คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 10: วางใจพระผู้เปีนจ้า ดวยความอ่อนนอมถ่อนตน


บทที่ 10

วางใจพระผู้เปีนจ้า ดวยความอ่อนนอมถ่อนตน

ความเข้มแข็งที่แท้จริงมาจากการวางใจพระผู้เป็นเจ้าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

จากชีวิตของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

“เรื่องเดียวที่ข้าพเจ้าประหลาดใจมาตลอดชีวิต” ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟกล่าว “คือพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงเลือกให้ เป็นอัครสาวกและประธาน แต่นั่นคือธุระของพระองค์ ไม่ใช่ของข้าพเจ้า”1

แม้ประธานวูดรัฟฟ็จะแปลกใจต่อการเรียกของท่านในศาสนาจักร แต่ท่าน ทราบว่าทำไมพระเจ้าทรงเรียกท่าน ท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมพระเจ้าทรงเลือก คนอ่อนแอเช่นวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ให้เป็นประธานดูแลศาสนาจักรนี้ ทำไมพระ องค์ทรงเลือกโจเซฟ สมิธ—เด็กหนุ่มไร้การสืกษา ดังที่เขาถูกเรียก ทำไมพระ องค์ทรงเลือกคนแบบนั้น เพราะพระองค์ทรงใช้สอยเขาได้ พระองค์ทรงเลือก คนที่จะยอมรับพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า”2

ประธานวูดรัฟฟยอมรับพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ ทั้งในความสำเร็จ ส่วนตัวและความก้าวหน้าของศาสนาจักร ในการให้โอวาทที่ซอลท์เลคแทเบอร์ นาเคิล ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิต ข้าพเจ้าขอบ พระทัยพระองค์สำหรับพรและพระเมตตาที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีเหตุผลที่ จะชื่นชมยินดีในเรื่องนี้ และข้าพเจ้าจำต้องถวายรัศมีภาพแด’พระผู้เป็นเจ้าสำ หรับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับ หากข้าพเจ้าเคยทำความดีประการใด หากข้าพเจ้า สามารถสั่งสอนพระกิตติคุณและดำเนินตามวิถีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสรรค์เพื่อน มนุษย์ ไม่ว่าที่ม้านหรือต่างแดน นั่นเป็นเพราะพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า… พลังอำนาจดังกล่าวอยู่กับข้าพเจ้า นั่นคือเหตผลที่เราอยู่ที่นี่วันนี้ นั่นคือเหตุผล ที่แทเบอร์นาเคิลหลังนี้ตั้งตระหง่านที่นี่วันนี้ในสัมฤทธิผลแห่งคำทำนายของ เหล่าศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณ นี่คือเหตุผลที่ไซอันของพระผู้เป็น เจ้าถูกวางไว้ที่นี่ในหุบเขานี้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์”3

คำลโอนของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ

เราพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าสำหรับพรทางโลก และทางวิญญาณทั้งหมด

ข้าพเจ้าพึ่งพาพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าพึ่งพาพระองค์เสมอในช่วงชีวิตของ ข้าพเจ้า ในการเดินทางและการท่องเที่ยวไปยังที่ไกลเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณ ของพระคริสต์แก่เพื่อนมนุษย์4

เราควรเริ่มเข้าใจว่าวิถีของพระผู้เป็นเจ้าเหนือกว่าวิถีของเราอย่างหาที่สุดมิได้ และคำแนะนำของพระองค์ แม้ดูเหมือนจะเรียกร้องการเสียสละ แต่มักดีที่สุด และปลอดภัยที่สุดเสมอเพื่อเราจะนำมาใช้และดำเนินตาม หลายพันคนในหมู่ พวกเราเป็นพยานถึงความจริงของเรื่องนี้ได้จากประสบการณ์ส่วนตัว…เราควร เรียนรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงมีรัศมีภาพและเกียรติ ยศทั้งหมดสำหรับการสถาปนาศาสนาจักรและอาณาจักรของพระองค์บนแผ่น ดินโลก มนุษย์จะอวดอ้างไม่ได้ไม่ว่าจะในยุคนี้หรือยุคใดๆ ของโลก ไม่มีสิ่งใด นอกจากพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่นำความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณออก มา จัดตั้งศาสนาจักร รวมผู้คนของพระองค์มาสู่ไซอันในสัมฤทธิผลของการเปีด เผย และทำงานซึ่งสำเร็จลุล่วงแล้ว5

เราต้องจำไว้ว่าความเข้มแข็งของเรา ความหวังของเรา และพลังอำนาจของ เราอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ในมนุษย์ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์ออก มาสถาปนาศาสนาจักรนี้ด้วยพระองค์เอง อาณาจักรของพระองค์ งานของพระ องค์…เราไม่มีพลังอำนาจในตัวเรา เราไม่เคยมีพลังอำนาจในการนำทางและกำ กับดูแลอาณาจักรนี้ นอกจากโดยการแทรกแซงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิ ฤทธึ๋เท่านั้น6

ข้อเท็จจริงที่ว่าเรามีผู้คน เรามีไซอัน เรามีอาณาจักร เรามีศาสนาจักรและ ฐานะปุโรหิตซึ่งเกี่ยวข้องกับฟ้าสวรรค์ และซึ่งมีอำนาจเคลื่อนท้องฟ้า และเรา ทราบว่าฟ้าสวรรค์กำลังสีอสารกับเรา กำกับดูแลการปฏิบัติงานยุคสุดท้ายที่ยิ่ง ใหญ่นี้ซึ่งสิทธิชนยุคสุดท้ายมีส่วนร่วม ข้อเท็จจริงนี้เพียงอย่างเดียวควรทำให้ใจ เราเปียมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเรา และควรเตือนเราอยู่ตลอดเวลาให้นึกถึงและรู้สีกถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อ พระองค์และต่อกันและพึ่งพาพระองค์สำหรับพรทั้งหมดที่เราได้รับทั้งทางวิญ ญาณและทางโลก7

ความร้สืกและทัศนะของข้าพเจ้าคือ พระเจ้าไม่เคยมีใครนับจากคุณพ่อแอดัม จนถึงปัจจุบันที่พระองค์ทรงขอร้องให้เสริมสร้างอาณาจักรของพระองค์และ สถาปนาไซอันของพระองค์ในโลก หรือสั่งสอนพระกิตติคุณแห่งการกลับใจแก่ ลูกหลานมนุษย์โดยไม่พึ่งพาพระองค์ ทุกคนล้วนพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้า [แห่ง] สวรรค์ให้ทรงสนับสนุนช่วยเหลือเขา8

เราทราบและเข้าใจดีว่า จุดหมายปลายทางของเรา ฐานะของเรา และพรของ เราล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์9

ข้าพเจ้าพูดกับทุกคน ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติ ผู้ใหญ่และผู้น้อย คนรารวย และคนยากจน ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ้ทรงมีพลังอำนาจในพระองค์ และ มิได้ทรงพึ่งพามนุษย์คนใดให้ดำเนินงานของพระองค์ แต่เมื่อพระองค์ทรงเรียก มนุษย์ให้ทำงานของพระองค์ เขาต้องไว้วางใจพระองค์10

พระผู้เป็น!จ้าทรงเลือกคนอ่อนน้อมถ่อมตนมาทำงานของพระองค์

พระเจ้าทรงเลือกสิ่งอ่อนแอของโลกมาทำงานของพระองค์ แต่พระองค์ทรง สามารถสอนข้าพเจ้า หรือพี่น้องคนใดของข้าพเจ้าได้เท่าๆ กับที่พระองค์ทรง สอนมาแล้วในยุคสมัยอื่นของโลก พระองค์จะเลือกสิ่งอ่อนแอเสมอ ตัวอย่าง เช่นเมื่อโมเสสนำลูกหลานอิสราเอล โมเสสกล่าวว่าท่านช้าในการพูด และคิดว่า ท่านทำอะไรไม่ได้เลย แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงยกผู้พูดคนหนึ่งให้ท่าน เมื่อพระเจ้าทรงต้องการกษัตริย์สำหรับอิสราเอล พระองค์ทรงเลือกดาวิด บุตร ของเจสซี ผู้กำลังเฝืาฝูงแกะอยู่ บุตรทั้งหมดของเจสซี ยกเว้นดาวิด ถูกนำมา อยู่ต่อหน้าศาสดา แต่ซามูเอลมิไต้เจิมผู้ใด ท่านถามเจสซีว่ามีบุตรคนอื่นอีก ไหม เจสซีตอบว่ายังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่งเขากำลังดูแลแกะอยู่ ศาสดาต้อง การพบเขา เมื่อเขามา ซามูเอลเจิมเขาเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล ในสมัยของ อัครสาวกก็เช่นกัน พวกเขาเป็นใคร เป็นชาวประมง [ไร้การสืกษา] ปัจจุบันก็ เช่นกัน เริ่มตั้งแต่โจเซฟ สมิธ และพวกเราทั้งหลาย เราเป็นใคร เราคือคนยาก จนและคนอ่อนแอจากผงธุลี แต่พระเจ้าทรงเลือกเราเพราะทรงคิดว่าพระองค์จะ ทรงทำบางสิ่งกับเราไต้ ข้าพเจ้าหวังว่าพระองค์จะทรงทำไต้

ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองเป็นอัครสาวกนานกว่าทุกคนที่เคยอยู่บนพื้นพิภพในวัน เวลาสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าควรอวดอ้างในเรื่องนี้หรือลำพองใจและกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะข้าพเจ้าดำรงฐานะปุโรหิตนานมากอย่างนั้นหรือ หากข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้า คงเปีนคนไง,มาก เราจำเป็นต้องถวายเกียรติพระผู้เป็นเจ้า เราจำเปีนต้องยอมรับ พระหัตถ์ของพระผู้เปีนเจ้า มารพยายามทำลายข้าพเจ้าตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดจนถึง ปัจจุบัน แต่พระเจ้าทรงอยู่ทางขวามือของข้าพเจ้าเสมอและทรงช่วยข้าพเจ้า มีพลังอำนาจสองอย่างในการทำงาน พลังอำนาจหนึ่งทำลายข้าพเจ้า ส่วนอีก พลังอำนาจหนึ่งช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่วันนี้ในฐานะเครื่องมืออ่อนแอใน พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชม์ฉันใด หากพระองค์จะ ทรงบอกข้าพเจ้าว่าหน้าที่ของข้าพเจ้าคืออะไร ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่นั้น

… ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอพระผู้เป็นเจ้าประทานปัญญา และช่วยให้เราเป็น คนอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ อ่อนโยน และมืใจนอบน้อม11

มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเคยไต้ยินคนพูดในการเดินทางของข้าพเจ้าว่า ทำไมพระ ผู้เป็นเจ้าทรงเลือกโจเซฟ สมิธ ทำไมพระองค์ทรงเลือกเด็กหนุ่มคนนั้นให้เปีด สมัยการประทานนี้และวางรากฐานของศาสนาจักร ทำไมพระองค์ไม่ทรงเลือก คนใหญ่โตบางคน … ข้าพเจ้ามีเพียงคำตอบเดียวในชีวิตที่จะตอบคำถามเหล่านั้น นั่นคือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธึ๋ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาไต้เลย พระองค์ ทรงทำให้เขาอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ได้ พวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่ถูกเลือกให้ทำ งานลักษณะนี้ในยุคใดของโลก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ทรงเลือกสิ่งอ่อนแอของ โลก พระองค์ทรงใช้สอยเขาได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงเลือกโจเซฟ สมิธ เพราะท่านอ่อนแอ และท่านมีสำนึกพอจะรู้เช่นนั้น12

เมื่อผู้คนหยิ่งจองหอง เขาจะตก

ท่านไม่เคยเห็นวันนั้น ท่านจะไม่เห็นวันนั้นอย่างเด็ดขาด ทั้งในกาลเวลา หรือในนิรันดร เมื่อท่านไม่ต้องการความคุ้มครองและการดูแลของพระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องการสิ่งนั้นตลอดชีวิตท่าน เมื่อเยาวชนชายของเรา หรือชายสูงอายุของ เรา หรือหญิงสาวของเรารู้สืกว่าพวกเขามาถึงจุดที่ไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้า เขาจะ พบว่าตนผิดพลาดอย่างมหันต์13

หากประธานศาสนาจักรหรือที่ปรึกษาคนใดคนหนึ่งของท่าน หรืออัครสาวก หรือชายใดรู้สืกในใจตนว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทำไม่ได้หากไม่มีเขา และเขาสำคัญ เป็นพิเศษต่อการดำเนินงานของพระเจ้า เขาย่อมอยู่ในอันตรายของการละทิ้ง ความเชื่อ ข้าพเจ้าได้ยินโจเซฟ สมิธพูดว่า ออลิเวอร์ คาวเดอรี ผู้เป็นอัครสา- วกคนที่สองในศาสนาจักรกล่าวกับท่านว่า “ถ้าผมออกจากศาสนาจักรนี้ ศาสนา จักรจะล้ม”

โจเซฟกล่าวว่า “ออลิเวอร์ คุณลองดูสิ” ออลิเวอร์ลองดู เขาล้ม แต่อาณา จักรของพระผู้เป็นเจ้าไม่ล้ม ข้าพเจ้ารู้จักอัครสาวกท่านอื่นในวันเวลาของฃ้าพ เจ้าผู้รู้สืกว่าพระเจ้าทรงทำไม่ได้หากไม่มีเขา แต่พระเจ้าทรงทำให้งานของพระ องค์ก้าวหน้าโดยไม่มีเขา14

ข้าพเจ้าเคยเห็นออลิเวอร์ คาวเดอรีเมื่อดูประหนึ่งแผ่นดินโลกสั่นไหวอยู่ใต้ ฝ่าเท้าเขา ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินใครแสดงประจักษ์พยานเด็ดเดี่ยวเท่าเขาเมื่ออยู่ ภายใต้อิทธิพลของพระวิญญาณ แต่พอเขาออกจากอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า พลังอำนาจของเขาตกทันที…เขาสูญเสืยความเข้มแข็ง เหมือนแซมสันนอนอยู่ บนตักเดลิลาห์ เขาสูญเสืยพลังและประจักษ์พยานที่เคยมี และไม่ไต้คืนโดยครบ ถ้วนขณะอยู่ในเนื้อหนัง แม้จะเสืยชีวิตในฐานะ [สมาชิกของ] ศาสนาจักรก็ ตาม15

หนึ่งในสามของไพร่พลสวรรค์ถูกขับไล่เพราะการกบฏ…เขาอยู่ในเมืองและ หมู่ม้านทุกแห่งที่ผู้อาศัยของแผ่นดินโลกอยู่ โดยเฉพาะในที่ที่มืสิทธิชนยุคสุด ท้าย…ท่านคิดหรือว่ามารเหล่านี้จะอยู่รอบตัวเราโดยไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง เขานอนหลับอย่างนั้นหรือ เขาไม่มืงานให้ทำอย่างนั้นหรือ ข้าพเจ้ากล่าวกับพี่ น้องชายผู้ดำรงฐานะปุโรหิตว่า เราต้องทำสงครามครั้งใหญ่เพี่อต่อสู้กับวิญญาณ เหล่านี้ เราหนีไม่พ้น เขาจะทำอะไรท่าน เขาจะพยายามให้เราทำอย่างใดอย่าง หนึ่งและทุกอย่างที่ไม่ถูกต้อง มารเหล่านี้คงดีใจมากที่ได้ทำให้ข้าพเจ้าและพี่น้อง ชายคิดว่าเรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่น ทำให้เราไม่ลงรอยกัน และ เป็นเหตุให้เราพยายามประกาศบาปของพี่น้องแทนที่จะประกาศบาปของตนเอง ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องระวังตัวให้ดี ข้าพเจ้าต้องระวัง ที่ปรึกษาของข้าพเจ้าและ อัครสาวกต้องระวัง เราทุกคนต้องระวัง…และหากเราลืมตาไว้เพี่อให้เข้าใจเรื่อง ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะเข้าใจความรับผิดชอบของเรา เราจะเข้าใจพลังอำนาจ ของฐานะปุโรหิตศักดี้สิทธี้ และส้มพันธภาพซึ่งเรามีต่อพระผู้เป็นเจ้า แน่นอน ว่าเราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า16

จงอ่อนน้อม จงระวัง จงสวดอ้อนวอน จงระวังความจองหอง เกลือกท่าน จะตกเช่นคนอื่นๆ17

เมื่อเราวางใจพระเจ้าด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พระองค์จะทรงตุ้มครองและทำให้เราเข้มแข็ง

มีคุณธรรมสำคัญสองประการ…ที่ให้พลังอำนาจจากเบื้องบนแก’มนุษย์ นั่นคือ ความซื่อสัตย์สุจริตและอุปนิสัยที่ขาวสะอาด ขอให้มนุษย์มีคุณธรรมเหล่านี้ ขอ ให้ใจเขาแน่วแน่และไม่ท้อถอย ขอให้ชีวิตเขาขาวสะอาด และหากเราเสริม ความอ่อนน้อมถ่อมตนเหล่านี้ เขาจะ [ได้รับความคุ้มครอง] ให้พ้นจากความ อ่อนแอมากมายและต่อต้านการล่อลวงทั้งหลายได้ เราต่างก็มีความอ่อนแอ พระผู้เปีนเจ้าทรงให้มาก็เพื่อสอนเราให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีความใจ บุญต่อผู้อื่น

พวกเราไม่มีใครดีพร้อมขณะอยู่ในเนื้อหนัง แต่คนที่วางใจพระผู้เปีนเจ้าด้วย ความอ่อนน้อมถ่อนตนจะไม่อิดออดในการต่อสู้เพื่อความถูกด้อง จะไม่สั่นคลอน ในความภักดีต่อความจริง และจะไม่ฝ่าแนพันธสัญญาของเขา เขาคือคนที่เรา ทุกคนจะหันมาชมเชย และพยายามเลียนแบบโดยความช่วยเหลือของสวรรค์18

ข้าพเจ้าประสงค์จะพูดกับสิทธิชนยุคสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่เราต้องทำคือซื่อ- สัตย์ รักษาพระบัญญัติ อ่อนน้อมถ่อมตน ทูลขอพระองค์ในการสวดอ้อนวอน ที่มีพลัง และทุกอย่างจะเปีนไปด้วยดี19

พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับคนเหล่านี้ แต่เราจะต้องฟ้งสุรเสียงของพระองค์ เชื่อ ฟ้งพระบัญญัติ และถ่อมตนต่อพระพักตร์พระองค์…มีความสุขุมเยือกเย็นอยู่ ในหมู่คนที่เรียกกันว่าชาวมอรมอน นั่นเปีนเรื่องประหลาดและน่ามหัศจรรย์ต่อ ชาวโลก…เหตุผลของความสุขุมเยือกเย็นของเราคือ พระผู้เป็นเจ้าทรงเปืน สหายของเรา เป็นผู้ให้กฎ และผู้ปลดปล่อยเรา หากพระเจ้ามิทรงสามารถคํ้าจุน งานของพระองค์ไต้ เราย่อมทำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงทำมา ตลอด และจะทรงทำเช่นนั้นจนถึงที่สุด เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับสิทธิชน ว่า อย่ากลัว จงไว้วางใจพระผู้เป็นเจ้า อย่าให้ใจท่านอ่อนแอ ขอให้คำสวดอ้อน วอนของท่านขึ้นถึงพระกรรณของพระเจ้าแห่งแซบัธทั้งกลางวันและกลางคืน ทูลขอสิ่งที่ท่านต้องการ เมื่อท่านทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงตอบคำสวดอ้อนวอน ของท่านหากท่านทูลขอสิ่งถูกต้อง ความเข้มแข็งของเราอยู่ที่นั่น อยู่ในพระผู้ เป็นเจ้า20

ฃ้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมไต้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • เหตุใดการยอมรับว่าเราต้องพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ (ดูหน้า 105-106) การยอมรับเช่นนี้ล่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราอย่างไร

  • ประธานวูดรัฟฟ็บอกว่าใครคือ “สิ่งอ่อนแอของโลก” (ดูหน้า 104, 106-107; ดู 1 โครินธ์ 1:25–28 ด้วย) เหตุใดพระเจ้าทรงเลือกคนเช่นนั้นมา ดำเนินงานของพระองคให้สำเร็จ เมื่อใดที่ท่านเคยเห็นพระเจ้าทำงานผ่าน “สิ่งอ่อนแอของโลก”

  • อ่านย่อหน้าที่สามในหน้า 108 และไตร่ตรองหรือสนทนาว่าชีวิตท่านจะเปีน เช่นไรหากปราศจากความคุ้มครองและการดูแลของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนี้สอน อะไรท่านเกี่ยวกับความจองหอง ผลของความจองหองมีอะไรบ้าง

  • เราเรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องของออลิเวอร์ คาวเดอรีในหน้า 107-108

  • อ่านย่อหน้าที่สามในหน้า 108 เหตุใดซาตานและไพร่พลของเขาจึงต้องการ ให้เรา “คิดว่าเรายิ่งใหญ่ [และ] ฉลาดกว่าคนอื่น” เหตุใดเขาจึงต้องการให้ เรา “ประกาศบาปของพี่น้องแทนที่จะประกาศบาปของตัวเราเอง” เราจะด้าน ทานการล่อลวงเหล่านี้ได้อย่างไร

  • ทบทวนข้อความในสืย่อหน้าสุดท้ายของบทนี้โดยสังเกตคำและวลีที่มีความ หมายต่อท่าน (หน้า 108-109) เราได้รับพรอะไรบ้างเมื่อเราวางใจพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: สุภาษิต 3:5–7; ลูกา 18:9–14; เจคอบ 2:13–21; แอลมา 36:3; ฮีลามัน 3:35; ค.พ. 112:10; 121:34–40

อ้างอิง

  1. ใน Brian H. Stuy, comp.,Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92), 4:377.

  2. ในCollected Discourses, 4:377.

  3. ในCollected Discourses, 5:321.

  4. The Discourses of Wilford Woodruff, sel. G. Homer Durham (1946), 275.

  5. “An Epistle to the Members of The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints,” Millennial Star, November 14, 1887, 729.

  6. ในCollected Discourses, 2:24.

  7. Deseret News: Semi-Weekly, May 14, 1878, 1.

  8. ในCollected Discourses, 1:340.

  9. ใน Conference Report, April 1880, 10.

  10. The Discourses of Wilford Woodruff, 123–24.

  11. ในCollected Discourses, 1:219-20.

  12. Deseret News: Semi-Weekly, September 7, 1880, 1.

  13. ในCollected Discourses, 1:313.

  14. The Discourses of Wilford Woodruff, 123.

  15. ในCollected Discourses, 1:220.

  16. ในCollected Discourses, 1:243-44.

  17. ใน Elders’ Journal, July 1838, 36.

  18. ในCollected Discourses, 1:120.

  19. ใน Collected Discourses, 2:385.

  20. Deseret News: Semi-Weekly, January 22, 1884, 1.

President Wilford Woodruff

ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฺฟืกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจำต้องถวายรัศมีภาพแด่พระผู้เป็นเจ้า สำหรับทุกอยางุที’ข้าพเจ้าไต้รับ หากข้าพเจ้าเคยทำความดีประการโด… นั่นเป็นเพราะพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า”