บทที่ 24
การชดใช้ของพระเยซูคริสต์: ครอบคลุมทุกคน มีผลเฉพาะคน
“ข้าพเจ้าเป็นพยาน [ถึง] การชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ หากปราศจากการชดใช้ ชีวิตย่อมไร้ความหมาย นี่เป็นศิลาหลักในประตูโค้งแห่งการดำรงอยู่ของเรา”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์นำฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองจัดพิมพ์ประจักษ์พยานที่เป็นเอกภาพของพวกท่านเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด ในข่าวสารนี้ ชื่อว่า “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์” พวกท่านประกาศว่า “เรามอบประจักษ์พยานของเราถึงความจริงในพระชนม์ชีพอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์และพระบารมีอันหาที่สุดมิได้ของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ “ไม่มีผู้ใดอื่นอีกแล้วที่มีอิทธิพลลึกซึ้งเช่นนั้นต่อผู้คนที่มีชีวิตอยู่และยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนแผ่นดินโลก”1
ในคำปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญสามเดือนต่อมา ประธานฮิงค์ลีย์เป็นพยานถึงอิทธิพลอันลึกซึ้งของพระผู้ช่วยให้รอดต่อชีวิตท่านเอง ท่านพูดอย่างอ่อนโยนและเป็นส่วนตัวจนบางครั้งตื้นตันจนพูดแทบไม่ออกว่า
“ในบรรดาทุกอย่างที่ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกคุณเช้านี้ มีอย่างหนึ่งที่สำนึกคุณเป็นพิเศษ นั่นคือประจักษ์พยานที่มีชีวิตถึงพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ องค์สันติราช และพระผู้บริสุทธิ์ …
“พระเยซูทรงเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า ไม่มีใครให้ข้าพเจ้าได้มากไปกว่านี้ ‘ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน’ (ยอห์น 15:13) พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อข้าพเจ้า พระองค์ทรงเปิดทางสู่ชีวิตนิรันดร์ มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นทำสิ่งนี้ได้ ข้าพเจ้าหวังให้ตนมีค่าควรพอจะเป็นเพื่อนกับพระองค์
“พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของข้าพเจ้า การดำเนินพระชนม์ชีพ พระจริยาวัตรที่ไม่เห็นแก่พระองค์อย่างสิ้นเชิง ความโอบอ้อมอารีต่อคนตกทุกข์ได้ยาก การพลีพระชนม์ชีพครั้งสุดท้าย ทั้งหมดล้วนเป็นแบบอย่างต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถเทียบเท่าพระองค์ได้เลย แต่ข้าพเจ้าจะพยายาม …
“พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพิศวงกับปาฏิหาริย์อันน่าพิศวงของพระองค์ แต่กระนั้นก็รู้ว่าเกิดขึ้น ข้าพเจ้ายอมรับความจริงของเรื่องเหล่านี้เพราะข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชีวิตและความตาย ปาฏิหาริย์แห่งการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์บ่งบอกถึงความเห็นใจ ความรัก และสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ต้องพิศวงเมื่อได้เห็น
“พระองค์ทรงเป็นผู้นำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เป็นคนหนึ่งในขบวนแห่ของคนที่รักพระองค์และคนที่ติดตามพระองค์ในช่วงสองสหัสวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่การประสูติของพระองค์ …
“พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของข้าพเจ้า โดยผ่านการสละพระชนม์ชีพในความเจ็บปวดและความทุกขเวทนาจนสุดพรรณนา พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงมายกข้าพเจ้า เราแต่ละคน และบุตรธิดาทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าขึ้นจากเหวลึกของความมืดนิรันดร์หลังความตาย พระองค์ทรงจัดเตรียมบางสิ่งที่ดีกว่า—โลกแห่งความสว่างและความเข้าใจ การเติบโตและความสวยงามที่ซึ่งเราจะก้าวไปข้างหน้าบนถนนที่ทอดไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ความกตัญญูของข้าพเจ้าไม่มีขอบเขต ความขอบพระทัยพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่มีบทสรุป
“พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและกษัตริย์ของข้าพเจ้า จากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ พระองค์จะทรงปกครองและทรงครองในฐานะพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและพระเจ้าเหนือพระเจ้าทั้งหลาย อำนาจการปกครองของพระองค์จะไม่มีที่สิ้นสุด รัศมีภาพของพระองค์จะไม่มีวันมอด
“ไม่มีใครแทนที่พระองค์ได้ ไม่มีใครจะแทนที่ได้ตลอดไป พระองค์ทรงเป็นพระเมษโปดกที่ไร้มลทินและปราศจากตำหนิของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอน้อมคำนับและข้าพเจ้าเข้าใกล้พระบิดาในสวรรค์ผ่านทางพระองค์ …
“ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความสำนึกคุณและด้วยความรักที่ไม่เสื่อมคลายในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์”2
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
ความรักของพระบิดาบนสวรรค์ของเราประจักษ์ในของประทานแห่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์
ใจข้าพเจ้าอ่อนลงเมื่อนึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งที่รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรา ความลึกซึ้งอันหาใดเทียบได้ของความรักนั้นประจักษ์ในของประทานแห่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อนำความหวังมาสู่ใจเรา นำความเมตตาและความเอื้อเฟื้อมาสู่ความสัมพันธ์ของเรา เหนือสิ่งอื่นใดคือช่วยให้เรารอดจากบาปและนำเราไปบนเส้นทางที่นำสู่ชีวิตนิรันดร์3
การปฏิบัติศาสนกิจก่อนมรรตัยของพระผู้ช่วยให้รอด
พระบิดาของเราทุกคน ด้วยความรักที่ทรงมีต่อเราผู้เป็นบุตรธิดาของพระองค์ ทรงมอบ … แผนหนึ่งซึ่งภายใต้แผนนั้นเราจะมีอิสรภาพในการเลือกวิถีชีวิตของเรา พระบุตรหัวปีของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพี่ชายคนโตของเรา ทรงเป็นกุญแจไขแผนนั้น มนุษย์จะมีสิทธิ์เสรีของเขา และจะมีภาระรับผิดชอบติดมากับสิทธิ์เสรีนั้น มนุษย์จะเดินตามวิถีของโลก ทำบาป และสะดุด แต่พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าจะทรงรับเอาเนื้อหนังไว้กับพระองค์เองและทรงถวายองค์เป็นเครื่องพลีบูชาเพื่อชดใช้บาปของมนุษย์ทั้งปวง โดยผ่านความทุกขเวทนาจนสุดพรรณนา พระองค์จะทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ4
การปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกของพระผู้ช่วยให้รอด
ในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นไม่มีความสง่างามใดเหมือนความสง่างามของพระองค์ พระองค์ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพ ทรงลดพระองค์ลงมาประสูติเป็นมนุษย์ในรางหญ้าแห่งเบธเลเฮม พระองค์ทรงเติบโตเป็นเด็กชายในนาซาเร็ธและ “ทรงเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย” (ลูกา 2:52)
พระองค์ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน “และในทันใดนั้นฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกพิราบสถิตบนพระองค์
“และนี่แน่ะ มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 3:16-17)
ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกสามปี พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน พระองค์ทรงสอนอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยสอนมาก่อน
จากนั้นจึงถึงเวลาของพระองค์ มีพระกระยาหารในห้องชั้นบน ครั้งสุดท้ายของพระองค์กับอัครสาวกสิบสองในความเป็นมรรตัย ขณะทรงล้างเท้าพวกเขา พระองค์ทรงสอนบทเรียนเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนและการรับใช้ที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม5
ทรงทนทุกข์ในสวนเกทเสมนี
หลังจากความทุกขเวทนาในเกทเสมนี พระองค์ตรัสว่า “ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ” (คพ. 19:18)6
ในสวนเกทเสมนี พระองค์ทรงทนทุกข์ใหญ่หลวงจนพระเสโทซึมออกมาเป็นหยดโลหิตขณะทรงวิงวอนพระบิดาของพระองค์ แต่ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ครั้งใหญ่ของพระองค์7
[ข้าพเจ้าเคยนั่ง] ใต้ร่มต้นมะกอกเก่าแก่ [ในสวนเกทเสมนี] และอ่านเรื่องราวการต่อสู้อันน่ากลัวของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าขณะทรงเผชิญอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พระเสโทซึมออกมาเป็นหยดโลหิตและทรงสวดอ้อนวอนพระบิดาขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปหากเป็นได้—แต่ตรัสว่า กระนั้นก็ตาม ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ของข้าพระองค์ … ข้าพเจ้าตื้นตันใจอย่างยิ่งกับความรู้สึกที่ว่าพระองค์มิได้ทรงวิงวอนเพื่อพระองค์เอง พระองค์มิได้ทรงเผชิญกับความทรมานนั้นอันเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดทางพระวรกายที่พระองค์กำลังจะเผชิญ ซึ่งก็คือการตรึงกางเขนอันเหี้ยมโหดและน่าหวาดหวั่น นั่นเป็นส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้ามั่นใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วข้าพเจ้าคิดว่านั่นเป็นความรู้สึกที่มีต่อบทบาทส่วนหนึ่งของพระองค์ในความผาสุกนิรันดร์ของบุตรธิดาทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า และของคนทุกรุ่น
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระองค์—การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ นั่นคือกุญแจ นั่นคือศิลาหลักในประตูโค้งของแผนอันสำคัญยิ่งที่พระบิดาทรงนำออกมาเพื่อชีวิตนิรันดร์ของบุตรและธิดาของพระองค์ น่าหวาดหวั่นเพียงใดเมื่อต้องเผชิญ และเป็นภาระหนักเพียงใดเมื่อต้องรับไว้ แต่พระองค์ทรงเผชิญ พระองค์ทรงทำให้บรรลุผลสำเร็จ นั่นคือสิ่งน่าอัศจรรย์และน่าพิศวง นั่นอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเรา ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น กระนั้นก็ตาม เราเห็นเพียงส่วนน้อยและต้องเรียนรู้ที่จะสำนึกคุณมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ8
การจับกุม การตรึงกางเขน และการสิ้นพระชนม์
พระองค์ทรงถูกมือที่โหดเหี้ยมและหยาบกระด้างจับกุม ในคืนนั้น พวกเขาพาพระองค์ไปอยู่ต่อหน้าอันนาสอย่างผิดกฎหมาย จากนั้นก็คายาฟาสนายทหารที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์แห่งซานเฮดริน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นทรงอยู่ต่อหน้าชายชั่วและเจ้าเล่ห์เพทุบายคนนี้เป็นครั้งที่สอง จากนั้นพวกเขาพาพระองค์ไปพบปีลาต เจ้าเมืองโรมซึ่งภรรยาของเขากล่าวเตือนว่า “อย่าพัวพันกับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย” (มัทธิว 27:19) ชาวโรมคนนั้นคิดจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ จึงส่งพระองค์ไปหาเฮโรดขุนนางชั่ว ทุจริตผิดศีลธรรมแห่งกาลิลี พระคริสต์ทรงถูกกระทำทารุณกรรมและถูกเฆี่ยนตี พระเศียรถูกสวมด้วยหนามแหลมคมที่สานเป็นมงกุฏ ฉลองพระองค์สีม่วงถูกโยนไว้บนพระปฤษฎางค์ที่พระโลหิตไหลนอง พวกเขาพาพระองค์ไปอยู่ต่อหน้าปีลาตอีกครั้ง ผู้ที่ฝูงชนร้องบอกเขาว่า “เอาไปตรึง เอาไปตรึงที่กางเขน” (ลูกา 23:21)
พระองค์ทรงดำเนินอย่างซวนเซไปกลโกธา ที่ซึ่งพระวรกายที่บาดเจ็บของพระองค์ถูกตอกตรึงกับกางเขนอันเป็นวิธีประหารชีวิตที่เจ็บปวดและเหี้ยมโหดผิดมนุษย์มากที่สุดเท่าที่พวกชอบกระทำทารุณกรรมจะคิดออก
กระนั้น พระองค์ยังทรงร้องออกมาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34)9
ไม่มีภาพใดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดจะสะเทือนอารมณ์ไปกว่าภาพพระเยซูในเกทเสมนีและบนกางเขน พระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ พระผู้ช่วยให้รอดของโลกทรงทำให้การชดใช้เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าจำได้คราวอยู่กับประธานฮาโรลด์ บี. ลี … ในสวนเกทเสมนีที่เยรูซาเล็ม เรารู้สึกได้แม้เพียงน้อยนิดถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นั่น การต่อสู้ที่รุนแรงมากขณะพระเยซูทรงดิ้นรนเพียงลำพังในวิญญาณ จนพระโลหิตหลั่งออกจากทุกขุมขน (ดู ลูกา 22:44; คพ. 19:18) เรานึกถึงการทรยศของคนที่ได้รับเรียกให้ดำรงตำแหน่งของความไว้วางใจ เรานึกถึงคนชั่วที่วางมืออันแสนเหี้ยมโหดไว้บนพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เรานึกถึงพระองค์ทรงโดดเดี่ยวบนกางเขน ทรงร้องด้วยความปวดร้าวว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46) แต่กระนั้น พระผู้ช่วยให้รอดของโลกทรงดำเนินการต่อไปเพื่อทำให้เกิดการชดใช้แก่เราอย่างกล้าหาญ10
หลายชั่วโมงผ่านไปขณะพระชนม์ชีพของพระองค์สิ้นลงด้วยความเจ็บปวด แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน ม่านพระวิหารฉีกขาด มีพระดำรัสจากพระโอษฐ์ที่แห้งผากของพระองค์ว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46)
สิ้นสุดแล้ว พระชนม์ชีพมรรตัยของพระองค์จบลงแล้ว พระองค์พลีพระชนม์ชีพเป็นค่าไถ่คนทั้งปวง ความหวังของคนที่รักพระองค์สิ้นแล้ว พวกเขาลืมคำสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้ พระวรกายของพระองค์ถูกวางไว้อย่างเร่งรีบแต่นุ่มนวลในอุโมงค์ที่มีคนให้ยืมเมื่อช่วงค่ำวันสะบาโตของชาวยิว11
การฟื้นคืนพระชนม์
เช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลาและสตรีคนอื่นๆ มาที่อุโมงค์ พวกเธอสงสัยขณะรีบไปที่นั่นว่าก้อนหินกลิ้งออกจากประตูสุสานได้อย่างไร พอมาถึงพวกเธอจึงเห็นเทพองค์หนึ่งผู้กล่าวแก่พวกเธอว่า “เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน
“พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น” (มัทธิว 28:5-6)
ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน อุโมงค์ว่างเปล่าเป็นคำตอบของคำถามที่ถามกันมาหลายยุคหลายสมัย เปาโลกล่าวไว้ว่า “โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?” (1 โครินธ์ 15:55)12
2
โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอด คนทั้งปวงจะลุกขึ้นจากหลุมศพ
ปาฏิหาริย์ของเช้าวันฟื้นคืนพระชนม์นั้น … เป็นปาฏิหาริย์สำหรับมวลมนุษยชาติ เป็นปาฏิหาริย์แห่งเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า พระบุตรที่รักของพระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อชดใช้บาปของทุกคน เป็นการพลีพระชนม์ชีพด้วยความรักที่มีต่อบุตรและธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า ในการทำเช่นนั้้นพระองค์ทรงทำลายตราประทับของความตาย13
ไม่มีสิ่งใดเป็นสากลเท่าความตาย ไม่มีสิ่งใดเจิดจ้าด้วยความหวังเและศรัทธาเท่าความเชื่อมั่นเรื่องความเป็นอมตะ โทมนัสที่มาพร้อมกับความตาย ความระทมทุกข์หลังจากการล่วงลับของบุคคลอันเป็นที่รักบรรเทาลงโดยความแน่นอนของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น …
เมื่อใดก็ตามที่มือมัจจุราชจู่โจม องค์พระเจ้าพระเยซูคริสต์ผู้ประสบชัยชนะ พระองค์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเดชานุภาพอันหาใดเทียบได้และเป็นนิรันดร์ของพระองค์มีชัยชนะเหนือความตายทรงส่องสว่างผ่านความมืดครึ้มและความมืดมิดของโมงนั้น พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อเราแต่ละคน พระองค์ทรงรับพระชนม์ชีพคืนมาอีกครั้งและทรงเป็นผลแรกในบรรดาคนทั้งหลายที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น พระองค์ พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ทรงมีชัยชนะเหนือกษัตริย์อื่นทั้งปวง พระองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอยู่เหนือผู้ปกครองทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ปลอบโยนของเรา พระผู้ปลอบโยนองค์จริงเพียงองค์เดียวของเราในเวลาที่ผ้าห่อศพสีดำของราตรีนี้คลุมทับเราขณะวิญญาณออกจากร่างมนุษย์
พระเยซูพระคริสต์ทรงยืนอยู่เหนือมวลมนุษยชาติ14
ข้าพเจ้าจำได้คราวพูดในพิธีศพของชายที่ดีคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนที่คุณงามความดีของเขาทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนดีขึ้นมาอีกนิด ตลอดหลายปีมานี้ข้าพเจ้ารู้จักรอยยิ้มของเขา คำพูดที่อ่อนโยนของเขา วิธีที่เขาแสดงสติปัญญาอันเฉียบแหลมของเขา และการรับใช้ผู้อื่นด้วยน้ำใจกว้างขวางของเขา แต่แล้วคนที่ฉลาดหลักแหลมและดีอย่างเขาก็สิ้นชีวิตอย่างกะทันหัน ข้าพเจ้ามองดูร่างไร้ชีวิตของเขา ไม่มีการแสดงความขอบคุณหรือการโบกไม้โบกมือหรือคำพูดใดๆ …
ข้าพเจ้ามองดูภรรยาม่ายกับลูกๆ ของเขาที่กำลังร้องไห้ พวกเขารู้เหมือนที่ข้าพเจ้ารู้ว่าในชีวิตมรรตัยทุกคนจะไม่ได้ยินเสียงเขาอีก แต่ความอ่อนโยนอ่อนหวานที่ไม่อาจพรรณนาได้ในธรรมชาติวิสัยของเขาได้นำสันติสุขและความมั่นใจมาให้ ดูเหมือนพระองค์จะตรัสว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า” (สดด. 46:10)
ดูเหมือนพระองค์จะตรัสต่อไปว่า “อย่าห่วงเลย ทั้งหมดนี้เป็นแผนส่วนหนึ่งของเรา ไม่มีใครหนีความตายพ้น แม้พระบุตรที่รักของเราก็ยังสิ้นพระชนม์บนกางเขน แต่โดยผ่านการสิ้นพระชนม์นั้นพระองค์จึงทรงเป็นผลแรกอันน่าชื่นชมยินดีของการฟื้นคืนชีวิต พระองค์ทรงนำเหล็กในไปจากความตายและชัยชนะไปจากหลุมศพ”
ข้าพเจ้าได้ยินพระเจ้าตรัสกับมารธาที่กำลังโศกเศร้าว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:25–26)15
3
โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะมีโอกาสได้รับความสูงส่งและชีวิตนิรันดร์
ขอบพระทัยพระผู้ทรงฤทธานุภาพ พระบุตรผู้ทรงรัศมีภาพของพระองค์ทรงทำลายสายรัดแห่งความตาย ชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดในบรรดาชัยชนะทั้งปวง … พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีชัยของเรา พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา ผู้ทรงชดใช้บาปของเรา โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการไถ่ มนุษย์ทั้งปวงจะลุกขึ้นจากหลุมศพ พระองค์ทรงเปิดทางให้เราไม่เพียงได้ความเป็นอมตะเท่านั้นแต่ได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย16
ข้าพเจ้ารู้ความหมายของการชดใช้ของพระองค์ในระดับหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด การชดใช้ครอบคลุมทุกคนและมีผลเฉพาะคนถึงขนาดที่ไม่สามารถเข้าใจได้17
ความสำคัญของการชดใช้อยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าการชดใช้เกิดขึ้นเพื่อข้าพเจ้าและเพื่อท่าน ความทุกขเวทนานั้นใหญ่หลวง ความปวดร้าวนั้นรุนแรง พวกเราไม่มีใครเข้าใจได้เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงสละพระองค์เป็นค่าไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ
โดยผ่านพระองค์เราได้รับการให้อภัย โดยผ่านพระองค์มีคำสัญญาแน่นอนว่ามวลมนุษยชาติจะได้รับพรแห่งความรอด พร้อมด้วยการฟื้นคืนชีวิตจากบรรดาคนตาย โดยผ่านพระองค์และการพลีพระชนม์ชีพอันยิ่งใหญ่ฃองพระองค์เรามีโอกาสได้รับความสูงส่งและชีวิตนิรันดร์ผ่านการเชื่อฟัง18
เราทุกคนไม่ได้เป็นบุตรธิดาเสเพลที่ต้องกลับใจและรับส่วนพระเมตตาแห่งการให้อภัยของพระบิดาบนสวรรค์และทำตามแบบอย่างของพระองค์หรอกหรือ
พระบุตรที่รักของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทรงเอื้อมมาหาเราในการให้อภัยและพระเมตตา แต่ในการทำเช่นนั้นพระองค์ทรงบัญชาให้เรากลับใจ … พระเจ้าตรัส—และข้าพเจ้าอ้างอิงจากการเปิดเผยที่ประทานแก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ
“ฉะนั้นเราบัญชาให้เจ้ากลับ ใจ—จงกลับใจเถิด, เกลือกเราจะลงทัณฑ์เจ้าด้วยไม้จากปากของเรา, และด้วยความเคืองแค้นของเรา, และด้วยความโกรธของเรา, และความทุกขเวทนาของเจ้าจะอาดูร—อาดูรเพียงใดเจ้าหารู้ไม่, แสนสาหัสเพียงใดเจ้าหารู้ไม่, แท้จริงแล้ว, ยากเหลือจะทนเพียงใดเจ้าหารู้ไม่.
“เพราะดูเถิด, เรา, พระผู้เป็นเจ้า, ทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากพวกเขาจะกลับใจ;
“แต่หากพวกเขาจะไม่กลับใจ พวกเขาต้องทนทุกข์แม้ดังเรา;
“ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ …
“จงเรียนรู้จากเรา, และฟังถ้อยคำของเรา; จงเดินด้วยความสุภาพอ่อนน้อมแห่งพระวิญญาณเรา, และเจ้าจะมีสันติสุขในเรา.” (คพ. 19:15-18, 23)19
เมื่อพิจารณาทุกๆ อย่างแล้ว เมื่อตรวจสอบประวัติศาสตร์ทั้งหมดแล้ว เมื่อสำรวจความลึกซึ้งที่สุดของความคิดมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งใดยอดเยี่ยม สง่างาม และยิ่งใหญ่เท่าการแสดงพระคุณครั้งนี้เมื่อพระบุตรของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ เจ้าชายของครอบครัวพระบิดาของพระองค์ พระองค์ผู้เคยตรัสในฐานะพระเยโฮวาห์ พระองค์ผู้ทรงลดองค์ลงมาแผ่นดินโลกเป็นพระกุมารประสูติในเบธเลเฮม ทรงสละพระชนม์ชีพในความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดเพื่อให้บุตรและธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าทุกรุ่นทุกสมัย ทุกคนที่ต้องตาย ได้เดินอีกครั้งและมีชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงทำเพื่อเราในสิ่งที่เราทำด้วยตนเองไม่ได้ …
ศาสดาพยากรณ์อิสยาห์ประกาศว่า
“แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเราและหอบความเจ็บปวดของเราไป …
“…ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความผิดบาปของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ” (อสย. 53:4-5)
นี่เป็นเรื่องจริงอันน่าพิศวงของคริสต์มาส การประสูติของพระเยซูในเบธเลเฮมแห่งยูเดียเป็นบทนำ การปฏิบัติศาสนกิจสามปีของพระอาจารย์เป็นอารัมภบท เนื้อหาที่งดงามของเรื่องนี้คือการพลีพระชนม์ชีพของพระองค์ พระกรณียกิจที่ไร้ความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงของการสิ้นพระชนม์ในความเจ็บปวดบนกางเขนแห่งคัลวารีเพื่อชดใช้บาปของเราทุกคน
บทส่งท้ายคือปาฏิหาริย์แห่งการฟื้นคืนพระชนม์ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า “เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์” (1 โครินธ์ 15:22)
คงจะไม่มีคริสต์มาสถ้าไม่มีอีสเตอร์ พระกุมารเยซูแห่งเบธเลเฮมคงจะเป็นเพียงทารกคนหนึ่งหากปราศจากพระคริสต์ที่ทรงไถ่ในเกทเสมนีและคัลวารี และชัยชนะของการฟื้นคืนพระชนม์
ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ชั่วนิรันดร์ ไม่มีใครที่เคยเดินบนแผ่นดินโลกยิ่งใหญ่เท่าพระองค์ ไม่มีใครเสียสละได้เท่าเทียมพระองค์หรือประทานพรได้เท่าเทียมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของโลก ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์ ข้าพเจ้าประกาศความเป็นพระเจ้าของพระองค์โดยไม่อ้อมค้อมหรือประนีประนอม ข้าพเจ้ารักพระองค์ ข้าพเจ้าพูดถึงพระนามของพระองค์ด้วยความคารวะและความพิศวง ข้าพเจ้านมัสการพระองค์เฉกเช่นนมัสการพระบิดาของพระองค์ ในวิญญาณและในความจริง ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์และคุกเข่าเบื้องพระพักตร์พระบุตรที่รักของพระองค์ผู้ทรงเอื้อมออกมานานแล้วและตรัสกับเราแต่ละคนว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก” (มัทธิว 11:28)
… ข้าพเจ้าประสงค์ให้แต่ละท่านใช้เวลาอาจจะเพียงหนึ่งชั่วโมงตรึกตรองในใจและใคร่ครวญอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับความน่าพิศวงและบารมีของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าองค์นี้20
ข้าพเจ้ากล่าวคำพยาน [ถึง] การชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ หากปราศจากการชดใช้ ชีวิตย่อมไร้ความหมาย การชดใช้เป็นศิลาหลักในประตูโค้งของการดำรงอยู่ของเรา นั่นยืนยันว่าเรามีชีวิตก่อนเราเกิดในความเป็นมรรตัย ความเป็นมรรตัยเป็นเพียงหินปูทางเดินที่นำไปสู่การดำรงอยู่อันรุ่งโรจน์มากขึ้นในอนาคต ความโศกเศร้าเนื่องจากความตายคลายลงด้วยคำสัญญาเรื่องการชดใช้21
พระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรที่ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงลดองค์ลงมาแผ่นดินโลก ผู้ประสูติในรางหญ้า ในประเทศที่พ่ายแพ้ในหมู่ขุนนางศักดินา พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระบิดาในเนื้อหนัง พระบุตรหัวปีของพระบิดาและพระผู้ลิขิตความรอดของเรา พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ซึ่งการชดใช้ของพระองค์ทำให้ชีวิตนิรันดร์เป็นไปได้สำหรับทุกคนที่จะดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังคำสอนของพระองค์22
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เหตุใดพระบิดาบนสวรรค์จึงประทาน “ของประทานแห่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์” (ดู หัวข้อ 1) ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อแสดงความสำนึกคุณต่อของประทานดังกล่าว ท่านมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรบ้างขณะอ่านบทสรุปของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำเพื่อเรา
-
ในหัวข้อ 2 ให้เปรียบเทียบคำที่ประธานฮิงค์ลีย์ใช้พูดถึงความตายกับคำที่ท่านใช้พูดถึงการฟื้นคืนชีวิต ท่านเรียนรู้อะไรจากความแตกต่างในคำเหล่านี้ ประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดมีอิทธิพลต่อชีวิตท่านอย่างไร
-
ท่านเรียนรู้อะไรจากประจักษ์พยานของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ (ดู หัวข้อ 3) การชดใช้เป็นพรแก่ตัวท่านอย่างไร ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างขณะไตร่ตรองการพลีพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อท่าน วางแผนเวลา “ตรึกตรองในใจและใคร่ครวญเงียบๆ” เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
อิสยาห์ 53; ยอห์น 3:16; 11:25; 2 นีไฟ 9:6–13; แอลมา 7:11–13; 34:8–10; ฮีลามัน 14:13–19; คพ. 18:10–12
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“เมื่อท่านเตรียมสอนร่วมกับการสวดอ้อนวอนท่านอาจได้รับการนำให้เน้นหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ท่านอาจได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอแนวคิดบางอย่าง ท่านอาจค้นพบตัวอย่างบทเรียนที่ใช้อุปกรณ์และเรื่องเล่าที่ให้แรงบันดาลใจจากกิจกรรมที่เรียบง่ายของชีวิต ท่านอาจรู้สึกว่าต้องเชิญบุคคลหนึ่งช่วยในบทเรียน ท่านอาจนึกขึ้นได้ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่จะแบ่งปัน” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 48)