คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 1: การฟ้นฟูพระกิตติคุณ


บทที่ 1

การฟ้นฟูพระกิตติคุณ

พระเจ้าทรงฟืนฟูพระกิตติคุฌของพระองค์ไนรัศมีภาพที่แท้จริง พลังอำนาจ ระเบียบ และความสว่างฝานศาสดาโจเซฟ สมิธ

จากชีวิตฃองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

สมัย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็เป็นเด็ก ท่านและครอบครัวเป็นเพื่อนกับโรเบิร์ต เมสัน ชายผู้ได้ชื่อว่ามีความเชื่อทางศาสนาไปเหมือนใคร ประธานวูดรัฟฟ็เล่าว่า

“เขาเชื่อว่าจำเป็นต้องมีศาสดา อัครสาวก ความฝืน ภาพปรากฎ และการ เปีดเผยในศาสนาจักรของพระคริสต์ เช่นเดียวกับที่คนในสมัยก่อนมี และเขา เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงยกคนผู้หนึ่งและศาสนาจักรหนึ่งขึ้นมาในวันเวลาสุดท้าย พร้อมศาสดา อัครสาวก ของประทานทั้งหมด อำนาจทั้งหมด และพรทั้งหมด ซึ่งเคยมีอยู่ในทุกยุคสมัยของโลก…เขามักจะมาที่บ้านคุณพ่อสมัยข้าพเจ้าเป็น เด็ก สอนข้าพเจ้ากับพี่ชายให้รู้หลักธรรมเหล่านั้น และข้าพเจ้าเชื่อเขา

“[เขา] สวดอ้อนวอนอย่างหนัก เขาฝืนและเห็นภาพปรากฎ และโดยภาพ ปรากฏพระเจ้าทรงแสดงให้เขาเห็นเหตุการณ์มากมายซึ่งจะบังเกิดขึ้นในวันเวลา สุดท้าย

“ตอนนี้ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องภาพปรากฎภาพหนึ่งซึ่งเขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟ้ง ครั้ง สุดท้ายที่ข้าพเจ้าพบเขา เขาพูดว่า ‘ผมกำลังทำงานอยู่ในไร่ตอนเที่ยงวันเมื่อ ภาพปรากฏห้อมล้อมผม ผมถูกนำไปวางไว้ท่ามกลางป่าไม้ผลกว้างใหญ่ ผมหิว มาก และเดินทั่วสวนผลไม้อยู่เป็นนานเพี่อหาผลไม้มารับประทาน แต่หาทั้ง สวนก็ไม่พบ ผมร้องไห้เพราะไม่เจอผลไม้ ขณะยืนจ้องสวนผลไม้พลางสงสัยว่า ทำไมไม่มืผล ต้นไม้เหล่านั้นเริ่มโค่นลงล่พื้นดินระเนระนาดรอบด้านจนทั้งสวน ไม่มีไม้ผลยืนต้นอยู่เลย และขณะพิศวงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเห็นหน่ออ่อน เริ่มงอกออกจากรากของต้นไม้ที่โค่นอยู่นั้น เจริญงอกงามกลายเป็นต้นอ่อนต่อ หน้าต่อตาผม บันแตกช่อ ผลิดอก และออกผลจนต้นไม้ทั้งต้นเต็มไปด้วยผล งามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น และผมดีใจที่เห็นผลงามขนาดนั้น ผมเดินไปที่ด้น หนึ่ง เด็ดผลไม้มาเต็มสองมือ อัศจรรย์ไจกับความสวยงามของมัน และขณะ กำลังจะลิ้มรสผลนั้น ภาพปรากฎก็สิ้นสุด และผมรู้สีกตัวว่าอยู่ในทุ่งแห่งเดียว กับที่ผมเริ่มเห็นภาพปรากฎ

‘“ต่อจากนั้นผมคุกเข่าลงบนพื้น และสวดอ้อนวอนพระเจ้า ทูลขอพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสตัให้ทรงแสดงความหมายของภาพปรากฎ พระเจ้า ตรัสกับผมว่า “นี่คือการแปลความหมายของภาพปรากฎ ต้นไม้มากมายในป่า หมายถึงคนในรุ่นที่เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่มีศาสนาจักรของพระคริสต์ หรืออาณาจักร ของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลกในคนรุ่นนี้ ไม่มีผลของศาสนาจักรของพระ คริสต์บนแผ่นดินโลก ไม่มีมนุษย์คนใดไต้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าให้ปฏิบัติ พิธีการใดของพระกิตติคุณแห่งความรอดบนแผ่นดินโลกในสมัยนี้และคนรุ่นนี้ แต่ในรุ่นต่อไป เราพระเจ้าจะก่อตั้งอาณาจักรของเราและศาสนาจักรของเราบน แผ่นดินโลก ผลของอาณาจักรและศาสนาจักรของพระคริสต์เช่นที่ติดตามศาสดา อัครสาวก และสิทธิชนในทุกสมัยการประทานจะได้รับการสถาปนาในความสม บูรณ์อีกครั้งบนแผ่นดินโลก เจ้าจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันนั้น ไต้จับต้องผลไม้ แต่จะไม่ได้กินผลนั้นในเนื้อหนัง” ’ ”

ประธานวูดรัฟฟ็กล่าวต่อไปว่า “เมื่อ [เขา] เล่าและอธิบายความหมายของ ภาพปรากฎจบแล้ว เขาบอกข้าพเจ้าว่า… ‘ผมจะไม่กินผลนี้ในเนื้อหนัง แต่คุณ จะได้กิน และคุณจะกลายเป็นนักแสดงที่โดดเด่นในอาณาจักรนั้น, แล้วเขาก็ หันหลังจากข้าพเจ้าไป ทั้งหมดนี้คือคำพูดครั้งสุดท้ายที่เขาพูดกับข้าพเจ้าบน แผ่นดินโลก …

“เขาเห็นภาพปรากฎตังกล่าวประมาณปี ค.ศ. 1800 และเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพ- เจ้าฟ้งในปี ค.ศ. 1830-ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกับที่จัดตั้งศาสนาจักร

“ภาพปรากฎภาพนั้น และคำสอนอื่นๆ ของเขาทำให้ข้าพเจ้าประทับใจมาก และข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระเจ้าอย่างหนักขอให้ทรงนำข้าพเจ้าด้วยพระวิญญาณ ของพระองค์ และเตรียมข้าพเจ้าให้พร้อมรับศาสนาจักรของพระองค์เมื่อมาถึง”

เมื่อวิลฟอร์ด วูดรัฟฟัเข้าร่วมศาสนาจักร ท่านเขียนจดหมายถึงเพื่อนชื่อ โรเบิร์ต เมสัน “ผม…บอกเขาว่าผมพบศาสนาจักรของพระคริสต์ตามที่เขาบอก ผมแล้ว” ท่านนึกทบทวนภายหลัง “ผมบอกเขาเกี่ยวกับการจัดตั้งศาสนาจักร นั้น การออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน ศาสนาจักรมีศาสดา อัครสาวก ของ ประทานและพรทั้งหมด ผลที่แท้จริงของอาณาจักรและศาสนาจักรของพระคริสต์ ปรากฎในหมู่สิทธิชนตามที่พระเจ้าทรงแสดงให้เขาเห็นในภาพปรากฏ เขาได้รับ จดหมายของผม และอ่านทวนหลายครั้ง และจับต้องจดหมายราวกับจับต้องผล ไม้ในภาพปรากฎ แต่เขาชราภาพมากแล้ว และไม่นานก็เสืยชีวิต เขามิไต้มีชีวิต อยู่จนเห็นเอ็ลเดอร์ปฏิบัติพิธีการแห่งพระกิตติคุณเพื่อเขา

“โอกาสแรกที่ข้าพเจ้าได้รับหลังจากมีการเปีดเผยคำสอนเรื่องบัพติศมาแทน คนตายคือ ข้าพเจ้าออกไปรับบัพติศมาแทนเขา”1

คำสอนทเองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ยืนยงและไม่เปลี่ยนแปลง

พระเจ้าทรงดำเนินการหลายครั้งในสมัยการประทานต่างๆ เพื่อสถาปนาอา- ณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงยกบุรุษทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ ดวง วิญญาณอันสูงส่ง ผู้ออกมาพักอาศัยชั่วคราวในเนื้อหนังด่างยุคต่างสมัยกัน พระ องค์ทรงดลใจบุรุษเหล่านั้น ประทานการเปีดเผยให้เขา เติมเต็มด้วยการดลใจ ความสว่าง ความจริง และเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า2

หากท่านต้องพบกับคุณพ่อแอดัม กับเสธ โมเสส อาโรน พระคริสต์ หรือ อัครสาวก ทุกคนจะสอนหลักธรรมเดียวกับที่เราได้รับการสอน ไม่ต่างกันแม้แต่ เพียงนิดเดียว พระกิตติคุณนี้ยืนยงในลักษณะและไม่เปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติ3

มีพระกิตติคุณเดียวเท่านั้น และจะมีเพียงพระกิตติคุณเดียวที่มอบให้ลูกหลาน มนุษย์ พระกิตติคุณไม่เคยเปลี่ยนและจะไม่มีวันเปลี่ยนในกาลเวลาหรือนิรันดร พระกิตติคุณเหมือนเดิมในทุกยุคสมัยของโลก พิธีการของพระกิตติคุณเหมือน เดิม ผู้เชื่อในพระกิตติคุณมีศรัทธาในพระเยซูก่อนพระองค์เสด็จมาในเนื้อหนัง และสั่งสอนเรื่องการกลับใจจากบาปก่อนวันเวลาของพระองค์เฉกเช่นแต่ก่อน พวกเขาปฏิบัติบัพติศมาเพื่อการปลดบาปและการวางมือมอบของประทานแห่ง พระวิญญาณบริสุทธิ้ด้วย พวกเขามีการจัดองค์กรของศาสนาจักรพร้อมกับผู้รับ การดลใจในนั้น…เรื่องเหล่านื้จำเป็นในทุกยุคสมัยของโลก4

เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมีศาสนาจักรบนแผ่นดินโลก และศาสนาจักรได้รับ พระกิตติคุณของพระคริสต์ และเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ๙ เมื่อนั้นของ ประทานและพระคุณทุกอย่างที่เคยเป็นของศาสนาจักรของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็น ของศาสนาจักรนั้น5

พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาศาสนาจักรของพระองค์ ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจแห่งมรรตัยของพระองค์ แต่ผู้คนตกไปสู่การละทิ้งความเชื่อหลังจากการสิ้นพระชนม์ และการฟ้นคืนพระชนม์ได้ไม่นาน

พระเยซูคริสต์…ทรงนำพระกิตติคุณไปให้ชาวยิวและทรงสถาปนาอาณาจักร ของพระองค์ในบรรดาพวกเขา อาณาจักรดังกล่าวมาพร้อมของประทาน พระคุณ และพลังอำนาจทั้งหมด คนป๋วยได้รับการรักษา ผีปีศาจถูกขับออก และของ ประทานประจักษ์ชัดในบรรดาพวกเขา แต่ชาวยิวปฏิเสธพระองค์ และสังหาร พระองค์ในที่สุด…พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์ ครั้นแล้วตามพระบัญชา พระกิต ติคุณนี้จึงไปถึงคนต่างชาติ6

เมื่อมอบอาณาจักรให้คนต่างชาติ พระองค์ทรงมอบพร้อมอัครสาวกและ ศาสดา พร้อมพลังอำนาจในการรักษา พร้อมการเปีดเผยโดยตรงจากพระผู้เป็น เจ้า ของประทานและพระคุณทุกอย่างที่ชาวยิวเชื่อและได้รับขณะที่เขายังคงซื่อ สัตย์ เมื่อไปถึงคนต่างชาติ อาณาจักรดังกล่าวมีองค์กรครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เมื่อ เวลาล่วงไป พวกเขาเปลี่ยนแปลงพิธีการแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า และ ตกไปสู่ความไม่เชื่อแบบเติม และคงอยู่นานหลายศตวรรษโดยไม่มีระเบียบที่แท้ จริงของสวรรค์อยู่ในบรรดาพวกเขา…เมื่อเวลาล่วงไป ของประทาน พระคุณ และพลังอำนาจแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าถูกนำไป ผู้ประกอบพิธีการใน ศาสนาจักรสมัยโบราณของพระผู้เป็นเจ้าถูกสังหารเกือบหมด พวกเขาถูกสังหาร เพราะเพียรพยายามรักษาพิธีการให้บริสุทธี้ และพยายามสุดกำลังเพื่อสถาปนา หลักธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยไว้7

หลายศตวรรษผ่านไป มนุษย์หลายล้านคนเกิด อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก สิ้น ชีวิต และไปสู่โลกวิญญาณ และเท่าที่เรามีความรู้ไนเรื่องนี้ เราทราบว่าไม่มีแม้ จิตวิญญาณเดียวมีอำนาจออกไปในบรรดามนุษย์และปฏิบัติพิธีการของพระกิตติ คุณแห่งชีวิตและความรอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีคนดีหลายล้านคนผู้กระทำตาม ความเข้าใจดีที่สุดที่เขามี …ผู้ออกมาในวันเวลาของเขาและสั่งสอนพระกิตติคุณ ตามความสว่างที่เขาครอบครอง แต่เขาไม่มีอำนาจปฏิบัติพิธีการใดซึ่งมีผลหลัง จากความตาย เขามิได้ดำรงฐานะปุโรหิตอันศักดิ๙สิทธี้8

โลกเกือบสูญสิ้นความรู้เรื่องความจริง และเรื่องพระวิญญาณบริสุทธี้ซึ่งหลั่ง มาเพื่อนำมนุษยชาติในวิถีแห่งความจริง…ข้อเท็จจริงที่ว่า คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ ลุกขึ้นสถาปนาระบบและองค์กรโดยต่างก็อ้างว่าเปีนไปตามแผนแห่งความรอด แต่กลับคัดค้านกันเอง จนพวกเขาตั้งนิกายมากมายที่ล้วนมีประเด็นของหลักคำ สอนแตกต่างกัน พิสูจน์ไห้เห็นว่ามีบางสิ่งผิดพลาด9

หลังจากหลายร้อยศตวรรษของการละทิ้งความเชื่อ พระเจ้าทรงฟ้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ ผ่านศาสดาโจเซฟ สมิธ

พระกิตติคุณออกมาในสมัยของเราในรัศมีภาพ พลังอำนาจ ระเบียบ และ ความสว่างแท้จริงเช่นทุกครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคนที่พระองค์ทรงยอมรับอยู่ ในบรรดามนุษย์ องค์การและพระกิตติคุณเดียวกับที่พระคริสต์ทรงพลีพระชนม์ และอัครสาวกหลั่งเลือดพิสูจน์ได้รับการสถาปนาอีกครั้งในชั่วอายุนี้ มันมาได้ อย่างไร มาโดยการปฏิบัติศาสนกิจของเทพผู้บริสุทธึ๋จากพระผู้เป็นเจ้า ออกจาก สวรรค์ ผู้ [สนทนา] กับชายคนหนึ่ง และเปีดเผยให้เขารู้ถึงความมืดที่ห่อหุ้ม โลก และเผยให้รู้ถึงความมืดมิดที่ห้อมล้อมประชาชาติ เหตุการณ์เหล่านั้นที่ควร เกิดขึ้นในชั่วอายุนี้ และจะตามกันมาติดๆ แม้จนถึงการเสด็จมาของพระมาไซ ยา [ดู โจเซฟ สมิธ-ประวัติ 1:30–49] เทพสอนโจเซฟ สมิธให้รู้หลักธรรม เหล่านั้นซึ่งจำเปีนต่อความรอด และพระเจ้าประทานพระบัญญัติ ผนึกฐานะปุ- โรหิตให้ท่าน และประทานพลังอำนาจให้ท่านปฏิบัติพิธีการแห่งพระนิเวศของ พระเจ้า พระองค์ทรงบอกท่านว่าพระกิตติคุณมิได้อยู่ในบรรดามนุษย์ ไม่มีองค์ การแท้จริงของอาณาจักรของพระองค์ในโลกนี้ ผู้คนหันไปจากระเบียบที่แท้จริง เปลี่ยนแปลงพิธีการและฝ่าแนพันธสัญญาอันเป็นนิจ ตลอดจนสืบทอดคำโป้ ปดมดเท็จและสิ่งซึ่งหาประโยชน์อันใดมิได้ พระองค์ทรงบอกท่านว่าถึงเวลา แล้วที่ด้องวางรากฐานสำหรับการสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้าในบรรดา มนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สุดของโลกจะมาถึง10

โจเซฟ สมิธทำอะไรหลังจากได้รับฐานะปุโรหิตและพิธีการฐานะปุโรหิต ข้าพเจ้าจะบอกว่าท่านทำอะไร ท่านทำสิ่งซึ่งแม้จะล่วงเลยไปสิบเจ็ดศตวรรษ และห้าสิบชั่วอายุแล้วแต่บาทหลวงทั้งหลาย ศาสนาต่างๆ ของโลกคริสต์ศาสนา และคนทั้งโลกผนึกกำลังกันก็ไม่สามารถทำได้-แม้จะเปีนเด็กหนุ่ม [ไร้การ สืกษา] แต่ท่านมอบพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไห้โลกในความสมบูรณ์ ความชัดเจน และความเรียบง่ายตามที่พระผู้ทรงลิขิตและอัครสาวกของพระองค์ สอนไว้ ท่านมอบศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์และอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้า ซึ่งเปีนองค์การที่สมบูรณ์แบบตามที่เปาโลหมายถึง-มีสืรษะและเท้า แขนและ มือ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายครบถ้วนต่อหน้าสวรรค์และแผ่นดินโลก [ดู 1 โครินธ์ 12:12–28] เด็กหนุ่ม [ไร้การสืกษา] เช่นท่านทำสิ่งซึ่งผู้มีการสืกษาทั้ง หลายของโลกคริสต์ศาสนาทำไม่ได้มาเป็นเวลานานถึงสิบเจ็ดศตวรรษได้อย่างไร เพราะพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าผลักดันท่าน และท่านได้รับคำแนะนำจาก คนเหล่านั้นที่เคยสั่งสอนพระกิตติคุณอย่างเดียวกันเมื่ออยู่ในเนื้อหนัง และใน การนี้ท่านได้ทำให้สิ่งซึ่งคุณพ่อแอดัม อีนิค โมเสส อิไลอัส อิสยาห์ เยเรมีย์ พระเยซู และอัครสาวกของพระองค์พยากรณ์ไว้บังเกิดสัมฤทธิผล

เปาโลกล่าวไว้อย่างองอาจว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ๙เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับ ความรอด” [ดู โรม 1:16] สิทธิชนยุคสุดท้ายกล่าวได้เช่นกันว่า “เราไม่มีความ ละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ,, ข้าพเจ้าไม่มีความละอายที่จะกล่าวว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีความละอายที่จะเป็นพยานว่า ท่านได้รับการเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า และวางรากฐานของศาสนาจักรและอาณา จักรนี้บนแผ่นดินโลก เพราะนี่เป็นความจริง และชายหรือหญิงคนใดก็ตามที่ได้ รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธี้จะเห็นและเข้าใจเรื่องดังกล่าว

…ท่านมีชีวิตอยู่จนกระทั่งได้รับกุญแจ พิธีการ และกฎทั้งหมดที่เคยไห้มนุษย์ บนแผ่นดินโลกนับแต่คุณพ่อแอดัมลงมาจนถึงสมัยการประทานนี้ ท่านได้รับ พลังอำนาจและกุญแจภายใด้มือโมเสสเพื่อรวบรวมเชื้อสายอิสราเอลในยุคสุด ท้าย ท่านได้รับกุญแจแห่งการผนึกภายใต้มือ [อิไลจะ] เพื่อหันใจบรรพบุรุษ มาหาลูกหลานและหันใจลูกหลานไปหาบรรพบุรุษ ท่านได้รับฐานะอัครสาวก และทุกสิ่งที่เป็นของฐานะนั้นภายใต้มือเปโตร ยากอบ และยอห์น ท่านได้รับ กุญแจ และพลังอำนาจทั้งหมดซึ่งเรียกร้องจากไม้ของโจเซฟในมือเอฟราอิม ภายใต้มือโมโรไน ท่านได้รับฐานะปุโรหิตแห่งแอรันพร้อมกุญแจและพลังอำนาจ ทั้งหมดของฐานะปุโรหิตนั้นภายใต้มือยอห์นผู้ถวายบัพติศมา พร้อมด้วยกุญแจ อื่นและพลังอำนาจอื่นทั้งหมดที่เป็นของสมัยการประทาน และข้าพเจ้าไม1มี ความละอาย ที่จะกล่าวว่าท่านเป็นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า11

โจเซฟ สมิธแทนที่จะมีชีวิตสักประมาณหนึ่งพันปีเช่นแอดัม แต่กลับมีชีวิต เพียงสามสิบแปดปี ท่านนำบันทึกของไม้ของโจเซฟในมือเอฟราอิมออกมา- นนคือประวัติศาสตร์ของผู้อาศัยแต่โบราณในทวีปนี้ โดยพลังอำนาจของพระผู้ เป็นเจ้า ท่านแปลบันทึกดังกล่าว และจัดพิมพ์ไนหลายภาษา นอกจากนี้ ท่าน ยังได้จัดองค์กรศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายบนรากฐาน ของอัครสาวกและศาสดาด้วย โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก [ดู เอเฟซัส 2:20] ผู้ชายได้รับการวางมือแต่งตั้งสู่ฐานะปุโรหิตและถูกส่งออกไปจากหลาก หลายสาขาอาชีพเพื่อน่าพระกิตติคุณนี้ไปสู่โลก พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกโจเซฟ สมิธว่าท่านได้รับเรียกให้ตัดแต่งสวนองุ่นอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการเสด็จมา ของบุตรมนุษย์ [ดู ค.พ. 24:19] นับแต่นั้นเป็นด้นมา เอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอล หลายพันคนถูกส่งออกไปในโลกเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณ…ขอให้มนุษย์ทุกคน อ่านการเปีดเผยในพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา ซึ่งประทานผ่านท่าน ระหว่างเวลาอันน้อยนิดที่ท่านอยู่ในเนื้อหนัง พระคัมภีร์เล่มนี้เป็นบันทึกที่มื ความเป็นเลิศเล่มหนึ่งที่มนุษย์สักคนหนึ่งจะให้แก่ครอบครัวมนุษย์ ไม่เพียงเท่า นี้ ท่านยังได้จัดตั้งเอ็นดาวเมนท์และทำงานอื่นอีกมากมาย ใครเลยจะทำได้มาก กว่าท่านในช่วงเวลาไม่นานนักที่ท่านอยู่ในเนื้อหนัง ข้าพเจ้าได้รับเอ็นดาวเม้นท์ ภายใต้มือท่าน ท่านน่าพิธีการทั้งหลายทั้งปวงเหล่านื้ที่เคยให้สิทธิชนยุคสุดท้าย ออกมา โดยแท้แล้ว นี่คือปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์ที่ท่านกระทำเท่าที่ทำได้12

เวลานี้เราได้รับสิทธิพิเศษให้เดินในความสว่าง ของพระกิตติคุณที่ได้รับการพื่นฟู

ข้าพเจ้าถือว่าใครก็ตามที่ได้รับพรจากพระเจ้าพระองค์ย่อมทรงเปีดเผยพระ กิตติคุณของพระเยซูคริสต์แก่เขา พระองค์ย่อมประทานฐานะปุโรหิตศักดี้สิทธี้ และอำนาจประกอบพิธีการแห่งพระนิเวศของพระองค์แก่เขา…ข้าพเจ้าถือว่านี่ คือฐานะของเราในป้จจุบัน เราได้รับสิทธิพิเศษให้เดินในความสว่าง เราได้รับ สิทธิพิเศษให้เข้าใจและรู้ความจริง ให้รู้หนทางสู่ความรอดและความสูงส่งในที่ ประทับของพระบิดาและพระผู้เป็นเจ้าของเรา เราอยู่ในฐานะที่จะรู้พระดำริและ พระประสงค์ของพระองค์ผ่านศาสดาผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าประทานครูผู้ สอนและผู้ได้รับการดลใจแก่เรา ชายผู้ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณและพลัง อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ห่อหุ้มไว้ด้วยความจริง และได้รับการประสาทพรด้วย ปัญญาเพื่อสอนเราตลอดเวลาถึงวิถีที่เราควรเดิน นี่คือพรประเสริฐ13

ขณะครุ่นคิด…ถึงสภาพของครอบครัวมนุษย์ และเห็นว่าสถานการณ์ของเรา ช่างแตกต่างจากของมวลมนุษย์เหลือเกินนั้น ข้าพเจ้ารู้สีกว่าเราควรซาบซึ้งต่อ พระผู้มืพระคุณใหญ่หลวงของเรา มีมนุษย์หลายล้านครอบครัวมาประชุมกันใน ม้านหลายหลัง ในมหาวิหาร ในโบสถ์ใหญ่น้อยเพื่อจุดประสงค์ของการนมัสการ พระผู้เป็นเจ้า แต่ในบรรดาที่ประชุมมากมายเหล่านั้นจะมีสักแห่งหนึ่งไหมที่ผู้ คนมาอยู่กันพร้อมหน้าด้วยการเข้าใจความจริง ไม่นับเอ็ลเดอร์สิทธิชนยุคสุด ท้ายบางคนที่ได้รับเรียกให้ไปสั่งสอนผู้อาศัยของแผ่นดินโลก พวกเขามาอยู่กัน พร้อมหน้าโดยเข้าใจหลักธรรมของพระกิตติคุณเดียวกัน แผนแห่งความรอด เดียวกัน พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ในแบบและวิธีที่ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่ง เดียวกันหรือไม่

พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ผู้คนเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ด้วยศรัทธาหลากหลาย ประเภท และคำสอนหลายแบบซึ่งคัดค้านกันเองเช่นที่มีอยู่ในโลก แต่เราคือ ผู้คนที่ได้รับพร เรามีหลักธรรมแห่งเอกภาพและความเป็นหนึ่ง การปฏิบัติหลัก ธรรมเหล่านี้จะผูกพันเราไว้ด้วยกันและทำให้เราเป็นหนึ่งเดียว

สิทธิชนยุคสุดท้ายได้รับพรและเป็นอิสระเพราะหลักธรรมดังกล่าว ส่วนใหญ่ เราจะได้รับการปลดปล่อยจากความยุ่งยากและความยุ่งเหยิงเหล่านั้น คำสอน เท็จ ความมืด ความผิดพลาดและการเชื่อถือโชคลางซึ่งบดบังความคิดเราจน กระทั่งความสว่างประจักษ์ต่อลูกหลานมนุษย์ที่อยู่ในความมีด เพราะเราต่างก็ เป็นเช่นนั้น พวกเราส่วนใหญ่พากันคลานอยู่ในความมืดจนกระทั่งมีแสงสว่าง เจิดจ้าเข้ามา แม้เราจะซื่อสัตย์และถูกกระตุ้นด้วยความรู้สืกดีที่สุดและศักดิ้สิทธิ๙ ที่สุด แต่โลกยังคงเหมือนคนตาบอดที่คลำหากำแพงจนกระทั่งความสมบูรณ์ของ พระกิตติคุณได้รับการเปีดเผย [ดู อิสยาห์ 59:9–11] เราไม่มีอัครสาวก ไม่มี ศาสดา เราไม่มีผู้ได้รับการดลใจให้ลุกขึ้นบอกเราว่าต้องทำอย่างไรจึงจะรอด และเราต้องฟ้นฝ่าความยุ่งยาก ความทุกขเวทนา และความมืดทั้งมวลที่ลูก หลานมนุษย์ประสบขณะมีชีวิตอยู่ภายใต้คำสอนเท็จ ขนบประเพณีเท็จ และผู้ สอนเท็จ …

เราได้รับการปลดปล่อยจากสิ่งเหล่านี้ เมฆหมอกแห่งความมืดถูกน่าไปจากเรา และความสว่างแห่งความจริงนิรันดร์เริ่มฉายส่องความคิดเรา …

ข้าพเจ้าถือว่าพรประเสริฐสุดประการหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ลูกหลาน มนุษย์คือการชี้ให้เขาเห็นความจริงที่แจ้งชัด …

ชายหรือหญิงที่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าหรือเกี่ยวกับนิรันดรจนกระทั่ง โจเซฟ สมิธเปีดเผยความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะอ่านเรื่อง เหล่านั้นในพระคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ ซึ่งปัจจุบันเราเชื่อและยอมรับ แต่ข้าพเจ้าถูก ห้อมล้อมด้วยฃนบประเพณีของโลกและไม่อาจเข้าใจเรื่องดังกล่าวได้

บัดนี้เราได้รับการสอนครั้งแล้วครั้งเล่าถึงหลักธรรมที่แจ้งชัดแห่งพระกิตติคุณ ของพระเยซูคริสต์ แผนแห่งความรอด-วิธีดำเนินชีวิตเพื่อให้ได้รับความเห็น ชอบจากพระบิดาในสวรรค์ของเรา นี่ไม่ใช่พรเหนือพรทั้งหมดหรอกหรือ หาก คนพวกนี้เข้าใจพรของเขา เขาจะไม่มีช่วงไร้ความสุขเลย หากคนพวกนี้เข้าใจ ฐานะของตนและความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเขากับพระผู้เป็นเจ้า เขาคงจะรู้สืก พอใจอย่างยิ่ง และเขาคงจะตระหนักว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเมตตาเรา และพระองค์ได้ประสาทพรอันสูงส่งและลํ้าเลิศให้แก่เราอย่างมากมาย14

ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้ของโลก เมื่อหูของข้าพเจ้าได้ยินเสืยงความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระคริสต์15

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่ หน้า ⅴ-ⅸ

  • ทบทวนเรื่องราวในหน้า 1-3 อะไรขาดหายไปจากชีวิตของโรเบิร์ต เมสัน เรื่องนี้สอนอะไรเกี่ยวกับการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่และการฟ้นฟูพระกิตติ คุณ

  • สืกษาหน้า 3-5 เพื่อหาลักษณะเด่นของศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเจ้า เหตุ ใดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ศาสนาจักรต้องได้รับการสถาปนาตามรูปแบบเดิม เสมอ

  • จากคำพูดของประธานวูดรัฟฟ็ อะไรนำไปส่การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ ผลจากการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่มีอะไรบ้าง (ดูหน้า 4-5) ผลดังกล่าว ปรากฎให้เห็นในทุกวันนี้อย่างไร

  • ทบทวนหน้า 5-8 เพื่อหาความสำเร็จบางประการของศาสดาโจเซฟ สมิธใน การฟ้นฟูพระกิตติคุณ ความสำเร็จของศาสดาโจเซฟมีอิทธิพลต่อชีวิตท่าน อย่างไร

  • อ่านข้อความที่เริ่มตรงมุมล่างสุดของหน้า 6 เราจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่า เราไม่มีความละอายในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟ้นฟูของพระเยซูคริสต์

  • สังเกตคำว่า ความมืด และ ความสว่าง ในหน้า 8-10 ท่านเรียนรู้อะไรจาก การที่ประธานวูดรัฟฟ้ใช้คำเหล่านี้ อะไรจะขาดหายไปจากชีวิตท่านหากท่าน ไม่น้อมรับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟ้นฟู

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: อิสยาห์ 29:10–14; อาโมส 8:11–12; มอรมอน 1:13–14; ค.พ. 128:19–21

อ้างอิง

  1. “Leaves from My Journal,” Millennial Star, May 23, 1881, 334–35.

  2. Deseret News: Semi-Weekly, July 1, 1866, 2.

  3. The Discourses of Wilford Woodruff, sel. G. Homer Durham (1946), 24.

  4. Deseret News: Semi-Weekly, January 12, 1875, 1.

  5. ใน Brian H. Stuy, comp., Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92),3:63.

  6. Deseret News: Semi-Weekly, June 13, 1882, 1.

  7. Deseret News, March 21, 1855, 10.

  8. ใน Collected Discourses, 2:285.

  9. Deseret News, September 26, 1860, 234.

  10. Deseret News, March 21, 1855, 10.

  11. Deseret News: Semi-Weekly, November 25, 1873, 1.

  12. ใน Collected Discourses, 4:71.

  13. Deseret News, December 26, 1860, 338.

  14. Deseret News, January 6, 1858, 350.

  15. Deseret News: Semi-Weekly, December 28, 1875, 1.

Joseph Smith’s First Vision

โดยเริ่มต้นจาทภาพปรากฏครั้งแรกของโจเซฟ สมิธ “พระกิตติคุณออกมา ไนสมัยของเราในรัศมีภาพ พลังอำนาจ ระเบียบ และความสว่างแท้จริง”

Christ and the apostles

“พระเยซูคริสต์… ทรงนำพระกิตติคุณมาให้ชาวยิวและสถาปนาอาฌาจักร ของพระองค์ในบรรดาพวกเขา,,

Prophet Joseph Smith receiving the apostleship

ศาสดาโจเซฟ สมิธ “ได้รับฐานะอัครสาวกและทุกสิ่งที่เป็นของฐานะ นั้นภายโต้มือเปโตร ยากอบ และยอห์น”