บทที่ 3
การปลูกฝังเจตคติของความสุขและเจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี
“จงเชื่อ จงมีความสุข อย่าท้อใจ สถานการณ์จะคลี่คลาย”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
เอดา บิทเนอร์ ฮิงค์ลีย์มารดาของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์พูดบ่อยครั้งว่า “เจตคติที่มีความสุขและสีหน้ายิ้มแย้มสามารถช่วยให้คนๆ หนึ่งผ่านพ้นความโชคร้ายแทบทุกอย่างและทุกคนต้องรับผิดชอบความสุขของตน”1 ไบรอันท์ เอส. ฮิงค์ลีย์บิดาของท่านมี “ทัศนะเชิงบวกอยู่ในตัว” เช่นกัน2 ประธานฮิงค์ลีย์จำได้ว่า “สมัยข้าพเจ้าเป็นเยาวชนชายและชอบพูดวิพากษ์วิจารณ์ คุณพ่อจะบอกว่า ‘คนชอบถากถางไม่มีส่วนช่วยเหลือ คนสงสัยไม่สร้างสรรค์ คนคลางแคลงใจไม่ประสบผลสำเร็จ’”3 โดยได้รับอิทธิพลจากคำแนะนำและแบบอย่างของบิดามารดา เด็กหนุ่มกอร์ดอน ฮิงค์ลีย์จึงเรียนรู้ว่าต้องมองชีวิตในแง่ดีและมีศรัทธา
สมัยเป็นผู้สอนศาสนาในอังกฤษ เอ็ลเดอร์ฮิงค์ลีย์พยายามทำตามคำแนะนำของบิดามารดาท่าน ท่านกับคู่จับมือทักทายกันทุกเช้าและบอกกันว่า “ชีวิตดีจัง”4 เกือบ 70 ปีต่อมาท่านแนะนำผู้สอนศาสนากลุ่มหนึ่งในฟิลิปปินส์ให้ปฏิบัติแบบเดียวกัน “เมื่อวานเป็นวันสำคัญในชีวิตข้าพเจ้า” ท่านบอกพวกเขา “ทุกวันเป็นวันสำคัญในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหวังให้ทุกวันเป็นวันสำคัญในชีวิตท่าน—ทุกๆ ท่าน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะพร้อมออกไปในตอนเช้า จับมือทักทายคู่ของท่าน และพูดว่า ‘บราเดอร์ (ซิสเตอร์) ครับ ชีวิตดีจัง ออกไปกันเถอะ ขอให้มีวันดีๆ’ และเมื่อท่านกลับมาตอนกลางคืน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะพูดกันได้ว่า ‘วันนี้ดีจริงๆ เรามีเวลาที่ดี เราได้ช่วยคนอื่นตลอดทาง … เราจะติดตามผลกับพวกเขา สวดอ้อนวอน และหวังว่าพวกเขาจะมาโบสถ์’ ทุกวันควรเป็นวันดีๆ ในสนามเผยแผ่”5
คำแนะนำดังกล่าวแสดงให้เห็นวิธีใช้ชีวิตของประธานฮิงค์ลีย์ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองบอกข้อสังเกตต่อไปนี้เกี่ยวกับประธานฮิงค์ลีย์และมาร์จอรีภรรยาของท่าน “พวกท่านไม่เสียเวลาไตร่ตรองอดีตหรือวิตกกังวลกับอนาคต พวกท่านสู้ไม่ถอยแม้จะมีความยากลำบาก”6 เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองแสดงความเห็นดังนี้ “‘สถานการณ์จะคลี่คลาย’ อาจเป็นคำยืนยันที่ประธานฮิงค์ลีย์พูดกับครอบครัว มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงานบ่อยที่สุด ‘พยายามต่อไป’ ท่านจะพูด ‘จงเชื่อ จงมีความสุข อย่าท้อใจ สถานการณ์จะคลี่คลาย’”7
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
แม้เมื่อคนมากมายคิดลบและมองโลกในแง่ร้าย เราสามารถปลูกฝังเจตนารมณ์ของความสุขและการมองโลกในแง่ดีได้
มีโรคร้ายของการมองโลกในแง่ร้ายในแผ่นดิน โรคนี้ระบาดเกือบทุกที่ เรากินอาหารเน่าเสียของการใส่ร้ายป้ายสี การจับผิด และการพูดให้ร้ายกันเป็นประจำ …
ข้าพเจ้ามา … พร้อมคำขอร้องให้เราเลิกเสาะหาพายุและดื่มด่ำกับแสงตะวันมากขึ้น ข้าพเจ้ากำลังแนะนำให้เราเน้นคิดบวก ข้าพเจ้ากำลังขอให้เรามองหาความดีลึกขึ้นอีกนิด เลิกพูดจาดูแคลนประชดประชัน ขอให้เราชื่นชมคุณงามความดีและความพยายามมากขึ้น
ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์ทุกเรื่อง การเติบโตมากับการแก้ไข ความเข้มแข็งมากับการกลับใจ ชายหรือหญิงที่ฉลาดจะเปลี่ยนวิถีของตนโดยยอมรับความผิดพลาดที่ผู้อื่นชี้ให้เห็น ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าการสนทนาของเราต้องหวานตลอด วาจาหลักแหลมจริงใจและตรงไปตรงมาเป็นทักษะที่พึงแสวงหาและปลูกฝัง สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังแนะนำและขอคือให้เราเปลี่ยนจากการมองในแง่ลบซึ่งแทรกซึมไปทั่วสังคมของเราและมองหาความดีที่ไม่ธรรมดาในแผ่นดินและยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่ ขอให้เราพูดถึงคุณงามความดีของกันและกันมากกว่าพูดถึงความผิดของกันและกัน ขอให้การมองโลกในแง่ดีแทนที่การมองโลกในแง่ร้าย ขอให้ศรัทธาของเราแทนที่ความกลัวของเรา8
เรามีเหตุผลทุกอย่างให้มองโลกนี้ในแง่ดี เรื่องเศร้าสลดมีอยู่รอบข้าง ใช่ ปัญหามีอยู่ทุกที่ ใช่ แต่ … ท่านไม่สามารถสร้าง ท่านไม่ได้สร้างสิ่งใดจากการมองโลกในแง่ร้ายหรือการเยาะเย้ยถากถาง ท่านมองโลกในแง่ดี ทำงานด้วยศรัทธา และความสำเร็จเกิดขึ้น9
อย่าสิ้นหวัง อย่ายอมแพ้ จงมองหาแสงตะวันผ่านเมฆหมอก ในที่สุดโอกาสจะเปิดให้ท่าน อย่าปล่อยให้คนที่คิดแต่ว่าเรื่องร้ายจะเกิดขึ้นทำลายโอกาสของท่าน10
จงปลูกฝังเจตคติของความสุข จงปลูกฝังเจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี จงดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา พลางชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติ ความดีงามของคนที่ท่านรัก ประจักษ์พยานซึ่งท่านมีอยู่ในหัวใจเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์สิทธิ์11
แผนของพระเจ้าเป็นแผนแห่งความสุข ทางจะสว่างขึ้น ความวิตกกังวลจะน้อยลง การเผชิญหน้าจะง่ายขึ้นถ้าเราปลูกฝังเจตนารมณ์ของความสุข12
2
แทนที่จะหมกมุ่นกับปัญหา เราสามารถปล่อยให้เจตนารมณ์ของการน้อมขอบพระทัยนำทางและเป็นพรแก่เรา
พรที่เราได้รับช่างเลิศเลอ! เราควรขอบพระทัยอย่างยิ่ง! … จงปลูกฝังเจตนารมณ์ของการขอบพระทัยสำหรับพรแห่งชีวิตและสำหรับของประทานอันน่าอัศจรรย์ตลอดจนสิทธิพิเศษที่เราแต่ละคนได้รับ พระเจ้าตรัสไว้ว่าคนอ่อนโยนจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก (ดู มัทธิว 5:5) ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีพ้นการตีความที่ว่าความอ่อนโยนหมายถึงเจตนารมณ์ของความสำนึกคุณซึ่งตรงข้ามกับเจตคติของความทะนงตน คือการยอมรับว่ามีพลังอำนาจยิ่งใหญ่กว่าตน คือการยอมรับพระผู้เป็นเจ้า และการยอมรับพระบัญญัติของพระองค์ นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญา จงดำเนินชีวิตด้วยความสำนึกคุณต่อพระผู้ประทานชีวิตและของประทานอันดีงามทุกอย่าง13
ไม่เคยมีเวลาใดในประวัติศาสตร์ของโลกจะน่าอยู่บนแผ่นดินโลกมากกว่าเวลานี้ เราทุกคนควรรู้สึกสำนึกคุณอย่างยิ่งที่ได้มีชีวิตอยู่ในเวลาที่วิเศษสุดนี้กับพรอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดที่เรามี14
เมื่อข้าพเจ้านึกถึงความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นในช่วงชีวิตข้าพเจ้า—มากกว่าในช่วงที่เหลือของประวัติศาสตร์มนุษย์ทั้งหมดรวมกัน—ข้าพเจ้ายืนด้วยความคารวะและความสำนึกคุณ ข้าพเจ้านึกถึงรถยนต์และเครื่องบิน คอมพิวเตอร์ เครื่องโทรสาร อีเมล และอินเทอร์เน็ต ทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์และน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้านึกถึงก้าวใหญ่ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข … และเนื่องด้วยทั้งหมดนี้จึงมีการฟื้นฟูพระกิตติคุณที่บริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ท่านและข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของปาฏิหาริย์และความน่าพิศวงของอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่นี้และอาณาจักรที่กำลังขยายไปทั่วแผ่นดินโลกโดยเป็นพรแก่ชีวิตคนที่อาณาจักรนั้นไปถึง ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง15
เรามีชีวิตอยู่ในความสมบูรณ์แห่งเวลา จงทำเครื่องหมายประโยคดังกล่าว ทำเครื่องหมายคำว่า ความสมบูรณ์ นั่นชี้ให้เห็น [ความ] ดีงามทั้งหมดที่ถูกนำมารวมกัน [ตั้งแต่] อดีตและได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกในสมัยการประทานสุดท้ายนี้
ใจข้าพเจ้า …อิ่มเอิบด้วยความขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ โดยผ่านของประทานแห่งพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของโลกนี้ เราได้รับพรมหาศาล ใจข้าพเจ้าสั่นระรัวไปกับเนื้อร้องของเพลงสวด “นับพระพรนั้น นับดูทีละอัน นับพระพรของท่านดูสิ่งพระเจ้ากระทำ” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 118)16
ด้วยความสำนึกคุณในใจ ขอให้เราอย่าหมกมุ่นกับปัญหาไม่กี่อย่างที่เรามี แต่ขอให้เรานับพรของเราและออกไปสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์ของความสำนึกคุณโดยมีศรัทธาแรงกล้าเป็นแรงผลักดัน17
ขอให้เจตนารมณ์ของการขอบพระทัยนำทางและอวยพรวันคืนของท่าน จงทำให้ได้ ท่านจะพบว่านั่นส่งผลดีเยี่ยม18
3
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นเหตุให้มีความยินดีปรีดา
พระเจ้าตรัสว่า “ดังนั้น, จงรื่นเริงใจและชื่นชมยินดี, และแนบสนิทกับพันธสัญญาซึ่งเจ้าทำไว้” [คพ. 25:13] ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์กำลังตรัสกับเราแต่ละคนว่า จงมีความสุข พระกิตติคุณเป็นเรื่องของความปีติยินดี พระกิตติคุณเป็นเหตุให้เรามีความยินดีปรีดา19
อย่าลืมว่าท่านเป็นใคร … ท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง … พระองค์ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของท่าน พระองค์ทรงรักท่าน … พระองค์ทรงต้องการให้บุตรและธิดาของพระองค์มีความสุข บาปไม่เคยเป็นความสุขเลย การล่วงละเมิดไม่เคยเป็นความสุขเลย การไม่เชื่อฟังไม่เคยเป็นความสุขเลย หนทางแห่งความสุขพบในแผนของพระบิดาในสวรรค์และในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์20
ไม่ว่าวิธีที่ท่านทำสิ่งต่างๆ ในอดีตเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าขอท้าทายท่าน … จงทำชีวิตท่านให้สอดคล้องกับคำสอนของพระกิตติคุณ มองศาสนจักรนี้เหมือนเป็นบ่อเกิดศรัทธาของท่านด้วยความรัก ความเคารพ และความชื่นชม ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างของสิ่งที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะทำในการนำความสุขมาให้แต่ละคน21
การกลับใจเป็นหลักธรรมข้อแรกประการหนึ่งของพระกิตติคุณ การให้อภัยเป็นเครื่องหมายของความเป็นพระเจ้า มีความหวังสำหรับท่าน ชีวิตท่านอยู่ข้างหน้า และเปี่ยมด้วยความสุขได้เแม้อดีตจะมีรอยบาป นี่เป็นงานแห่งการช่วยผู้คนให้รอดและช่วยผู้คนแก้ปัญหา นี่คือจุดประสงค์ของพระกิตติคุณ22
ข้าพเจ้าพบคนมากมายที่พร่ำบ่นเรื่องภาระในหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา แรงกดดันมีมากแน่นอน มีมากมายให้ทำ มากมายเหลือเกิน มีภาระการเงินเข้ามาเพิ่มแรงกดดันทั้งหมดนี้ เรามักจะบ่นเรื่องทั้งหมดนี้บ่อยๆ ที่บ้าน และบ่อยครั้งในที่สาธารณะ จงเปลี่ยนวิธีคิดของท่าน พระกิตติคุณเป็นข่าวประเสริฐ มนุษย์เป็นอยู่เพื่อพวกเขาจะมีปีติ [ดู 2 นีไฟ 2:25] จงมีความสุข! ขอให้ความสุขนั้นฉายทางสีหน้าของท่านและพูดผ่านประจักษ์พยานของท่าน ท่านคาดได้ว่าจะมีปัญหา อาจเกิดเรื่องเศร้าสลดเป็นครั้งคราว แต่การส่องสว่างผ่านทั้งหมดนี้เป็นคำขอร้องของพระเจ้า
“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก
“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30)
ข้าพเจ้าชื่นชอบคำพูดเหล่านี้ของเจนคินส์ ลอยด์ โจนส์ซึ่งข้าพเจ้าตัดมาจากคอลัมน์หนึ่งใน Deseret News เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าส่งต่อให้ท่าน … เขากล่าวว่า
“ใครก็ตามที่คิดว่าความสำราญเป็นเรื่องปรกติจะเสียเวลามากกับการวิ่งตะโกนไปทั่วว่าเขาถูกปล้น
“การตีกอล์ฟส่วนใหญ่ไม่ลงหลุม เนื้อวัวส่วนใหญ่เหนียว เด็กส่วนใหญ่โตขึ้นมาเป็นแค่คนธรรมดา ชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนมาก งานส่วนใหญ่มักจะน่าเบื่อมากกว่างานอื่น …
“ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทางด้วยรถไฟสมัยก่อน—ล่าช้า ตกราง ควัน ฝุ่น เถ้าถ่าน และกระตุก มีทิวทัศน์สวยงามประปรายเพียงบางช่วงสลับกับเสียงเร่งความเร็วจนน่าหวาดเสียว
“เคล็ดลับคือขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงให้ท่านได้โดยสารรถไฟ” (Deseret News, 12 June 1973.)
ข้าพเจ้าย้ำ พี่น้องทั้งหลาย เคล็ดลับคือขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงให้ท่านได้โดยสารรถไฟ และนั่นไม่ใช่การโดยสารที่วิเศษสุดหรอกหรือ จงเพลิดเพลินกับมัน! หัวเราะ! ร้องเพลง! จงจดจำถ้อยคำของผู้เขียนสุภาษิตดังนี้
“ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจชอกช้ำทำให้กระดูกแห้ง” (สุภาษิต 17:22)23
จงมีความร่าเริงแจ่มใสบ้างในชีวิตท่าน จงมีความสุขสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน และสามารถหัวเราะได้เป็นครั้งคราวกับเรื่องสนุกๆ24
ในการดำรงอยู่ทั้งหมดมีความสนุกสนานและเสียงหัวเราะมากพอกัน จงเพลิดเพลินกับชีวิต ไม่ใช่แค่อดทน25
4
พระกิตติคุณเป็นข่าวสารแห่งชัยชนะที่ต้องน้อมรับด้วยความกระตือรือร้น ความรัก และการมองโลกในแง่ดี
ข้าพเจ้ายืนที่นี่วันนี้ในฐานะผู้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับงานของพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนางานนี้ในแผ่นดินโลกเพื่อให้งานล้มเหลว ข้าพเจ้าไม่สามารถเชื่อได้ว่างานนี้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าพเจ้ารู้ว่างานนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ … ข้าพเจ้ามีศรัทธาเรียบง่ายและจริงจังว่าความถูกต้องจะชนะและความจริงจะมีชัย26
เรื่องราวของคาเลบกับโยชูวาและคนสอดแนมคนอื่นๆ ของอิสราเอลทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจเสมอ โมเสสนำลูกหลานอิสราเอลเข้าไปในแดนทุรกันดาร ในการระหกระเหินปีที่สอง ท่านเลือกตัวแทนเผ่าละคนจากสิบสองเผ่าให้ไปค้นหาแผ่นดินคานาอันและกลับมารายงานเกี่ยวกับทรัพยากรรวมทั้งผู้คนของที่นั่น คาเลบเป็นตัวแทนของเผ่ายูดาห์ โยชูวาเป็นตัวแทนของเผ่าเอฟราอิม ทั้งสิบสองคนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาพบว่าแผ่นดินนั้นผลิดอกออกผล พวกเขาไปที่นั่นสี่สิบวัน พวกเขานำ “ผลองุ่นรุ่นแรก” กลับมาเป็นหลักฐานยืนยันความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน (กันดารวิถี 13:20)
พวกเขามาอยู่ต่อหน้าโมเสสกับอาโรนรวมทั้งชุมนุมชนทั้งหมดของลูกหลานอิสราเอลและพูดถึงแผ่นดินคานาอันว่า “ที่นั่นมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์จริง และนี่เป็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น” (ข้อ 27)
แต่คนสอดแนมสิบคนเป็นเหยื่อความสงสัยและความกลัวของตน พวกเขาให้รายงานในแง่ลบเกี่ยวกับจำนวนและกำลังคนของชาวคานาอัน คนเหล่านั้นสรุปว่า “พวกเขามีกำลังมากกว่าเรา” (ข้อ 31) พวกเขาเปรียบเทียบตนเองเป็นตั๊กแตนกับคนตัวโตที่พวกเขาเห็นในแผ่นดินนั้น พวกเขาเป็นเหยื่อความขลาดเขลาของตนเอง
ต่กจากนั้นโยชูวากับคาเลบยืนต่อหน้าประชาชนและพูดว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีเหลือเกิน
“ถ้าพระยาห์เวห์พอพระทัยในเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
“ขอเพียงอย่าให้เรากบฏต่อพระยาเวห์ อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นเหมือนขนมปังของเราแล้ว เกราะกำบังของพวกเขาก็ถูกนำออกไปแล้ว พราะยาห์เวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” (14:7–9)
แต่ประชาชนยอมเชื่อคนสงสัยสิบคนนั้นมากกว่าจะเชื่อคาเลบและโยชูวา
ตอนนั้นเองที่พระเจ้าทรงประกาศว่าลูกหลานอิสราเอลจะระหกระเหินในแดนทุรกันดารสี่สิบปีจนกว่าคนที่ดำเนินชีวิตด้วยความสงสัยและความกลัวรุ่นนี้จะตายจากไป พระคัมภีร์บันทึกว่า “พวกที่มาและกล่าวร้ายแผ่นดินนั้นต่างตายด้วยโรคภัยเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
“เหลือเพียงโยชูวา … และคาเลบ … จากคนที่ไปสอดแนมแผ่นดินที่ยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 37–38) พวกเขาเพียงสองคนในกลุ่มนั้นรอดชีวิตตลอดการเดินทางระหกระเหินสี่สิบปีและมีสิทธิ์เข้าไปในแผ่นดินที่สัญญาไว้ซึ่งพวกเขาได้รายงานในแง่ดี
เราเห็นคนรอบข้างเราบางคนเมินเฉยกับอนาคตของงานนี้ เฉื่อยชา พูดถึงข้อจำกัด แสดงความกลัว ใช้เวลาขุดคุ้ยและเขียนสิ่งที่พวกเขาถือเป็นความอ่อนแอซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีผลอะไรเลย ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับอดีต พวกเขาจึงไม่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของงานนี้
มีผู้กล่าวไว้ในสมัยโบราณว่า “ที่ที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็ปล่อยตัว” (สุภาษิต 29:18) ในงานนี้ไม่มีที่สำหรับคนเหล่านั้นผู้เชื่อเฉพาะพระกิตติคุณของความหายนะและความเศร้าหมอง พระกิตติคุณเป็นข่าวประเสริฐ เป็นข่าวสารแห่งชัยชนะ เป็นอุดมการณ์ที่ต้องน้อมรับด้วยความกระตือรือร้น
พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าจะไม่มีความทุกข์ยากเดือดร้อน คนของเรารู้จักความทุกข์นานัปการเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นผู้ต่อต้านงานนี้ แต่พวกเขาแสดงศรัทธาผ่านโทมนัสทั้งหมดของพวกเขา งานนี้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่เคยก้าวถอยหลังนับตั้งแต่เริ่มต้น …
… นี่เป็นงานของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ ตัวเราไปข้างหน้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับเรา แต่ศาสนจักรจะไม่มีวันหยุดก้าวหน้า …
เมื่อพระเจ้าทรงรับโมเสสมาไว้กับพระองค์ พระองค์ตรัสกับโยชูวาหลังจากนั้น “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป” (โยชูวา 1:9) นี่คืองานของพระองค์ ขอจงอย่าลืม จงน้อมรับงานนี้ด้วยความกระตือรือร้นและความรัก27
5
ด้วยความรู้ว่าเราทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เราสามารถยืนอย่างภาคภูมิ สูงขึ้นอีกนิด และเป็นคนดีขึ้นอีกหน่อย
ในโลกเราทุกวันนี้มีแนวโน้มอันน่าเศร้าว่าคนเราจะไม่ให้เกียรติกัน ท่านเคยตระหนักหรือไม่ว่าเรามักใช้สมองไม่มากนักในการกล่าววาจาทำร้ายกัน ลองทำตรงข้าม ลองแจกจ่ายคำชม …
ในสังคมเรามีแนวโน้มอันน่าเศร้าว่าเราจะดูแคลนตนเองเช่นกัน เราอาจดูเหมือนว่าคนอื่นมั่นใจในตนเอง แต่ข้อเท็จจริงคือพวกเราส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าตนด้อยกว่า สิ่งสำคัญคืออย่าพูดถึงตนเองอย่างนั้น … สิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
อย่าเสียเวลารู้สึกสงสารตนเอง อย่าดูแคลนตนเอง อย่าลืมว่าท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า ท่านมีสิทธิกำเนิดอันสูงส่ง ลักษณะบางอย่างของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในตัวท่าน28
เราร้องเพลง “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 149) นั่นไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น ไม่ใช่บทประพันธ์ที่กุขึ้น—นั่นเป็นความจริงแท้แน่นอนที่สุด มีบางอย่างของความเป็นพระเจ้าอยู่ในเราแต่ละคนที่ต้องปลูกฝัง ต้องทำให้เห็น ต้องหาวิธีแสดงออก บิดามารดาทั้งหลาย ท่านจงสอนลูกๆ ว่าพวกเขาเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ไม่มีความจริงใดในโลกสำคัญยิ่งกว่านี้—ที่จะคิดว่าเรามีบางอย่างของความเป็นพระเจ้าอยู่ในเรา29
จงเชื่อใจตนเอง จงเชื่อว่าท่านสามารถทำสิ่งดีและสำคัญยิ่งได้ จงเชื่อว่าไม่มีภูเขาลูกใดสูงจนท่านปีนขึ้นไปไม่ได้ จงเชื่อว่าไม่มีพายุลูกใดใหญ่จนท่านต้านไม่ไหว … ท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า มีความสามารถไม่จำกัด30
จงยืนอย่างภาคภูมิ สูงขึ้นอีกนิด และเป็นคนดีขึ้นอีกหน่อย จงพยายามเป็นพิเศษ ท่านจะมีความสุขมากขึ้น ท่านจะรู้จักความพอใจที่เข้ามาใหม่ ความยินดีที่เข้ามาใหม่ในใจท่าน31
แน่นอนว่าจะมีปัญหาบางอย่างระหว่างทาง จะมีความยากให้เอาชนะ แต่ปัญหายุ่งยากเหล่านั้นจะไม่ยั่งยืนตลอดไป [พระผู้เป็นเจ้า] จะไม่ทรงทอดทิ้งท่าน …
จงมองในแง่บวก จงรู้ว่าพระองค์ทรงดูแลท่านอยู่ พระองค์ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่านและจะทรงตอบ พระองค์ทรงรักท่านและจะทรงแสดงความรักนั้นให้ประจักษ์32
มีความอ่อนหวาน ความนุ่มนวล และความสวยงามมากมายให้สร้างบนนั้น เราเป็นผู้รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พระกิตติคุณหมายถึง “ข่าวประเสริฐ!” ข่าวสารของพระเจ้าเป็นข่าวสารแห่งความหวังและความรอด! สุรเสียงของพระเจ้าเป็นสุรเสียงของข่าวอันน่ายินดี! งานของพระเจ้าเป็นงานแห่งความสำเร็จอันรุ่งโรจน์
ในยามมืดมนและทุกข์ใจพระเจ้าตรัสกับคนที่พระองค์ทรงรักว่า “อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)
พระดำรัสที่ให้ความมั่นใจเหล่านี้เป็นดวงประทีปสำหรับเราแต่ละคน เราวางใจพระองค์ได้อย่างแท้จริง เพราะพระองค์และคำสัญญาของพระองค์จะไม่มีวันทำให้ผิดหวัง33
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
นึกถึงคำแนะนำของประธานฮิงค์ลีย์ให้ “มองหา [ความดี] ลึกขึ้น” และ “ปลูกฝังเจตคติของความสุข [และ] เจตนารมณ์ของการมองโลกในแง่ดี” (หัวข้อ 1) เหตุใดเราจึงต้องการคำแนะนำนี้ในปัจจุบัน เราจะปลูกฝังเจตคติของความสุขได้อย่างไร
-
ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ผลดีเยี่ยม” เกิดขึ้นเมื่อเรา “ให้เจตนารมณ์ของการขอบพระทัยนำทาง [เรา]” (หัวข้อ 2) ท่านคิดว่าเหตุใด ”ผลดีเยี่ยม” เหล่านี้จึงเกิดขึ้น ท่านได้รับพรอย่างไรเมื่อท่านมีเจตนารมณ์ของการน้อมขอบพระทัย
-
ท่านคิดอย่างไรบ้างเรื่องการเปรียบชีวิต “เหมือนการเดินทางด้วยรถไฟสมัยก่อน” (ดู หัวข้อ 3) “ข่าวประเสริฐ” ของพระกิตติคุณส่งผลต่อวิธีที่ท่านใช้ในการเดินทางนั้นอย่างไร
-
ท่านคิดว่าเรื่องของคาเลบกับโยชูวาประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) ท่านเคยเห็นตัวอย่างอะไรบ้างของคนที่น้อมรับพระกิตติคุณด้วยความกระตือรือร้น ถ้าเราพบว่าตนเองรู้สึกท้อแท้ เราจะมองโลกในแง่ดีมากขึ้นได้อย่างไร ประสบการณ์ใดเพิ่มการมองโลกในแง่ดีของท่านเกี่ยวกับงานของพระเจ้า
-
ท่านคิดว่าเหตุใดจึงมีแน้วโน้มว่าเราจะดูแคลนผู้อื่นและตัวเราเอง เราจะเอาชนะแนวโน้มนี้ได้อย่างไร เราจะทำอะไรได้บ้างทั้งเป็นส่วนตัวและเป็นครอบครัวเพื่อช่วยให้ผู้อื่น “ยืนอย่างภาคภูมิ” และ “สูงขึ้นอีกนิด” (ดู หัวข้อ 5)
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ยอห์น 16:33; ฟิลิปปี 4:13; โมไซยาห์ 2:41; แอลมา 34:38; อีเธอร์ 12:4; คพ. 19:38–39; 128:19–23
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“การทำตามสิ่งที่ท่านเรียนรู้จะทำให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สุด (ดู ยอห์น 7:17)” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 19) ท่านอาจถามตัวท่านเองว่าจะประยุกต์ใช้คำสอนพระกิตติคุณที่บ้าน ที่ทำงาน และในความรับผิดชอบของท่านในศาสนจักรได้อย่างไร