บทที่ 12
การเชื่อฟัง: ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามพระกิตติคุณ
“ทางของพระกิตติคุณเป็นทางที่เรียบง่าย … จงอ่อนน้อมถ่อมตนและดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
เมื่อกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์อายุประมาณ 14 ปี ท่านมีประสบการณ์ในแทเบอร์นาเคิลซอลท์เลคที่ทำให้ท่านต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า
“ข้าพเจ้า [ได้ยิน] ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์เล่าประสบการณ์ของท่านในการอ่านพระคัมภีร์มอรมอนสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ท่านพูดถึงนีไฟและอิทธิพลสำคัญยิ่งที่นีไฟมีต่อชีวิตท่าน จากนั้น ท่านหยิบยกคำพูดเหล่านั้นของนีไฟขึ้นมากล่าวด้วยเสียงก้องกังวานด้วยความเชื่อมั่นที่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม ‘ข้าพเจ้าจะไปและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา, เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้บัญญัติแก่ลูกหลานมนุษย์, นอกจากพระองค์จะทรงเตรียมทางไว้ให้พวกเขา เพื่อพวกเขาจะทำสำเร็จในสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาพวกเขา’ (1 นีไฟ 3:7)
“ตอนนั้นเองที่ความตั้งใจว่าจะพยายามทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาได้เข้ามาในใจข้าพเจ้า”1
กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีมีความตั้งใจนั้นอยู่ในใจท่านเสมอ หลายปีต่อมา เมื่อท่านเป็นประธานศาสนจักร คำสอนของท่านสะท้อนข่าวสารที่ท่านได้ยินเมื่อครั้งเป็นเยาวชน ท่านพูดกับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกลุ่มหนึ่งที่การประชุมใหญ่เขตว่า
“นักข่าวหลายคนเคยสัมภาษณ์ข้าพเจ้า เรื่องหนึ่งที่พวกเขาถามคือ ‘ในช่วงที่ท่านเป็นประธาน หัวข้อของท่านคืออะไร’ ข้าพเจ้าตอบเพียงว่า ‘หัวข้อเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้ยินซ้ำๆ ในศาสนจักรนี้จากประธานของศาสนจักรและอัครสาวกเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้คือ จงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามพระกิตติคุณ และทุกคนที่ทำเช่นนั้นจะเกิดความเชื่อมั่นในใจเขาถึงความจริงที่เขาดำเนินตาม’”2
ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของท่านในฐานะประธานศาสนจักร ประธานฮิงค์ลีย์ขอร้องทุกคนให้พยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณให้มากขึ้น
“บัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยืนอย่างภาคภูมิ ยกระดับสายตาและขยายความคิดให้เข้าใจพันธกิจมิลเลเนียมอันยิ่งใหญ่ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมากขึ้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้มแข็ง นี่เป็นเวลาที่ต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล โดยรู้ความหมาย ขอบเขต และความสำคัญของพันธกิจของเราเป็นอย่างดี นี่เป็นเวลาที่ต้องทำสิ่งถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา นี่เป็นเวลาที่ต้องพบว่าเรารักษาพระบัญญัติ นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเอื้อมออกไปด้วยความรักและความอ่อนโยนเพื่อช่วยเหลือคนทุกข์ทนหม่นหมองและคนที่กำลังระหกระเหินไปในความมืดและความเจ็บปวด นี่เป็นเวลาที่ต้องถนอมน้ำใจ เป็นคนดี สุภาพ และมีมารยาทต่อกันในความสัมพันธ์ทั้งหมดของเรา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จงเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น”3
ประธานฮิงค์ลีย์ยังคงเน้นข่าวสารนี้ สิบปีต่อมาท่านย้ำคำพูดเหล่านี้ในการประชุมใหญ่สามัญและกล่าวต่อจากนั้นว่า “ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินว่าเรามาไกลเพียงใดในการทำให้คำเชื้อเชิญที่ให้เมื่อ 10 ปีที่แล้วเกิดสัมฤทธิผล”4
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
เราเป็นผู้คนแห่งพันธสัญญา และภาระผูกพันที่มาพร้อมพันธสัญญานั้นใหญ่หลวง
เราเป็นผู้คนแห่งพันธสัญญา และนั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อฟื้นฟูงานนี้และพระเจ้าทรงอรรถาธิบายจุดประสงค์ของการฟื้นฟู พระองค์ตรัสว่าเหตุผลประการหนึ่งสำหรับการฟื้นฟูคือเพื่อสถาปนาพันธสัญญาอันเป็นนิจของพระองค์อีกครั้ง พันธสัญญาดังกล่าว … ทำระหว่างอับราฮัมกับพระเยโฮวาห์เมื่อพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพได้ทำสัญญาที่จริงจังและสำคัญยิ่งกับอับราฮัม พระองค์ตรัสว่าลูกหลานของอับราฮัมจะเป็นเหมือนเม็ดทรายบนฝั่งทะเล ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านเขา พระองค์ทรงทำพันธสัญญานี้กับเขาว่าพระองค์จะทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาและพวกเขาจะเป็นผู้คนของพระองค์ … ต่อจากนั้นพระองค์ทรงสถาปนาความสัมพันธ์ซึ่งมีผลนิรันดร์ในชีวิตนิรันดร์ของทุกคนที่จะเข้าไปในนั้น ความหมายโดยนัยของพันธสัญญานี้น่าอัศจรรย์ นั่นคือ หากเราจะกระทำเช่นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าพึงกระทำ พระองค์จะทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของเราเพื่อทรงอวยพรเรา รักเรา ชี้แนวทาง และช่วยเรา
บัดนี้ ในสมัยการประทานนี้ พันธสัญญาอันเป็นนิจดังกล่าวได้รับการยืนยันอีกครั้ง เราทำพันธสัญญานั้นเมื่อเรารับบัพติศมา เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระเจ้า บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้ามาจากครอบครัวของพระองค์ แต่มีความสัมพันธ์พิเศษและยอดเยี่ยมระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับบุตรธิดาแห่งพันธสัญญาของพระองค์ เมื่อเราเข้ามาในศาสนจักร … เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนแห่งพันธสัญญา และทุกครั้งที่เรารับส่วนศีลระลึก เราไม่เพียงทำในความระลึกถึงการเสียสละของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้สละพระชนม์ชีพเพื่อเราแต่ละคนเท่านั้น แต่มีองค์ประกอบเพิ่มเติมที่ว่าเรารับพระนามของพระเยซูคริสต์ไว้กับเราและปฏิญาณตนว่าจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์และพระองค์ทรงปฏิญาณกับเราว่าพระองค์จะประทานพรเราด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
เราเป็นผู้คนแห่งพันธสัญญา และภาระผูกพันที่มากับพันธสัญญานั้นใหญ่หลวง เราจะเป็นคนธรรมดาไม่ได้ เราต้องประพฤติดีกว่าฝูงชน เราต้องยืนอย่างภาคภูมิ เราต้องเป็นคนดีขึ้นอีกเล็กน้อย มีน้ำใจมากขึ้นอีกนิด โอบอ้อมอารีมากขึ้นอีกหน่อย มีมารยาทมากขึ้นอีกเล็กน้อย เอาใจใส่ผู้อื่นมากขึ้นอีกนิด และยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้นอีกหน่อย5
เราเป็นผู้คนที่ได้รับพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์และพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไว้กับเรา ขอให้เราพยายามรักษาพระบัญญัติมากขึ้นอีกนิด ดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงขอให้เราดำเนิน6
2
พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณในทุกๆ ด้าน
เรามีชีวิตอยู่ในยุคของการโอนอ่อนผ่อนตามและการคล้อยตาม ในสถานการณ์ที่เราเผชิญทุกวี่วัน เรารู้ว่าอะไรถูก แต่ภายใต้แรงกดดันจากเพื่อนวัยเดียวกันและเสียงล่อหลอกของคนที่เกลี้ยกล่อมเรา เรายอมทำตาม เราโอนอ่อนผ่อนตาม เราคล้อยตาม เรายอม และเราละอายแก่ใจ … เราต้องสร้างพลังทำตามความเชื่อมั่นของเรา7
ทางของพระกิตติคุณเป็นทางที่เรียบง่าย ข้อกำหนดบางประการอาจดูเหมือนธรรมดาและไม่จำเป็น อย่าปัดข้อกำหนดเหล่านั้นทิ้ง จงอ่อนน้อมถ่อมตนและดำเนินชีวิตในการเชื่อฟัง ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าผลที่ตามมาจะน่าอัศจรรย์และประสบการณ์จะน่าพอใจ8
คำวิงวอนของข้าพเจ้าคือขอให้เราพยายามมากขึ้นอีกนิดในการดำเนินชีวิตให้สมกับสภาพของความเป็นพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา เราสามารถทำได้ดีกว่าที่ทำอยู่ เราสามารถเป็นได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าเราอยากเก็บภาพมรดกจากสวรรค์ ภาพการเป็นพระบิดาของพระผู้เป็นเจ้าและการเป็นพี่น้องของมนุษย์ไว้ตรงหน้าเราเสมอ เราจะต้องอดทนมากขึ้นอีกนิด เมตตามากขึ้นอีกหน่อย ยื่นมือออกไปพยุง ช่วยเหลือ และประคองคนที่อยู่ในหมู่พวกเรามากขึ้นอีกเล็กน้อย เราจะต้องไม่ลดตัวลงไปทำสิ่งเหล่านั้นซึ่งเห็นชัดว่าไม่เหมาะกับเรา9
ศาสนาที่ท่านเป็นส่วนหนึ่งคือเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ไม่ใช่แค่วันอาทิตย์ … นั่นคือเวลาทั้งหมด—ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี10
พระเจ้าทรงคาดหวังให้ชีวิตเรามีระเบียบเสมอ คาดหวังให้เราดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณทุกด้าน11
3
พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเทพรมาให้คนที่ดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์
พระเจ้ารับสั่งกับเอลียาห์ให้ไปซ่อนตัวข้างลำธารเครีท ที่นั่นเขาจะดื่มน้ำจากลำธาร และกาจะเลี้ยงเขาที่นั่น พระคัมภีร์บันทึกข้อความที่เรียบง่ายและดีเยี่ยมเกี่ยวกับเอลียาห์ “ท่านจึงไปและทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์” (1 พกษ. 17:5)
ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีการแก้ตัว ไม่มีการหลบเลี่ยง เอลียาห์เพียงแค่ “ไปและทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์” ท่านรอดจากภัยพิบัติอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับคนเยาะเย้ย โต้แย้ง และสงสัย12
เรื่องราวทั้งหมดของพระคัมภีร์มอรมอนคือเรื่องราวที่พูดถึงคนที่รุ่งเรืองในแผ่นดินและได้รับพรอย่างมากจากพระเจ้าเมื่อพวกเขาชอบธรรม เมื่อพวกเขานมัสการพระเยซูคริสต์ พวกเขาตกอยู่ในความเศร้าหมอง สงคราม และความเดือดร้อนเมื่อพวกเขาทำบาป หลงผิด และลืมพระผู้เป็นเจ้า ความปลอดภัยของท่าน สันติสุขของท่าน ความรุ่งเรืองของท่านอยู่ในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ13
“จงรักษาบัญญัติของเราตลอดไป, และมงกุฎแห่งความชอบธรรมเจ้าจะได้รับ.” (คพ. 25:15) นั่นคือสัญญาของพระเจ้ากับเอ็มมา เฮล สมิธ นั่นคือสัญญาของพระเจ้ากับท่านแต่ละคน ความสุขอยู่ในการรักษาพระบัญญัติ สำหรับวิสุทธิชนยุคสุดท้าย … จะมีแต่ความเศร้าหมองเท่านั้นในการละเมิดพระบัญญัติเหล่านั้น สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติตาม มีสัญญาถึงมงกุฎ … ความชอบธรรมและความจริงนิรันดร์14
อิสรภาพที่แท้จริงอยู่ในการเชื่อฟังคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้า คนในสมัยโบราณกล่าวว่า “พระบัญญัติเป็นประทีป และคำสอนเป็นแสงสว่าง” (สภษ. 6:23)
พระกิตติคุณไม่ใช่ปรัญชาของความอดกลั้นตามที่คนจำนวนมากเห็นเป็นเช่นนั้น แต่เป็นแผนแห่งอิสรภาพที่ฝึกควบคุมความอยากและชี้แนวทางความประพฤติ ผลของพระกิตติคุณหอมหวานและรางวัลนั้นมากมาย …
“เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์จึงได้ทรงให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่นและอย่าเข้าเทียมแอกของการเป็นทาสอีกเลย” (กาลาเทีย 5:1)
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น” (2 โครินธ์ 3:17)15
ความปลอดภัยของเราอยู่ในการกลับใจ ความเข้มแข็งของเราเกิดจากการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า … ขอให้เรายืนหยัดต่อต้านความชั่วร้าย ทั้งที่บ้านและต่างแดน ขอให้เราดำเนินชีวิตคู่ควรกับพรของสวรรค์ โดยปฏิรูปชีวิตเราตราบที่จำเป็นและหมายพึ่งพระองค์ พระบิดาของเราทุกคน16
เราไม่มีอะไรต้องกลัว พระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือ พระองค์จะทรงปกครองเพื่อประโยชน์ของงานนี้ พระองค์จะทรงเทพรให้คนที่ดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ นั่นคือสัญญาของพระองค์ พวกเราจะสงสัยไม่ได้ว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสัญญานั้นของพระองค์17
4
ผู้นำศาสนจักรชี้ทางและเชื้อเชิญสมาชิกให้ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ
มีคนพูดว่า “ศาสนจักรจะไม่บงการว่าฉันต้องคิดเรื่องนี้ เรื่องนั้น หรือเรืองอื่นอย่างไร หรือจะดำเนินชีวิตอย่างไร”
ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ ศาสนจักรจะไม่บงการใครว่าเขาควรคิดอย่างไรหรือเขาควรทำอะไร ศาสนจักรจะชี้ทางและเชื้อเชิญสมาชิกทุกคนให้ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและได้รับพรที่มาจากการดำเนินชีวิตเช่นนั้น ศาสนจักรจะไม่บงการใคร แต่จะแนะนำ จะชักชวน จะกระตุ้น และจะคาดหวังความภักดีจากคนที่แสดงตนว่าเป็นสมาชิกในศาสนจักร
เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าพูดกับคุณพ่อครั้งหนึ่งว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ใช้สิทธิ์เกินขอบเขตเมื่อพวกท่านให้การสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณพ่อเป็นคนดีและฉลาดมาก ท่านพูดว่า “ประธานศาสนจักรแนะนำสั่งสอนเรา พ่อสนับสนุนท่านในฐานะศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย พ่อตั้งใจจะทำตามคำแนะนำของท่าน”
ข้าพเจ้า … รับใช้ในสภาสามัญของศาสนจักรนี้มานาน [หลาย] ปี … ข้าพเจ้าต้องการแสดงประจักษ์พยานต่อท่านว่าถึงแม้ข้าพเจ้านั่งอยู่ในการประชุมหลายพันครั้งที่ถกกันเกี่ยวกับนโยบายและโปรแกรมศาสนจักรแต่ข้าพเจ้าไม่เคยอยู่ในการประชุมที่ไม่แสวงหาการนำทางของพระเจ้าและไม่มีใครที่นั่นปรารถนาจะให้การสนับสนุนหรือทำสิ่งใดซึ่งจะทำร้ายหรือบีบบังคับใคร18
ข้าพเจ้าพูดแทนแต่ละท่านและทุกท่านว่าเรา [ผู้นั่งอยู่ในสภาสามัญของศาสนจักร] ไม่มีวาระส่วนตัว เรามีเพียงวาระของพระเจ้า มีคนวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเราออกถ้อยแถลงคำแนะนำหรือคำเตือน ขอให้รู้ไว้เถิดว่าคำขอร้องของเราไม่ได้เกิดจากความปรารถนาที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ขอให้รู้ไว้เถิดว่าคำเตือนของเราหาได้ไร้สาระและไร้เหตุผลไม่ ขอให้รู้ไว้เถิดว่าเราจะไม่ตัดสินใจพูดเรื่องใดโดยไม่ปรึกษาหารือ สนทนา และสวดอ้อนวอน ขอให้รู้ไว้เถิดว่าความใฝ่ฝันเดียวของเราคือช่วยแต่ละท่านเรื่องปัญหาของท่าน อุปสรรคของท่าน ครอบครัวของท่าน และชีวิตของท่าน … เราไม่มีความปรารถนาจะสอนเรื่องใดนอกจากเรื่องที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้สอน …
ความรับผิดชอบของเราเป็นไปตามที่เอเสเคียลสรุปไว้ “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นยามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเรา เจ้าจงกล่าวคำตักเตือนจากเราแก่พวกเขา” (อสค. 3:17)
เราไม่มีความปรารถนาจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนในเรื่องนี้ นอกจากประสงค์จะให้พี่น้องชายหญิงของเรามีความสุข พบสันติสุขและความรักในบ้านของพวกเขา ได้รับพรโดยเดชานุภาพของพระผู้ทรงฤทธานุภาพในการทำภาระหน้าที่ต่างๆ ด้วยความชอบธรรม19
พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้รู้พระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับผู้คนของพระองค์ในวิธีของพระองค์เสมอ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานกับท่านว่าผู้นำของศาสนจักรนี้จะไม่ขอให้เราทำสิ่งใดที่เราไม่สามารถทำได้ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า เราอาจรู้สึกไม่คู่ควร เราอาจไม่ชอบสิ่งที่ขอให้เราทำหรือไม่ตรงกับความคิดของเรา แต่ถ้าเราจะพยายามด้วยศรัทธา การสวดอ้อนวอน และความตั้งใจ เราจะทำสำเร็จ
ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์ต่อท่านว่าความสุขของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย สันติสุขของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ความก้าวหน้าของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ความรุ่งเรืองของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ความรอดนิรันดร์และความสูงส่งของคนเหล่านี้อยู่ในการดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังคำแนะนำของฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า20
5
การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ก่อให้เกิดผลมากมายมหาศาลได้
ข้าพเจ้าจะอธิบายถึงหลักธรรมหนึ่ง … ซึ่งถ้าปฏิบัติตามจะทำให้เป็นไปได้มากขึ้นว่าการตัดสินใจของเราจะถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มความก้าวหน้าและความสุขของเราในชีวิตอย่างมิอาจประมาณ หลักธรรมพระกิตติคุณข้อนี้คือ จงจรรโลงศรัทธา …
ข้าพเจ้าบอกรายละเอียดท่านไม่ได้ว่าจะตัดสินใจทุกเรื่องอย่างไร แต่ข้าพเจ้าสัญญาได้ว่าถ้าท่านจะทำการตัดสินใจตามมาตรฐานของพระกิตติคุณและคำสอนของศาสนจักร และถ้าท่านจะจรรโลงศรัทธา ชีวิตท่านจะออกผลดีมากและท่านจะรู้จักความสุขและความสำเร็จมากมาย21
หลายปีก่อนข้าพเจ้าทำงานให้ทางรถไฟสายหนึ่ง … สมัยนั้นแทบทุกคนโดยสารรถไฟ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากผู้ร่วมงานในเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาบอกว่า “รถไฟขบวนนั้นมาถึงแล้ว แต่ไม่มีตู้ลำเลียงกระเป๋า กระเป๋าของผู้โดยสาร 300 คนหายไปไหนไม่รู้ พวกเขาโกรธมาก”
ข้าพเจ้าไปทำงานทันทีเพื่อสืบดูว่าตู้นั้นไปที่ไหน ข้าพเจ้าพบว่าพวกเขาขนกระเป๋าขึ้นถูกตู้และเชื่อมขบวนอย่างถูกต้องในเมืองโอก-แลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และตู้นั้นย้ายเข้ารางรถไฟของเราในซอลท์เลคซิตี้ [และในที่สุดก็มาถึง] เซนต์หลุยส์ ที่นั่นทางรถไฟอีกสายหนึ่งต้องจัดการขนกระเป๋าไปเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ แต่คนควบคุมแผงวงจรปิดเปิดในสถานีเซนต์หลุยส์เลินเล่อขยับเหล็กชิ้นเล็กๆ แค่สามนิ้ว [7.5 เซนติเมตร] ตรงจุดสับรางแล้วดึงคันโยกปลดตู้ เราค้นพบว่าตู้ลำเลียงกระเป๋าที่ต้องอยู่ในเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ กลับไปอยู่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา—ห่างจากจุดหมาย 1,500 ไมล์ [2,400 กิโลเมตร] แค่พนักงานเลินเล่อขยับเหล็กตรงจุดสับรางสามนิ้วที่สถานีเซนต์หลุยส์ก็ทำให้รถไฟเริ่มไปผิดทาง และวิ่งออกห่างจากจุดหมายที่แท้จริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิถีชีวิตของเราก็เช่นกัน แทนที่จะไปตามเส้นทางเดิม เรากลับถูกแนวคิดผิดๆ บางอย่างดึงไปอีกทาง เราอาจขยับออกจากจุดหมายเดิมของเราไม่มาก แต่ถ้าขยับออกไปเรื่อยๆ การขยับเล็กน้อยจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่และเราพบตนเองอยู่ห่างจากจุดที่เราตั้งใจจะไป … สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มีผลต่อชีวิตเราทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงในชีวิตเรา22
วันหนึ่งข้าพเจ้าเดินไปที่ประตูฟาร์มบานใหญ่ ข้าพเจ้ายกสลักประตูและเปิดประตู บานพับขยับน้อยมากจนแทบมองไม่ออก แต่อีกด้านของประตูตีโค้งเป็นวงกว้างรัศมีสิบหกฟุต ถ้ามองดูบานพับขยับแต่อย่างเดียว คงจะไม่มีใครนึกฝันว่าการขยับเล็กน้อยนั้นจะส่งผลมากขนาดนั้น
การตัดสินใจในชีวิตเราก็เช่นกัน ความคิดเล็กน้อยบางเรื่อง คำพูดเล็กน้อยบางคำ การกระทำเล็กน้อยบางอย่างสามารถส่งผลมหาศาลได้23
6
การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ศาสนจักรและช่วยให้งานของพระผู้เป็นเจ้าเติบโตทั่วแผ่นดินโลก
ท่านสามารถทำให้ [ศาสนจักร] แข็งแกร่งขึ้นได้ตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของท่าน จงให้พระกิตติคุณเป็นดาบและโล่ของท่าน …
… อนาคตจะงดงามเพียงใดเมื่อพระผู้ทรงฤทธานุภาพทรงดำเนินงานอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ โดยส่งผลดีต่อทุกคนที่จะยอมรับและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระองค์24
ข้าพเจ้าเห็นอนาคตอันน่าพิศวงในโลกที่ไม่แน่นอน ถ้าเราจะแนบสนิทกับคุณค่าของเรา ถ้าเราจะสร้างบนมรดกของเรา ถ้าเราจะดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังต่อพระพักตร์พระเจ้า ถ้าเราจะดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามพระกิตติคุณ เราจะได้รับพรอย่างงดงามและน่าพิศวง พวกเขาจะมองว่าเราเป็นคนไม่ธรรมดาผู้พบกุญแจสู่ความสุขที่ไม่ธรรมดา25
ขอให้ชายหญิงและเด็กทุกคนตั้งใจว่าจะทำให้งานของพระเจ้าดีกว่า เข้มแข็งกว่า และยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา คุณภาพของชีวิตเราก่อให้เกิดความแตกต่าง ความตั้งใจว่าจะดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ก่อให้เกิดความแตกต่าง นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ถ้าเราทุกคนสวดอ้อนวอน ศาสนจักรจะเข้มแข็งขึ้นมาก และเป็นเช่นเดียวกันกับหลักธรรมทุกข้อของพระกิตติคุณ ขอให้เราเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ก้าวไกลอันยิ่งใหญ่นี้ที่กำลังเติบโตทั่วแผ่นดินโลก เราจะยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องก้าวไปข้างหน้า เราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ความเชื่อมั่นส่วนตัวที่อยู่ในใจเราแต่ละคนคือพลังแท้จริงของศาสนจักร หากปราศจากความเชื่อมั่นดังกล่าว เรามีน้อยมาก แต่หากมีความเชื่อมั่น เรามีทุกอย่าง26
ข้าพเจ้าเชื้อเชิญทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นสมาชิกของศาสนจักรนี้ที่ใด ให้ลุกขึ้นยืน และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับร้องเพลงในใจ โดยดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ รักพระเจ้า และสร้างอาณาจักร เราจะอยู่ในวิถีและจรรโลงศรัทธาไปด้วยกันเพราะพระผู้ทรงฤทธานุภาพทรงเป็นพลังของเรา27
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เหตุใดจึงเป็นว่าเราในฐานะผู้คนแห่งพันธสัญญาจะ “เป็นคนธรรมดาไม่ได้” (ดู หัวข้อ 1) พันธสัญญาที่ท่านทำกับพระผู้เป็นเจ้ามีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของท่านในด้านใดบ้าง
-
ประธานฮิงค์ลีย์สอนว่า “เราต้องสร้างพลังทำตามความเชื่อมั่นของเรา” (หัวข้อ 2) บางครั้งเราทิ้งความเชื่อมั่นของเราอย่างไร เราจะทำให้ตัวเรามีพลังต่อต้านการล่อลวงได้อย่างไร
-
เรื่องของเอลียาห์ที่ประธานฮิงค์ลีย์เล่าประยุกต์ใช้กับเราได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 3) ท่านจะตอบคนที่รู้สึกว่าพระบัญญัติเคร่งครัดเกินไปอย่างไร ท่านเคยเห็นอย่างไรว่าการเชื่อฟังพระบัญญัติทำให้เกิดอิสรภาพ ความปลอดภัย และสันติสุข
-
ทบทวนคำอธิบายของประธานฮิงค์ลีย์ที่ว่าผู้นำศาสนจักรให้คำแนะนำและคำเตือนอย่างไร (ดู หัวข้อ 4) ท่านเคยได้รับพรอย่างไรจากการทำตามคำแนะนำของผู้นำศาสนจักร
-
เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องตู้ลำเลียงกระเป๋าของประธานฮิงค์ลีย์ (ดู หัวข้อ 5) เหตุใดการตัดสินใจหรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ จึงส่งผลกระทบใหญ่หลวงในชีวิตเรา การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตท่านคืออะไร เราจะรู้จักความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยที่อาจนำเราออกนอกเส้นทางของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
-
การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณจะช่วยเราเผชิญกับความไม่แน่นอนในโลกได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 6) การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณจะทำให้ชีวิตเราเรียบง่ายได้อย่างไร พิจารณาว่าท่านจะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ศาสนจักรมากขึ้นและช่วยให้งานของพระผู้เป็นเจ้าเติบโตทั่วแผ่นดินโลกได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
เฉลยธรรมบัญญัติ 4:39–40; ฮีบรู 5:8–9; คพ. 64:33–34; 93:26–28; 98:22; อับราฮัม 3:24–26; หลักแห่งความเชื่อ 1:3
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“การอ่าน การศึกษา และการไตร่ตรองไม่เหมือนกัน เราอ่านถ้อยคำและเราอาจได้แนวคิด เราศึกษาและเราอาจค้นพบรูปแบบตลอดจนความเชื่อมโยงในพระคัมภีร์ แต่เมื่อเราไตร่ตรอง เราเชื้อเชิญการเปิดเผยโดยพระวิญญาณ การไตร่ตรองสำหรับข้าพเจ้าคือการคิดและการสวดอ้อนวอนที่ข้าพเจ้าทำหลังจากอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนแล้ว” (ดู เฮนรีย์ บี. อายริงก์, “รับใช้ด้วยพระวิญญาณ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2010, 76)