้และพึ่งพวกเขาน้อยลง เราสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ทุกวิถีทาง เราสามารถขอบคุณพวกเขาสำหรับทั้งหมดที่พวกเขาทำเพื่อเรา เรากำลังทำให้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมากในเวลาอันสั้นกับภาระที่เรายัดเยียดให้พวกเขา

… [อธิการ] ทุกคนคือผู้ได้รับเรียกโดยวิญญาณแห่งการพยากรณ์และการเปิดเผย ได้รับมอบหน้าที่และแต่งตั้งโดยการวางมือ อธิการทุกคนถือกุญแจของฝ่ายประธานในวอร์ดของเขา แต่ละคนเป็นมหาปุโรหิต มหาปุโรหิตควบคุมวอร์ดของเขา แต่ละคนแบกรับหน้าที่รับผิดชอบมากมายในการเป็นผู้พิทักษ์ แต่ละคนเป็นเสมือนบิดาของผู้คนของเขา

ไม่มีใครได้รับเงินตอบแทนการรับใช้ของเขา ศาสนาจักรไม่มีค่าตอบแทนให้อธิการวอร์ดคนใดสำหรับการทำงานเป็นอธิการของเขา

ข้อกำหนดของอธิการในปัจจุบันเหมือนกับในสมัยของเปาโลผู้เขียนถึงทิโมธี [ดู 1 ทิโมธี 3:2-6] …

ในจดหมายถึงทิตัส เปาโลเพิ่มเติมว่า “[อธิการ] ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้าต้องไม่มีข้อตำหนิ …

“ยึดมั่นในพระวจนะอันสัตย์จริงตามคำสอน เพื่อจะสามารถหนุนใจด้วยคำสอนที่ถูกต้อง และชี้แจงต่อพวกคนที่คัดค้าน” (ทิตัส 1:7, 9)

ถ้อยคำเหล่านั้นพูดอย่างเหมาะสมถึงอธิการยุคปัจจุบันในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย15

ข้าพเจ้ากระตุ้นคนของศาสนจักร ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด เมื่อท่านประสบปัญหา ลองแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวท่านเองก่อน คิดพิจารณาปัญหา ศึกษาทางเลือกที่มีให้ สวดอ้อนวอน และพึ่งการนำทางของพระเจ้า ถ้าท่านไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ท่านจึงจะพูดคุยกับอธิการหรือประธานสาขา อธิการเป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า ได้รับเรียกภายใต้สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นเมษบาลของฝูง16

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เหตุใดเราจึงต้องมีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับ “กระบวนการขัดเกลา” ของพระเจ้าเพื่อเตรียมและเรียกประธานศาสนจักร (ดู หัวข้อ 1)

  • ท่านประทับใจอะไรบ้างขณะทบทวนคำอธิบายของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับวิธีเลือกประธานศาสนจักรคนใหม่ (ดู หัวข้อ 2) เหตุใดจึงสำคัญที่ต้องรู้ว่าประธานศาสนจักรได้รับเลือกตาม “แผนของสวรรค์เพื่อจัดหาผู้นำที่ได้รับการดลใจและผ่านการทดสอบมาแล้ว”

  • พระเจ้าทรงวางหลักธรรมและระเบียบปฏิบัติอะไรบ้างสำหรับการปกครองศาสนจักรถ้าประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในหน้าที่ทั้งหมดของท่าน (ดู หัวข้อ 3)

  • อัครสาวกยุคสุดท้ายแสดงความห่วงใยบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า “ทั้งในศาสนจักรและนอกศาสนจักร” อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) คำปราศรัยการประชุมใหญ่ครั้งล่าสุดสะท้อนความห่วงใยนี้อย่างไร ท่านได้ประโยชน์อย่างไรจากคำสอนของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่

  • ศึกษาคำสอนของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับวิธีที่ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองทำการตัดสินใจ (ดู หัวข้อ 5) เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากวิธีที่พวกท่านตัดสินใจ เราจะประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้ในครอบครัวเราและในศาสนจักรได้อย่างไร

  • ขณะที่ท่านทบทวนหัวข้อ 6 และ 7 ท่านเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเรียกประธานสเตคและอธิการ เราจะสนับสนุนผู้นำศาสนจักรได้ดีขึ้นอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

เอเฟซัส 2:19–20; 4:11–14; คพ. 1:38; 21:1–6; อับราฮัม 3:22–23; หลักแห่งความเชื่อ 1:5–6

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“เป็นพยานเมื่อใดก็ตามที่พระวิญญาณกระตุ้นเตือนให้ท่านทำเช่นนั้น ไม่เฉพาะแค่ตอนจบบทเรียนเท่านั้น เปิดโอกาสให้คนที่ท่านสอนแสดงประจักษ์พยานด้วย” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 45)

อ้างอิง

  1. “In … Counsellors There Is Safety,” Ensign, Nov. 1990, 49.

  2. ใน Conference Report, Oct. 1961, 115–16; อ้างอิง “ฉันเฝ้าพิศวง,” เพลงสวด, บทเพลงที่ 89

  3. “งานนี้เป็นงานแห่งความห่วงใยในผู้คน,” เลียโฮนา, ส.ค.1995, 42.

  4. “Strengthening Each Other,” Ensign, Feb. 1985, 5.

  5. “He Slumbers Not, nor Sleeps,” Ensign, May 1983, 6–7.

  6. “Believe His Prophets,” Ensign, May 1992, 53.

  7. “Come and Partake,” Ensign, May 1986, 46–47.

  8. “This Is the Work of the Master,” Ensign, May 1995, 69.

  9. “The Church Is on Course,” Ensign, Nov. 1992, 53–54.

  10. “God Is at the Helm,” Ensign, May 1994, 54, 59.

  11. “Special Witnesses for Christ,” Ensign, May 1984, 49–51.

  12. “God Is at the Helm,” 54, 59.

  13. “ประธานสเตค,” เลียโฮนา, ก.ค. 2000, 62-64.

  14. “งานนี้เป็นงานแห่งความห่วงใยในผู้คน,” 42.

  15. “ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล,” เลียโฮนา, พ.ย. 2003, 72-73, 79.

  16. “Live the Gospel,” Ensign, Nov. 1984, 86.