บทที่ 9
ของประทานอันล้ำค่าของประจักษ์พยาน
“เราพูดคนละภาษา เราดำเนินชีวิตภายใต้สภาวการณ์หลากหลาย แต่ในใจเราแต่ละคนมีประจักษ์พยานเหมือนกัน”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
“ครั้งแรกสุดที่ข้าพเจ้าจำความรู้สึกทางวิญญาณได้” ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กล่าว “คือเมื่อข้าพเจ้าอายุราวห้าขวบ ยังเด็กมาก ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะปวดหู … คุณแม่เตรียมเกลือปรุงอาหารถุงหนึ่งและผิงไว้บนเตาให้อุ่น คุณพ่อวางมือบนศีรษะข้าพเจ้าอย่างเบามือและให้พรโดยใช้สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ในพระนามของพระเยซูคริสต์หยุดยั้งความเจ็บปวดและความป่วยไข้ จากนั้นท่านดึงข้าพเจ้าเข้าไปในวงแขนของท่านอย่างนุ่มนวลและประคบถุงเกลืออุ่นๆ ที่หูข้าพเจ้า ความเจ็บปวดทุเลาและหายไป ข้าพเจ้าหลับอยู่ในอ้อมกอดที่ปลอดภัยของคุณพ่อ ขณะหลับอยู่นั้น คำให้พรของท่านวนเวียนอยู่ในความคิดข้าพเจ้า นั่นเป็นความทรงจำแรกสุดที่ข้าพเจ้ามีต่อการใช้สิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตในพระนามของพระเจ้า
“ต่อมาเมื่อเป็นเยาวชน ข้าพเจ้ากับน้องชายนอนหลับอยู่ในห้องนอนที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว … ก่อนล้มตัวลงบนเตียงอุ่นๆ เราคุกเข่าสวดอ้อนวอน เราแสดงความสำนึกคุณอย่างเรียบง่าย … ข้าพเจ้าจำได้ว่ากระโดดขึ้นเตียงหลังกล่าวเอเมน ดึงผ้ามาห่มถึงคอ และคิดถึงสิ่งที่เพิ่งพูดกับพระบิดาในสวรรค์ในพระนามของพระบุตร ข้าพเจ้าไม่ได้มีความรู้มากมายในพระกิตติคุณ แต่มีสันติสุขและความมั่นใจบางอย่างอยู่ในการสื่อสารกับสวรรค์ในพระเจ้าพระเยซูและโดยผ่านพระองค์ …
“ประจักษ์พยานนั้นเติบโตในใจข้าพเจ้าสมัยเป็นผู้สอนศาสนาขณะอ่านพันธสัญญาใหม่และพระคัมภีร์มอรมอน ซึ่งกล่าวคำพยานเพิ่มเติมถึงพระองค์ ความรู้ดังกล่าวกลายเป็นรากฐานของชีวิตข้าพเจ้า ตั้งอยู่บนฐานอันมั่นคงของคำสวดอ้อนวอนที่ได้รับคำตอบในวัยเด็ก นับจากนั้นเป็นต้นมาศรัทธาของข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมาก ข้าพเจ้ากลายเป็นอัครสาวกของพระองค์ ได้รับแต่งตั้งให้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์และสอนพระวจนะของพระองค์ ข้าพเจ้ากลายเป็นพยานของพระองค์ต่อโลก”1
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
ประจักษ์พยานเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของศาสนจักร เป็นบ่อเกิดของศรัทธาและความแข็งขัน
เรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่แผ่ขยายไปในโลกกว้างใบนี้ เราพูดคนละภาษา เราดำเนินชีวิตภายใต้สภาวการณ์หลากหลาย แต่ในใจเราแต่ละคนมีประจักษ์พยานเหมือนกัน ท่านและข้าพเจ้าต่างรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และทรงกุมหางเสือของงานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ของพระองค์ เรารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเราผู้ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรนี้ซึ่งมีพระนามของพระองค์ เรารู้ว่าโจเซฟ สมิธเคยเป็นและยังคงเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยืนเป็นหัวหน้าของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลานี้ เรารู้ว่าฐานะปุโรหิตได้รับการฟื้นฟูบนศีรษะท่านและมาถึงเราในสมัยนี้ในสายอำนาจที่ไม่ขาดตอน เรารู้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานแท้จริงของการดำรงอยู่จริงและความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าพระเยซูคริสต์2
สิ่งนี้ซึ่งเราเรียกว่าประจักษ์พยานเป็นพลังยิ่งใหญ่ของศาสนจักร เป็นบ่อเกิดของศรัทธาและความแข็งขัน … มีจริงและทรงพลังเท่ากับพลังอื่นๆ บนแผ่นดินโลก พระเจ้าทรงพรรณนาถึงพลังนี้เมื่อตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” (ยอห์น 3:8) สิ่งนี้ซึ่งเราเรียกว่าประจักษ์พยานให้คำจำกัดความได้ยาก แต่ผลของสิ่งนี้ประจักษ์ชัดเจน นั่นคือพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กำลังเป็นพยานผ่านเรา3
2
ประจักษ์พยานเป็นเสียงกระตุ้นเบาๆ ที่ผลักดันเราขณะดำเนินชีวิตในศรัทธาและผลักดันเราให้กระทำ
ประจักษ์พยานส่วนตัวเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนการดำเนินชีวิตของผู้คนเมื่อพวกเขาเข้ามาในศาสนจักร เป็นส่วนประกอบที่จูงใจสมาชิกให้ละทิ้งทั้งหมดในการรับใช้พระเจ้า เป็นเสียงกระตุ้นเบาๆ ที่ผลักดันคนเหล่านั้นผู้ดำเนินชีวิตในศรัทธาไปจนถึงวันเวลาสุดท้ายของชีวิตพวกเขาโดยไม่หยุดชะงัก
เป็นสิ่งลี้ลับและน่าพิศวง เป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้ามอบให้มนุษย์ ประจักษ์พยานส่วนตัวสำคัญกว่าความมั่งคั่งหรือความยากจนเมื่อคนๆ หนึ่งได้รับเรียกให้รับใช้ ประจักษ์พยานนี้ที่มีอยู่ในใจผู้คนของเราจูงใจพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ ประจักษ์พยานนี้มีอยู่ในคนอายุน้อยและคนอายุมาก มีอยู่ในนักเรียนเซมินารี ในผู้สอนศาสนา ในอธิการและประธานสเตค ในประธานคณะเผยแผ่ ในพี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์ และในเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ทุกท่าน เราได้ยินประจักษ์พยานนี้จากคนที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ นอกเหนือจากการเป็นสมาชิก ประจักษ์พยานเป็นเนื้อแท้ของงานนี้ เป็นสิ่งที่กำลังทำให้งานของพระเจ้าก้าวหน้าไปทั่วโลก ผลักดันให้กระทำ เรียกร้องให้เราทำสิ่งที่เราได้รับการขอให้ทำ มาพร้อมกับความเชื่อมั่นว่าชีวิตมีจุดประสงค์ บางสิ่งมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่น เราอยู่ระหว่างการเดินทางนิรันดร์ และเราสามารถตอบพระผู้เป็นเจ้าได้ …
ส่วนประกอบนี้ที่เปราะบางและอ่อนแรงในตอนแรกจะนำผู้สนใจทุกคนไปสู่การเปลี่ยนใจเลื่อมใส ผลักดันผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนให้ไปสู่ความมั่นคงในศรัทธา …
ไม่ว่าจะจัดตั้งศาสนจักรที่ใด ผู้คนรู้สึกถึงพลังอำนาจของศาสนจักรได้ เรายืนด้วยเท้าของเราและกล่าวว่าเรารู้ … ความจริงอันเรียบง่ายคือเรารู้ แน่นอน ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซู ทรงเป็น พระคริสต์ และนี่เป็นอุดมการณ์และอาณาจักรของพระองค์ ถ้อยคำนั้นเรียบง่าย คำพูดมาจากใจ ไม่ว่าจะจัดตั้งศาสนจักรที่ใด ไม่ว่าจะมีผู้สอนศาสนาสอนพระกิตติคุณที่ใด ไม่ว่าจะมีสมาชิกแบ่งปันความเชื่อของพวกเขาที่ใด ประจักษ์พยานบังเกิดผล
ประจักษ์พยานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหักล้างได้ ฝ่ายตรงข้ามอาจอ้างพระคัมภีร์และแย้งหลักคำสอนไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขาฉลาดและโน้มน้าวเก่ง แต่เมื่อคนหนึ่งพูดว่า “ฉันรู้” จะไม่มีการโต้แย้งอีกต่อไป อาจมีบ้างที่ไม่ยอมรับ แต่ใครเลยจะสามารถหักล้างหรือปฏิเสธเสียงแผ่วเบาจากจิตวิญญาณภายในที่กำลังพูดด้วยความเชื่อมั่นได้4
“แสงสว่างในชีวิตเรา”
[เดวิด คาสตาเนดา] โตมาซาภรรยาของเขา กับลูกๆ อาศัยอยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ที่ค่อนข้างทรุดโทรมและแห้งแล้งแห่งหนึ่งใกล้โตร์เรออน [ในเม็กซิโก] พวกเขาเป็นเจ้าของไก่ 30 ตัว หมู 2 ตัว กับม้าผอมๆ 1 ตัว ไก่ออกไข่ให้พวกเขาไม่กี่ฟองและมีรายได้ไม่กี่เปโซ พวกเขามีชีวิตอยู่ในความยากไร้ จากนั้นผู้สอนศาสนาแวะเยี่ยมพวกเขา ซิสเตอร์คาสตาเนดากล่าวว่า “เอ็ลเดอร์นำเอาม่านบังตาเราออกไป และนำแสงสว่างเข้ามาในชีวิตเรา เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าจนกระทั่งพวกเขามา”
เธอเคยเรียนหนังสือสองปี แต่สามีเธอไม่ได้เรียน เอ็ลเดอร์สอนพวกเขา และในที่สุดพวกเขารับบัพติศมา … พวกเขาสร้างธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองทีละน้อยซึ่งบิดากับบุตรชายห้าคนของเขาทำธุรกิจนี้ด้วยกัน พวกเขาจ่ายส่วนสิบด้วยศรัทธาอันเรียบง่าย พวกเขาวางใจในพระเจ้า พวกเขาดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ พวกเขารับใช้ไม่ว่าจะได้รับเรียกให้ทำอะไร บุตรชายสี่คนและบุตรสาวสามคนเป็นผู้สอนศาสนา … พวกเขาถูกนักวิจารณ์พูดเสียดสี คำตอบของพวกเขาคือประจักษ์พยานถึงเดชานุภาพของพระเจ้าในชีวิตพวกเขา
ครอบครัวและมิตรสหายของพวกเขาประมาณ 200 คนเข้าร่วมศาสนจักรเพราะอิทธิพลของพวกเขา บุตรชายหญิง 30 กว่าคนของครอบครัวและเพื่อนๆ ได้รับใช้งานเผยแผ่ พวกเขาบริจาคที่ดินซึ่งเวลานี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งหนึ่ง
เด็กๆ ซึ่งเวลานี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กับพ่อแม่ของพวกเขาผลัดกันไปทำงานพระวิหารในเม็กซิโกซิตีทุกเดือน พวกเขายืนเป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิตถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของงานนี้ของพระเจ้าเพื่อยกระดับและเปลี่ยนผู้คน พวกเขาเป็นแบบฉบับของคนหลายต่อหลายพันคนทั่วโลกผู้ประสบปาฏิหาริย์ตามความเชื่อของชาวมอรมอนอันเป็นประจักษ์พยานยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของงานนี้ในชีวิตพวกเขา5
“พระกิตติคุณเป็นความจริงไม่ใช่หรือครับ แล้วอะไรจะสำคัญอีกเล่า”
ข้าพเจ้าพบทหารเรือนายหนึ่งจากประเทศห่างไกล เขาเป็นคนหนุ่มฉลาดหลักแหลมที่ถูกส่งมาสหรัฐเพื่อรับการฝึกขั้นสูง เพื่อนร่วมงานบางคนของเขาในกองทัพเรือสหรัฐที่ความประพฤติดึงดูดใจเขาได้แบ่งปันความเชื่อทางศาสนาตามคำขอของเขา เขาไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาสนใจ คนเหล่านั้นบอกเขาเรื่องพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระเยซูคริสต์ ผู้ประสูติในเบธเลเฮม ผู้พลีพระชนม์ชีพเพื่อมวลมนุษยชาติ คนเหล่านั้นบอกเขาเรื่องการปรากฏของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์และพระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์ต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ พวกเขาพูดถึงศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบัน พวกเขาสอนพระกิตติคุณของพระอาจารย์ พระวิญญาณทรงสัมผัสใจเขา และเขารับบัพติศมา
มีคนแนะนำเขาให้ข้าพเจ้ารู้จักก่อนที่เขาจะกลับไปประเทศบ้านเกิด เราพูดถึงเรื่องเหล่านี้และข้าพเจ้าพูดต่อจากนั้นว่า “คนของคุณไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณเป็นชาวคริสต์กลับบ้าน และพิเศษกว่านั้นคือเป็นชาวคริสต์มอรมอน”
สีหน้าเขาหม่นหมอง และตอบว่า “ครอบครัวผมจะผิดหวังแน่นอน พวกเขาอาจไล่ผมออกจากบ้านและถือว่าผมตายแล้ว ส่วนอนาคตและงานอาชีพของผม ผมอาจจะถูกตัดโอกาสหมด”
ข้าพเจ้าถามว่า “คุณยอมจ่ายแพงมากขนาดนั้นเพื่อพระกิตติคุณหรือ”
นัยน์ตาสีเข้มของเขามีน้ำตาคลอแต่ส่องประกายแวววาวจากผิวหน้าสีน้ำตาลที่หล่อเหลาของเขาขณะตอบว่า “พระกิตติคุณเป็นความจริงไม่ใช่หรือครับ”
ช่างน่าอายที่ข้าพเจ้าถามไปแบบนั้น ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช่ พระกิตติคุณเป็นความจริง”
เขาตอบกลับมาว่า “แล้วอะไรจะสำคัญอีกเล่า”
นี่เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าต้องการฝากไว้กับท่าน “พระกิตติคุณเป็นความจริงไม่ใช่หรือครับ แล้วอะไรจะสำคัญอีกเล่า”6
ทัศนะใหม่เกี่ยวกับชีวิต
ข้าพเจ้าเคยฟังประสบการณ์ของวิศวกรคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมศาสนจักร ผู้สอนศาสนาแวะมาที่บ้านของเขาและภรรยาเขาเชิญผู้สอนศาสนาเข้าบ้าน เธอตอบรับข่าวสารของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น ส่วนเขารู้สึกว่าตนกำลังถูกบังคับ ค่ำวันหนึ่งเธอบอกว่าเธอต้องการรับบัพติศมา เขาโมโหขึ้นมาทันที เธอไม่รู้หรือว่านี่จะหมายถึงอะไร นี่จะหมายถึงเวลา นี่จะหมายถึงการจ่ายส่วนสิบ นี่จะหมายถึงการยอมทิ้งเพื่อน นี่จะหมายถึงการไม่สูบบุหรี่อีก เขารีบสวมเสื้อนอก ปิดประตูดังปัง และเดินออกไปในคืนนั้น เขาเดินไปตามท้องถนน ก่นด่าภรรยา ก่นด่าผู้สอนศาสนา ก่นด่าตัวเองที่ยอมให้พวกเขาสอน พอเหนื่อยมากขึ้นความโกรธก็คลายลง และวิญญาณของการสวดอ้อนวอนเข้ามาในใจเขา เขาสวดอ้อนวอนขณะเดิน เขาวิงวอนพระผู้เป็นเจ้าขอคำตอบสำหรับคำถามของเขา จากนั้นความรู้สึกชัดเจนและไม่คลุมเครือจึงเกิดขึ้นประหนึ่งเสียงนั้นพูดเป็นคำว่า “นั่นจริง”
“นั่นจริง” เขาพูดกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า “นั่นจริง” สันติสุขเข้ามาในใจเขา ขณะเดินกลับบ้าน ข้อจำกัด ข้อเรียกร้อง และข้อกำหนดที่ทำให้เขาโกรธจัดเริ่มเห็นเป็นโอกาส เมื่อเขาเปิดประตู เขาพบภรรยากำลังคุกเข่าสวดอ้อนวอน
… เขาเล่าเรื่องนี้ต่อหน้าผู้เข้าร่วมประชุม เขาพูดถึงความยินดีที่เข้ามาในชีวิตพวกเขา ส่วนสิบไม่ใช่ปัญหา การแบ่งทรัพย์สินเงินทองของพวกเขาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทานทุกอย่างให้พวกเขาดูเหมือนจะไม่มากพอ เวลาสำหรับการรับใช้ไม่ใช่ปัญหา เรื่องนี้เรียกร้องแค่จัดเวลาของสัปดาห์ให้รอบคอบสักหน่อย ความรับผิดชอบไม่ใช่ปัญหา ความรับผิดชอบทำให้เติบโตและมีทัศนะใหม่เกี่ยวกับชีวิต ต่อจากนั้นชายผู้มีปัญญาและการฝึกฝนคนนี้ วิศวกรคนนี้ที่รับมือกับข้อเท็จจริงของโลกที่เราอาศัยอยู่จนชิน ได้แสดงประจักษ์พยานอย่างจริงจังด้วยน้ำตาคลอหน่วยเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ที่เข้ามาในชีวิตเขา7
“สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตดิฉัน”
หลายปีก่อนหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมและมีการศึกษาสูงพูดในเมืองเบอร์ชเตนกาเดน เยอรมนีต่อที่ประชุมของบุคลากรในกองทัพผู้เป็นสมาชิกของศาสนจักร ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นและได้ยินเธอ เธอเป็นพันตรีในกองทัพ เป็นแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความนับถืออย่างสูงในวงการของเธอ เธอกล่าวว่า
“ดิฉันต้องการรับใช้พระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก ดิฉันพยายามแล้วแต่ไม่พบพระองค์ ปาฏิหาริย์ของทั้งหมดคือพระองค์ทรงพบดิฉัน บ่ายวันเสาร์วันหนึ่งในเดือนกันยายนปี 1969 ดิฉันอยู่ที่บ้านในเมืองเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย และได้ยินเสียงกริ่งประตูบ้าน ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ตรงนั้น ใส่สูท สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็กไท ผมของพวกเขาเรียบแปล้ ดิฉันประทับใจพวกเขาจนพูดว่า ‘ดิฉันไม่รู้ว่าพวกคุณขายอะไร แต่ดิฉันจะซื้อ’ ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดว่า ‘เราไม่ได้ขายของครับ เราเป็นผู้สอนศาสนาของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราอยากคุยกับคุณ’ ดิฉันเชิญพวกเขาเข้ามาในบ้าน และพวกเขาพูดเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขา
“นี่เป็นจุดเริ่มต้นของประจักษ์พยานของดิฉัน ดิฉันขอบพระทัยเกินกว่าจะกล่าวสำหรับสิทธิพิเศษและเกียรติของการเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ปีติและสันติสุขที่พระกิตติคุณอันน่ายินดีนี้นำเข้ามาในใจดิฉันเป็นสวรรค์บนแผ่นดินโลก ประจักษ์พยานของดิฉันเกี่ยวกับงานนี้เป็นของล้ำค่าที่สุดในชีวิต ของขวัญจากพระบิดาบนสวรรค์ ซึ่งดิฉันจะขอบพระทัยไปชั่วนิรันดร์”8
เช่นเดียวกับหลายแสนคนในหลายประเทศ—ชายหญิงผู้มีความสามารถและได้รับการฝึกฝน นักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ คนดื้อรั้น [คน] ที่ทำสิ่งต่างๆ ในงานของโลก ผู้มีพยานเงียบๆ เผาไหม้ในใจพวกเขาว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูคือพระคริสต์ งานนี้ศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกเพื่อเป็นพรแก่ทุกคนที่่จะรับโอกาสนี้9
3
เราแต่ละคนสามารถมีประจักษ์พยานถึงการดำรงอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรที่รักของพระองค์และการฟื้นฟูงานของพระองค์
พยานนี้ ประจักษ์พยานนี้ มีค่าที่สุดในบรรดาของประทานทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า สวรรค์มอบให้เมื่อมีความพยายามตามสมควร นี่เป็นโอกาส นี่เป็นความรับผิดชอบของชายหญิงทุกคนในศาสนจักรที่จะทำให้ตนเองเชื่อมั่นในความจริงของงานยุคสุดท้ายอันสำคัญยิ่งนี้และในผู้เป็นประมุข แม้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์
พระเยซูทรงชี้ทางให้ได้รับประจักษ์พยานเช่นนั้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา
“ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง” (ยอห์น 7:16–17)
เราเพิ่มพูนในศรัทธาและความรู้เมื่อเรารับใช้ เมื่อเราศึกษา เมื่อเราสวดอ้อนวอน
เมื่อพระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคน 5,000 คน พวกเขายอมรับและประหลาดใจกับปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงทำ บางคนกลับมาอีกครั้ง กับคนเหล่านี้พระองค์ทรงสอนหลักคำสอนเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เรื่องพระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต พระองค์ทรงต่อว่าที่พวกเขาไม่สนใจหลักคำสอน มัวแต่สนองความหิวของร่างกายตน เมื่อได้ยินพระองค์และหลักคำสอนของพระองค์ บางคนพูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” (ยอห์น 6:60) ใครจะเชื่อสิ่งที่ชายคนนี้กำลังสอน
“ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนท้อถอยไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป
“พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า [ข้าพเจ้าคิดด้วยความรู้สึกท้อพอสมควร] พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?
“ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์
“และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” (ยอห์น 6:66–69)
นี่เป็นคำถามสำคัญยิ่ง และคำตอบของคำถามนั้นซึ่งเราทุกคนต้องเผชิญ ถ้าไม่ไปหาพระองค์ “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
ความเชื่อมั่นเช่นนี้ ความมั่นใจเงียบๆ เช่นนี้ถึงการดำรงอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ถึงความเป็นพระเจ้าของพระบุตรที่รักของพระองค์ ถึงการฟื้นฟูงานของพระองค์ในเวลานี้ และถึงปรากฏการณ์อันน่าชื่นชมยินดีที่เกิดขึ้นหลังจากนี้กลายเป็นรากฐานศรัทธาของเราแต่ละคน ทั้งหมดนี้กลายเป็นประจักษ์พยานของเรา
… เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าอยู่ในพอลไมรา นิวยอร์ก [ใกล้กับสถานที่ซึ่งโจเซฟ สมิธได้รับนิมิตแรก] จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นทำให้เราต้องพูดว่า “เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ต้องรู้ให้แน่ชัด จะคลุมเครือไม่ได้”
จากนั้นเสียงของศรัทธากระซิบว่า “ทั้งหมดเกิดขึ้น เกิดขึ้นตามที่ท่านพูดว่าเกิดขึ้น”
ใกล้ๆ กันคือเนินเขาคาโมราห์ บันทึกโบราณมาจากที่นั่นซึ่งได้รับการแปลเป็นพระคัมภีร์มอรมอน คนเราต้องยอมรับหรือไม่ก็ปฏิเสธต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์เล่มนี้ การพิจารณาเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีวัตถุประสงค์พึงชักนำชายหญิงทุกคนที่อ่านด้วยศรัทธาให้กล่าวว่า “นี่เป็นความจริง”
และเป็นเช่นเดียวกันกับองค์ประกอบอื่นของสิ่งอัศจรรย์นี้ซึ่งเราเรียกว่าการฟื้นฟูพระกิตติคุณสมัยโบราณ ฐานะปุโรหิตสมัยโบราณ และศาสนจักรสมัยโบราณ
เวลานี้และเช่นที่เคยเป็นมา ประจักษ์พยานนี้เป็นการประกาศ เป็นการยืนยันความจริงตามที่เรารู้อย่างตรงไปตรงมา10
4
เราต้องดำเนินชีวิตตามประจักษ์พยานของเราและแบ่งปันกับผู้อื่น
เปาโลกล่าวกับทิโมธีว่า “จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้งตัวท่านและทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้” (1 ทิโมธี 4:16) คำแนะนำที่เปาโลให้แก่เด็กหนุ่มทิโมธีช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เขากล่าวต่อไปว่า “เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา” (2 ทิโมธี 1:7) พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานฤทธานุภาพ—ฤทธานุภาพของข่าวสาร และของความรัก—รักผู้คน รักสิ่งที่เรามีให้ และการบังคับตนเอง—หลักธรรมที่เรียบง่ายและเข้าใจง่ายของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์
“เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (2 ทิโมธี 1:8) พี่น้องทั้งหลาย อย่าอับอายที่จะเป็นพยานถึงพระเจ้าของเรา … ต่อไปนี้เป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่ง เป็นพระบัญชาที่ให้แก่เรา “เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา“11
นี่คืองานศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือศาสนจักรและอาณาจักรของพระองค์ นิมิตที่เกิดขึ้นในป่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นที่โจเซฟกล่าว ในใจข้าพเจ้าเข้าใจถ่องแท้ถึงความสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่น พระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานถึงพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ฐานะปุโรหิตของพระองค์ได้รับการฟื้นฟูและอยู่ในบรรดาพวกเรา เราใช้กุญแจของฐานะปุโรหิตนั้น ซึ่งมาจากสัตภาวะบนสวรรค์ เพื่อเป็นพรนิรันดร์แก่เรา นั่นคือประจักษ์พยานของเรา—ของท่านและของข้าพเจ้า—ประจักษ์พยานที่เราต้องดำเนินตามและที่เราต้องแบ่งปันกับผู้อื่น ข้าพเจ้าฝากประจักษ์พยานนี้ พรของข้าพเจ้า และความรักที่มีต่อทุกท่าน และข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ของยุคสุดท้ายนี้ต่อไปซึ่งก็คือศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย12
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ประจักษ์พยานส่วนตัวของท่านเอื้อต่อความเข้มแข็งของศาสนจักรในด้านใด (ดู หัวข้อ 1)
-
ประธานฮิงค์ลีย์เน้นว่าประจักษ์พยานประคับประคองเราและ “ผลักดัน [เรา] ให้กระทำ” (หัวข้อ 2) ประจักษ์พยานของท่านประคับประคองท่านอย่างไร ประจักษ์พยานของท่านมีอิทธิพลต่อการกระทำของท่านอย่างไร ท่านจะประยุกต์ใช้เรื่องต่างๆ ในหัวข้อ 2 กับตัวท่านเองอย่างไร
-
เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากคำสอนของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับการได้รับประจักษ์พยาน (ดู หัวข้อ 3) ประสบการณ์อะไรช่วยให้ท่านมีประจักษ์พยาน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างประจักษ์พยานของเรา
-
ท่านคิดว่าเหตุใดประจักษ์พยานของเราจึงเข้มแข็งขึ้นเมื่อเราแบ่งปัน ท่านเอาชนะความรู้สึกกลัวเรื่องการแสดงประจักษ์พยานอย่างไร ท่านได้รับพรอย่างไรจากประจักษ์พยานของผู้อื่น (ดู หัวข้อ 4)
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
1 โครินธ์ 12:3; 1 เปโตร 3:15; แอลมา 5:43–46; 32:26–30; โมโรไน 10:3–5; คพ. 8:2–3; 80:3–5
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“เมื่อท่านรู้จักและเข้าใจแต่ละคน ท่านจะเตรียมสอนบทเรียนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนได้ดีขึ้น ความเข้าใจนี้จะช่วยให้ท่านพบวิธีที่จะช่วยให้แต่ละบุคคลมีส่วนร่วมในการสนทนาและกิจกรรมการเรียนรู้อื่น” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 34)