บทที่ 21
ปาฏิหาริย์ยุคสุดท้ายของงานเผยแผ่ศาสนา
“ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านเป็นกองทัพใหญ่ที่มีความกระตือรือร้นจะทำงานนี้และมีความปรารถนาอย่างล้นเหลือที่จะช่วยผู้สอนศาสนาในความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่เขาเหล่านั้นมีอยู่”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
สมัยเป็นเด็กหนุ่ม กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์เป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ แต่ท่านไม่คาดคิดว่าจะได้รับเรียกให้รับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา “เวลานั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก” ท่านอธิบายในเวลาต่อมา “จำนวนคนว่างงานใน [ซอลท์เลคซิตี้] ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ คนว่างงานส่วนใหญ่เป็นสามีและบิดาเนื่องจากสตรีทำงานใช้แรงงานค่อนข้างน้อย ผู้สอนศาสนาเข้าสู่สนามเผยแผ่ในเวลานั้นน้อยมาก … ข้าพเจ้าเรียนจบปริญญาตรีแล้วและวางแผนจะเรียนต่อ แต่แล้วอธิการก็มาพร้อมสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข้อเสนอที่ทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก ท่านพูดถึงงานเผยแผ่”1
กอร์ดอนยอมรับ “ข้อเสนอที่ทำให้ตกใจมาก” ของอธิการ และในปี 1933 ท่านได้รับเรียกให้รับใช้ในอังกฤษ—หนึ่งในผู้สอนศาสนาเพียง 525 คนที่ได้รับเรียกในปีนั้น2 ท่านประสบการทดลองมากมายในช่วงงานเผยแผ่ แต่การรับใช้ทำให้ศรัทธาของท่านมั่นคง
“งานในสนามเผยแผ่ไม่ง่าย ยากและน่าท้อใจ แต่นั่นเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม เมื่อนึกย้อนกลับไป ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้าพเจ้าคงจะเป็นคนหนุ่มที่เห็นแก่ตัวเมื่อไปถึงอังกฤษ นับเป็นพรอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทิ้งความสนใจที่เห็นแก่ตัวและหันมาสนใจงานของพระเจ้ามากขึ้น …
“ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับประสบการณ์ในงานเผยแผ่ครั้งนั้น ข้าพเจ้าสัมผัสชีวิตคนไม่กี่คนผู้แสดงความขอบคุณตลอดหลายปีมานี้ นั่นสำคัญ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจจำนวนบัพติศมาที่ข้าพเจ้ามีหรือที่ผู้สอนศาสนาคนอื่นมีมากนัก ความพอใจของข้าพเจ้ามาจากความเชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้ทำและข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อทำให้บรรลุจุดประสงค์ของพระองค์ ในประสบการณ์นั้น ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นแรงกล้าและความรู้ว่าโดยแท้แล้วนี่คืองานที่มีอยู่จริงและดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ได้รับการฟื้นฟูผ่านศาสดาพยากรณ์เพื่อเป็นพรแก่ทุกคนที่จะยอมรับและดำเนินชีวิตตามหลักธรรม”3
งานเผยแผ่ของประธานฮิงค์ลีย์กำหนดเส้นทางให้ท่านอุทิศเวลาชั่วชีวิตเพื่องานของพระเจ้า ระหว่างรับใช้เป็นประธานศาสนจักร ท่านเดินทางกว่าหนึ่งล้านไมล์ (1.6 ล้านกิโลเมตร) ไปมากกว่า 70 ประเทศเพื่อแสดงประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์4
ประธานฮิงค์ลีย์ขอร้องสมาชิกศาสนจักรบ่อยครั้งให้ร่วมแบ่งปันพระกิตติคุณกับท่าน ผู้สอนศาสนาเต็มเวลากว่า 400,000 คนตอบรับคำขอร้องนั้นในช่วงที่ท่านเป็นประธาน การรับใช้ของพวกเขาและงานของสมาชิกผู้สอนศาสนาช่วยให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสมากกว่า 3,500,000 คนรับบัพติศมาในช่วงเวลานั้น5
ประธานฮิงค์ลีย์มองโลกในแง่ดีเสมอ ท่านแบ่งปันวิสัยทัศน์อันกว้างไกลว่างานของพระเจ้าจะเติบโตต่อไปอย่างไร
“ถ้าเราจะรุดหน้าไปโดยไม่ทิ้งเป้าหมายของเรา ไม่พูดให้ร้ายใคร ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เราทราบว่าจริง อุดมการณ์นี้จะดำเนินต่อไปในความสง่างามและพลังอำนาจจนเต็มแผ่นดินโลก บัดนี้ประตูที่ปิดรับการสั่งสอนพระกิตติคุณจะเปิดออก”6
“ความหวังของเราเกี่ยวกับอนาคตนั้นยิ่งใหญ่และศรัทธาของเราแรงกล้า เรารู้ว่าเราแค่ขูดพื้นผิวของสิ่งซึ่งจะบังเกิดขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า … ภาระของเราในการไปข้างหน้านั้นใหญ่หลวง แต่โอกาสของเราโชติช่วง”7
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
เราควรเอื้อมออกไปหาชาวโลกในการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนาของเรา สอนทุกคนที่จะฟัง
เราได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าให้นำพระกิตติคุณไปให้ทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน เรามีหน้าที่สอนและให้บัพติศมาในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์ตรัสว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” [มาระโก 16:15] เราเข้าร่วมในสงครามศาสนาครั้งใหญ่และรุนแรงเพื่อความจริงและความดี8
ก่อนจัดตั้งศาสนจักร มีงานเผยแผ่ศาสนา และยังคงมีเรื่อยมานับแต่นั้น ทั้งที่ผู้คนของเราต้องผ่านความยุ่งยากมากมายหลายครั้ง ขอให้เราทุกคนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลุกขึ้นมารับโอกาสใหม่ สำนึกใหม่ของความรับผิดชอบ แบกรับภาระผูกพันใหม่อีกครั้งในการช่วยพระบิดาในสวรรค์ดำเนินงานอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เพื่อทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์แก่บุตรธิดาของพระองค์ทั่วโลก9
ขอให้เราเหล่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเอื้อมออกไปหาคนที่นับถือศาสนาต่างจากเรา ขอให้เราอย่าทำด้วยความโอหังอวดดีหรือด้วยเจตคติที่คิดว่าตนเหนือกว่าคนอื่น แต่ขอให้เราแสดงความรัก ความเคารพ และช่วยเหลือพวกเขา มีคนมากมายเข้าใจเราผิด และข้าพเจ้าเกรงกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเราทำเอง เราสามารถใจกว้างมากขึ้น มีไมตรีจิตมากขึ้น เป็นมิตรมากขึ้น เป็นแบบอย่างมากกว่าที่เราเคยเป็นมาในอดีต ขอให้เราสอนบุตรธิดาให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเป็นมิตร ความเคารพ ความรัก และความชื่นชม นั่นจะส่งผลดียิ่งกว่าเจตคติของความทะนงตน …
ขอให้เราเอื้อมออกไปหาชาวโลกในการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนาของเรา โดยสอนทุกคนที่จะฟังเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ พูดถึงนิมิตแรกโดยไม่กลัวเกรงและไม่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นพยานถึงพระคัมภีร์มอรมอนและการฟื้นฟูฐานะปุโรหิต พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เราคุกเข่าสวดอ้อนวอนขอโอกาสนำปีติของพระกิตติคุณไปให้ผู้อื่น10
สิ่งอัศจรรย์และน่าพิศวงคือหลายพันคนสัมผัสปาฏิหาริย์ของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนพวกเขาเชื่อ ยอมรับ และกลายเป็นสมาชิก พวกเขารับบัพติศมา ชีวิตพวกเขาได้รับอิทธิพลดีตลอดไป ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เมล็ดแห่งศรัทธาเกิดขึ้นในใจพวกเขา และขยายใหญ่ขึ้นขณะพวกเขาเรียนรู้ พวกเขายอมรับหลักธรรมเพิ่มขึ้น จนพวกเขามีพรอันน่าอัศจรรย์ทุกประการที่มาถึงผู้ดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายนี้11
2
เราต้องช่วยผู้สอนศาสนาเต็มเวลานำผู้อื่นมาสู่ความรู้เรื่องความจริง
ข้าพเจ้าพบสตรีคนหนึ่งในอเมริกาใต้ที่เพิ่งเข้าร่วมศาสนจักร ด้วยความรักอย่างมากต่อสิ่งที่เธอพบเธอจึงออกไปบอกคนอื่นๆ อย่างกระตือรือร้น ในช่วงเวลาเพียงเจ็ดเดือนตั้งแต่รับบัพติศมา เธอให้รายชื่อคนที่รู้จักสามร้อยคนแก่ผู้สอนศาสนาเพื่อที่จะอธิบายพระกิตติคุณให้คนเหล่านั้นฟัง เมื่อถึงจุดหนึ่ง มีหกสิบคนเข้ามาในศาสนจักร และน่าจะเข้ามาอีก ในเซาเปาลู บราซิลข้าพเจ้าพบผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มที่สอนพระกิตติคุณเธอครั้งแรก เขาเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเช่นกัน เขาไปเป็นผู้สอนศาสนาเพื่อเป็นตัวแทนศาสนจักรด้วยการเสียสละเงินจำนวนมาก ผู้หญิงที่ข้าพเจ้าพูดถึงเป็นหนึ่งในสี่สิบสามคนที่เขาช่วยนำเข้ามาในศาสนจักรจนถึงจุดนั้น ชายหนุ่มจากบราซิลคนนี้ขยายตัวเขามากกว่าหนึ่งร้อยเท่า—ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสสี่สิบสามคนของเขาเองและหกสิบคนผ่านคนหนึ่งคนที่เขาทำให้เปลี่ยนใจเลื่อมใส กับอีกหลายคนจากผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสคนอื่นๆ ที่เขานำเข้ามา12
พวกเราหลายคนมองว่างานเผยแผ่ศาสนาเป็นเพียงการเคาะประตู ทุกคนที่คุ้นเคยกับงานนี้รู้ว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้น วิธีนั้นคือผ่านสมาชิกของศาสนจักร เมื่อใดก็ตามที่มีสมาชิกคนหนึ่งแนะนำผู้สนใจ จะมีระบบสนับสนุนทันที สมาชิกแสดงประจักษ์พยานถึงความจริงของงาน เขาปรารถนาจะให้เพื่อนผู้สนใจของเขามีความสุข เขาตื่นเต้นเมื่อเพื่อนคนนั้นก้าวหน้าในการเรียนพระกิตติคุณ
ผู้สอนศาสนาเต็มเวลาอาจเป็นคนสอน แต่สมาชิกจะสนับสนุนการสอนเท่าที่ทำได้ด้วยการเสนอบ้านของตนให้ดำเนินงานเผยแผ่ศาสนา เขาจะแสดงประจักษ์พยานที่จริงใจถึงความศักดิ์สิทธิ์ของงาน เขาจะอยู่ตอบคำถามเมื่อผู้สอนศาสนาไม่อยู่ เขาจะเป็นเพื่อนกับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่กำลังทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมักจะทำได้ยาก
พระกิตติคุณไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป็นสิ่งที่ต้องภาคภูมิใจ “เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” เปาโลเขียนถึงทิโมธี (2 ทิโมธี 1:8) โอกาสในการแบ่งปันพระกิตติคุณมีอยู่ทุกที่ …
กระบวนการนำคนใหม่เข้ามาในศาสนจักรไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้สอนศาสนาฝ่ายเดียว พวกเขาประสบความสำเร็จมากที่สุดเมื่อสมาชิกกลายเป็นแหล่งหาผู้สนใจคนใหม่ …
จงปลูกฝังความตระหนักรู้ในใจสมาชิกทุกคนว่าพวกเขามีศักยภาพในการนำผู้อื่นมาสู่ความรู้เรื่องความจริง จงให้เขาทำส่วนนั้น จงให้เขาสวดอ้อนวอนด้วยความตั้งใจจริงเกี่ยวกับงานนี้ …
… พี่น้องทั้งหลาย เราจะปล่อยให้ผู้สอนศาสนาพยายามทำฝ่ายเดียว หรือเราจะช่วยพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาทำฝ่ายเดียว พวกเขาจะเคาะประตูวันแล้ววันเล่า และผลเก็บเกี่ยวจะน้อยมาก หรือในฐานะสมาชิกเราจะช่วยพวกเขาหาและสอนผู้สนใจได้ …
ขอให้ทุกสเตคตระหนักมากขึ้นเรื่องโอกาสหาคนที่จะฟังข่าวสารพระกิตติคุณ ในกระบวนการนี้เราต้องไม่ทำให้เป็นที่ขุ่นเคือง เราต้องไม่โอหังอวดดี วิธีเคาะประตูที่ได้ผลมากที่สุดคือความดีงามของชีวิตและแบบอย่างของเรา เมื่อเรามีส่วนในการรับใช้นี้ ชีวิตเราจะดีขึ้น เพราะเราจะคอยระวังไม่ทำหรือพูดสิ่งใดซึ่งอาจขัดขวางความก้าวหน้าของคนที่เราพยายามนำมาสู่ความจริง …
จำเป็นต้องเพิ่มความกระตือรือร้นในเรื่องนี้ทุกระดับในศาสนจักร ขอให้พูดเรื่องนี้ [งานเผยแผ่ศาสนา] เป็นครั้งคราวในการประชุมศีลระลึก ขอให้ฐานะปุโรหิตและสมาคมสงเคราะห์สนทนาเรื่องนี้ในการประชุมประจำสัปดาห์ของพวกเขา ขอให้องค์การเยาวชนชายและองค์การเยาวชนหญิงพูดเรื่องนี้และวางแผนวิธีช่วยในภาระหน้าที่อันสำคัญที่สุดนี้ แม้แต่เด็กปฐมวัยก็ขอให้คิดหาวิธีช่วย บิดามารดาจำนวนมากเข้ามาในศาสนจักรเพราะบุตรธิดาที่ได้รับเชิญให้มาปฐมวัย …
พี่น้องทั้งหลาย ทุกท่านจากในวอร์ดและสเตค ในท้องถิ่นและสาขา ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านเป็นกองทัพใหญ่ที่มีความกระตือรือร้นในงานนี้และมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะช่วยผู้สอนศาสนาทำหน้าที่รับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ในการนำพระกิตติคุณไปให้ทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คน “ทุ่งขาว [และพร้อม] ที่จะเก็บเกี่ยว” (คพ. 4:4) พระเจ้าทรงประกาศเช่นนี้ซ้ำหลายครั้ง เราจะไม่ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์หรือ13
ในนามของผู้สอนศาสนา … ข้าพเจ้าต้องการขอร้องให้วิสุทธิชนทำทุกอย่างที่ท่านสามารถทำได้เพื่อให้ใบแจ้งชื่อที่อยู่ [ของคน] ที่พวกเขาจะสอนได้ ท่านจะมีความสุขถ้าท่านทำเช่นนั้น ทุกคนที่ท่านเห็นเข้ามาในศาสนจักรเพราะความพยายามของท่านจะนำความสุขเข้ามาในชีวิตท่าน ข้าพเจ้าทำสัญญานั้นกับทุกท่าน14
3
งานเผยแผ่ศาสนาเต็มเวลานำความสุขอันยั่งยืนมาให้คนที่รับใช้
เราต้องยกระดับความมีค่าควรและคุณสมบัติของคนที่จะไปเป็นทูตของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ในโลก15
โลกทุกวันนี้ต้องการพลังของประจักษ์พยานที่บริสุทธิ์ ต้องการพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และถ้าโลกจะต้องรับฟังพระกิตติคุณ ก็ต้องมีผู้ส่งสารสอนสิ่งนี้
เราขอให้บิดามารดาเริ่มฝึกบุตรธิดาแต่เนิ่นๆ [สำหรับการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนา] ที่ใดมีการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ที่ใดมีการสังสรรค์ในครอบครัว ที่ใดมีการอ่านพระคัมภีร์ ที่ใดบิดามารดาแข็งขันในศาสนจักรและพูดด้วยความกระตือรือร้นเกี่ยวกับศาสนจักรและพระกิตติคุณ บุตรธิดาในบ้านนั้นจะได้รับการปลูกฝังตามธรรมชาติให้มีความปรารถนาจะสอนพระกิตติคุณให้ผู้อื่น โดยทั่วไปจะมีประเพณีของงานเผยแผ่ศาสนาในบ้านเช่นนั้น พวกเขาจะเปิดบัญชีออมทรัพย์ให้บุตรธิดาขณะพวกเขายังเล็กอยู่ เด็กชายโตมากับความคาดหวังตามธรรมชาติว่าพวกเขาจะได้รับเรียกให้รับใช้เป็นผู้สอนศาสนาสำหรับศาสนจักร งานเผยแผ่กลายเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมชีวิตของเด็กชายมากเท่าๆ กับการศึกษา16
งานเผยแผ่ศาสนาเป็นความรับผิดชอบหลักของฐานะปุโรหิต ด้วยเหตุนี้ เยาวชนชายของเราจึงต้องแบกภาระหนัก นี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขาและข้อผูกมัดของพวกเขา17
เยาวชน [ชาย] ทั้งหลาย ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะเตรียมและวางแผนรับใช้เป็นผู้สอนศาสนา ข้าพเจ้าไม่สัญญาว่าท่านจะสนุก ข้าพเจ้าไม่สัญญาว่าท่านจะสะดวกสบาย ข้าพเจ้าไม่สัญญาว่าท่านจะไม่มีความท้อแท้สิ้นหวัง ความกลัว และความเศร้าหมองเป็นครั้งคราว แต่ข้าพเจ้าสัญญากับท่านได้ว่าท่านจะเติบโตอย่างที่ไม่เคยเติบโตในช่วงเวลาคล้ายกันตลอดชีวิตท่าน ข้าพเจ้าสัญญาได้ว่าท่านจะมีความสุขอันหาใดเทียบได้ ยอดเยี่ยม และยั่งยืน ข้าพเจ้าสัญญากับท่านได้ว่าท่านจะประเมินชีวิตตนเองอีกครั้ง ท่านจะจัดลำดับความสำคัญใหม่ ท่านจะดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น ท่านจะดำเนินด้วยศรัทธาในผลของสิ่งดีที่ท่านทำ18
เราต้องการให้เยาวชนหญิงบางคน [รับใช้งานเผยแผ่] พวกเธอทำงานได้อย่างน่าทึ่ง พวกเธอสามารถเข้าไปในบ้านที่เอ็ลเดอร์เข้าไปไม่ได้ …
[อย่างไรก็ดี] … เยาวชนหญิงไม่ควรรู้สึกว่าพวกเธอมีหน้าที่เทียบเท่าเยาวชนชาย พวกเธอบางคนปรารถนาจะไปมาก หากเป็นเช่นนั้น พวกเธอควรหารือกับอธิการและกับบิดามารดา … ข้าพเจ้าพูดกับพี่น้องสตรีว่าท่านจะเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง และจะถือว่าท่านได้ทำหน้าที่ของท่าน พระเจ้าและศาสนจักรจะยอมรับความพยายามของท่านไม่ว่าท่านจะเป็นผู้สอนศาสนาหรือไม่เป็นผู้สอนศาสนาก็ตาม19
ศาสนจักรต้องการเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์หนุ่มสาวพร้อมๆ กับต้องการคู่สามีภรรยามากขึ้นในสนามเผยแผ่ คู่สามีภรรยาสูงวัยกำลังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในคณะเผยแผ่ต่างๆ ศาสนจักรต้องการอีกหลายคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ พวกเขาสามารถรับใช้ในความรับผิดชอบมากมายภายใต้การกำกับดูแลของประธานคณะเผยแผ่ผู้ละเอียดอ่อนและเอาใจใส่
เนื่องด้วยจำนวนคนเกษียณเพิ่มขึ้นขณะพวกเขายังมีสุขภาพดีและมีกำลังวังชา จึงมีมากมายที่สามารถเติมเต็มความต้องการอย่างมากนี้ในงานของพระเจ้า20
เรา [มี] ชายหญิงเกษียณแล้วกำลังรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาที่มีความหมายต่อศาสนจักรนี้ทั่วโลก พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้น พวกเขาไปทุกที่ซึ่งได้รับการเรียก พวกเขารับใช้ทุกที่ซึ่งต้องการให้รับใช้ พวกเขาสร้างมิตรภาพ แบ่งปันทักษะ เปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นผู้จะไม่มีวันลืมชายหญิงที่มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยวิญญาณของความไม่เห็นแก่ตัวเพื่อสอนและทำความดี พวกเขาไม่ได้รับเงิน พวกเขาออกค่าใช้จ่ายเอง ปริมาณการอุทิศของพวกเขาไร้ขีดจำกัด ผลแห่งความพยายามของพวกเขามิอาจประมาณได้21
4
เมื่อเราแนะนำผู้อื่นให้รู้จักพระกิตติคุณ พระวิญญาณของพระเจ้าช่วยพิชิตความต่างระหว่างเรา
เพราะเราทุกคนมาจากบิดามารดาเดียวกัน [เป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า] เราจึงขานรับความจริงเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่ว่าสีผิวอาจต่างกันเล็กน้อย สีตาอาจต่างกันเล็กน้อย คนหนึ่งอาจสวมเสื้อผ้าในแบบที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่น แต่ชายหญิงทั่วโลกขานรับแรงกระตุ้นเดียวกันในวิธีเดียวกัน พวกเขาแสวงหาความอบอุ่นเมื่อพวกเขาหนาว พวกเขารู้จักความเจ็บปวดแบบเดียวกัน พวกเขาประสบความเศร้าเสียใจ และพวกเขารู้จักปีติ …
เมื่อความต่าง—ทั้งกับเพื่อนบ้านของเราหรือในวัฒนธรรมอื่น—ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคขณะที่เราพยายามแบ่งปันพระกิตติคุณ อัธยาศัยไมตรีแบบเงียบๆ จะนำอุปสรรคเหล่านี้ออกไป เมื่อเรารักษาพระบัญญัติของพระเจ้าในการแนะนำให้ผู้อื่นรู้จักพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยพิชิตความต่างระหว่างคนที่กำลังสอนกับคนที่กำลังเรียน พระเจ้าทรงทำให้กระบวนการนี้ชัดเจนเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ดังนั้น, คนที่สั่งสอนและคนที่รับ [โดยพระวิญญาณ], เข้าใจกัน, และทั้งสองได้รับการจรรโลงใจและชื่นชมยินดีด้วยกัน” (คพ. 50:22)
ข้าพเจ้าพึงพอใจที่วิธีซึ่งได้ผลที่สุดที่เราแต่ละคนมีในการเรียกให้แบ่งปันพระกิตติคุณคือพระวิญญาณของพระเจ้า เราทุกคนเคยเห็นมาแล้วในผู้อื่น เมื่อเราทำงานของพระเจ้า เรารู้สึกถึงพระวิญญาณนั้นในตัวเรา ในโอกาสเช่นนั้น ความต่างอย่างผิวเผินระหว่างเรากับคนที่เราสอนจะดูเหมือนสะเก็ดที่หลุดออกไปจากดวงตาของเรา (ดู 2 นีไฟ 30:6) ความอบอุ่นของเครือญาติและความเข้าใจเกิดขึ้นซึ่งประหลาดมากที่ได้เห็น เราเข้าใจกันจริงๆ เราจรรโลงใจและชื่นชมยินดีด้วยกัน22
5
เมื่อเราออกไปด้วยศรัทธา พระเจ้าจะทรงอวยพรที่เราพยายามแนะนำผู้อื่นให้รู้จักพระกิตติคุณ
เรามีส่วนร่วมในงานอัศจรรย์และการอันน่าพิศวงอย่างแท้จริง … พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงทำให้เกิดปาฏิหาริย์ยุคสุดท้ายนี้ และสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงเค้าลางของสิ่งสำคัญกว่าที่จะมาถึง งานจะสำเร็จได้โดยชายหญิงที่อ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งเยาว์วัยและสูงวัย23
งานจะสำเร็จเพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ดังนี้
“และผู้ใดที่รับเจ้า, ที่นั่นเราจะอยู่ด้วย, เพราะเราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้” (คพ. 84:88)
ด้วยหน้าที่ซึ่งพระองค์ทรงมอบให้ ด้วยพรที่ทรงสัญญา ขอให้เราออกไปด้วยศรัทธา ขณะทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงอวยพรความพยายามของเรา ขอให้เราทำส่วนของเราในการแบ่งปันพระกิตติคุณกับคนรอบข้าง โดยแบบอย่างก่อนและจากนั้นโดยคำสั่งสอนที่ได้รับการดลใจ
ก้อนหินที่ถูกตัดจากภูเขาไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์จะยังคงกลิ้งต่อไปจนเต็มทั้งแผ่นดินโลก (ดู ดาเนียล 2) ข้าพเจ้าให้พยานต่อท่านถึงความจริงนี้และความจริงที่เราแต่ละคนสามารถช่วยได้ในวิธีที่เหมาะกับสภาวการณ์ของเราถ้าเราจะแสวงหาการนำทางและการดลใจจากพระบิดาในสวรรค์ งานที่เราทำเป็นงานของพระผู้เป็นเจ้า และด้วยพรของพระองค์เราจะไม่ล้มเหลว24
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เหตุใดบางครั้งเราจึงไม่กล้าแบ่งปันพระกิตติคุณ เราจะเอาชนะความกลัวและเอื้อมออกไปหาผู้อื่นด้วยวิธีใดได้บ้าง (ดู หัวข้อ 1) ท่านเคยเห็นปาฏิหาริย์อะไรบ้างของงานเผยแผ่ศาสนา
-
เหตุใดผู้สอนศาสนาจึง “ประสบความสำเร็จมากที่สุดเมื่อสมาชิกกลายเป็นแหล่งหาผู้สนใจคนใหม่” (ดู หัวข้อ 2) สมาชิกจะช่วยเหลือผู้สอนศาสนาเต็มเวลาด้วยวิธีใดได้อีกบ้าง
-
เหตุใดงานเผยแผ่เต็มเวลาจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตคนที่รับใช้ บิดามารดาจะช่วยบุตรธิดาเตรียมรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 3) ครอบครัวจะช่วยคู่สามีภรรยาอาวุโสเตรียมรับใช้ได้อย่างไร
-
ทบทวน หัวข้อ 4 คนทุกคนมีลักษณะอะไรเหมือนกันบ้าง เราจะพิชิตความต่างที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคต่อการแบ่งปันพระกิตติคุณได้อย่างไร ท่านเคยเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าช่วยผู้คนพิชิตความต่างอย่างไร
-
ประธานฮิงค์ลีย์เน้นว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเมื่อเราพยายามแบ่งปันพระกิตติคุณถ้าเรา “ออกไปในศรัทธา” (หัวข้อ 5) ท่านจะเพิ่มความปรารถนาและศรัทธาของท่านในการแบ่งปันพระกิตติคุณได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
อิสยาห์ 52:7; มัทธิว 28:19–20; แอลมา 26:1–5; คพ. 1:20–23; 4; 18:15–16; 38:40–41
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“อย่ากลัวความเงียบ บ่อยครั้งผู้คนต้องการเวลาคิดและตอบคำถามหรือแสดงความรู้สึก ท่านจะหยุดสักครู่หลังจากถามคำถาม หลังจากแบ่งปันประสบการณ์ทางวิญญาณ หรือเมื่อคนหนึ่งกำลังมีอุปสรรคในการแสดงความคิดเห็นของเขาหรือเธอ” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 67)