คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 23: พรของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์


บทที่ 23

พรของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์

“ศาสนพิธีพระวิหารเป็นพรสูงสุดที่ศาสนจักรมอบให้”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

“ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีสมาชิกคนใดของศาสนจักรสามารถรับพรสูงสุดของศาสนจักรนี้ได้จนกว่าเขาจะได้รับพรพระวิหารของตนในพระนิเวศน์ของพระเจ้า” ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กล่าวในการประชุมใหญ่สามัญภาคฐานะปุโรหิตเดือนตุลาคม ค.ศ. 1997 “ดังนั้นเราจึงกำลังทำทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้และทำให้สมาชิกได้รับพรดังกล่าวในพระวิหารมากยิ่งขึ้น”1 ท่านบอกชื่อพระวิหารหลายแห่งที่อยู่ระหว่างวางแผนและก่อสร้าง จากนั้นจึงประกาศว่านั่นจะเปลี่ยนชีวิตผู้คนทั่วโลก

“มีหลายพื้นที่ของศาสนจักรที่อยู่ห่างไกล จำนวนสมาชิกยังน้อยและอาจจะเติบโตไม่มากนักในอนาคตอันใกล้ คนที่อยู่ในสถานที่เหล่านี้จะถูกปฏิเสธพรของศาสนพิธีพระวิหารตลอดไปหรือ ขณะไปเยือนบริเวณนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน เราไตร่ตรองคำถามนี้ร่วมกับการสวดอ้อนวอน เราเชื่อว่าเราได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน

“เราจะก่อสร้างพระวิหารขนาดเล็กในพื้นที่เหล่านี้บางแห่ง … เราจะสร้างตามมาตรฐานพระวิหาร ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานอาคารประชุมมาก พระวิหารขนาดเล็ก [จะ] รองรับการบัพติศมาแทนคนตาย พิธีเอ็น-ดาวเม้นท์ การผนึก และศาสนพิธีอื่นทั้งหมดที่มีในพระนิเวศน์ของพระเจ้าทั้งสำหรับคนเป็นและคนตาย”2

การดลใจสำหรับแผนนี้เริ่มต้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ขณะที่ประธานฮิงค์ลีย์กำลังรับใช้เป็นประธานคณะกรรมการพระวิหารของศาสนจักร โดยที่กังวลว่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจำนวนมากจะเข้าถึงพรพระวิหารได้ไม่สะดวก ท่านจึงเขียนในบันทึกส่วนตัวว่า “ศาสนจักรจะสร้างพระวิหาร [ขนาดเล็กหลายแห่ง] เท่ากับจำนวนเงินที่ใช้สร้างพระวิหารวอชิงตัน [ที่กำลังก่อสร้างเวลานั้น] ศาสนจักรจะนำพระวิหารไปให้ผู้คนแทนที่จะให้ผู้คนเดินทางไกลมากไปพระวิหาร”3

ในปี 1997 การเปิดเผยจากพระเจ้าทำให้แนวคิดนี้เป็นจริง ประธานฮิงค์ลีย์แบ่งปันบางอย่างเกี่ยวกับการเปิดเผยนั้นเมื่อท่านกล่าวคำสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารโคโลเนียฮัวเรซ ชิวาวา เม็กซิโก “พระวิหารแห่งนี้ในเม็กซิโกตอนเหนือ” ท่านสวดอ้อนวอน “ที่พระองค์ทรงเปิดเผยแนวคิดและแผนการสร้างพระวิหารขนาดเล็ก เสร็จสมบูรณ์ในรายละเอียดทั้งหมดที่จำเป็น มีขนาดตรงตามความต้องการและสภาวการณ์ของสมาชิกศาสนจักรในเขตนี้ของสวนองุ่นของพระองค์ การเปิดเผยนั้นเกิดจากความปรารถนาและการสวดอ้อนวอนเพื่อช่วยให้ผู้คนของพระองค์ในอาณานิคมเหล่านี้ที่ซื่อสัตย์และภักดี”4

หกเดือนหลังจากประกาศแผนสร้างพระวิหารขนาดเล็ก ประธานฮิงค์ลีย์ประกาศครั้งสำคัญอีกครั้งว่า

“เราเดินทางไกลไปในหมู่สมาชิกของศาสนจักร ข้าพเจ้าได้อยู่กับคนจำนวนมากที่มีสิ่งของทางโลกน้อยมาก แต่ในใจพวกเขามีศรัทธาที่ลุกโชติช่วงเกี่ยวกับงานยุคสุดท้ายนี้ พวกเขารักศาสนจักร พวกเขารักพระกิตติคุณ พวกเขารักพระเจ้าและต้องการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ พวกเขากำลังจ่ายส่วนสิบ แม้ไม่มากมาย พวกเขาเสียสละอย่างมากเพื่อไปเยือนพระวิหาร พวกเขาเดินทางครั้งละหลายวันด้วยรถโดยสารราคาถูกและเรือเก่าๆ พวกเขาเก็บออมเงินและเสียสละทุกอย่างที่พวกเขาจะทำได้

“พวกเขาต้องการพระวิหารใกล้บ้าน—พระวิหารขนาดเล็กที่สวยงามและใช้ได้จริง ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสนี้ประกาศโปรแกรมให้ทุกคนในศาสนจักรทราบว่าจะสร้างพระวิหารขนาดเล็กประมาณ 30 แห่งทันที …

“นี่จะเป็นโครงการใหญ่มาก ศาสนจักรไม่เคยลองทำโครงการแบบนี้มาก่อน … โครงการนี้จะทำให้มีพระวิหารใหม่ทั้งหมด 47 แห่งเพิ่มจากที่เปิดดำเนินการเวลานี้ 51 แห่ง ข้าพเจ้าคิดว่าเราน่าจะเพิ่มอีกสองแห่งเพื่อให้ครบ 100 แห่งเมื่อสิ้นศตวรรษนี้ หรือ 2,000 ปี ‘นับแต่การเสด็จมาในเนื้อหนังของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์’ (คพ. 20:1) ในโปรแกรมนี้เรากำลังก้าวหน้าถึงระดับที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน”5

วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2000 ประธานฮิงค์ลีย์อุทิศพระวิหารบอสตัน แมสซาชูเซตส์ พระวิหารที่เปิดดำเนินการเป็นแห่งที่ 100 ก่อนสิ้นปี ท่านอุทิศพระวิหารสองแห่งในบราซิล เมื่อท่านถึงแก่กรรมวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2008 ศาสนจักรมีพระวิหารเปิดดำเนินการ 124 แห่ง และประกาศสร้างอีก 13 แห่ง ประธานฮิงค์ลีย์มีส่วนร่วมในการวางแผนและก่อสร้างพระวิหารส่วนใหญ่จากพระวิหารที่เปิดดำเนินการ 124 แห่ง และอุทิศด้วยตัวท่านเอง 85 แห่ง

แม้เมื่อประธานฮิงค์ลีย์ประกาศสร้างพระวิหารใหม่จำนวนมาก และแม้เมื่อท่านอัศจรรย์ใจกับความสวยงามของพระวิหารดังกล่าว แต่ท่านได้เตือนวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้นึกถึงจุดประสงค์ของสิ่งปลูกสร้างอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น นั่นคือ เพื่อเป็นพรแก่บุคคลและครอบครัว ทีละคน ท่านกล่าวถึงพระวิหารแซนดีเอโก แคลิฟอร์เนียว่า “อาคารหลังนี้สวยงามตระการตาอย่างยิ่ง แต่ด้วยความสวยงามทั้งหมดของอาคารหลังนี้ สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นเพียงหนทางบรรลุจุดประสงค์ไม่ใช่ตัวจุดประสงค์ สิ่งอำนวยความสะดวกหลังนี้สร้างและอุทิศไว้เพื่อประกอบศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยในสมัยนี้”6

ท่านกล่าวในอีกวาระหนึ่งว่า “ไม่มีใครมีพระกิตติคุณทั้งหมดจนกว่าเขาสามารถรับ [ศาสนพิธีพระวิหาร] และความรับผิดชอบของเราคือใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าใด แต่หวังว่าขณะมีชีวิตจะสร้างพระวิหารของพระเจ้าเสร็จตามที่หวังไว้ โดยนำพระวิหารไปให้ผู้คนเพื่อพวกเขาจะมีพรอันน่าอัศจรรย์ที่ต้องได้จาก [ที่นั่น]”7

พระวิหารโคโลเนียฮัวเรซ ชิวาวา เม็กซิโก

พระวิหารโคโลเนียฮัวเรซ ชิวาวา เม็กซิโก

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระวิหารเป็นเครื่องแสดงประจักษ์พยานของเรา และเป็นสัญลักษณ์แทนรูปแบบสูงสุดของการนมัสการของเรา

พระวิหารแต่ละแห่งที่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสร้างเป็นเครื่องแสดงประจักษ์พยานของคนเหล่านี้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเราทรงพระชนม์ พระองค์ทรงมีแผนจะให้พรบุตรและธิดาของพระองค์ทุกรุ่น พระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ผู้ประสูติในเบธเลเฮมแคว้นยูเดียและถูกตรึงกางเขนที่กลโกธา ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของโลก ผู้ซึ่งการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ทำให้แผนนั้นเกิดสัมฤทธิผลในชีวิตนิรันดร์ของแต่ละคนที่ยอมรับและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ8

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพระวิหารจะยกระดับและทำให้จิตใจสูงขึ้น พระวิหารพูดถึงชีวิตที่นี่และชีวิตหลังความตาย พูดถึงความสำคัญของบุคคลแต่ละคนในฐานะลูกของพระผู้เป็นเจ้า พูดถึงความสำคัญของครอบครัวอันเป็นงานสร้างของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ พูดถึงความเป็นนิรันดร์ของสัมพันธภาพการแต่งงาน พูดถึงการดำเนินไปสู่รัศมีภาพที่ยิ่งใหญ่กว่า พระวิหารเป็นสถานที่ของความสว่าง สถานที่ของความสงบสุข สถานที่ของความรักที่ว่าด้วยเรื่องของนิรันดร9

พระวิหารทุกแห่ง … ตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงความเชื่อของเราในเรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณมนุษย์ กล่าวคือ ชีวิตมรรตัยช่วงนี้ที่เราประสบเป็นส่วนหนึ่งของการปีนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะมีชีวิตหลังจากนี้แน่นอนเท่าๆ กับมีชีวิตที่นี่ นั่นเป็นความเชื่อมั่นของเรา อันเกิดจากการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด และเท่าที่เราทราบพระวิหารกลายเป็นสะพานเชื่อมชีวิตนี้กับชีวิตหน้า พระวิหารเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นอมตะ10

อาคารที่ยอดเยี่ยมและพิเศษสุดเหล่านี้ ตลอดจนศาสนพิธีที่ประกอบในนั้น เป็นสัญลักษณ์แทนรูปแบบสูงสุดของการนมัสการของเรา ศาสนพิธีเหล่านี้กลายเป็นเครื่องแสดงความเชื่อทางศาสนาของเราได้ลึกซึ้งที่สุด11

เรื่องศักดิ์สิทธิ์สมควรถือว่าศักดิ์สิทธิ์ … เมื่อท่านออกจากประตูพระนิเวศน์ของพระเจ้า จงเคร่งครัดต่อความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องศักดิ์สิทธินั้น

พระเจ้าตรัสว่า “จำไว้ว่าสิ่งซึ่งมาจากเบื้องบนย่อมศักดิ์สิทธิ์ และต้องพูดถึงด้วยความระมัดระวัง และโดยการบีบคั้นของพระวิญญาณ” (คพ. 63:64) และอนึ่ง “อย่าล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์” (คพ. 6:12)12

2

โดยผ่านศาสนพิธีพระวิหาร เราได้รับพรสูงสุดของพระกิตติคุณ

พระวิหารเหล่านี้ซึ่งเวลานี้กระจายอยู่ทั่วโลก จำเป็นต่อการทำให้การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเกิดสัมฤทธิผลโดยครบถ้วน ศาสนพิธีเหล่านั้นซึ่งประกอบที่นี่ภายใต้สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงนำไปสู่ความรอดเท่านั้น แต่ไปสู่ความสูงส่งนิรันดร์ด้วย13

พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ทรงสละพระชนม์ชีพบนกางเขนแห่งคัลวารีเพื่อการชดใช้บาปของมนุษยชาติ พระองค์ทรงพลีพระชนม์ชีพแทนเราแต่ละคน การพลีพระชนม์ชีพครั้งนั้นมาพร้อมคำสัญญาของการฟื้นคืนชีวิตสำหรับทุกคน สิ่งนี้เกิดจากพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่ต้องพยายามในส่วนของมนุษย์ นอกจากนี้ โดยผ่านกุญแจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงประสาทให้อัครสาวกสิบสองเมื่อครั้งทรงพระดำเนินในบรรดาพวกเขา ซึ่งผู้ถือกุญแจเหล่านั้นในสมัยโบราณฟื้นฟูให้ในสมัยการประทานนี้—พรเพิ่มเติมมากมายผ่านมาทางกุญแจเหล่านี้ รวมถึงพรของศาสนพิธีที่ล้ำเลิศและพิเศษสุดซึ่งประกอบในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เฉพาะในศาสนพิธีเหล่านั้นที่ใช้ “ความสมบูรณ์แห่งฐานะปุโรหิต” (คพ. 124:28)14

ศาสนพิธีพระวิหาร [เป็น] พรสูงสุดที่ศาสนจักรมอบให้15

พรของพระวิหารสำหรับชายและหญิงผู้มีค่าควรที่จะเข้าไปในนั้น … ประกอบด้วยพิธีล้างและเจิมเพื่อเราจะสะอาดต่อพระพักตร์พระเจ้า ประกอบด้วยการสอนซึ่งในนั้นเราได้รับเอ็นดาวเม้นท์ในเรื่องข้อผูกมัดและพรที่กระตุ้นให้เราประพฤติตนสอดคล้องกับหลักธรรมของพระกิตติคุณ ประกอบด้วยศาสนพิธีผนึกซึ่งสิ่งที่ผูกไว้บนแผ่นดินโลกจะผูกไว้ในสวรรค์ ทำให้เกิดความต่อเนื่องของครอบครัว16

[ครั้งหนึ่ง] มีคนโทรเรียกข้าพเจ้าไปอยู่ข้างเตียงโรงพยาบาลของมารดาคนหนึ่งที่ป่วยหนักระยะสุดท้าย เธอสิ้นชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน ทิ้งสามีให้อยู่กับลูกสี่คนรวมทั้งลูกชายวัยหกขวบอีกหนึ่งคน มีความโศกเศร้า สะเทือนใจ และสลดใจ แต่สิ่งที่ทอแสงผ่านม่านน้ำตาคือศรัทธาที่สวยงามและแน่ชัดว่าเวลานี้มีการพลัดพรากอันน่าเศร้าฉันใด สักวันจะมีการพบกันใหม่ด้วยความยินดีฉันนั้น เพราะชีวิตแต่งงานของพวกเขาเริ่มด้วยการผนึกเพื่อกาลเวลาและนิรันดรในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ภายใต้สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ …

หลายท่านเดินทาง [ไกลมาก] มารับพรของการแต่งงานในพระวิหาร ข้าพเจ้าเคยเห็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกลุ่มหนึ่งจากญี่ปุ่น—ก่อนสร้างพระวิหารในแผ่นดินเกิดของพวกเขา—ยอมอดอาหารเพื่อจะสามารถเดินทางไกลมาพระวิหารลาเอีย ฮาวาย ก่อนเรามีพระวิหารในโจฮันเนสเบิร์ก เราพบคนที่ยอมกระเหม็ดกระแหม่ทุกอย่างเพื่อเก็บเงินค่าเครื่องบินเดินทาง 7,000 ไมล์ (11,000 กิโลเมตร) จากแอฟริกาใต้มาพระวิหารในเมืองเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ มีแสงสว่างในดวงตาของพวกเขา รอยยิ้มบนใบหน้า และประจักษ์พยานจากริมฝีปากของพวกเขาซึ่งมีค่ายิ่งกว่าทั้งหมดที่เสียไป

ข้าพเจ้านึกถึงหลายปีก่อนในนิวซีแลนด์ขณะฟังประจักษ์พยานของชายคนหนึ่งจากออสเตรเลียฝั่งตะวันตก เขาจดทะเบียนสมรสมาก่อนแล้ว จากนั้นจึงเข้าร่วมศาสนจักรพร้อมภรรยาและลูก เขาเดินทางข้ามทวีปกว้างใหญ่ ข้ามทะเลแทสมันไปเมืองโอกแลนด์ ลงมาพระวิหารในหุบเขาที่สวยงามของไวกาโต เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ เขาพูดว่า “เราไม่มีเงินพอที่จะมา ทรัพย์สมบัติทางโลกของเรามีเพียงรถยนต์เก่าๆ เครื่องเรือน และถ้วยชามเก่าๆ ผมพูดกับครอบครัวว่า ‘เราไม่มีเงินไป’ แล้วผมก็มองหน้าภรรยาแสนสวยและลูกที่น่ารักของเราพลางพูดว่า ‘เราไม่ไปไม่ได้ ถ้าพระเจ้าจะประทานพละกำลังให้พ่อ พ่อสามารถทำงานหารายได้พอที่จะซื้อรถยนต์อีกคัน เครื่องเรือน และถ้วยชามแบบนี้แต่ถ้าพ่อจะต้องสูญเสียคนเหล่านี้ที่พ่อรัก พ่อจะยากจนทั้งในชีวิตนี้และในนิรันดร’”17

พี่น้องทั้งหลาย ไม่แปลกที่เมื่อเปิด … พระวิหารข้าพเจ้าเห็นน้ำตาของชายที่แข็งแรงผู้โอบกอดภรรยาของเขา ณ แท่นในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ข้าพเจ้าเคยเห็นน้ำตาของบิดาและมารดาขณะพวกเขาโอบกอดบุตรธิดา ณ แท่นเดียวกันนี้ โดยผ่านพลังอำนาจที่ใช้ในพระวิหารพวกเขาได้รู้ว่าเวลาหรือความตายไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์ที่ผูกมัดพวกเขาไว้ด้วยกัน18

3

พระวิหารเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของการรับใช้ที่เราสามารถรับศาสนพิธีแห่งความรอดแทนคนที่สิ้นชีวิตโดยไม่ได้รับพระกิตติคุณ

มีหลายล้านคนนับไม่ถ้วนที่เคยเดินบนแผ่นดินโลกและไม่เคยมีโอกาสได้ยินพระกิตติคุณ คนเหล่านั้นจะถูกปฏิเสธพรที่มอบให้ในพระวิหารของพระเจ้าหรือ

โดยผ่านตัวแทนที่มีชีวิตผู้ทำแทนคนตาย ศาสนพิธีเดียวกันนี้จึงมีผลต่อผู้ล่วงลับไปจากความเป็นมรรตัย ในโลกวิญญาณพวกเขามีอิสระที่จะยอมรับหรือปฏิเสธศาสนพิธีทางโลกเหล่านั้นที่กระทำแทนพวกเขา รวมทั้งบัพติศมา การแต่งงาน และการผนึกความสัมพันธ์ในครอบครัว ต้องไม่มีการบังคับในงานของพระเจ้า แต่ต้องมีโอกาส19

นี่เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งการรับใช้ งานส่วนใหญ่ที่ทำในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์นี้กระแทนทำคนเหล่านั้นที่ล่วงลับไปอยู่หลังม่านแห่งความตาย ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีงานใดเทียบกับงานนี้ได้ ไม่มีงานใดที่ข้าพเจ้ารู้จักจะใกล้เคียงกับการเสียสละของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมวลมนุษย์มากเท่างานนี้ คนที่อยู่ในโลกหลังความตายกลายเป็นผู้รับประโยชน์จากการอุทิศตนรับใช้ครั้งนี้โดยผู้เสียสละไม่คาดหวังคำขอบคุณ นี่คือการรับใช้ของคนเป็นเพื่อคนตาย นี่คือการรับใช้ซึ่งเกิดจากเนื้อแท้ของความไม่เห็นแก่ตัว20

เด็กหนุ่มและเด็กสาวจำนวนมาก … ได้รับการเตือนว่าพระวิหารเหล่านี้ไม่เพียงมีไว้สำหรับบิดามารดาเท่านั้นแต่สำหรับพวกเขาด้วย เมื่ออายุ 12 ขวบ พวกเขาจะเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าและเป็นผู้รับบัพติศมาแทนคนที่อยู่หลังม่านแห่งความตาย นับเป็นการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่และไม่เห็นแก่ตัว นับเป็นเรื่องดีที่เยาวชนของเราได้มีส่วนร่วมในการกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวแทนคนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

ควบคู่กับ … กิจกรรมพระวิหารที่เพิ่มขึ้นคือการเพิ่มงานประวัติครอบครัวของเรา คอมพิวเตอร์ในที่ต่างๆ กำลังเร่งงานและผู้คนกำลังใช้ประโยชน์จากเทคนิคใหม่ที่มีให้พวกเขา คนเราจะหนีพ้นข้อสรุปที่ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เมื่อวิทยาการคอมพิวเตอร์ก้าวหน้า จำนวนพระวิหารย่อมเพิ่มตามเพื่อรองรับงานประวัติครอบครัวที่้เร่งเร็วขึ้น21

เราต้องรับผิดชอบพร พรนิรันดร์ ของทุกคนที่เคยมีชีวิตบนแผ่นดินโลก ชายหญิงหลายรุ่นมากมายนับไม่ถ้วนที่เคยมีชีวิตบนแผ่นดินโลก ทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกเวลานี้ และทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ความรับผิดชอบของเราสำคัญยิ่งนัก เราต้องยืนอย่างภาคภูมิและทำงานหนักมากขึ้นอีกนิดเพื่อให้งานนี้สำเร็จลุล่วง22

คนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง คนที่ไม่ตายแต่มีชีวิตทางวิญญาณ จะชื่นชมยินดีและดีใจเมื่อพวกเขารู้สึกตัวและก้าวหน้าไปบนเส้นทางสู่ “ความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์” (โมเสส 1:39)23

4

พรมากมายรอเราอยู่เมื่อเรารักษาตัวให้มีค่าควรและไปพระวิหารบ่อยๆ

ข้าพเจ้า … ท้าทายแต่ละท่านวันนี้ให้วางระเบียบชีวิตท่าน มีค่าควรไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า และรับส่วนพรที่เป็นของท่านโดยเฉพาะ … ข้อกำหนดนั้นสำคัญยิ่ง แต่พรสำคัญยิ่งกว่า24

ข้าพเจ้าขอกระตุ้นผู้คนของเราทุกแห่งหน ด้วยพลังโน้มน้าวทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้ ให้ดำเนินชีวิตคู่ควรแก่การถือใบรับรองพระวิหาร เก็บรักษาไว้ให้ดี และถือเป็นทรัพย์สินมีค่ายิ่ง พยายามมากขึ้นเพื่อไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรับส่วนวิญญาณและพรที่มีอยู่ในนั้น25

ไม่ว่าท่านจะไป [พระวิหาร] ได้บ่อยหรือไม่บ่อย จงมีคุณสมบัติคู่ควรถือใบรับรองพระวิหารและพกใบรับรองไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา นั่นจะเป็นเครื่องเตือนใจท่านให้นึกถึงสิ่งที่คาดหวังจากท่านในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย26

ข้าพเจ้าเชื่อว่าชายหรือหญิงทุกคนที่ไปพระวิหารด้วยความจริงใจและศรัทธาจะเป็นชายหรือหญิงที่ดีขึ้นเมื่อออกจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า เราจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอในชีวิตทุกด้านของเรา บางครั้งเราจำเป็นต้องออกจากเสียงหนวกหูและเสียงอึกทึกของโลก และก้าวเข้าไปในกำแพงพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อรู้สึกถึงพระวิญญาณของพระองค์ในสภาพแวดล้อมของความศักดิ์สิทธิ์และความสงบ27

อาคารศักดิ์สิทธิ์นี้กลายเป็นโรงเรียนของการสั่งสอนเรื่องศักดิ์สิทธิ์และน่ายินดีของพระผู้เป็นเจ้า ที่นี่เราได้สรุปโครงร่างแผนของพระบิดาผู้ทรงรักเราเพื่อประโยชน์ของบุตรและธิดาของพระองค์ทุกรุ่น ที่นี่เราได้ร่างภาพการผจญภัยที่ยาวนานของการเดินทางนิรันดร์ของมนุษย์ตั้งแต่การดำรงอยู่ก่อนเกิดผ่านชีวิตนี้ไปจนถึงชีวิตหลังจากนี้ ความจริงพื้นฐานอันสำคัญยิ่งมีสอนไว้อย่างชัดเจนและเรียบง่ายภายในขอบเขตความเข้าใจของทุกคนที่ได้ยิน …

พระวิหารเป็นสถานที่แห่งการดลใจและการเปิดเผยส่วนตัวเช่นกัน หลายคนที่อยู่ในช่วงตึงเครียด เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ และต้องจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน พวกเขามาพระวิหารในวิญญาณของการอดอาหารและการสวดอ้อนวอนเพื่อแสวงหาการนำทางจากเบื้องบน หลายคนเป็นพยานว่าแม้ไม่ได้ยินสุรเสียงของการเปิดเผย แต่พวกเขาประสบความประทับใจเกี่ยวกับวิถีที่พึงดำเนินในเวลานั้นหรือในเวลาต่อมาซึ่งกลายเป็นคำตอบการสวดอ้อนวอนของพวกเขา

ประธานฮิงค์ลีย์ที่พิธีวางศิลามุมเอกของพระวิหาร

“จงไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรู้สึกถึงพระวิญญาณของพระองค์ที่นั่นและสื่อสารกับพระองค์และท่านจะรู้จักความสงบสุขที่ท่านจะไม่พบที่อื่น”

พระวิหารเป็นแหล่งรวมความจริงนิรันดร์ “คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้นจะไม่มีวันกระหายอีกเลย” (ยอห์น 4:14) ที่นี่สอนความจริงเหล่านั้นซึ่งเนื้อหาสาระในนั้นมาจากพระเจ้าและมีความนัยดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

สำหรับท่านที่เข้าไปในกำแพงเหล่านี้ พระนิเวศน์แห่งนี้กลายเป็นบ้านแห่งพันธสัญญา ที่นี่เราสัญญาอย่างจริงจังและศักดิ์สิทธิ์ว่าจะดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้ดีที่สุด เราทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเราว่าจะดำเนินชีวิตตามหลักธรรมเหล่านั้นซึ่งเป็นฐานมั่นคงของศาสนาที่จริงแท้แน่นอน28

ชีวิตท่านเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มหรือไม่ ท่านมีปัญหา ข้อกังวล และเรื่องไม่สบายใจหรือไม่ ท่านต้องการสันติสุขในใจและโอกาสสื่อสารกับพระเจ้าและตรึกตรองวิถีของพระองค์หรือไม่ จงไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและที่นั่นท่านจะรู้สึกถึงพระวิญญาณของพระองค์ที่ท่านจะไม่พบที่อื่น29

ในยามมืดมนลองเข้าไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและอย่าให้โลกเข้ามา จงรับศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และทำศาสนพิธีเหล่านี้ให้บรรพชนของท่าน ช่วงสุดท้ายในพระวิหาร ให้นั่งเงียบๆ ในห้องซีเลสเชียลและไตร่ตรองพรที่ท่านได้รับเพื่อประโยชน์ของท่านหรือที่ท่านเผื่อแผ่ให้ผู้ที่ล่วงลับไปก่อนท่าน ใจท่านจะอิ่มเอมด้วยความสำนึกคุณ ความคิดเรื่องความจริงนิรันดร์เกี่ยวกับแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขของพระเจ้าจะปลุกเร้าจิตวิญญาณท่าน30

ในโลกที่อึกทึก วุ่นวาย และแข่งขัน การมีพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ให้เราประสบอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระวิญญาณของพระเจ้านับเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง องค์ประกอบของความเห็นแก่ตัวเบียดเราตลอดเวลา เราต้องเอาชนะ ไม่มีวิธีใดดีกว่าการไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรับใช้ที่นั่นในความเกี่ยวดองกับคนที่อยู่หลังม่านแห่งความตาย …

… ข้าพเจ้ากระตุ้นให้ท่านใช้ประโยชน์มากขึ้นจากสิทธิพิเศษอันเป็นพรนี้ ซึ่งจะขัดเกลาธรรมชาติวิสัยของท่าน จะลอกเปลือกของความเห็นแก่ตัวซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น จะนำองค์ประกอบที่ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในชีวิตเราและทำให้เราเป็นชายที่ดีขึ้นและเป็นหญิงที่ดีขึ้น31

ข้าพเจ้าทราบว่าชีวิตท่านไม่มีเวลาว่าง ข้าพเจ้าทราบว่าท่านมีหลายอย่างต้องทำ แต่ข้าพเจ้าทำสัญญากับท่านว่าถ้าท่านจะไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า ท่านจะได้รับพร ชีวิตท่านจะดีขึ้น บัดนี้ ได้โปรด ได้โปรด พี่น้องที่รักทั้งหลาย ให้โอกาสตัวท่านได้ไปพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรับส่วนพรอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดที่ท่านพึงได้รับที่นั่น32

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่าศาสนพิธีพระวิหารเป็น “เครื่องแสดงความเชื่อทางศาสนาของเราได้ลึกซึ้งที่สุด” (หัวข้อ 1) และเป็น “พรสูงสุดที่ศาสนจักรมอบให้” (หัวข้อ 2) ท่านเคยได้รับพรอะไรบ้างผ่านศาสนพิธีเหล่านี้

  • ประธานฮิงค์ลีย์พูดถึงชายหญิงที่หลั่งน้ำตาแห่งปีติในพระวิหาร (ดู หัวข้อ 2) จากประสบการณ์ของท่าน เหตุใดศาสนพิธีพระวิหารจึงกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนั้น

  • ประธานฮิงค์ลีย์พูดถึงงานไถ่คนตายว่า “นี่เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่เยาวชนของเราได้มีส่วนร่วมในกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว” (หัวข้อ 3) บิดามารดาและเยาวชนจะทำอะไรได้บ้างเพื่อทำงานรับใช้นี้ด้วยกัน

  • เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจัดเวลารับใช้และนมัสการในพระวิหาร การรับใช้ของเราในพระวิหารจะมีอิทธิพลต่อชีวิตนอกพระวิหารของเราในด้านใดบ้าง (ดูตัวอย่างในหัวข้อ 4) การไปพระวิหารเป็นพรแก่ท่านอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

อพยพ 25:8; 1 พงศ์กษัตริย์ 6:11–13; คพ. 88:119–20; 109:12–13, 24–28; 110:1–10; 128:22–24

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“แบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียนรู้ เมื่อท่านทำดังนี้ ความคิดของท่านจะกระจ่างชัดมากขึ้นและพลังแห่งความทรงจำจะเพิ่มขึ้น” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 17)

อ้างอิง

  1. “ความคิดบางประการเกี่ยวกับพระวิหาร การรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่ และการรับใช้งานเผยแผ่,” เลียโฮนา, ม.ค. 1998, 62.

  2. “ความคิดบางประการเกี่ยวกับพระวิหาร การรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่ และการรับใช้งานเผยแผ่,” 62.

  3. ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 325.

  4. “This Is a Day Long Looked Forward To” (text of the dedicatory prayer for the Colonia Juárez Chihuahua Mexico Temple, Mar. 6, 1999), Church News, Mar. 13, 1999, 7.

  5. “พระวิหารแห่งใหม่เพื่อจัดหา ‘พรอันสูงสุด’ ของพระกิตติคุณ,” เลียโฮนา, ก.ค. 1998, 99-100.

  6. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1: 1995–1999 (2005), 311–12.

  7. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 641.

  8. “This Peaceful House of God,” Ensign, May 1993, 74.

  9. Teachings of Gordon B. Hinckley, 623–24.

  10. “Inspirational Thoughts,” Ensign, Apr. 2002, 4.

  11. “งานสอนศาสนา พระวิหาร และการเป็นผู้พิทักษ์,” เลียโฮนา, ม.ค. 1996, 64.

  12. “Keeping the Temple Holy,” Ensign, May 1990, 52.

  13. “Shining Star in a World Oppressed with Darkness” (text of the dedicatory prayer for the Manhattan New York Temple, June 13, 2004), Church News, June 19, 2004, 5.

  14. “Rejoice in This Great Era of Temple Building,” Ensign, Nov. 1985, 59.

  15. “พระวิหารแห่งใหม่เพื่อจัดหา ‘พรอันสูงสุด’ ของพระกิตติคุณ,” 100.

  16. “Temples and Temple Work,” Ensign, Feb. 1982, 3.

  17. “The Marriage That Endures,” Ensign, July 2003, 4–6.

  18. “Rejoice in This Great Era of Temple Building,” 60.

  19. “Why These Temples?” Ensign, Aug. 1974, 40.

  20. “The Salt Lake Temple,” Ensign, Mar. 1993, 5.

  21. “ขอต้อนรับสู่การประชุมใหญ่,” เลียโฮนา, ม.ค. 2000, 4–5.

  22. Teachings of Gordon B. Hinckley, 640.

  23. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 154.

  24. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 1, 362.

  25. “งานสอนศาสนา พระวิหาร และการเป็นผู้พิทักษ์,” 66.

  26. “Inspirational Thoughts,” 4.

  27. “งานสอนศาสนา พระวิหาร และการเป็นผู้พิทักษ์,” 65.

  28. “The Salt Lake Temple,” 5–6.

  29. กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์, “Excerpts from Recent Addresses of President Gordon B. Hinckley,” Ensign, July 1996, 72.

  30. One Bright Shining Hope: Messages for Women from Gordon B. Hinckley (2006), 103.

  31. “คำปราศรัยปิดการประชุม,” เลียโฮนา, พ.ย. 2004, 129-130.

  32. Teachings of Gordon B. Hinckley, 624.