คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 10: บำรุงเลี้ยงการเป็นหุ้นส่วนนิรันดร์ของชีวิตแต่งงาน


บทที่ 10

บำรุงเลี้ยงการเป็นหุ้นส่วนนิรันดร์ของชีวิตแต่งงาน

“ความรู้สึกหวานชื่นที่สุดของชีวิต แรงผลักดันอันน่าพึงใจและเผื่อแผ่ที่สุดของใจมนุษย์ ล้วนแสดงออกอย่างเต็มที่ในชีวิตแต่งงานที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเหนือความชั่วร้ายของโลก”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ค่ำวันหนึ่งเมื่อประธานและซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์นั่งอยู่เงียบๆ ด้วยกัน ซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์พูดว่า “คุณให้ปีกฉันบินเสมอ และฉันรักคุณก็เพราะเหตุนี้”1 ประธานฮิงค์ลีย์แสดงความเห็นเกี่ยวกับคำพูดจากภรรยาดังนี้ “ข้าพเจ้าพยายามยอมรับความเป็นปัจเจก [ของเธอ] บุคลิกภาพของเธอ ความปรารถนาของเธอ ภูมิหลังของเธอ ความใฝ่ฝันของเธอ ปล่อยให้เธอบิน ใช่ ปล่อยให้เธอบิน! ปล่อยให้เธอพัฒนาพรสวรรค์ของเธอ ปล่อยให้เธอทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของเธอ หลีกทางให้เธอ และประหลาดใจกับสิ่งที่เธอทำ”2 ซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์สนับสนุนสามีในทำนองเดียวกัน—ในฐานะบิดา ในความสนใจส่วนตัวของเขา และในการรับใช้ศาสนจักรอย่างกว้างขวางของเขา

ช่วงที่เติบโตมาด้วยกันส่วนใหญ่กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กับมาร์จอรี เพย์อยู่ในวอร์ดเดียวกัน และพวกท่านอยู่บ้านตรงข้ามกันนานหลายปี “ข้าพเจ้าเห็นเธอครั้งแรกในปฐมวัย” ประธานฮิงค์ลีย์เล่าในเวลาต่อมา “เธออ่านพระคัมภีร์ออกเสียงต่อหน้าเด็กคนอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำไมจึงมีผลต่อข้าพเจ้ามากนัก แต่ข้าพเจ้าไม่เคยลืม แล้วเธอก็โตเป็นสาวสวยข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าต้องแต่งงานกับเธอ”3

พวกท่านออกเดทด้วยกันครั้งแรก—ที่งานเต้นรำของศาสนจักร—เมื่อท่านอายุ 19 ปีและเธออายุ 18 ปี “ชายหนุ่มคนนี้จะประสบความสำเร็จมาก” มาร์จอรีบอกคุณแม่ของเธอหลังจากนั้น4 สัมพันธภาพของพวกท่านพัฒนาต่อเนื่องขณะกอร์ดอนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ จากนั้นในปี 1933 หลังจากท่านเรียนจบ ท่านได้รับเรียกให้รับใช้งานเผยแผ่ในอังกฤษ เมื่อท่านกลับมาในปี 1935 พวกท่านผูกสมัครรักใคร่กันอีกครั้ง และในปี 1937 พวกท่านแต่งงานกันในพระวิหารซอลท์เลค เมื่อนึกถึงชีวิตแต่งงานช่วงแรก ซิสเตอร์มาร์จอรีกล่าวว่า

“เงินขาดมือ แต่เราเปี่ยมด้วยความหวังและการมองโลกในแง่ดี ช่วงเวลาแรกๆ เหล่านั้นใช่ว่าจะสุขสำราญไปทุกเรื่อง แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนาจะสร้างครอบครัวที่มีความสุข เรารักกัน ไม่มีความสงสัยในเรื่องนั้น แต่เราต้องทำความคุ้นเคยกันด้วย ดิฉันคิดว่าทุกคู่ต้องทำความคุ้นเคยกัน

“ช่วงแรกดิฉันคิดว่าจะดีกว่าถ้าเราพยายามคุ้นเคยกันมากกว่าจะพยายามเปลี่ยนแปลงกันอยู่เรื่อย—ซึ่งดิฉันค้นพบว่าเป็นไปไม่ได้ … จะต้องมีการประนีประนอม และผ่อนสั้นผ่อนยาวมากๆ เพื่อสร้างครอบครัวที่มีความสุข”5

ประธานฮิงค์ลีย์ได้รับเรียกเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในปี 1958 ในช่วงรับใช้ปีแรกๆ ซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์อยู่บ้านดูแลลูกห้าคนเป็นหลักขณะท่านเดินทางไปทำงานมอบหมายของศาสนจักร เมื่อลูกๆ โตแล้ว ท่านทั้งสองเดินทางด้วยกันบ่อยครั้ง—นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านมุ่งมาดปรารถนา ในเดือนเมษายน ปี 1977 การฉลองแต่งงานครบรอบ 40 ปีเกิดขึ้นระหว่างพวกท่านเดินทางไปพบกับวิสุทธิชนในออสเตรเลีย วันนั้นประธานฮิงค์ลีย์เขียนในบันทึกส่วนตัวของท่านว่า

“วันนี้เราอยู่ในเมืองเพิร์ท ออสเตรเลีย การอยู่ที่นั่นบ่งบอกว่าหลายปีมานี้ได้นำอะไรมาให้เราบ้าง เราใช้วันนั้นประชุมกับผู้สอนศาสนาในคณะเผยแผ่เพิร์ท ออสเตรเลีย วันนั้นเป็นวันที่ดีมากๆ เพราะเราได้ฟังประจักษ์พยานและคำชี้แนะ ผู้สอนศาสนามอบช่อดอกไม้ให้มาร์จอรี นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาทำให้เธอด้วยตนเอง

“เราน่าจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับ 40 ปีที่ผ่านมาสักเล่ม … เรามีเรื่องต้องต่อสู้ดิ้นรนและปัญหาของเรา แต่โดยทั่วไปแล้วชีวิตดี เราได้รับพรอย่างน่าอัศจรรย์ ในวัยนี้ เราเริ่มรู้ความหมายของนิรันดรและคุณค่าของการเป็นคู่นิรันดร์ หากเราอยู่ที่บ้านคืนนี้ เราคงจะรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว แต่เราอยู่รับใช้พระเจ้าไกลบ้าน และนั่นเป็นประสบการณ์อันชื่นใจ”6

ยี่สิบสองปีต่อมา ขณะรับใช้เป็นประธานศาสนจักร ประธานฮิงค์ลีย์เขียนจดหมายถึงซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์บอกความรู้สึกของท่านหลังจากแต่งงานมานานกว่า 60 ปีว่า “คุณเป็นคู่ชีวิตที่มีค่ามากเหลือเกิน” ท่านกล่าว “ตอนนี้เราแก่ตัวไปด้วยกัน และนั่นเป็นประสบการณ์อันชื่นใจ … ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมือมัจจุราชแตะเราคนใดคนหนึ่งอย่างแผ่วเบา จะมีน้ำตาแน่นอน แต่จะมีความเชื่อมั่นในใจเช่นกันว่าเราจะพบกันอีกและจะเป็นคู่ชีวิตนิรันดร์”7

ต้นคริสต์ศักราช 2004 ประธานและซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์อยู่ระหว่างเดินทางกลับจากการอุทิศพระวิหารอักกรา กานาเมื่อซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์ล้มป่วยเพราะความเหนื่อยล้า เธอไม่แข็งแรงเหมือนเดิมและถึงแก่กรรมในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2004 หกเดือนต่อมาในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า

“ขณะจับมือเธอและเห็นชีวิตมรรตัยค่อยๆ ไหลออกจากนิ้วมือเธอ ข้าพเจ้ายอมรับว่าสะเทือนใจมาก ก่อนแต่งงานกับเธอ เธอเป็นหญิงสาวที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝัน … เธอเป็นคู่ชีวิตที่ข้าพเจ้ารักมานานกว่าสองในสามของศตวรรษ เราเท่าเทียมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า ที่จริงเธอเหนือกว่าข้าพเจ้า เวลานี้ในวัยชราของข้าพเจ้า เธอกลายเป็นหญิงสาวที่ข้าพเจ้าฝันถึงอีกครั้ง”8

ในความเศร้าโศกของท่าน ประธานฮิงค์ลีย์ได้รับการหนุนใจจากการรู้ว่าท่านกับมาร์จอรีรับการผนึกด้วยกันชั่วนิรันดร์แล้ว “การที่คนๆ หนึ่งสูญเสียหุ้นส่วนที่เขารักมากและผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมานานเป็นเรื่องน่าสลดหดหู่อย่างยิ่ง” ท่านกล่าว “มีความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกาะกุมจิตใจรุนแรงมากขึ้น และกัดกร่อนจิตวิญญาณของคนนั้นอย่างเจ็บปวด แต่ในความเงียบสงัดยามราตรี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาว่า ‘ทุกอย่างดี ทุกอย่างดี’ เสียงจากนิรนามคนนั้นทำให้เกิดปีติ ความแน่นอน และความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่าความตายไม่ใช่จุดจบ ชีวิตดำเนินต่อไป มีงานต้องทำและต้องได้ชัยชนะ เสียงเบาๆ นั้น แม้หูมนุษย์ไม่ได้ยิน แต่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีการแยกจากกันฉันใดย่อมจะมีการพบกันอย่างชื่นบานอีกครั้งฉันนั้น”9

ประธานและซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์

ประธานและซิสเตอร์ฮิงค์ลีย์มีชีวิตแต่งงานที่เป็นสุขและรักกัน เข้มแข็งขึ้นเพราะ “ความเชื่อมั่นแน่นอนในใจว่าจะได้พบกันอีกครั้งและครองคู่กันชั่วนิรันดร์”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระบิดาบนสวรรค์ทรงออกแบบการแต่งงานตั้งแต่ต้น

การแต่งงานภายใต้แผนของพระบิดานิรันดร์เป็นเรื่องวิเศษอย่างยิ่ง แผนนั้นจัดเตรียมไว้ในพระปรีชาญาณของพระองค์เพื่อความสุขและความมั่นคงของบุตรธิดาพระองค์และความต่อเนื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์

พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างของเราและทรงออกแบบการแต่งงานนับจากกาลเริ่มต้น ขณะที่ทรงสร้างเอวา “ชายนั้นจึงว่า นี่แหละกระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา … เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” (ปฐม. 2:23–24)

เปาโลเขียนถึงวิสุทธิชนชาวโครินธ์ว่า “แต่อย่างไรก็ดี ในองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ชายก็ขาดผู้หญิงไม่ได้ และผู้หญิงก็ขาดผู้ชายไม่ได้” (1 โครินธ์ 11:11)

ในการเปิดเผยยุคปัจจุบัน พระเจ้าตรัสว่า “และอนึ่ง, ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, ว่าผู้ใดที่ห้ามการแต่งงานมิได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า, เพราะการแต่งงานได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมนุษย์.” (คพ. 49:15) …

โดยแท้แล้วคนที่อ่านพระคัมภีร์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีสักคนสงสัยแนวคิดอันสูงส่งเรื่องการแต่งงาน ความรู้สึกหวานชื่นที่สุดของชีวิต แรงผลักดันอันน่าพึงใจและเผื่อแผ่ที่สุดของใจมนุษย์ ล้วนแสดงออกอย่างเต็มที่ในชีวิตแต่งงานที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเหนือความชั่วร้ายของโลก

ข้าพเจ้าเชื่อว่าการแต่งงานเช่นนั้นเป็นความปรารถนา—ความหวัง ความใฝ่ฝัน ความปรารถนาที่สวดอ้อนวอนขอ—ของชายหญิงทุกแห่งหน10

2

ในพระวิหาร สามีภรรยาจะได้รับการผนึกไว้ด้วยกันชั่วนิรันดร์

พระวิหาร … มอบพรที่ไม่มีที่อื่นใดมอบให้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาตินิรันดร์ของมนุษย์ ที่นี่ สามีภรรยาและบุตรธิดาได้รับการผนึกด้วยกันเป็นครอบครัวชั่วนิรันดร์ การแต่งงานไม่ใช่ “จนกว่าความตายจะพรากเจ้าไป” แต่คงอยู่ตลอดกาลถ้าทั้งสองฝ่ายดำเนินชีวิตคู่ควรกับพรนั้น11

มีชายที่รักหญิงจริงๆ หรือหญิงที่รักชายจริงๆ ผู้ไม่สวดอ้อนวอนขอให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงอยู่ต่อไปหลังความตายไหม มีพ่อแม่ที่ฝังลูกแล้วไม่ปรารถนาหลักประกันว่าลูกที่พวกเขารักจะเป็นของพวกเขาอีกครั้งในโลกที่จะมาถึงไหม ใครก็ตามที่เชื่อเรื่องชีวิตนิรันดร์จะข้องใจได้หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์จะประทานคุณลักษณะอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตแก่บุตรธิดาของพระองค์ ซึ่งคือความรักที่แสดงออกได้อย่างมีความหมายมากที่สุดในสัมพันธภาพครอบครัว ไม่เลย เหตุผลที่ไม่ได้คือสัมพันธภาพของครอบครัวจะดำเนินต่อไปหลังความตาย ใจมนุษย์ปรารถนาอย่างมากและพระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเปิดเผยวิธีให้ได้สัมพันธภาพดังกล่าว ศาสนพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าจัดเตรียมไว้เพื่อการนั้น12

หอมหวานยิ่งนักคือความเชื่อมั่น ปลอบโยนยิ่งนักคือสันติที่มาจากความรู้ว่าถ้าเราแต่งงานถูกต้องและดำเนินชีวิตถูกต้อง สัมพันธภาพของเราจะดำเนินต่อไป แม้เวลาจะล่วงเลยและความตายนั้นแน่นอน มนุษย์อาจเขียนเพลงรักและร้องเพลงนั้น พวกเขาอาจโหยหา หวัง และฝัน แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความเพ้อฝันหากไม่มีการใช้สิทธิอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของเวลาและความตาย13

3

สามีภรรยาเดินเคียงคู่กันระหว่างการเดินทางนิรันดร์

ในแบบแผนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ครั้งแรก พระองค์ทรงสร้างเพศชายและเพศหญิง การครองคู่อย่างสมเกียรติพบในการแต่งงาน ฝ่ายหนึ่งเสริมอีกฝ่ายหนึ่ง14

ในการเป็นคู่แต่งงานไม่มีความด้อยกว่าหรือความเหนือกว่า ฝ่ายหญิงไม่เดินนำหน้าฝ่ายชาย และฝ่ายชายไม่เดินนำหน้าฝ่ายหญิง พวกเขาเดินเคียงคู่กันฉันบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้าระหว่างการเดินทางนิรันดร์15

การแต่งงานในความหมายที่ถูกต้องที่สุดคือการเป็นหุ้นส่วนเท่าเทียมกัน ไม่มีฝ่ายใดใช้อำนาจบาตรใหญ่เหนืออีกฝ่าย แต่ให้กำลังใจกัน ช่วยเหลือกันในความรับผิดชอบและความมุ่งมาดปรารถนาทุกอย่างที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะมี16

ภรรยาทั้งหลาย จงถือว่าสามีท่านเป็นคู่ชีวิตที่เลอค่าและดำเนินชีวิตให้คู่ควรกับความสัมพันธ์นั้น สามีทั้งหลาย จงถือว่าภรรยาท่านเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สุดในกาลเวลาหรือนิรันดร เธอเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นหุ้นส่วนที่ท่านสามารถเดินจูงมือฝ่าแดดและพายุ ฝ่าภยันตรายและชัยชนะของชีวิตไปด้วยได้17

ข้าพเจ้านึกถึง [เพื่อน] สองคนที่ข้าพเจ้ารู้จัก … สมัยเรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาเป็นหนุ่มชนบท รูปร่างหน้าตาธรรมดา ไม่มีเงินหรืออนาคตชัดเจน เขาโตมากับฟาร์ม และถ้าเขามีคุณสมบัติใดดึงดูดใจ คุณสมบัตินั้นคือความสามารถในการทำงาน … แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแบบชาวชนบท เขาจึงมีรอยยิ้มและบุคลิกภาพที่ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นความดีงามชัดเจน เธอเป็นสาวชาวกรุง มาจากบ้านที่สะดวกสบาย …

มนต์วิเศษบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา พวกเขาตกหลุมรัก … [พวกเขา] หัวเราะ เต้นรำ และศึกษาด้วยกันตลอดหลายปีนั้น พวกเขาแต่งงานกันทั้งที่คนอื่นสงสัยว่าพวกเขาจะมีรายได้พอเลี้ยงชีพได้อย่างไร เขามุมานะเรียนวิชาชีพจนจบและได้คะแนนนำเกือบสูงสุดของชั้น เธอประหยัด อดออม ทำงาน และสวดอ้อนวอน เธอให้กำลังใจเขา สนับสนุนเขา และเมื่อสถานการณ์ย่ำแย่มากเธอพูดเบาๆ ว่า “เดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้” ศรัทธาที่เธอมีในตัวเขาทำให้เขามีกำลังใจฟันฝ่าชีวิตช่วงยากๆ เหล่านั้น ลูกๆ ของพวกเขาเกิด พวกเขารัก อบรมสั่งสอน และให้ความมั่นคงปลอดภัยที่มาจากแบบอย่างความรักความภักดีที่พวกเขามีต่อกัน สี่สิบห้าปีล่วงไป ลูกๆ ของพวกเขาเติบใหญ่และนำชื่อเสียงมาให้พวกเขา ให้ศาสนจักร และชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่

เมื่อเร็วๆ นี้ขณะนั่งเครื่องบินจากนิวยอร์ก ข้าพเจ้าเดินไปตามช่องทางเดินในห้องโดยสารเปิดไฟสลัวและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งผมสีดอกเลานอนซบไหล่สามี เขาจับมือเธอแน่นอย่างรักใคร่ เขาตื่นอยู่และจำข้าพเจ้าได้ เธอตื่นเมื่อเราเริ่มพูดคุยกัน พวกเขากำลังกลับจากนิวยอร์กเช่นกัน เขาไปยื่นเอกสารให้สมาคมที่มีคนรู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เขาพูดเรื่องนั้นเล็กน้อย แต่เธอพูดถึงเกียรติที่เขาได้รับอย่างภาคภูมิใจ …

ข้าพเจ้าคิดเรื่องนั้นขณะกลับไปยังที่นั่งของข้าพเจ้าบนเครื่องบิน ข้าพเจ้าพูดกับตนเองว่า เพื่อนๆ ของพวกเขาสมัยนั้นเห็นพวกเขาเป็นเพียงหนุ่มชาวไร่จากชนบทและสาวหน้าตายิ้มแย้มมีรอยกระที่จมูก แต่สองคนนี้เห็นความรัก ความภักดี สันติสุข ศรัทธา และอนาคตในกันและกัน ถ้าจะเรียกว่าเคมีตรงกันก็ได้ แต่มีมากยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พระบิดาผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของเราทรงปลูกไว้ที่นั่นกำลังเบ่งบาน ในสมัยเรียนพวกเขาดำเนินชีวิตคู่ควรกับการเบ่งบานนั้น พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรมและศรัทธา ด้วยความชื่นชม ด้วยความเคารพตนเองและเคารพในกันและกัน ในช่วงปีที่มีความยากลำบากในด้านอาชีพและขัดสนเศรษฐกิจ พวกเขาพบพลังทางโลกมากที่สุดในคู่ของตน เวลานี้ในวัยชราพวกเขาหาสันติสุข หาความพอใจเงียบๆ ด้วยกัน นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อมั่นเรื่องความเป็นนิรันดร์ของความสัมพันธ์อันน่ายินดีภายใต้พันธสัญญาที่ทำไว้นานแล้วและสัญญาที่ให้ไว้นานแล้วในพระนิเวศน์ของพระเจ้า18

4

พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงระงับพรใดจากผู้มีค่าควรที่ไม่ได้แต่งงาน

ไม่ทราบเพราะเหตุใดเราจึงติดป้ายให้กับกลุ่มคนที่มีความสำคัญมากในศาสนจักร ป้ายอ่านว่า “คนโสด” ข้าพเจ้าปรารถนาว่าเราจะไม่ทำเช่นนั้น ท่านเป็นปัจเจก ชายและหญิง บุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่กลุ่มคนที่ “ท่าทางเหมือนกัน” หรือ “ทำเหมือนกัน” เพราะท่านบังเอิญไม่ได้แต่งงาน โดยพื้นฐานแล้วนั่นไม่ทำให้ท่านต่างจากคนอื่นๆ เราทุกคนเหมือนกันมากในรูปลักษณ์ภายนอกและการตอบสนองทางอารมณ์ ความสามารถในการคิด หาเหตุผล เศร้าหมอง มีความสุข รัก และเป็นที่รัก

ท่านสำคัญเท่ากับคนอื่นๆ ในแผนของพระบิดาในสวรรค์ และภายใต้พระเมตตาของพระองค์ ไม่มีพรใดซึ่งท่านมีสิทธิ์ได้รับจะถูกระงับไว้ตลอดไป19

ข้าพเจ้าขออนุญาตพูดสักเล็กน้อยกับคนที่ไม่มีโอกาสแต่งงาน ข้าพเจ้ารับรองกับท่านว่าเรารับรู้ความเหงาที่พวกท่านหลายคนรู้สึก ความเหงาเป็นเรื่องขมขื่นและเจ็บปวด ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนเคยรู้สึกอย่างนั้นมาบ้างแล้ว เราส่งใจถึงท่านด้วยความเข้าใจและความรัก …

… ท่านสามารถทำให้ชีวิตช่วงนี้วิเศษสุดได้ ท่านมีวุฒิภาวะ ท่านมีวิจารณญาณ พวกท่านส่วนใหญ่ได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ ท่านมีความเข้มแข็งทางร่างกาย จิตใจ และวิญญาณที่จะพยุง ช่วยเหลือ และให้กำลังใจ

มีคนข้างนอกมากมายต้องการท่าน … ชาร์ตแบตเตอรีทางวิญญาณของท่านให้เต็มอยู่เสมอและจุดตะเกียงของผู้อื่น20

ถึงท่านที่ไม่ได้แต่งงาน … พระผู้เป็นเจ้าประทานพรสวรรค์ให้ท่านไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง พระองค์ประทานความสามารถให้ท่านรับใช้ตามความต้องการของผู้อื่นและเป็นพรแก่ชีวิตพวกเขาด้วยความเมตตาและห่วงใย จงยื่นมือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก …

ให้ความรู้เพิ่มความรู้ ขัดเกลาความคิดและทักษะของท่านในสาขาวิชาที่ท่านเลือก มีโอกาสมากมายให้ท่านหากท่านพร้อมจะใช้โอกาสเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ … อย่ารู้สึกว่าเพราะท่านเป็นโสด พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทอดทิ้งท่าน โลกต้องการท่าน ศาสนจักรต้องการท่าน คนมากมายและอุดมการณ์มากมายต้องการพลัง ปัญญา และพรสวรรค์ของท่าน

จงสวดอ้อนวอน และอย่าสิ้นหวัง … ดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่ท่านสามารถทำได้ พระเจ้าจะประทานคำตอบการสวดอ้อนวอนให้ท่านตามพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์และในช่วงเวลานิรันดร์ของพระองค์21

ถึงท่านที่หย่าร้าง โปรดรู้เถิดว่าเราไม่ได้มองว่าท่านล้มเหลวเพราะชีวิตแต่งงานล้มเหลว … หน้าที่ของเราไม่ใช่ประณาม แต่ให้อภัยและลืม หนุนใจและช่วยเหลือ ในยามที่ท่านรู้สึกหดหู่จงหันไปหาพระเจ้าผู้ตรัสว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก … ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28, 30)

พระเจ้าจะไม่เบือนพระพักตร์หรือทรงปฏิเสธท่าน คำตอบการสวดอ้อนวอนของท่านอาจไม่ยิ่งใหญ่ อาจเข้าใจหรือเห็นค่าได้ไม่ง่าย แต่จะถึงเวลานั้นเมื่อท่านจะรู้ว่าท่านได้รับพร22

5

ความสุขในชีวิตแต่งงานมาจากการแสดงความรักความห่วงใยต่อความผาสุกของคู่ชีวิต

จงบำรุงเลี้ยงและทำให้ชีวิตแต่งงานของท่านดีขึ้น ปกป้องและพยายามรักษาชีวิตแต่งงานให้เป็นปึกแผ่นและสวยงาม … ชีวิตแต่งงานเป็นสัญญา เป็นข้อตกลง เป็นเอกภาพระหว่างชายหญิงภายใต้แผนของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ ชีวิตแต่งงานเปราะบาง เรียกร้องให้บำรุงเลี้ยงและต้องพยายามมาก23

หลังจากจัดการกับสถานการณ์หย่าร้างหลายร้อยรายตลอดหลายปีมานี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการปฏิบัติอย่างหนึ่งจะแก้ไขปัญหาร้ายแรงดังกล่าวได้มากกว่าอย่างอื่นทั้งหมด

ถ้าสามีทุกคนและภรรยาทุกคนจะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้คู่ชีวิตสบายใจและมีความสุข การหย่าร้างจะมีน้อยมาก ถ้าต้องมี จะไม่ได้ยินการโต้เถียง จะไม่มีการกล่าวหาคู่ครอง จะไม่มีการระเบิดอารมณ์โกรธ แต่ความรักและความห่วงใยจะเข้ามาแทนที่การกระทำทารุณกรรมและความใจแคบ …

การแก้ปัญหาชีวิตสมรสส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การหย่าร้าง แต่อยู่ที่การกลับใจและการให้อภัย การแสดงความเมตตาและความห่วงใย พบวิธีแก้ในการใช้กฎทองคำ

ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนักเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวประสานมือกันที่แท่นขณะทำพันธสัญญาต่อพระเจ้าว่าพวกเขาจะให้เกียรติกันและรักกัน ช่างเป็นภาพชวนหดหู่ยิ่งนักเมื่อสองสามเดือนต่อมา หรือสองสามปีต่อมา มีการใช้วาจาหยาบคาย พูดจาไร้น้ำใจและเชือดเฉือน ขึ้นเสียง และกล่าวหาให้เจ็บช้ำน้ำใจ

ต้องไม่เป็นเช่นนั้นพี่น้องที่รักทั้งหลาย เราสามารถเอาชนะองค์ประกอบอันเป็นความใจร้ายและต่ำช้าเหล่านี้ในชีวิตเราได้ (ดู กาลาเทีย 4:9) เราสามารถมองหาและรับรู้ธรรมชาติอันสูงส่งในกันและกัน ซึ่งมีมาถึงเราในฐานะบุตรธิดาของพระบิดาในสวรรค์ เราอยู่ด้วยกันได้ในแบบแผนการแต่งงานที่พระผู้เป็นเจ้าประทานเพื่อทำสิ่งซึ่งเราสามารถทำให้สำเร็จได้หากเราจะฝึกวินัยให้ตนเองและไม่พยายามฝึกวินัยให้คู่ชีวิต24

หญิงและชาย

“จงบำรุงเลี้ยงและทำให้ชีวิตแต่งงานของท่านดีขึ้น ปกป้องและพยายามรักษาชีวิตแต่งงานให้เป็นปึกแผ่นและสวยงาม”

ชีวิตแต่งงานทุกคู่ต้องประสบกับสภาพอากาศที่มีมรสุมเป็นครั้งคราว แต่ด้วยความอดทน ความเคารพกัน และวิญญาณของความอดกลั้น เราสามารถต้านมรสุมเหล่านี้ได้ ไม่ว่าทำความผิดพลาดที่ใด ที่นั่นจะต้องมีการขอโทษ การกลับใจ และการให้อภัย แต่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเต็มใจทำเช่นนั้น …

ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเนื้อแท้ของความสุขในชีวิตแต่งงานอยู่ที่ … ความกังวลห่วงใยความสุขสบายและความผาสุกของคู่ชีวิต การเห็นแก่ตนเป็นใหญ่และการสนองความปรารถนาของตนจะไม่สร้างความไว้วางใจ ความรัก หรือความสุข ความรักกับคุณสมบัติที่เกิดขึ้นพร้อมกันจะผลิดอกเบ่งบานก็ต่อเมื่อมีความไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น25

พวกเราหลายคนต้องเลิกมองหาข้อผิดพลาดและเริ่มมองหาคุณงามความดี … น่าเสียดายที่สตรีบางคนต้องการปรับปรุงแก้ไขสามีตามแบบที่ตนพอใจ สามีบางคนถือว่าตนมีสิทธิ์บังคับภรรยาให้ทำตามมาตรฐานที่ตนคิดว่าดีเลิศ นั่นไม่ได้ผล รังแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด และความเสียใจ

พวกเขาจะต้องเคารพความสนใจของกันและกัน พวกเขาจะต้องให้โอกาสและให้กำลังใจกันพัฒนาและแสดงพรสวรรค์ของตน26

จงแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตที่ท่านเลือก ในแง่ของเวลาและนิรันดร เธอหรือเขาจะเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สุดที่ท่านจะมีตลอดไป เธอหรือเขาจะสมควรได้รับสิ่งดีที่สุดที่อยู่ในตัวท่าน27

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงออกแบบการแต่งงานระหว่างชายกับหญิง “เพื่อความสุขและความมั่นคงของบุตรธิดาพระองค์” (หัวข้อ 1) ความรู้นี้จะมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยาได้อย่างไร สามีภรรยาจะทำให้ชีวิตแต่งงานของพวกเขา “บริสุทธิ์และไร้มลทินเหนือความชั่วร้ายของโลก” ได้อย่างไร

  • พรของการแต่งงานนิรันดร์ในชีวิตนี้และในนิรันดรมีอะไรบ้าง (ดู หัวข้อ 2) ประสบการณ์ใดทำให้ท่านเห็นค่าความสัมพันธ์นิรันดร์มากขึ้น เราจะสอนบุตรธิดาให้รู้ความสำคัญของการแต่งงานนิรันดร์ได้อย่างไร

  • เหตุใดชีวิตแต่งงานจึงต้องเป็น “หุ้นส่วนเท่าเทียมกัน” (ดู หัวข้อ 3) ท่านเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวในหัวข้อ 3 สามีภรรยาจะปลูกฝังความเข้มแข็งแบบนี้ในชีวิตแต่งงานได้อย่างไร

  • คำสัญญาและคำแนะนำของประธานฮิงค์ลีย์ในหัวข้อ 4 จะช่วยคนที่ไม่ได้แต่งงานได้อย่างไร คำสอนในหัวข้อนี้ประยุกต์ใช้กับทุกคนอย่างไร เหตุใดการใช้พรสวรรค์และทักษะของเรารับใช้ผู้อื่นจึงสำคัญ

  • สามีภรรยาสามารถ “บำรุงเลี้ยงและทำให้ชีวิตแต่งงานดีขึ้น” ด้วยวิธีใดบ้าง (ดู หัวข้อ 5) ท่านได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับวิธีที่สามีภรรยาสามารถเอาชนะปัญหาท้าทายและมีความสุขด้วยกันมากขึ้น ท่านเคยเห็นตัวอย่างอะไรบ้าง

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

1 โครินธ์ 11:11; มัทธิว 19:3–6; คพ. 42:22; 132:18–19; โมเสส 2:27–28; 3:18, 21–24

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“เมื่อท่านอุทิศเวลาทุกวันทั้งส่วนตัวและกับครอบครัวเพื่อศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข สันติสุขดังกล่าวไม่ได้มาจากโลกภายนอก แต่มาจากภายในบ้าน ภายในครอบครัว และจากภายในใจของท่านเอง” (ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “ทำให้การใช้ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2014, 93)

อ้างอิง

  1. ใน “สตรีในชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2004, 105.

  2. ใน “At Home with the Hinckleys,” Ensign, Oct. 2003, 22.

  3. ใน เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “President Gordon B. Hinckley: Stalwart and Brave He Stands,” Ensign, June 1995, 10–11.

  4. ใน Glimpses into the Life and Heart of Marjorie Pay Hinckley, ed. Virginia H. Pearce (1999), x.

  5. ใน Glimpses, 184.

  6. Gordon B. Hinckley journal, Apr. 29, 1977.

  7. ใน เกอร์รีย์ อแวนท์, “A Tender Farewell to an Elect Lady,” Church News, Apr. 17, 2004, 4.

  8. “สตรีในชีวิตเรา,” 102.

  9. ใน มาร์จอรี เพย์ ฮิงค์ลีย์, Letters (2004), 264; see also R. Scott Lloyd, “Apostle’s Work Continues beyond Veil,” Church News, July 31, 2004, 3.

  10. “What God Hath Joined Together,” Ensign, May 1991, 71.

  11. “เรื่องที่ข้าพเจ้าทราบ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 106.

  12. “Why These Temples?” Ensign, Oct. 2010, 24; see also Ensign, Aug. 1974, 39–40.

  13. “The Marriage That Endures,” Ensign, July 2003, 6–7; ดู Ensign, May 1974, 24 ด้วย.

  14. “สตรีในชีวิตเรา,” 103.

  15. “Personal Worthiness to Exercise the Priesthood,” Ensign, May 2002, 54.

  16. “I Believe,” Ensign, Aug. 1992, 6.

  17. What God Hath Joined Together,” 74.

  18. “And the Greatest of These Is Love” (Brigham Young University devotional, Feb. 14, 1978), 2–3, speeches.byu.edu.

  19. “To Single Adults,” Ensign, June 1989, 72.

  20. “To Single Adults,” 72–73.

  21. “Live Up to Your Inheritance,” Ensign, Nov. 1983, 82–83.

  22. “To Single Adults,” 74.

  23. “Walking in the Light of the Lord,” Ensign, Nov. 1998, 99.

  24. “สตรีในชีวิตเรา,” 105.

  25. “I Believe,” 5–6.

  26. Cornerstones of a Happy Home (pamphlet, 1984), 5–6.

  27. “Thou Shalt Not Covet,” Ensign, Mar. 1990, 6.