คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 3: การปลูกฝังเจตคติของความสุขและเจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี


บทที่ 3

การปลูกฝังเจตคติของความสุขและเจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี

“จงเชื่อ จงมีความสุข อย่าท้อใจ สถานการณ์จะคลี่คลาย”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

เอดา บิทเนอร์ ฮิงค์ลีย์มารดาของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์พูดบ่อยครั้งว่า “เจตคติที่มีความสุขและสีหน้ายิ้มแย้มสามารถช่วยให้คนๆ หนึ่งผ่านพ้นความโชคร้ายแทบทุกอย่างและทุกคนต้องรับผิดชอบความสุขของตน”1 ไบรอันท์ เอส. ฮิงค์ลีย์บิดาของท่านมี “ทัศนะเชิงบวกอยู่ในตัว” เช่นกัน2 ประธานฮิงค์ลีย์จำได้ว่า “สมัยข้าพเจ้าเป็นเยาวชนชายและชอบพูดวิพากษ์วิจารณ์ คุณพ่อจะบอกว่า ‘คนชอบถากถางไม่มีส่วนช่วยเหลือ คนสงสัยไม่สร้างสรรค์ คนคลางแคลงใจไม่ประสบผลสำเร็จ’”3 โดยได้รับอิทธิพลจากคำแนะนำและแบบอย่างของบิดามารดา เด็กหนุ่มกอร์ดอน ฮิงค์ลีย์จึงเรียนรู้ว่าต้องมองชีวิตในแง่ดีและมีศรัทธา

สมัยเป็นผู้สอนศาสนาในอังกฤษ เอ็ลเดอร์ฮิงค์ลีย์พยายามทำตามคำแนะนำของบิดามารดาท่าน ท่านกับคู่จับมือทักทายกันทุกเช้าและบอกกันว่า “ชีวิตดีจัง”4 เกือบ 70 ปีต่อมาท่านแนะนำผู้สอนศาสนากลุ่มหนึ่งในฟิลิปปินส์ให้ปฏิบัติแบบเดียวกัน “เมื่อวานเป็นวันสำคัญในชีวิตข้าพเจ้า” ท่านบอกพวกเขา “ทุกวันเป็นวันสำคัญในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหวังให้ทุกวันเป็นวันสำคัญในชีวิตท่าน—ทุกๆ ท่าน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะพร้อมออกไปในตอนเช้า จับมือทักทายคู่ของท่าน และพูดว่า ‘บราเดอร์ (ซิสเตอร์) ครับ ชีวิตดีจัง ออกไปกันเถอะ ขอให้มีวันดีๆ’ และเมื่อท่านกลับมาตอนกลางคืน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะพูดกันได้ว่า ‘วันนี้ดีจริงๆ เรามีเวลาที่ดี เราได้ช่วยคนอื่นตลอดทาง … เราจะติดตามผลกับพวกเขา สวดอ้อนวอน และหวังว่าพวกเขาจะมาโบสถ์’ ทุกวันควรเป็นวันดีๆ ในสนามเผยแผ่”5

คำแนะนำดังกล่าวแสดงให้เห็นวิธีใช้ชีวิตของประธานฮิงค์ลีย์ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองบอกข้อสังเกตต่อไปนี้เกี่ยวกับประธานฮิงค์ลีย์และมาร์จอรีภรรยาของท่าน “พวกท่านไม่เสียเวลาไตร่ตรองอดีตหรือวิตกกังวลกับอนาคต พวกท่านสู้ไม่ถอยแม้จะมีความยากลำบาก”6 เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองแสดงความเห็นดังนี้ “‘สถานการณ์จะคลี่คลาย’ อาจเป็นคำยืนยันที่ประธานฮิงค์ลีย์พูดกับครอบครัว มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงานบ่อยที่สุด ‘พยายามต่อไป’ ท่านจะพูด ‘จงเชื่อ จงมีความสุข อย่าท้อใจ สถานการณ์จะคลี่คลาย’”7

ประธานฮิงค์ลีย์กับเยาวชน

“เรามีเหตุผลทุกอย่างให้มองโลกในแง่ดี”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

แม้เมื่อคนมากมายคิดลบและมองโลกในแง่ร้าย เราสามารถปลูกฝังเจตนารมณ์ของความสุขและการมองโลกในแง่ดีได้

มีโรคร้ายของการมองโลกในแง่ร้ายในแผ่นดิน โรคนี้ระบาดเกือบทุกที่ เรากินอาหารเน่าเสียของการใส่ร้ายป้ายสี การจับผิด และการพูดให้ร้ายกันเป็นประจำ …

ข้าพเจ้ามา … พร้อมคำขอร้องให้เราเลิกเสาะหาพายุและดื่มด่ำกับแสงตะวันมากขึ้น ข้าพเจ้ากำลังแนะนำให้เราเน้นคิดบวก ข้าพเจ้ากำลังขอให้เรามองหาความดีลึกขึ้นอีกนิด เลิกพูดจาดูแคลนประชดประชัน ขอให้เราชื่นชมคุณงามความดีและความพยายามมากขึ้น

ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์ทุกเรื่อง การเติบโตมากับการแก้ไข ความเข้มแข็งมากับการกลับใจ ชายหรือหญิงที่ฉลาดจะเปลี่ยนวิถีของตนโดยยอมรับความผิดพลาดที่ผู้อื่นชี้ให้เห็น ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าการสนทนาของเราต้องหวานตลอด วาจาหลักแหลมจริงใจและตรงไปตรงมาเป็นทักษะที่พึงแสวงหาและปลูกฝัง สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังแนะนำและขอคือให้เราเปลี่ยนจากการมองในแง่ลบซึ่งแทรกซึมไปทั่วสังคมของเราและมองหาความดีที่ไม่ธรรมดาในแผ่นดินและยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่ ขอให้เราพูดถึงคุณงามความดีของกันและกันมากกว่าพูดถึงความผิดของกันและกัน ขอให้การมองโลกในแง่ดีแทนที่การมองโลกในแง่ร้าย ขอให้ศรัทธาของเราแทนที่ความกลัวของเรา8

เรามีเหตุผลทุกอย่างให้มองโลกนี้ในแง่ดี เรื่องเศร้าสลดมีอยู่รอบข้าง ใช่ ปัญหามีอยู่ทุกที่ ใช่ แต่ … ท่านไม่สามารถสร้าง ท่านไม่ได้สร้างสิ่งใดจากการมองโลกในแง่ร้ายหรือการเยาะเย้ยถากถาง ท่านมองโลกในแง่ดี ทำงานด้วยศรัทธา และความสำเร็จเกิดขึ้น9

อย่าสิ้นหวัง อย่ายอมแพ้ จงมองหาแสงตะวันผ่านเมฆหมอก ในที่สุดโอกาสจะเปิดให้ท่าน อย่าปล่อยให้คนที่คิดแต่ว่าเรื่องร้ายจะเกิดขึ้นทำลายโอกาสของท่าน10

จงปลูกฝังเจตคติของความสุข จงปลูกฝังเจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี จงดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา พลางชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ความดีงามของคนที่ท่านรัก ประจักษ์พยานซึ่งท่านมีอยู่ในหัวใจเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์สิทธิ์11

แผนของพระเจ้าเป็นแผนแห่งความสุข ทางจะสว่างขึ้น ความวิตกกังวลจะน้อยลง การเผชิญหน้าจะง่ายขึ้นถ้าเราปลูกฝังเจตนารมณ์ของความสุข12

2

แทนที่จะหมกมุ่นกับปัญหา เราสามารถปล่อยให้เจตนารมณ์ของการน้อมขอบพระทัยนำทางและเป็นพรแก่เรา

พรที่เราได้รับช่างเลิศเลอ! เราควรขอบพระทัยอย่างยิ่ง! … จงปลูกฝังเจตนารมณ์ของการขอบพระทัยสำหรับพรแห่งชีวิตและสำหรับของประทานอันน่าอัศจรรย์ตลอดจนสิทธิพิเศษที่เราแต่ละคนได้รับ พระเจ้าตรัสไว้ว่าคนอ่อนโยนจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก (ดู มัทธิว 5:5) ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีพ้นการตีความที่ว่าความอ่อนโยนหมายถึงเจตนารมณ์ของความสำนึกคุณซึ่งตรงข้ามกับเจตคติของความทะนงตน คือการยอมรับว่ามีพลังอำนาจยิ่งใหญ่กว่าตน คือการยอมรับพระผู้เป็นเจ้า และการยอมรับพระบัญญัติของพระองค์ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญา จงดำเนินชีวิตด้วยความสำนึกคุณต่อพระผู้ประทานชีวิตและของประทานอันดีงามทุกอย่าง13

ไม่เคยมีเวลาใดในประวัติศาสตร์ของโลกจะน่าอยู่บนแผ่นดินโลกมากกว่าเวลานี้ เราทุกคนควรรู้สึกสำนึกคุณอย่างยิ่งที่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลาที่วิเศษสุดนี้กับพรอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดที่เรามี14

เมื่อข้าพเจ้านึกถึงความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นในช่วงชีวิตข้าพเจ้า—มากกว่าในช่วงที่เหลือของประวัติศาสตร์มนุษย์ทั้งหมดรวมกัน—ข้าพเจ้ายืนด้วยความคารวะและความสำนึกคุณ ข้าพเจ้านึกถึงรถยนต์และเครื่องบิน คอมพิวเตอร์ เครื่องโทรสาร อีเมล และอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์และน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้านึกถึงก้าวใหญ่ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข … และเนื่องด้วยทั้งหมดนี้จึงมีการฟื้นฟูพระกิตติคุณที่บริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ท่านและข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของปาฏิหาริย์และความน่าพิศวงของอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่นี้และอาณาจักรที่กำลังขยายไปทั่วแผ่นดินโลกโดยเป็นพรแก่ชีวิตคนที่อาณาจักรนั้นไปถึง ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง15

เรามีชีวิตอยู่ในความสมบูรณ์แห่งเวลา จงทำเครื่องหมายประโยคดังกล่าว ทำเครื่องหมายคำว่า ความสมบูรณ์ นั่นชี้ให้เห็น [ความ] ดีงามทั้งหมดที่ถูกนำมารวมกัน [ตั้งแต่] อดีตและได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกในสมัยการประทานสุดท้ายนี้

ใจข้าพเจ้า …อิ่มเอิบด้วยความขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ โดยผ่านของประทานแห่งพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของโลกนี้ เราได้รับพรมหาศาล ใจข้าพเจ้าสั่นระรัวไปกับเนื้อร้องของเพลงสวด “นับพระพรนั้น นับดูทีละอัน นับพระพรของท่านดูสิ่งพระเจ้ากระทำ” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 118)16

ด้วยความสำนึกคุณในใจ ขอให้เราอย่าหมกมุ่นกับปัญหาไม่กี่อย่างที่เรามี แต่ขอให้เรานับพรของเราและออกไปสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์ของความสำนึกคุณโดยมีศรัทธาแรงกล้าเป็นแรงผลักดัน17

ขอให้เจตนารมณ์ของการขอบพระทัยนำทางและอวยพรวันคืนของท่าน จงทำให้ได้ ท่านจะพบว่านั่นส่งผลดีเยี่ยม18

3

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุให้มีความยินดีปรีดา

พระเจ้าตรัสว่า “ดังนั้น, จงรื่นเริงใจและชื่นชมยินดี, และแนบสนิทกับพันธสัญญาซึ่งเจ้าทำไว้” [คพ. 25:13] ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์กำลังตรัสกับเราแต่ละคนว่า จงมีความสุข พระกิตติคุณเป็นเรื่องของความปีติยินดี พระกิตติคุณเป็นเหตุให้เรามีความยินดีปรีดา19

อย่าลืมว่าท่านเป็นใคร … ท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง … พระองค์ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของท่าน พระองค์ทรงรักท่าน … พระองค์ทรงต้องการให้บุตรและธิดาของพระองค์มีความสุข บาปไม่เคยเป็นความสุขเลย การล่วงละเมิดไม่เคยเป็นความสุขเลย การไม่เชื่อฟังไม่เคยเป็นความสุขเลย หนทางแห่งความสุขพบในแผนของพระบิดาในสวรรค์และในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์20

ไม่ว่าวิธีที่ท่านทำสิ่งต่างๆ ในอดีตเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าขอท้าทายท่าน … จงทำชีวิตท่านให้สอดคล้องกับคำสอนของพระกิตติคุณ มองศาสนจักรนี้เหมือนเป็นบ่อเกิดศรัทธาของท่านด้วยความรัก ความเคารพ และความชื่นชม ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างของสิ่งที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะทำในการนำความสุขมาให้แต่ละคน21

ครอบครัวฮิงค์ลีย์กับลูกเล็กๆ

“ในการดำรงอยู่ทั้งหมดมีความสนุกสนานและเสียงหัวเราะมากพอกัน จงเพลิดเพลินกับชีวิต ไม่ใช่แค่อดทน”

การกลับใจเป็นหลักธรรมข้อแรกประการหนึ่งของพระกิตติคุณ การให้อภัยเป็นเครื่องหมายของความเป็นพระเจ้า มีความหวังสำหรับท่าน ชีวิตท่านอยู่ข้างหน้า และเปี่ยมด้วยความสุขได้เแม้อดีตจะมีรอยบาป นี่เป็นงานแห่งการช่วยผู้คนให้รอดและช่วยผู้คนแก้ปัญหา นี่คือจุดประสงค์ของพระกิตติคุณ22

ข้าพเจ้าพบคนมากมายที่พร่ำบ่นเรื่องภาระในหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา แรงกดดันมีมากแน่นอน มีมากมายให้ทำ มากมายเหลือเกิน มีภาระการเงินเข้ามาเพิ่มแรงกดดันทั้งหมดนี้ เรามักจะบ่นเรื่องทั้งหมดนี้บ่อยๆ ที่บ้าน และบ่อยครั้งในที่สาธารณะ จงเปลี่ยนวิธีคิดของท่าน พระกิตติคุณเป็นข่าวประเสริฐ มนุษย์เป็นอยู่เพื่อพวกเขาจะมีปีติ [ดู 2 นีไฟ 2:25] จงมีความสุข! ขอให้ความสุขนั้นฉายทางสีหน้าของท่านและพูดผ่านประจักษ์พยานของท่าน ท่านคาดได้ว่าจะมีปัญหา อาจเกิดเรื่องเศร้าสลดเป็นครั้งคราว แต่การส่องสว่างผ่านทั้งหมดนี้เป็นคำขอร้องของพระเจ้า

“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก

“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก

“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)

ข้าพเจ้าชื่นชอบคำพูดเหล่านี้ของเจนคินส์ ลอยด์ โจนส์ซึ่งข้าพเจ้าตัดมาจากคอลัมน์หนึ่งใน Deseret News เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าส่งต่อให้ท่าน … เขากล่าวว่า

“ใครก็ตามที่คิดว่าความสำราญเป็นเรื่องปรกติจะเสียเวลามากกับการวิ่งตะโกนไปทั่วว่าเขาถูกปล้น

“การตีกอล์ฟส่วนใหญ่ไม่ลงหลุม เนื้อวัวส่วนใหญ่เหนียว เด็กส่วนใหญ่โตขึ้นมาเป็นแค่คนธรรมดา ชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนมาก งานส่วนใหญ่มักจะน่าเบื่อมากกว่างานอื่น …

“ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทางด้วยรถไฟสมัยก่อน—ล่าช้า ตกราง ควัน ฝุ่น เถ้าถ่าน และกระตุก มีทิวทัศน์สวยงามประปรายเพียงบางช่วงสลับกับเสียงเร่งความเร็วจนน่าหวาดเสียว

“เคล็ดลับคือขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงให้ท่านได้โดยสารรถไฟ” (Deseret News, 12 June 1973.)

ข้าพเจ้าย้ำ พี่น้องทั้งหลาย เคล็ดลับคือขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงให้ท่านได้โดยสารรถไฟ และนั่นไม่ใช่การโดยสารที่วิเศษสุดหรอกหรือ จงเพลิดเพลินกับมัน! หัวเราะ! ร้องเพลง! จงจดจำถ้อยคำของผู้เขียนสุภาษิตดังนี้

“ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจชอกช้ำทำให้กระดูกแห้ง” (สุภาษิต 17:22)23

จงมีความร่าเริงแจ่มใสบ้างในชีวิตท่าน จงมีความสุขสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน และสามารถหัวเราะได้เป็นครั้งคราวกับเรื่องสนุกๆ24

ในการดำรงอยู่ทั้งหมดมีความสนุกสนานและเสียงหัวเราะมากพอกัน จงเพลิดเพลินกับชีวิต ไม่ใช่แค่อดทน25

4

พระกิตติคุณเป็นข่าวสารแห่งชัยชนะที่ต้องน้อมรับด้วยความกระตือรือร้น ความรัก และการมองโลกในแง่ดี

ข้าพเจ้ายืนที่นี่วันนี้ในฐานะผู้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับงานของพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนางานนี้ในแผ่นดินโลกเพื่อให้งานล้มเหลว ข้าพเจ้าไม่สามารถเชื่อได้ว่างานนี้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าพเจ้ารู้ว่างานนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ … ข้าพเจ้ามีศรัทธาเรียบง่ายและจริงจังว่าความถูกต้องจะชนะและความจริงจะมีชัย26

เรื่องราวของคาเลบกับโยชูวาและคนสอดแนมคนอื่นๆ ของอิสราเอลทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจเสมอ โมเสสนำลูกหลานอิสราเอลเข้าไปในแดนทุรกันดาร ในการระหกระเหินปีที่สอง ท่านเลือกตัวแทนเผ่าละคนจากสิบสองเผ่าให้ไปค้นหาแผ่นดินคานาอันและกลับมารายงานเกี่ยวกับทรัพยากรรวมทั้งผู้คนของที่นั่น คาเลบเป็นตัวแทนของเผ่ายูดาห์ โยชูวาเป็นตัวแทนของเผ่าเอฟราอิม ทั้งสิบสองคนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาพบว่าแผ่นดินนั้นผลิดอกออกผล พวกเขาไปที่นั่นสี่สิบวัน พวกเขานำ “ผลองุ่นรุ่นแรก” กลับมาเป็นหลักฐานยืนยันความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน (กันดารวิถี 13:20)

พวกเขามาอยู่ต่อหน้าโมเสสกับอาโรนรวมทั้งชุมนุมชนทั้งหมดของลูกหลานอิสราเอลและพูดถึงแผ่นดินคานาอันว่า “ที่นั่นมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์จริง และนี่เป็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น” (ข้อ 27)

แต่คนสอดแนมสิบคนเป็นเหยื่อความสงสัยและความกลัวของตน พวกเขาให้รายงานในแง่ลบเกี่ยวกับจำนวนและกำลังคนของชาวคานาอัน คนเหล่านั้นสรุปว่า “พวกเขามีกำลังมากกว่าเรา” (ข้อ 31) พวกเขาเปรียบเทียบตนเองเป็นตั๊กแตนกับคนตัวโตที่พวกเขาเห็นในแผ่นดินนั้น พวกเขาเป็นเหยื่อความขลาดเขลาของตนเอง

ต่กจากนั้นโยชูวากับคาเลบยืนต่อหน้าประชาชนและพูดว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีเหลือเกิน

“ถ้าพระยาห์เวห์พอพระทัยในเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์

“ขอเพียงอย่าให้เรากบฏต่อพระยาเวห์ อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นเหมือนขนมปังของเราแล้ว เกราะกำบังของพวกเขาก็ถูกนำออกไปแล้ว พราะยาห์เวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” (14:7–9)

แต่ประชาชนยอมเชื่อคนสงสัยสิบคนนั้นมากกว่าจะเชื่อคาเลบและโยชูวา

ตอนนั้นเองที่พระเจ้าทรงประกาศว่าลูกหลานอิสราเอลจะระหกระเหินในแดนทุรกันดารสี่สิบปีจนกว่าคนที่ดำเนินชีวิตด้วยความสงสัยและความกลัวรุ่นนี้จะตายจากไป พระคัมภีร์บันทึกว่า “พวกที่มาและกล่าวร้ายแผ่นดินนั้นต่างตายด้วยโรคภัยเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์

“เหลือเพียงโยชูวา … และคาเลบ … จากคนที่ไปสอดแนมแผ่นดินที่ยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 37–38) พวกเขาเพียงสองคนในกลุ่มนั้นรอดชีวิตตลอดการเดินทางระหกระเหินสี่สิบปีและมีสิทธิ์เข้าไปในแผ่นดินที่สัญญาไว้ซึ่งพวกเขาได้รายงานในแง่ดี

เราเห็นคนรอบข้างเราบางคนเมินเฉยกับอนาคตของงานนี้ เฉื่อยชา พูดถึงข้อจำกัด แสดงความกลัว ใช้เวลาขุดคุ้ยและเขียนสิ่งที่พวกเขาถือเป็นความอ่อนแอซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีผลอะไรเลย ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับอดีต พวกเขาจึงไม่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของงานนี้

มีผู้กล่าวไว้ในสมัยโบราณว่า “ที่ที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็ปล่อยตัว” (สุภาษิต 29:18) ในงานนี้ไม่มีที่สำหรับคนเหล่านั้นผู้เชื่อเฉพาะพระกิตติคุณของความหายนะและความเศร้าหมอง พระกิตติคุณเป็นข่าวประเสริฐ เป็นข่าวสารแห่งชัยชนะ เป็นอุดมการณ์ที่ต้องน้อมรับด้วยความกระตือรือร้น

พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าจะไม่มีความทุกข์ยากเดือดร้อน คนของเรารู้จักความทุกข์นานัปการเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นผู้ต่อต้านงานนี้ แต่พวกเขาแสดงศรัทธาผ่านโทมนัสทั้งหมดของพวกเขา งานนี้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่เคยก้าวถอยหลังนับตั้งแต่เริ่มต้น …

… นี่เป็นงานของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ ตัวเราไปข้างหน้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรา แต่ศาสนจักรจะไม่มีวันหยุดก้าวหน้า …

เมื่อพระเจ้าทรงรับโมเสสมาไว้กับพระองค์ พระองค์ตรัสกับโยชูวาหลังจากนั้น “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป” (โยชูวา 1:9) นี่คืองานของพระองค์ ขอจงอย่าลืม จงน้อมรับงานนี้ด้วยความกระตือรือร้นและความรัก27

5

ด้วยความรู้ว่าเราทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เราสามารถยืนอย่างภาคภูมิ สูงขึ้นอีกนิด และเป็นคนดีขึ้นอีกหน่อย

ในโลกเราทุกวันนี้มีแนวโน้มอันน่าเศร้าว่าคนเราจะไม่ให้เกียรติกัน ท่านเคยตระหนักหรือไม่ว่าเรามักใช้สมองไม่มากนักในการกล่าววาจาทำร้ายกัน ลองทำตรงข้าม ลองแจกจ่ายคำชม …

ในสังคมเรามีแนวโน้มอันน่าเศร้าว่าเราจะดูแคลนตนเองเช่นกัน เราอาจดูเหมือนว่าคนอื่นมั่นใจในตนเอง แต่ข้อเท็จจริงคือพวกเราส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าตนด้อยกว่า สิ่งสำคัญคืออย่าพูดถึงตนเองอย่างนั้น … สิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

อย่าเสียเวลารู้สึกสงสารตนเอง อย่าดูแคลนตนเอง อย่าลืมว่าท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า ท่านมีสิทธิกำเนิดอันสูงส่ง ลักษณะบางอย่างของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในตัวท่าน28

เราร้องเพลง “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 149) นั่นไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น ไม่ใช่บทประพันธ์ที่กุขึ้น—นั่นเป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด มีบางอย่างของความเป็นพระเจ้าอยู่ในเราแต่ละคนที่ต้องปลูกฝัง ต้องทำให้เห็น ต้องหาวิธีแสดงออก บิดามารดาทั้งหลาย ท่านจงสอนลูกๆ ว่าพวกเขาเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ไม่มีความจริงใดในโลกสำคัญยิ่งกว่านี้—ที่จะคิดว่าเรามีบางอย่างของความเป็นพระเจ้าอยู่ในเรา29

จงเชื่อใจตนเอง จงเชื่อว่าท่านสามารถทำสิ่งดีและสำคัญยิ่งได้ จงเชื่อว่าไม่มีภูเขาลูกใดสูงจนท่านปีนขึ้นไปไม่ได้ จงเชื่อว่าไม่มีพายุลูกใดใหญ่จนท่านต้านไม่ไหว … ท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า มีความสามารถไม่จำกัด30

จงยืนอย่างภาคภูมิ สูงขึ้นอีกนิด และเป็นคนดีขึ้นอีกหน่อย จงพยายามเป็นพิเศษ ท่านจะมีความสุขมากขึ้น ท่านจะรู้จักความพอใจที่เข้ามาใหม่ ความยินดีที่เข้ามาใหม่ในใจท่าน31

แน่นอนว่าจะมีปัญหาบางอย่างระหว่างทาง จะมีความยากให้เอาชนะ แต่ปัญหายุ่งยากเหล่านั้นจะไม่ยั่งยืนตลอดไป [พระผู้เป็นเจ้า] จะไม่ทรงทอดทิ้งท่าน …

จงมองในแง่บวก จงรู้ว่าพระองค์ทรงดูแลท่านอยู่ พระองค์ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่านและจะทรงตอบ พระองค์ทรงรักท่านและจะทรงแสดงความรักนั้นให้ประจักษ์32

มีความอ่อนหวาน ความนุ่มนวล และความสวยงามมากมายให้สร้างบนนั้น เราเป็นผู้รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณหมายถึง “ข่าวประเสริฐ!” ข่าวสารของพระเจ้าเป็นข่าวสารแห่งความหวังและความรอด! สุรเสียงของพระเจ้าเป็นสุรเสียงของข่าวอันน่ายินดี! งานของพระเจ้าเป็นงานแห่งความสำเร็จอันรุ่งโรจน์

ในยามมืดมนและทุกข์ใจพระเจ้าตรัสกับคนที่พระองค์ทรงรักว่า “อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)

พระดำรัสที่ให้ความมั่นใจเหล่านี้เป็นดวงประทีปสำหรับเราแต่ละคน เราวางใจพระองค์ได้อย่างแท้จริง เพราะพระองค์และคำสัญญาของพระองค์จะไม่มีวันทำให้ผิดหวัง33

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • นึกถึงคำแนะนำของประธานฮิงค์ลีย์ให้ “มองหา [ความดี] ลึกขึ้น” และ “ปลูกฝังเจตคติของความสุข [และ] เจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี” (หัวข้อ 1) เหตุใดเราจึงต้องการคำแนะนำนี้ในปัจจุบัน เราจะปลูกฝังเจตคติของความสุขได้อย่างไร

  • ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ผลดีเยี่ยม” เกิดขึ้นเมื่อเรา “ให้เจตนารมณ์ของการขอบพระทัยนำทาง [เรา]” (หัวข้อ 2) ท่านคิดว่าเหตุใด ”ผลดีเยี่ยม” เหล่านี้จึงเกิดขึ้น ท่านได้รับพรอย่างไรเมื่อท่านมีเจตนารมณ์ของการน้อมขอบพระทัย

  • ท่านคิดอย่างไรบ้างเรื่องการเปรียบชีวิต “เหมือนการเดินทางด้วยรถไฟสมัยก่อน” (ดู หัวข้อ 3) “ข่าวประเสริฐ” ของพระกิตติคุณส่งผลต่อวิธีที่ท่านใช้ในการเดินทางนั้นอย่างไร

  • ท่านคิดว่าเรื่องของคาเลบกับโยชูวาประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) ท่านเคยเห็นตัวอย่างอะไรบ้างของคนที่น้อมรับพระกิตติคุณด้วยความกระตือรือร้น ถ้าเราพบว่าตนเองรู้สึกท้อแท้ เราจะมองโลกในแง่ดีมากขึ้นได้อย่างไร ประสบการณ์ใดเพิ่มการมองโลกในแง่ดีของท่านเกี่ยวกับงานของพระเจ้า

  • ท่านคิดว่าเหตุใดจึงมีแน้วโน้มว่าเราจะดูแคลนผู้อื่นและตัวเราเอง เราจะเอาชนะแนวโน้มนี้ได้อย่างไร เราจะทำอะไรได้บ้างทั้งเป็นส่วนตัวและเป็นครอบครัวเพื่อช่วยให้ผู้อื่น “ยืนอย่างภาคภูมิ” และ “สูงขึ้นอีกนิด” (ดู หัวข้อ 5)

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

ยอห์น 16:33; ฟิลิปปี 4:13; โมไซยาห์ 2:41; แอลมา 34:38; อีเธอร์ 12:4; คพ. 19:38–39; 128:19–23

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“การทำตามสิ่งที่ท่านเรียนรู้จะทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สุด (ดู ยอห์น 7:17)” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 19) ท่านอาจถามตัวท่านเองว่าจะประยุกต์ใช้คำสอนพระกิตติคุณที่บ้าน ที่ทำงาน และในความรับผิดชอบของท่านในศาสนจักรได้อย่างไร

อ้างอิง

  1. เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 37.

  2. เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith, 37.

  3. “The Continuing Pursuit of Truth,” Ensign, Apr. 1986, 4.

  4. ดู เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith, 76.

  5. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1: 1995–1999 (2005), 343.

  6. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ความสามารถทางวิญาณ,” เลียโฮนา, ม.ค. 1998, 18.

  7. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “President Gordon B. Hinckley: Stalwart and Brave He Stands,” Ensign, June 1995, 4.

  8. “The Lord Is at the Helm” (Brigham Young University devotional, Mar. 6, 1994), 3–4, speeches.byu.edu.

  9. อ้างอิงใน เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “President Gordon B. Hinckley: Stalwart and Brave He Stands,” 4.

  10. “The Continuing Pursuit of Truth,” 4.

  11. “If Thou Art Faithful,” Ensign, Nov. 1984, 92.

  12. “แต่ละคนต้องเป็นคนที่ดีขึ้น,” เลียโฮนา, พ.ย. 2002, 125.

  13. “With All Thy Getting Get Understanding,” Ensign, Aug. 1988, 3–4.

  14. “The Spirit of Optimism,” New Era, July 2001, 4.

  15. “Keep the Chain Unbroken” (Brigham Young University devotional, Nov. 30, 1999), 1–2, speeches.byu.edu.

  16. “My Redeemer Lives,” Ensign, Feb. 2001, 70.

  17. “The Lord Is at the Helm,” 6.

  18. “คำแนะนำและการสวดอ้อนวอนของศาสดาเพื่อเยาวชน,” เลียโฮนา, เม.ย. 2001, 37.

  19. “If Thou Art Faithful,” 91–92.

  20. “Stand True and Faithful,” Ensign, May 1996, 93–94.

  21. “True to the Faith,” Ensign, June 1996, 4.

  22. “Stand True and Faithful,” 94.

  23. “Four Imperatives for Religious Educators” (address to religious educators, Sept. 15, 1978), 4.

  24. “A Challenging Time—a Wonderful Time” (address to religious educators, Feb. 7, 2003), 4.

  25. “Stand True and Faithful,” 94.

  26. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 410.

  27. “Stay the Course—Keep the Faith,” Ensign, Nov. 1995, 71–72.

  28. “Strengthening Each Other,” Ensign, Feb. 1985, 3–4.

  29. One Bright Shining Hope: Messages for Women from Gordon B. Hinckley (2006), 90–91.

  30. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 2: 2000–2004 (2005), 452.

  31. “The Quest for Excellence” (Brigham Young University devotional, Nov. 10, 1998), 5, speeches.byu.edu.

  32. “เราจะเป็นสตรีอย่างที่ฝันไว้ได้อย่างไร?” เลียโฮนา, ก.ค. 2001, 138.

  33. “The Continuing Pursuit of Truth,” 6.