คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 7: สุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ


บทที่ 7

สุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ

“ข้าพเจ้าขอร้องให้เราแสวงหาการดลใจจากพระเจ้าและความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอเพื่อเป็นพรแก่เราขณะที่เราพยายามรักษาระดับความสูงทางวิญญาณ”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1995 ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์พูดที่การประชุมสำหรับประธานคณะเผยแผ่คนใหม่และภรรยาโดยให้คำแนะนำเพื่อนำทางการรับใช้ของพวกเขาในสามปีต่อจากนั้น ท่านพูดถึงคำแนะนำที่ท่านได้รับเมื่อประธานฮาโรลด์ บี. ลีสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเวลานั้น วางมือมอบหน้าที่ท่านเป็นประธานสเตค

“ข้าพเจ้าจำได้อย่างเดียวที่ท่านพูด ‘จงฟังสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณตอนกลางคืนและตอบรับสุรเสียงกระซิบเหล่านั้น’ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเหตุใดบางครั้งการเปิดเผยมาตอนกลางคืน แต่มา และแน่นอนว่ามาตอนกลางวันด้วย แต่จงฟังสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ ของประทานแห่งการเปิดเผยซึ่งท่านมีสิทธิ์ได้รับ”1

ท่านพูดถึงประสบการณ์เมื่อท่านทำตามคำแนะนำนี้ ท่านกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสเบาๆ … ตอนกลางคืน ความคิดต่างๆ เข้ามาในสมองซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการพยากรณ์”2 ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนกรกฎาคม ปี 1992 ท่านอยู่ในฮ่องกงกับผู้นำศาสนจักรคนอื่นๆ กำลังหาสถานที่สร้างพระวิหาร คืนหนึ่ง ท่านเข้านอนพลางรู้สึกวุ่นวายใจเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ต้องทำ ต่อจากนั้นสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณก็ปลุกท่านให้ตื่นแต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

“บางอย่างน่าสนใจมากเข้ามาในความคิดข้าพเจ้า” ท่านเขียนไว้ในบันทึกส่วนตัว “ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงกับหู แต่สุรเสียงของพระวิญญาณเข้ามาในความคิดข้าพเจ้า ว่า ‘ท่านกังวลเรื่องนี้ทำไม ท่านมีที่ดินดีมากผืนหนึ่งซึ่งบ้านพักคณะเผยแผ่และโบสถ์เล็กๆ ตั้งอยู่ ที่ตรงนั้นอยู่ใจกลางเกาลูน ในทำเลที่การคมนาคมสะดวกที่สุด … สร้างตึก [หลาย] ชั้นที่นั่นสิ ให้โบสถ์และห้องเรียนอยู่สองชั้นแรกและพระวิหารอยู่สองหรือสามชั้นบน’” เมื่อได้รับการเปิดเผยดังกล่าว ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าโล่งอกและกลับไปนอน”3

ปัจจุบันในเกาลูน ส่วนที่ประชากรหนาแน่นของฮ่องกง มีอาคารหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงที่ซึ่งเคยเป็นโบสถ์และบ้านพักคณะเผยแผ่ อาคารหลังนั้นซึ่งเป็นโบสถ์ บ้านพักคณะเผยแผ่ สำนักงานคณะเผยแผ่ และพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ เป็นพยานถึงสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณต่อศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

พระวิหารฮ่องกง ประเทศจีน

พระวิหารฮ่องกง ประเทศจีน

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระผู้ปลอบโยนและพระผู้เป็นพยานถึงความจริง

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสมาชิกองค์ที่สามของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด พระผู้ปลอบโยนที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาว่าจะทรงสอนผู้ติดตามพระองค์ให้รู้ความจริงทั้งมวลและระลึกถึงทุกสิ่งไม่วาอะไรก็ตามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา (ดู ยอห์น 14:26)4

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแสดงประจักษ์พยานในใจเราเกี่ยวกับพระบิดาและพระบุตร5

ประจักษ์พยาน [ของข้าพเจ้าถึงพระเยซูคริสต์] มาโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นของประทาน ศักดิ์สิทธิ์และดีเยี่ยม โดยการเปิดเผยจากสมาชิกองค์ที่สามของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด6

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้เป็นพยานถึงความจริง ผู้ทรงสามารถสอน [เรา] ให้รู้สิ่งที่ [เรา] ไม่สามารถสอนกันได้ ในคำท้าทายที่สำคัญยิ่งของโมโรไน สัญญาว่าเราจะได้ความรู้เรื่องความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” โมโรไนประกาศต่อจากนั้นว่า “และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:4–5)

ข้าพเจ้าเชื่อว่าอำนาจนี้ ของประทานนี้ มีให้เราทุกวันนี้7

2

เราต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางเราในการรับใช้ที่บ้านและในศาสนจักร

ไม่มีพรใดที่สามารถเข้ามาในชีวิตเราจะสำคัญยิ่งไปกว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์—ความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำทางเรา คุ้มครองเรา และอวยพรเรา เป็นเสมือนเสาเพลิงตรงหน้าเราและเปลวเพลิงนำเราไปในเส้นทางแห่งความชอบธรรมและความจริง อำนาจการนำทางดังกล่าวของสมาชิกองค์ที่สามของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดจะเป็นของเราได้ถ้าเราดำเนินชีวิตคู่ควร8

เราต้องมีพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในความรับผิดชอบด้านการบริหารมากมายของเรา เราต้องมีขณะที่เราสอนพระกิตติคุณในชั้นเรียนและต่อชาวโลก เราต้องมีในการปกครองและการสอนครอบครัวเรา

ขณะที่เราชี้แนวทางและสอนภายใต้อิทธิพลของพระวิญญาณองค์นั้น เราจะนำความเข้มแข็งทางวิญญาณเข้ามาในชีวิตคนที่เรารับผิดชอบ …

… ผลของการสอนภายใต้การดลใจของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะชื่นใจ ผลเหล่านั้นป้อนวิญญาณและบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณ

ข้าพเจ้าขอให้คำแนะนำพิเศษกับบิดามารดาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว นั่นคือ เราต้องมีการชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในภารกิจที่ยอดเยี่ยมและละเอียดอ่อนของเราในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิญญาณให้ครอบครัวเรา9

จงฟังการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณ จงอ่อนน้อมถ่อมตน พระหัตถ์ของพระเจ้าอาจนำท่านไปหาคนบางคนเพราะเจตนารมณ์ของท่าน เจตคติของท่าน ความรู้สึกของท่าน และความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน10

3

การเปิดเผยแทบทุกครั้งมาถึงเราผ่านสุรเสียงสงบแผ่วเบา—สุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ

ข้าพเจ้าได้รับการสัมภาษณ์จากตัวแทนสื่อเป็นครั้งคราว พวกเขาถามแทบทุกครั้งว่า “การเปิดเผยมาถึงศาสดาพยากรณ์ของศาสนจักรอย่างไร”

ข้าพเจ้าตอบว่ามาเวลานี้เหมือนที่มาในอดีต เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเล่าประสบการณ์ของเอลียาห์หลังจากแข่งขันกับพวกปุโรหิตของพระบาอัลให้ตัวแทนสื่อฟังว่า

“และนี่แน่ะ พระยาห์เวห์กำลังทรงผ่านไป และลมพายุรุนแรงได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในแผ่นดินไหวนั้น

“ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในไฟนั้น ภายหลังไฟก็มีเสียงเบาๆ” (1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–12)

นั่นคือวิถีที่พึงเป็น มีสุรเสียงสงบแผ่วเบา สุรเสียงนั้นมาในการตอบคำสวดอ้อนวอน มาโดยสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ อาจมาในความเงียบตอนกลางคืน

ข้าพเจ้ามีข้อกังขาในเรื่องนั้นหรือไม่ ไม่มีเลย ข้าพเจ้าเคยเห็นเช่นนั้นมาแล้วหลายครั้ง11

พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามักจะมาถึงเราในลักษณะนี้เสมอ ไม่ใช่ด้วยเสียงแตร ไม่ใช่จากหอประชุมของผู้คงแก่เรียน แต่ในสุรเสียงสงบแผ่วเบาของการเปิดเผย ขณะฟังคนที่แสวงหาปัญญาโดยไร้ประโยชน์และคนที่ประกาศเสียงดังว่าตนมียาขนานวิเศษ [หรือวิธีรักษา] ความป่วยไข้ของชาวโลก คนๆ หนึ่งมักจะตอบพร้อมกับผู้เขียนสดุดีว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า …” (สดด. 46:10) และพร้อมกับพระผู้ช่วยให้รอดว่า “ใครมีหูจงฟังเถิด” (มัทธิว 11:15)12

4

เรื่องของพระวิญญาณจุดประกายความคิด สร้าง และยกระดับจิตใจเรา

เรารู้เรื่องของพระวิญญาณอย่างไร เรารู้อย่างไรว่านั่นมาจากพระผู้เป็นเจ้า รู้โดยผลของสิ่งนั้น หากนำไปสู่การเติบโตและพัฒนา หากนำไปสู่ศรัทธาและประจักษ์พยาน หากนำไปสู่วิธีทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น หากนำไปสู่ความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า นั่นย่อมมาจากพระผู้เป็นเจ้า หากนั่นทำลายเรา หากนำเราเข้าไปในความมืด หากทำให้เราสับสนและกังวล หากนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ นั่นย่อมมาจากมาร13

ท่านรู้จักการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณโดยผลของพระวิญญาณ—ซึ่งให้ความกระจ่าง เสริมสร้าง เชื่อถือได้ ยืนยันว่าจริง ยกระดับจิตใจ และนำเราให้มีความคิดดีขึ้น มีคำพูดดีขึ้น และการกระทำดีขึ้น นั่นย่อมมาจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งซึ่งทำลาย ซึ่งนำเราไปในทางต้องห้าม—นั่นมาจากปฏิปักษ์ ข้าพเจ้าคิดว่านั่นชัดเจน นั่นเรียบง่าย14

นักวิชาการคนหนึ่งเคยแสดงทัศนะว่าศาสนจักรเป็นศัตรูกับปัญญานิยม หากเขาคิดว่าปัญญานิยมหมายถึงสาขาปรัชญาซึ่งสอน “หลักคำสอนที่ว่าโดยรวมแล้วหรือตามหลักแล้วความรู้ได้มาจากเหตุผลที่บริสุทธิ์” และ “เหตุผลนั้นคือหลักความเป็นจริงข้อสุดท้าย” เมื่อนั้น เราย่อมไม่เห็นด้วยกับการตีความให้แคบลงเพื่อจะนำมาใช้กับศาสนาได้ (ข้อความอ้างอิงจาก Random House Dictionary of the English Language, p. 738) การตีความเช่นนั้นไม่นับรวมอำนาจของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในการพูดกับเราและผ่าน [เรา]

แน่นอนว่าเราเชื่อเรื่องการปลูกฝังความคิด แต่สติปัญญาไม่ใช่แหล่งเดียวของความรู้ คำสัญญาที่ให้ไว้ภายใต้การดลใจจากพระผู้ทรงฤทธานุภาพมีกล่าวไว้ในถ้อยคำที่ไพเราะเหล่านี้ “พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความรู้แก่เจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, แท้จริงแล้ว, โดยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งไม่อาจพูดถึงได้” (คพ. 121:26)

นักมนุษยศาสตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์งานของพระเจ้า คนที่เรียกกันว่าปัญญาชนผู้ดูหมิ่นงานของพระองค์ คนเหล่านี้พูดจากความไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแสดงให้ประจักษ์ทางวิญญาณ พวกเขาไม่เคยได้ยินสุรเสียงของพระวิญญาณ พวกเขาไม่เคยได้ยินเพราะไม่เคยแสวงหาและไม่ได้เตรียมตนเองให้คู่ควรแก่การรับสุรเสียงนั้น โดยคิดว่าความรู้มาจากการใช้เหตุผลเท่านั้นและจากการทำงานของสมอง พวกเขาจึงปฏิเสธสิ่งซึ่งมาโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าจะเข้าใจได้โดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระวิญญาณองค์นั้นมีจริง กับคนเหล่านั้นผู้เคยประสบกับการทำงานของพระวิญญาณ ความรู้ที่ได้นั้นเป็นจริงเท่ากับที่ได้รับผ่านการทำงานของประสาทสัมผัสทั้งห้า ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของศาสนจักรเป็นพยานเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้าขอให้แต่ละท่านฝึกฝนจิตใจให้สอดคล้องกับพระวิญญาณต่อไป หากเราจะทำเช่นนั้น ชีวิตเราจะดีขึ้น เราจะรู้สึกสนิทกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเรา เราจะลิ้มรสความหอมหวานของปีติที่ไม่อาจมีได้ในวิธีอื่น

ขอให้เราอย่าติดกับการตบตาของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้และมักออกผลเปรี้ยว ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยศรัทธาในอนาคต โดยพูดอย่างมั่นใจและปลูกฝังเจตคติของความเชื่อมั่น ขณะทำเช่นนั้น พลังของเราจะให้พลังแก่ผู้อื่น15

ข้าพเจ้าขอร้องให้เราแสวงหาการดลใจจากพระเจ้าและความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอเพื่อเป็นพรแก่เราขณะที่เราพยายามรักษาระดับความสูงทางวิญญาณ คำสวดอ้อนวอนเหล่านั้นจะได้รับคำตอบแน่นอน16

ครอบครัวศึกษาพระคัมภีร์

“เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเข้าใจได้โดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระวิญญาณนั้นมีอยู่จริง”

5

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของเราเสมอเมื่อเราดำเนินชีวิตเพื่อพรนี้

พระเจ้าคือผู้ตรัสไว้ว่าถ้าเรารักษาพระบัญญัติ “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืน [ของเรา]” (คพ. 121:46) เพื่อให้กำลังใจเรา สอนเรา นำเรา ปลอบโยนเรา และค้ำจุนเรา เพื่อให้ได้ความเป็นเพื่อนดังกล่าว เราต้องทูลขอ ดำเนินชีวิตเพื่อสิ่งนี้ และภักดีต่อพระเจ้า17

“ท่านมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับท่านตลอดเวลาได้อย่างไร” ท่านดำเนินชีวิตให้คู่ควร ท่านดำเนินชีวิตให้คู่ควรแก่การรับพระวิญญาณของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ท่านทำ และท่านจะมีพระวิญญาณ … แค่ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง อยู่ห่างจากความไม่ซื่อสัตย์ อยู่ห่างจากสื่อลามก อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ที่ดึงท่านลงต่ำ หนังสือที่ท่านอ่าน นิตยสารที่ท่านอ่าน วีดิทัศน์ที่ท่านดู รายการโทรทัศน์ที่ท่านดู การแสดงที่ท่านไปชม ทั้งหมดล้วนมีผลต่อท่านและจะมีผลถ้าท่านยอมตกอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นซึ่งออกแบบไว้เพื่อทำให้ท่านยากจนและทำให้บางคนร่ำรวย จงอยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้18

ท่านใช้ทุกวันอาทิตย์ต่อสัญญาและพันธสัญญาว่าจะรับพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไว้กับตัวท่าน ท่านเคยคิดเรื่องนี้ไหมว่าสำคัญเพียงใด การรับพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไว้กับตัวท่านด้วยคำปฏิญาณและคำสัญญาว่าจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หมายความว่าอย่างไร และพระองค์ทรงทำสัญญากับท่านว่าจะประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้สถิตกับท่าน สิ่งนี้วิเศษยิ่งนัก19

นับเป็นพรอย่างยิ่งที่มีอิทธิพลการปฏิบัติศาสนกิจของสมาชิกองค์หนึ่งในพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด โดยได้รับของประทานนั้นภายใต้มือของผู้ที่ปฏิบัติด้วยสิทธิอำนาจจากเบื้องบน หากเรายังคงดำเนินชีวิตในคุณธรรม เราจะประสบสัมฤทธิผลของคำสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของท่าน, และคทาของท่านเป็นคทาอันไม่เปลี่ยนแปลงแห่งความชอบธรรมและความจริง; และอำนาจการปกครองของท่านจะเป็นอำนาจการปกครองอันเป็นนิจ, และโดยปราศจากวิธีบังคับสิ่งนี้จะไหลมาสู่ท่านตลอดกาลและตลอดไป.” (คพ. 121:46)20

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เหตุใดเราจึงต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู หัวข้อ 1 และ 2) ท่านรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนและนำทางท่านเมื่อใด ท่านได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์เหล่านั้น

  • เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากคำอธิบายของประธานฮิงค์ลีย์ว่าการเปิดเผยมาถึงศาสดาพยากรณ์อย่างไร (ดู หัวข้อ 3) เหตุใดจึงสำคัญที่ต้องรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มักจะสื่อสารใน “สุรเสียงสงบแผ่วเบา” ท่านได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของท่านเองเมื่อท่านรับรู้การสื่อสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

  • ทบทวน “ผลของพระวิญญาณ” ที่ประธานฮิงค์ลีย์สรุปไว้ในหัวข้อ 4 คำสอนเหล่านี้จะช่วยให้เรารับรู้อิทธิพลของพระวิญญาณได้อย่างไร อะไรคืออันตรายของการเชื่อว่า “สติปัญญาเป็น … แหล่งเดียวของความรู้” ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรบ้างกับการได้รับความรู้ทางวิญญาณ

  • ท่านรู้สึกอย่างไรขณะไตร่ตรองคำสอนของประธานฮิงค์ลีย์ในหัวข้อ 5 เกี่ยวกับความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้รับพรในด้านใดบ้างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

1 โครินธ์ 2:9–14; 1 นีไฟ 10:17; 2 นีไฟ 31:17–18; โมไซยาห์ 3:19; โมโรไน 8:25–26; คพ. 11:12–14

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“เมื่อเรารักคนที่เราสอน เราจะสวดอ้อนวอนให้เขา เราจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะรู้ถึงความสนใจ ความสำเร็จ ความต้องการ และข้อกังวลของเขา เราจะปรับการสอนให้เข้ากับความต้องการของเขา แม้สิ่งนี้จะใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นก็ตาม เราสังเกตเมื่อเขาไม่อยู่และทักทายเมื่อเขามา เราให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 32)

อ้างอิง

  1. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 556.

  2. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1: 1995–1999 (2005), 441.

  3. ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 481.

  4. “The Father, Son, and Holy Ghost,” Ensign, Nov. 1986, 51.

  5. “Latter-day Counsel: Excerpts from Recent Addresses of President Gordon B. Hinckley,” Ensign, July 1999, 72.

  6. “The Father, Son, and Holy Ghost,” 51.

  7. “The Father, Son, and Holy Ghost,” 51.

  8. Teachings of Gordon B. Hinckley, 259.

  9. “Feed the Spirit, Nourish the Soul,” Ensign, Oct. 1998, 2, 4–5.

  10. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 440.

  11. “The Quorum of the First Presidency,” Ensign, Dec. 2005, 49.

  12. ใน Conference Report, Apr. 1964, 38–39.

  13. “Inspirational Thoughts,” Ensign, July 1998, 5.

  14. Teachings of Gordon B. Hinckley, หน้า 261

  15. “The Continuing Pursuit of Truth,” Ensign, Apr. 1986, 6.

  16. “Feed the Spirit, Nourish the Soul,” 2.

  17. “Living with Our Convictions,” Ensign, Sept. 2001, 5.

  18. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 377–78.

  19. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 319.

  20. “Priesthood Restoration,” Ensign, Oct. 1988, 72.