บทที่ 13
สันติสุขและความชื่นบานผ่านการพึ่งพาตนเองทางโลก
“เราสอนการพึ่งพาตนเองเป็นหลักธรรมแห่งชีวิต เราควรหาเลี้ยงตนเองและดูแลความต้องการของตน”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
สมัยเด็ก กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์เรียนรู้หลักธรรมเรื่องการพึ่งพาตนเองขณะทำงานกับพ่อแม่พี่น้องของท่าน ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า
“เราอาศัยอยู่ในบ้านที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ … มีสนามหญ้ากว้างใหญ่ มีต้นไม้หลายต้นที่ผลัดใบหลายล้านใบ และมีงานมากมายมหาศาลให้ทำตลอดเวลา
“… เรามีเตาลูกหนึ่งอยู่ในครัวและเตาอีกลูกอยู่ในห้องอาหาร ต่อมาเราติดตั้งเตาเผา และนั่นวิเศษยิ่ง แต่เตาเผาใช้ถ่านเยอะมาก และไม่มีตัวควบคุมไฟอัตโนมัติ เราต้องใช้พลั่วตักถ่านใส่เตาเผาและนำถ่านมากองเรียงไว้ทุกคืน
“ข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนสำคญยิ่งจากเตาเผาขนาดมหึมาว่าถ้าท่านต้องการให้อุ่นตลอดเวลา ท่านต้องใช้พลั่วตักถ่าน
“คุณพ่อข้าพเจ้ามีความคิดว่าลูกชายควรฝึกทำงาน ทั้งในฤดูร้อนและในฤดูหนาว และด้วยเหตุนี้ท่านจึงซื้อฟาร์มห้าเอเคอร์ [ราว 20,000 ตารางเมตร] ซึ่งในที่สุดก็เพิ่มขึ้นจนมีมากกว่าสามสิบเอเคอร์ เราอาศัยอยู่ที่นั่นในฤดูร้อนและกลับเข้าเมืองเมื่อโรงเรียนเปิดเทอม
“เรามีสวนผลไม้กว้างมาก และต้องลิดกิ่งไม้ทุกฤดูใบไม้ผลิ คุณพ่อพาเราไปดูผู้ชำนาญการจากวิทยาลัยเกษตรสาธิตการลิดกิ่ง เราเรียนรู้ความจริงอันสำคัญยิ่ง—ว่าท่านสามารถกำหนดลักษณะของผลที่ท่านจะเก็บในเดือนกันยายนได้โดยดูจากวิธีที่ท่านลิดกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์”1
เนื่องจากความจริงเหล่านี้เป็นรากฐานส่วนหนึ่งของตัวท่าน ประธานฮิงค์ลีย์จึงมักจะสอนบทเรียนที่ใช้ได้จริงของการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณบ่อยๆ ท่านเป็นพยานถึงพรที่มาจากการทำงานหนัก ท่านกระตุ้นให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายดำเนินชีวิตตามรายได้และเตรียมตนเองให้พร้อมรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากจะสอนหลักธรรมเหล่านี้แล้ว ประธานฮิงค์ลีย์ยังได้ช่วยหาวิธีให้วิสุทธิชนทำตามด้วย ตัวอย่างเช่น ในเดือนเมษายน ปี 2001 ท่านแนะนำกองทุนต่อเนื่องเพื่อการศึกษาซึ่งท่านกล่าวว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า2 ผู้คนสามารถบริจาคเข้ากองทุนผ่านโปรแกรมนี้ที่จะให้เงินกู้ยืมระยะสั้นเพื่อช่วยสมาชิกศาสนจักรที่มีคุณสมบัติตามกำหนด ส่วนใหญ่จะเป็นอดีตผู้สอนศาสนา ให้ได้รับการศึกษาหรือการฝึกอาชีพเพื่อจะมีอาชีพที่ดีต่อไป เมื่อผู้คนคืนเงินกู้เหล่านั้น ศาสนจักรจะรวมเงินดังกล่าวไว้ในกองทุนเพื่อช่วยผู้ขอกู้เงินรุ่นต่อไป กองทุนต่อเนื่องเพื่อการศึกษาได้ช่วยให้สมาชิกหลายหมื่นคนพึ่งพาตนเอง ประธานฮิงค์ลีย์เคยกล่าวว่ากองทุนนี้ให้ “ลำแสงเจิดจ้าของความหวัง”3
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
เมื่อเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตเราได้รับพรตลอดไป
ข้าพเจ้าเชื่อในพระกิตติคุณแห่งการทำงาน ไม่มีสิ่งใดภายใต้ฟ้าสวรรค์แทนที่การลงแรงทำงานให้เกิดผลได้ นี่เป็นขั้นตอนที่ทำให้ฝันเป็นจริง นี่เป็นขั้นตอนที่ภาพความเกียจคร้านกลายเป็นความสำเร็จที่ให้พลังขับเคลื่อน4
การเล่นนิดหน่อยและการพักผ่อนเล็กน้อยเป็นเรื่องดี แต่การทำงานสร้างความแตกต่างในชีวิตของชายหรือหญิง การทำงานให้อาหารเรากิน ให้เสื้อผ้าเราสวมใส่ ให้บ้านเราอยู่อาศัย เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องทำงานด้วยมือที่ชำนาญและมันสมองที่รอบรู้ถ้าเราแต่ละคนและส่วนรวมต้องการเติบโตและรุ่งเรือง5
ข้าพเจ้าค้นพบว่าชีวิตไม่ใช่การสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง ชีวิตที่ดีที่สุดเป็นเรื่องของความดีงามและความประพฤติดีเสมอต้นเสมอปลาย โดยไม่ต้องตีฆ้องร้องป่าวเมื่อทำสิ่งที่ต้องทำ ข้าพเจ้าสังเกตว่าคนเป็นอัจฉริยะไม่ได้สร้างความแตกต่างในโลกนี้ ข้าพเจ้าสังเกตว่าส่วนใหญ่งานของโลกทำโดยชายหญิงที่มีพรสวรรค์ธรรมดาผู้ทำงานในวิธีที่ไม่ธรรมดา6
บุตรธิดาต้องทำงานกับบิดามารดา—ล้างจานกับพวกเขา ถูพื้นกับพวกเขา ตัดหญ้า ลิดกิ่งไม้ใหญ่และไม้พุ่ม ทาสี ซ่อมแซม ทำความสะอาด และทำอีกนับร้อยอย่างที่พวกเขาจะเรียนรู้ว่าการลงแรงทำงานเป็นสิ่งที่ต้องทำจึงจะได้ความสะอาด ความเจริญก้าวหน้า และความรุ่งเรือง7
อัจฉริยภาพยิ่งใหญ่ของศาสนจักรนี้คือการทำงาน ทุกคนทำงาน ท่านไม่เติบโตถ้าไม่ทำงาน ศรัทธา ประจักษ์พยานถึงความจริง เปรียบเสมือนกล้ามเนื้อแขน ถ้าท่านใช้ กล้ามเนื้อจะแข็งแรง ถ้าท่านคล้องผ้าไว้ กล้ามเนื้อจะลีบและอ่อนแรง เราให้ผู้คนทำงาน เราคาดหวังสิ่งยิ่งใหญ่จากพวกเขา สิ่งอัศจรรย์และน่าพิศวงผ่านมาทางพวกเขา พวกเขาทำให้เกิดขึ้น8
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในศาสนจักรนี้ถ้าท่านไม่ทำงาน เปรียบเสมือนรถเข็นล้อเดียว มันไม่ขยับจนกว่าท่านจับแขนสองข้างของรถและดันไปข้างหน้า การทำงานหนักทำให้งานของพระเจ้าก้าวหน้า และหากท่านเรียนรู้ว่าต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต นั่นจะเป็นพรแก่ชีวิตท่านตลอดกาล ข้าพเจ้าหมายถึงทำงานสุดหัวใจ นั่นจะเป็นพรแก่ชีวิตท่านตลอดกาล9
2
เรามีความรับผิดชอบในการช่วยผู้อื่นยกระดับตนเองและพึ่งพาตนเอง
มีภาษิตเก่าแก่กล่าวว่าถ้าท่านให้ปลาชายคนหนึ่ง เขาจะมีอาหารกินหนึ่งวัน แต่ถ้าท่านสอนเขาตกปลา เขาจะมีกินตลอดชีวิต …
ขอพระเจ้าประทานวิสัยทัศน์และความเข้าใจแก่เราในการทำสิ่งเหล่านั้นซึ่งจะช่วยสมาชิกของเราไม่เฉพาะทางวิญญาณเท่านั้นแต่ทางโลกด้วย เรามีภาระผูกพันที่จริงจังมากตกอยู่กับเรา ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธกล่าว … ว่าศาสนาที่ไม่ช่วยมนุษย์ในชีวิตนี้คงจะช่วยเขาได้ไม่มากนักในชีวิตที่จะมาถึง (ดู “The Truth about Mormonism,” Out West magazine, Sept. 1905, 242)
ที่ใดมีความยากไร้แพร่กระจายในหมู่คนของเรา เราต้องทำสุดความสามารถเพื่อช่วยพวกเขายกระดับตนเอง และวางชีวิตพวกเขาบนรากฐานของการพึ่งพาตนเองอันเกิดจากการฝึกฝน การศึกษาเป็นกุญแจไขสู่โอกาส …
ภาระผูกพันที่จริงจังของเราคือ … “ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า” (คพ. 81:5) เราต้องช่วยให้พวกเขาพึ่งพาตนเองและประสบความสำเร็จ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าไม่ประสงค์จะเห็นผู้คนของพระองค์ตกอยู่ในสภาพของความยากไร้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์จะทรงให้คนซื่อสัตย์ได้รับสิ่งดีของแผ่นดินโลก พระองค์ทรงยอมให้เราทำสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยพวกเขา10
ตามที่เราสอน แต่ละคนควรทำทั้งหมดที่ทำได้ด้วยตนเอง เมื่อเขาใช้ทรัพย์สินเงินทองของเขาจนหมด เขาควรหันไปขอให้ครอบครัวช่วยเหลือเขา เมื่อครอบครัวช่วยไม่ได้ ศาสนจักรจะเข้ามาช่วย เมื่อศาสนจักรเข้ามาช่วย สิ่งที่เราปรารถนามากคือดูแลความต้องการเร่งด่วนของเขาก่อน จากนั้นจึงช่วยเขาเท่าที่เขาต้องการให้ช่วย แต่ในระหว่างนั้นจะช่วยเขาฝึกฝน มีงานอาชีพที่มั่นคง หาวิธียืนด้วยลำแข้งของตนเองอีกครั้ง นั่นเป็นวัตถุประสงค์โดยรวมของโปรแกรมสวัสดิการอันยิ่งใหญ่ [ของศาสนจักร]11
คนเหล่านั้นผู้มีส่วนร่วมในฐานะผู้รับของโปรแกรมนี้ต่างรอดพ้น “คำสาปแช่งของความเกียจคร้านและความชั่วร้ายของการได้เปล่า” ศักดิ์ศรีและความเคารพตนเองของพวกเขายังคงอยู่ ชายหญิงมากมายเหล่านั้นที่ไม่ได้เป็นผู้รับโดยตรง แต่มีส่วนในการปลูกและแปรรูปอาหาร ในการทำงานสารพัดที่เกี่ยวข้อง ต่างแสดงประจักษ์พยานถึงปีติที่พบในการรับใช้ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ผู้รู้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่ซ่อนอยู่ในโปรแกรมนี้และผลลัพธ์มากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นในนั้นไม่มีใครสงสัยวิญญาณของการเปิดเผยที่ทำให้เกิดโปรแกรมนี้และได้ขยายประสิทธิผลต่อเนื่องสืบไป12
เราจะทำงานนี้ต่อไป จะมีความต้องการเสมอ ความหิวโหย ความขาดแคลน และเภทภัยทั้งหลายจะอยู่กับเราตลอด และมักจะมีคนที่ใจพวกเขาสัมผัสแสงสว่างของพระกิตติคุณผู้เต็มใจรับใช้ ทำงาน และพยุงคนขัดสนของแผ่นดินโลก
เราได้ประสานความร่วมมือเพื่อก่อตั้งกองทุนต่อเนื่องเพื่อการศึกษา กองทุนนี้เกิดขึ้นเพราะเงินบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้อของท่าน … เงินกู้ยืมขยายผลการศึกษาให้ชายหนุ่มหญิงสาวที่มีค่าควร หาไม่แล้วพวกเขาคงจะติดกับดักของความยากจนข้นแค้นที่บิดามารดาและบรรพบุรุษของพวกเขารู้จักมาหลายชั่วอายุ …
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำทางงานนี้ กิจกรรมสวัสดิการเป็นกิจกรรมฝ่ายโลก ออกมาในรูปของข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าห่มและเต็นท์ เครื่องนุ่งห่มและเวชภัณฑ์ งานอาชีพและการศึกษาเพื่อให้มีอาชีพดีขึ้น แต่งานฝ่ายโลกดังกล่าวเป็นเพียงสิ่งภายนอกที่แสดงให้เห็นวิญญาณภายใน—พระวิญญาณของพระเจ้าผู้ที่กล่าวกันว่าพระองค์ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” (กิจการของอัครทูต 10:38)13
3
ศาสดาพยากรณ์กระตุ้นให้เราเตรียมตนเองทางวิญญาณและทางโลกเพื่อพร้อมรับเภทภัยทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น
เราสอนการพึ่งพาตนเองเป็นหลักธรรมแห่งชีวิต สอนว่าเราควรหาเลี้ยงชีพและดูแลความจำเป็นของตน ด้วยเหตุนี้เราจึงกระตุ้นผู้คนของเราให้มีบางอย่าง ให้วางแผนล่วงหน้า มี … อาหารไม่ขาดมือ และเปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้ใช้ยามขาดแคลนหากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ เภทภัยทั้งหลายเกิดขึ้นกับผู้คนบางครั้งอย่างน้อยก็ในเวลาที่นึกไม่ถึง—ว่างงาน เจ็บป่วย และเรื่องทำนองเดียวกัน14
โลกเก่าใบนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับภัยพิบัติและเภทภัยทั้งหลาย พวกเราที่อ่านและเชื่อพระคัมภีร์รู้อยู่แก่ใจเรื่องคำเตือนของศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับเภทภัยที่เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้น …
ถ้อยคำของการเปิดเผยที่พบในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 88 พยากรณ์ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากประจักษ์พยานของเหล่าเอ็ลเดอร์ พระเจ้าตรัสดังนี้
“เพราะหลังจากประจักษ์พยานของเจ้า ประจักษ์พยานของแผ่นดินไหวก็จะตามมา, ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงครวญคราง ณ ใจกลางของนาง, และมนุษย์จะล้มลงสู่พื้นดินและจะไม่สามารถยืนได้.
“และประจักษ์พยานของเสียงฟ้าคำรนคำรามก็ตามมาด้วย, และเสียงสายฟ้าฟาด, และเสียงพายุฝนฟ้าคะนอง, และเสียงคลื่นแห่งทะเลโหมกระหน่ำถั่งโถมขึ้นเหนือฝั่งของมัน.
“และสิ่งทั้งปวงจะอยู่ในความโกลาหล; และแน่นอน, ใจมนุษย์จะท้อแท้; เพราะความกลัวจะมาสู่ผู้คนทั้งปวง” (คพ. 88:89–91) …
… ในอดีตมีภัยพิบัติฉันใด เราคาดว่าในอนาคตจะมีมากขึ้นฉันนั้น เราทำอะไร
บางคนพูดว่าฝนไม่ตกเมื่อโนอาห์ต่อเรือ แต่เขาก็ต่อเรือ และฝนตก
พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าพร้อมเจ้าจะไม่กลัว” (คพ. 38:30)
การเตรียมที่สำคัญที่สุดอธิบายไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญาเช่นกัน ในนั้นกล่าวว่า “ดังนั้น, เจ้าจงยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, และไม่หวั่นไหว, จนวันของพระเจ้ามาถึง” (คพ. 87:8) …
เราสามารถดำเนินชีวิตจนเราสามารถร้องทูลพระเจ้าเพื่อขอความคุ้มครองและการนำทาง นี่เป็นความสำคัญอันดับแรก เราจะคาดหวังความช่วยเหลือจากพระองค์ไม่ได้ถ้าเราไม่เต็มใจรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราในศาสนจักรนี้มีหลักฐานยืนยันบทลงโทษสำหรับการไม่เชื่อฟังมากพอในตัวอย่างของทั้งประชาชาติชาวเจเร็ดและประชาชาติชาวนีไฟ ทั้งสองกลุ่มออกจากรัศมีภาพเข้าสู่ความพินาศสิ้นเพราะความชั่วร้าย
เรารู้แน่นอนว่าฝนตกบนคนชอบธรรมและคนอธรรม (ดู มัทธิว 5:45) แต่ถึงแม้คนชอบธรรมสิ้นชีวิตพวกเขาก็ไม่หายไปไหน แต่รอดผ่านการชดใช้ของพระผู้ไถ่ เปาโลเขียนถึงชาวโรมันว่า “ถ้าเรามีชีวิตก็เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตายก็เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” (โรม 14:8) …
ผู้คนของเรา … ได้รับคำแนะนำและการกระตุ้นให้เตรียมพร้อมเช่นนั้นเพื่อจะอยู่รอดยามเกิดภัยพิบัติ
เราสามารถเก็บน้ำ อาหารหลัก ยารักษาโรค และเครื่องนุ่มหุ่มไว้ให้เราอุ่น เราควรมีเงินออมเล็กน้อยในกรณีขัดสน15
เรามีโปรแกรมสวัสดิการที่ยอดเยี่ยมพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้เก็บสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการสะสมธัญพืชในหลายพื้นที่ นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เราทำ แต่สถานที่เก็บอาหารได้ดีที่สุดอยู่ในบ้านของเรา พร้อมกับเงินออมเล็กน้อย โปรแกรมสวัสดิการที่ดีที่สุดคือโปรแกรมสวัสดิการของเราเอง ข้าวโพดห้าหกกระป๋องในบ้านดีกว่าข้าวโพดหนึ่งบุชเชลในฉางสวัสดิการ …
เราเริ่มสะสมทีละเล็กทีละน้อยได้ เราสามารถเริ่มสะสมอาหารไว้หนึ่งสัปดาห์และค่อยๆ เพิ่มเป็นหนึ่งเดือน จากนั้นก็เป็นสามเดือน ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงอาหารที่ครอบคลุมความต้องการพื้นฐาน เท่าที่ทุกท่านทราบ คำแนะนำนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าหลายคนรู้สึกว่าการเก็บอาหารระยะยาวเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงจนพวกเขาไม่พยายามทำเลย
จงเริ่มทีละน้อย … และค่อยๆ สะสมเพิ่มจนบรรลุเป้าหมายที่สมเหตุสมผล เก็บออมเงินเล็กน้อยเป็นประจำ และท่านจะประหลาดใจกับเงินที่สะสมได้16
4
เรายืนอยู่บนลำแข้งของตนเอง เราเป็นอิสระเมื่อเราหลีกเลี่ยงหนี้สินเท่าที่อยู่ในวิสัยจะทำได้และเก็บเงินไว้ยามขัดสน
เราได้รับคำแนะนำครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับการพึ่งพาตนเอง หนี้สิน และความมัธยัสถ์ คนของเราจำนวนมากเป็นหนี้ก้อนโตในสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย … ข้าพเจ้ากระตุ้นท่านในฐานะสมาชิกของศาสนจักรนี้ให้ปลอดหนี้และมีเก็บไว้เล็กน้อยเผื่อวันขาดแคลน17
ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้บ้านของเราอยู่ในระเบียบ …
ประธานเจ. รูเบ็น คลาร์ก จูเนียร์ [พูด] ในการประชุมฐานะปุโรหิตของการประชุมใหญ่ปี 1938 ว่า “ทันทีที่เป็นหนี้ ดอกเบี้ยเป็นเหมือนเงาตามตัวท่านทุกนาทีทั้งวันคืน ท่านเลี่ยงไม่พ้นหรือหลบไม่ได้ ท่านเมินเฉยไม่ได้ ดอกเบี้ยไม่ยอมตามคำอ้อนวอน คำขอร้อง หรือคำสั่ง และเมื่อท่านเข้าไปในทางของมันหรือข้ามวิถีของมันหรือไม่ทำตามความต้องการของมัน มันจะบดขยี้ท่าน” (ใน Conference Report, Apr. 1938, 103)
ข้าพเจ้าทราบดีว่าเราอาจจำเป็นต้องยืมเงินซื้อบ้าน แต่ขอให้เราซื้อบ้านที่เราจ่ายไหวเพื่อลดค่าใช้จ่ายซึ่งจะวนเวียนอยู่ในสมองเราตลอดเวลาอย่างไร้เมตตาหรือการผ่อนผัน …
พระเจ้าตรัสเรื่องหนี้สินตั้งแต่เริ่มต้นศาสนจักร พระองค์ตรัสกับมาร์ติน แฮร์ริสผ่านการเปิดเผยว่า “จงชำระหนี้ที่เจ้าทำสัญญากับผู้พิมพ์. จงปลดเปลื้องตนจากพันธะ” (คพ. 19:35)
ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์พูดย้ำเรื่องนี้ … ท่านกล่าวว่า “หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะนำสันติสุขและความชื่นบานมาสู่ใจมนุษย์ และครอบครัว สิ่งนั้นคือการดำเนินชีวิตตามรายได้ของเรา และหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะบีบคั้น ทำให้ท้อแท้หมดกำลังใจ สิ่งนั้นคือการมีหนี้สินและพันธะที่ไม่มีวันไถ่ถอน” (Gospel Standards, comp. G. Homer Durham [1941], 111)
เรากำลังนำข่าวสารเรื่องการพึ่งพาตนเองไปทั่วศาสนจักร การพึ่งพาตนเองจะเกิดขึ้นไม่ได้เมื่อครัวเรือนมีหนี้สินล้นพ้นตัว คนเราจะไม่มีอิสรภาพหรือเสรีภาพจากพันธนาการเมื่อต้องมีพันธะกับผู้อื่น
ในการบริหารกิจจานุกิจของศาสนจักร เราพยายามเป็นแบบอย่าง ในเรื่องของนโยบายเราทำตามหลักปฏิบัติของการเก็บรายได้ศาสนจักรปีละสิบเปอร์เซ็นต์ไว้เผื่อวันที่เราขัดสน
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่สามารถบอกได้ว่าศาสนจักรดำเนินงานทั้งหมด ดำเนินภาระหน้าที่ทั้งหมด และสามารถดำเนินงานในทุกแผนกได้โดยไม่ต้องยืมเงิน ถ้าเราไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้ เราจะตัดทอนโปรแกรมของเรา เราจะลดรายจ่ายเพื่อให้พอกับรายรับ เราจะไม่ยืม …
นับเป็นความรู้สึกที่วิเศษยิ่งถ้าเราปลอดหนี้ มีเงินเก็บเล็กน้อยเผื่อไว้ยามคับขันที่สามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อจำเป็น …
ข้าพเจ้าขอให้ท่าน … ตรวจสอบสภาพการเงินของท่าน ข้าพเจ้าขอให้ท่านใช้จ่ายอย่างประหยัด สร้างวินัยในการจับจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สินจนถึงที่สุด จงชำระหนี้ให้เร็วที่สุด และปลดเปลื้องตัวท่านจากพันธะ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของพระกิตติคุณฝ่ายโลกที่เราเชื่อ ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน … ในการจัดบ้านท่านให้อยู่ในระเบียบ หากท่านชำระหนี้แล้วและมีเงินสำรอง แม้เพียงเล็กน้อย ท่านและครอบครัวจะรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นและจะมีความสงบสุขมากขึ้นในใจท่าน18
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่า “ไม่มีสิ่งใดแทนที่ … การลงแรงทำงานให้เกิดผล” (หัวข้อ 1) การทำงานเป็นพรในชีวิตท่านอย่างไร ท่านได้เรียนรู้อะไรผ่านการทำงานหนัก บิดามารดาจะช่วยบุตรธิดาเรียนรู้การทำงานได้อย่างไร
-
เรามีความรับผิดชอบอะไรบ้างต่อคนที่มีความจำเป็นทางโลก (ดู หัวข้อ 2) เราจะช่วยให้ผู้อื่นพึ่งพาตนเองได้อย่างไร ชีวิตท่านได้รับอิทธิพลจากการรับใช้ที่ท่านให้และรับอย่างไร
-
ทบทวนการเตรียมที่ประธานฮิงค์ลีย์แนะนำให้เราทำเผื่อยามขัดสน (ดู หัวข้อ 3) ท่านเคยเห็นความสำคัญของการเตรียมเผื่อยามขัดสนเมื่อใด เราจะทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรได้บ้างเพื่อเตรียมตัวเราให้พร้อม
-
ทบทวนคำแนะนำของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับหนี้สินและความมัธยัสถ์ (ดู หัวข้อ 4) เหตุใดการมีวินัยในการใช้เงินจึงสำคัญ หนี้สินจะส่งผลต่อเราทางโลกและทางวิญญาณได้อย่างไร บิดามารดาจะสอนบุตรธิดาให้ใช้เงินอย่างฉลาดได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
1 เธสะโลนิกา 4:11–12; คพ. 1:11–13; 78:13–14; 104:13–18; โมเสส 5:1
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“จงระวังอย่าจบการสนทนาที่ดีเร็วเกินไปเพื่อจะได้นำเสนอเนื้อหาทั้งหมดที่ท่านเตรียมไว้ แม้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด แต่สำคัญกว่าที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกถึงอิทธิพลของพระวิญญาณ แก้ไขปัญหาของเขา เพิ่มความเข้าใจในพระกิตติคุณ และผูกมัดตนมากขึ้นที่จะรักษาพระบัญญัติ” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 64)