บทที่ 14
ระลึกสิงมรดก ฑางวิญญาณของ!รา
เรื่องราวการเสียสละและศรัทธาของสิทธิชนยุคสุดท้ายยุคแรก เป็นแรงบันดาลใจให้เราพากเพียรมากขึ้นโนการรักษาพันธสัญญา และเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
จากชีวิตของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
ขณะ สอนสมาชิก’ของศาสนาจักร ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟมักกล่าวยํ้า เรื่องราวที่เกี่ยวกับศรัทธาและความกล้าหาญของสิทธิชนยุคสุดท้ายยุคแรก ท่าน ขอร้องคนในชั่วอายุของท่านให้ดำเนินต่อไปในศรัทธาอีกทั้งแนะนำอนุชนรุ่น หลังให้เจริญรอยตามแบบอย่างของบรรพชน—“นึกถึงความเหนื่อยยาก ความ กังวล และความยากลำบากที่บรรพชน [ของเขา] สู้ทนเพื่อวางรากฐานแห่งไช อันของพระผู้เปีนเจ้าของเรา”1 ท่านกล่าวว่า “เป็นโดยพระเมตตา [ของพระผู้ เป็นเจ้า] ที่เราได้รับการนำทางจวบจนปัจจุบัน พรของพระผู้เป็นเจ้าเพิ่มทวีบน สืรษะเราปีแล้วปีเล่า เราได้รับมากกว่าที่สมควรมอบให้เรา คำแนะนำและคำสั่ง สอนที่ให้เราล้วนแล้วแต่ดี ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะมีปัญญา และไม่ปล่อยให้เรื่อง เหล่านั้น ผ่านเลยไปเหมือนนิทานไร้สาระ แต่พิสูจน์ความจริงของเรื่องดังกล่าว และพร้อมรับทุกสิ่งที่เรียกร้องจากมือเรา”2
เนื้อหาบทนี้ประกอบด้วยเรื่องราวของประธานวูดรัฟฟเกี่ยวกับเหตุการณ์สำ กัญสีอย่างในชีวิตล่วนดัวฃองท่านและในประวัติศาสตร์ของศาสนาจักร ได้แก่ (1) ค่ายไซอัน (2) การวางศิลามุมเอกพระวิหารแห่งหนึ่งที่เมืองฟาร์เวสต์ รัฐ มิสซูรี (3) การรักษาคนป่วยในเมืองคอมเมิร์ซ รัฐอิลลินอยส์ และเมืองมอน โทรส รัฐไอโอวา และ (4) ผู้บุกเบิกมาถึงหุบเขาซอลท์เลค เรื่องราวเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวิญญาณสำหรับสมาชิกทุกคนของศาสนาจักรของ พระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย
คำสอนทเองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
ค่ายไซอัน
คริสต์ศักราช 1833 สิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าถูกกลุ่มคนที่ไม่เคารพกฎ หมายขับไล่ออกจากแจ็คสันเคาน์ตี้ รัฐมิสซูรีไปที่เคลย์เคาน์ตี้…บ้านเรือนของ พวกเขาถูกเผาและทรัพย์สินถูกทำลาย พวกเขาถูกขับไล่ข้ามแม่’นา [มิสซูรี] ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เพนนีเดียวและยากจนข้นแค้น สภา [ในเขตนั้น] ต้องการ อาสาสมัครเดินทางหนึ่งพันไมล์ไปพบศาสดาที่เคิรฺทแลนด์เพื่อขอคำแนะนำว่า จะทำอะไรต่อไป พาร์ลีย์ พี. แพรทท์ ซึ่งเวลานี้ขาดแคลนป้จจัยเกื้อหนุนทาง โลก และไลมัน ไวท์ ผู้ที่ภรรยาเขานอนอยู่ข้างท่อนซุงในป่ากับลูกน้อยอายุ สามวัน ไม่มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือที่พักอาศัย คนทั้งสองอาสาไปพบ ศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า…
เมื่อเอ็ลเดอร์แพรทท์และเอ็ลเดอร์ไวท์มาถึงเคิร์ทแลนด์ เขาได้เล่าเรื่องราว ความทุกข์ยากลำบากให้ศาสดาโจเซฟฟ้ง ท่านทูลถามพระเจ้าว่าควรทำอย่างไร พระเจ้าทรงบอกท่านให้ไปรวบรวมกำลังคนของบ้านพระเจ้า ทั้งคนวัยหนุ่มและ วัยกลางคนให้ขึ้นไปไถ่ไซอัน…พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ไห้พวกเขารวบ รวมคน 500 คน แต่จะไม่ไปจนกว่าจะได้อย่างน้อย 100 คน [ดู ค.พ. 103] สิทธิชนของพระเจ้ารวบรวมคนได้ 205 คน ส่วนใหญ่ชุมนุมกันที่เคิร์ทแลนด์ ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1834…เราถูกจัดเป็นคณะ มีหัวหน้าดูแลแต่ละคณะและ ศาสดาของพระผู้เป็นเจ้านำคณะที่ประกอบด้วยชาย 205 คนแห่งค่ายไซอันเดิน ทางไกล 1,000 ไมล์
…คำแนะนำและพระดำรัสของพระเจ้าผ่านศาสดาของพระเจ้า และสัมฤทธิ ผลของพระดำรัสดังกล่าว พร้อมด้วยปีติและความเศร้าโศกของเราเกี่ยวกับภาพ ที่เห็นและเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนจารึกไวัในใจเราเสมือนจดจารด้วยปากกาเหล็ก บนแผ่นศิลา ประวัติศาสตร์จะคงอยู่ชั่วกาลนานและในนิรันดร3
ข้าพเจ้าอยู่ในค่ายไซอันกับศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเห็นการติดต่อ ของพระผู้เป็นเจ้ากับท่าน ข้าพเจ้าเห็นพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านคือศาสดา สิ่งที่ประจักษ์ต่อท่านโดยพลังอำนาจของพระผู้เป็น เจ้าในภารกิจนั้นมีค่ายิ่งต่อข้าพเจ้าและต่อทุกคนที่ได้รับคำสั่งสอนของท่าน ข้าพ เจ้าจะพูดถึงเหตุการณ์หนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะถึงมิสซูรี โจเซฟเรียกคนใน ค่ายมารวมกัน ที่นั่นท่านพยากรณ์ต่อเราและบอกเราถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ท่าน ให้เหตุผลว่าเหตุใดการตีสอนจึงอยู่ตรงหน้าเรา ท่านกล่าวว่า “ท่านคิดว่าข้าพเจ้า เป็นเด็ก ท่านไม่เข้าใจฐานะของข้าพเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า แต่มีการตี สอนอยู่ตรงหน้าค่ายนี้” ท่านบอกเราว่าการตีสอนจะเกิดกับเราเพราะเราไม่เชื่อ ฟ้งคำแนะนำของท่าน ในหนึ่งชั่วใมงหลังจากเรามาถึงมิสซูรีและตั้งค่าย…คน หนึ่งเริ่มล้มที่นึ่ อีกคนล้มที่นั่น และภายในไม่กี่นาทีมีคนสิบสองคนในค่ายของ เรานอนยาวเหยียดอยู่บนผ้าห่มเพราะอหิวาตกโรค เมื่อศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า เห็นเช่นนี้ ท่านรู้สืกสงสารพวกเขา ท่านกับไฮรัมวางมือบราเดอร์คาร์เตอร์ชาย คนแรกที่ล้มป๋วย แต่ทันทีที่วางมือ ท่านทั้งสองก็เป็นโรคนั้นด้วย และต้องออก จากค่าย ท่านกล่าวหลังจากนั้นว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเมื่อความทรมานมาเยือน ข้าพเจ้ายื่นมือออกไปยับยั้ง แต่ข้าพเจ้าเกือบเอา ตัวไม่รอด” ภารกิจดังกล่าวน่าสนใจมากสำหรับข้าพเจ้า4
ขณะที่เราเข้าใกล้เคลย์เคาน์ตี้ รัฐมิสซูรี พลเมืองในแจ็คสันเคาน์ตี้ไม่สบายใจ มาก และมีเรือข้ามฟากลำหนึ่งบรรทุกชายสิบสองคนข้ามแม่นํ้ามิสซูรีมาที่ลิเบอร์ ตี้ เคลย์เคาน์ตี้เพื่อเรียกประชุมผู้คนที่อาศัยอยู่ในสเตทเฮาส์ มีการปลุกระดมผู้ คนให้ออกไปทำลายค่ายมอรมอน แต่ชาวเมืองเคลย์เคาน์ตี้ไม่คิดจะทำเช่นนั้น …
แต่มีคนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันในแจ็คสันเคาน์ตี้ ทั้งทหารม้าและคนเดินเท้า พวกเขาข้ามแม่นํ้ามาที่เคลย์เคาน์ตี้เพื่อมาทำลายเรา เราตั้งค่ายทางฝืงตะวันออก ของแมนาฟิช’ชิง และพวกเขาตั้งใจจะต่อสู้กับเราที่นั่น เราพักแรมข้างโบสถ์แห่ง หนึ่งของนิกายแบ็พดิสต์ใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่งมองไม่เห็นเมฆแม้แต่ก้อนเดียว พอเราตั้งค่ายเสร็จ มีชายสองคนขี่ม้าเข้ามาแช่งด่าเรา…ขณะที่เขาขี่ม้าออกจาก ค่ายทางตะวันออก มีเมฆก้อนเล็กๆ ปรากฎอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่ง เริ่มขยายตัวราวกับม้วนกระดาษ ไม่นานผืนฟ้าเหนือศีรษะเราก็แผ่คลุมไปด้วย เมฆดำทะมึนเหมือนสืนํ้าหมึก พลันเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบ ฟ้าร้องครั่นครืน ฝนเทลงมาปานฟ้ารั่ว และลูกเห็บตกมามากมาย คนในค่ายของเราประมาณว่า ลูกเห็บมีขนาดเท่าไข1นกร็อบบิน ซึ่งไม่นานก็ปกคลุมแผ่นดินโลกราวกับผ้าคลุม สืฃาว พวกเราพากันวิ่งเข้าไปหลบภัยในโบสถ์ ศาสดาโจเซฟอยู่ในกลุ่มสุดท้าย ที่เข้ามา5
เมื่อศาสดาโจเซฟเข้ามาข้างใน ท่านสลัดนั้าออกจากหมวกและเสัอผ้าของ ท่านพลางกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย มีความหมายบางอย่างในเรื่องนี้ พระผู้เปีน เจ้าทรงอยู่ในพาย” เราร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า และนอนบนม้านั่งใต้ที่ กำบังตลอดคืน’นั้น ส่วนศัตรูของเราอยู่ในพายุบ้าคลั่ง6
แม่นํ้าที่เราข้ามมาเกือบแห้งอยู่แล้วตอนที่เราตั้งค่าย แต่บัดนี้นํ้าขึ้นสูงถึง ยี่สิบฟุต ทั้งนี้เพื่อศัตรูจากตะวันตกจะข้ามมาหาเราไม่ไต้ และทหารม้าซึ่งอยู่ ทางตะวันออกต้องหลบเข้าไปในอาคารเรียนหรือไม่ก็ที่ใดที่หนึ่งเพื่อหลบลูก เห็บยักษ์ที่ตกลงมา ลูกเห็บและพายุทำให้ม้าของพวกเขาวิ่งเตลิดเข้าป่าไปคนละ ทิศละทางไกลหลายพันไมล์ มีอานและบังเหียนติดไปด้วย และนานหลายวัน กว่าจะหาพบ7
มีรายงานว่า หัวหน้าคณะที่อยู่ในอาคารเรียนกล่าวว่าเป็นเรื่องแปลกที่พวกเขา ทำอะไรพวกมอรมอนไม่ได้เลย เพราะทุกครั้งจะต้องมีพายุลูกเห็บหรือไม่ก็สิ่ง อื่นมาขัดขวางการกระทำของพวกเขา แต่พวกเขาไม่คิดจะยอมรับว่าพระผู้เป็น เจ้าทรงต่อสู้แทนเรา8
เราขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงต่อสู้แทนเราและทรงปลดปล่อยเรา และศัตรู ของเราไม่พยายามมาต่อสู้กับเราอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น (วันที่ 22 มิถุนายน) พระเจ้าประทานการเปีดเผย ณ แม่นํ้า ฟิชชิง ซึ่งบันทึกไวัในคำสอนและพันธสัญญาภาค 105 [ดู ข้อ 9–14 พระเจ้า ทรงยกเลิกภารกิจแต่แรกของค่ายไซอัน] นับจากวันนั้นใจของผู้คนในเคลย์เคาน์ ตี้อ่อนโยนลง และเรายังคงเดินทางเข้าไปในเขตนั้นเพื่อตั้งค่ายพักแรมเป็นครั้ง สุดท้าย… ที่นั่นเราเผชิญความทุกข์ทรมานพอสมควรตามสัมฤทธิผลแห่งพระดำ รัสของพระเจ้าผ่านปากโจเซฟศาสดา…
หลังจากหยุดพักได้ไม่กี่วันและจัดระเบียบศาสนาจักรในเคลย์เคาน์ตี้แล้ว ศาสดาโจเซฟกลับไปที่เคิร์ทแลนด์พร้อมสมาชิกค่ายไซอันที่มีครอบครัว ส่วนคน ที่ไม่มีครอบครัวยังคงพักอยู่ที่มิสซูรีจนกว่า [เรา] จะไปยังภูมิภาคอื่นของประ เทศเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณของพระคริสต์9
เมื่อสมาชิกค่ายไซอันได้รับเรียก พวกเราหลายคนไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เราต่างเป็นคนแปลกหน้าและหลายคนไม่เคยเห็นศาสดา เรากระจายกันไปทั่ว ประเทศเหมือนเมล็ดข้าวโพดถูกร่อนในตะแกรง เรายังหนุ่มแน่น และได้รับการ ขอร้องในยุคแรกนั้นให้ขึ้นไปไถ,ไซอัน และสิ่งใดที่ด้องทำ เราต้องทำด้วย ศรัทธา พวกเราจากรัฐต่างๆ มาชุมนุมกันที่เคิร์ทแลนด์และขึ้นไปไถ่ไซอันตาม สัมฤทธิผลแห่งพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าที่มาถึงเรา พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับ งานของเราเฉกเช่นพระองค์ทรงยอมรับงานของเอบราแฮม เราประสบความสำ เร็จมากมาย แม้ผู้ละทิ้งความเชื่อและผู้ไม่เชื่อจะถามหลายครั้งว่า “พวกคุณทำ อะไรลงไป” เราไต้รับประสบการณ์ที่เราจะไม่มืวันหาไต้ในวิธีอื่น เรามีโอกาส เห็นหน้าศาสดา เรามีโอกาสเดินทางไปกับท่านหลายพันไมล์ เห็นพระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้าทำงานกับท่าน เห็นการเปีดเผยของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงท่าน และสัมฤทธิผลของการเปีดเผยเหล่านั้น10
ประสบการณ์ที่ [เรา] ได้จากการเดินทางในค่ายไซอันมีค่ายิ่งกว่าทองคำ และ ประวัติศาสตร์ของค่ายนั้นจะสืบทอดต่อไปจนถึงอนุชนรุ่นสุดท้ายของมนุษยชาติ11
การวางศิลามุมเอกพระวิหารแห่งหนึ่งในเมืองฟาร์เวสฬ์ รัฐมิสซูรี
หมายเหตุ: วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1838 พระเจ้าทรงเปีดเผยฝานศาสดาโจเซฟ สมิธว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมของศาสนาจักรควรเริ่มสร้างพระวิหารในเมืองฟาร์ทสต์ รัฐมิสซูรี (ดู ค.พ. 115:7–10) พระองค์ทรงบัญชาคนเหล่านั้นไห้ “เริ่มวาง รากฐานใหม่อีกครั้ง”ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1839 หนึ่งปีพอดีนับจากวันที่ ได้รับการเปีดเผยนี้ (ดู ค.พ. 115:11) ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็อธิบายใน เวลาต่อมาว่า นี่คือพระบัญชาให้ “วางศิลามุมเอกของพระวิหาร”12 วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1838 ศาสดาโจเซฟ สมิธทูลวิงวอนว่า “ขอทรงแสดงพระ ประสงค์ของพระองค์ไห้พวกข้าพระองค์ โอ้พระเจ้า เกี่ยวกับสภาสิบสอง” (หัว เรื่องของ ค.พ. ภาค 118) พระเจ้าทรงมีพระดำรัสตอบโดยทรงเปีดเผยว่าไนฤดู ใบไม้ผลิปีหน้า สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองจะไปประเทศอังกฤษเพื่อสั่ง สอนพระกิตติคุณ โควรัมดังกล่าวต้องมาประชุมกัน ณ สถานที่ก่อสร้างพระวิหาร ในฟาร์เวสต์วันที่ 26 มมายน ค.ศ. 1839 เพื่อส่งสัญญาณการเริ่มต้นพันธกิจ ดังกล่าว พวกเขาดำเนินการแต่งตั้งเอ็ลเดอร์จอห์น เทย์เลอร์ เอ็ลเดอร์จอห์น อี. เพจ เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ และเอ็ลเดอร์วิลลาร์ด ริชาร์ดส์ เข้าดำรง ตำแหน่งว่างในโควรัมอัครสาวกสิบสองด้วย (ดู ค.พ. 118:4–6)
ช่วงที่ได้รับการเปีดเผยดังกล่าว [ค.ศ. 1838] มีความสงบสุขอยู่ทั่วไปไน เมืองฟาร์เวสต์ รัฐมิสซูรี เมืองที่สิทธิชนยุคสุดท้ายส่วนไหญ1อาศัยอยู่ แต่ก่อน เวลาที่การเปีดเผยจะบังเกิดสัมฤทธิผล สิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าถูกขับไล่จาก รัฐมิสซูรีไปรัฐอิลลินอยส์ภายใต้คำสั่งของผู้ว่าการบ็อกก์ส และชาวมิสซูรีสาบาน ว่าแม้การเปีดเผยต่างๆ ของโจเซฟ สมิธสัมฤทธิผล แด’การเปีดเผยดังกล่าวจะ ไม่สัมฤทธิผล การเปีดเผยระบุวันและสถานที่ที่อัครสาวกสิบสองจะจากสิทธิ ชนข้ามแม่นํ้ากว้างใหญ่ไปทำงานเผยแผ่ และฝูงชนในมิสซูรีประกาศว่าเขาจะ ต้องได้เห็นว่าการเปิดเผยไม่สัมฤทธิผล…
เมื่อใกล้ถึงเวลาสัมฤทธิผลตามพระบัญชาดังกล่าวของพระเจ้า บริคัม ยัง เป็นประธานของอัครสาวกสิบสอง [โธมัส] บี. มาร์ชผู้เป็นอัครสาวกอาวุโสตก ไปแล้ว บราเดอร์บริคัมเรียกอัครสาวกสิบสองที่เวลานั้นอยู่ในเมืองควินซี รัฐอิล ลินอยส์มาสอบถามว่าพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการไปฟาร์เวสต์ตามการเปิด เผย ขณะนั้นศาสดาโจเซฟและไฮรัมพี่ชาย ซิดนีย์ ริกดัน ไลมัน ไวท์ และ พาร์ลีย์ พี. แพรทท์อยู่ในคุกที่มิสซูรี แต่คุณพ่อโจเซฟ สมิธ [ซีเนียร์] ผู้ประ สาทพร อยู่ที่เมืองควินซี รัฐอิลลินอยส์ เขากับคนอื่นๆ ที่นั่นคิดว่าพวกเราไม่ ควรเดินทางขณะที่ชีวิตเราตกอยู่ในอันตราย พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงยอม รับความตั้งใจของเขา แต่เมื่อประธานยังถามอัครสาวกสิบสองว่าพวกเขารู้สืก อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราทุกคนตอบเป็นเสืยงเดียวกันว่าพระเจ้าพระผู้ เป็นเจ้าตรัส และเราต้องเชื่อฟ้ง พระเจ้าทรงมีหน้าที่ดูแลผู้รับใช้ของพระองค์ และเราจะต้องทำตามพระบัญชาหรือไม่ก็ยอมตาย
เพื่อให้เข้าใจถ่องแท้ถึงอันตรายที่อัครสาวกสิบสองเผชิญระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้ ผู้อ่านของข้าพเจ้าควรจำไว้ว่า ลิลเบิร์น ดับเบิลยู. บ็อกก์สผู้ว่าการรัฐมิส ซูรีได้ประกาศให้สิทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนออกจากรัฐนั้นหาไม่แล้วจะถูกกำจัด ให้สิ้นซาก เมืองฟาร์เวสต์ถูกทหารยึด ซึ่งแท้ที่จริงก็คือกลุ่มชนที่ก่อความวุ่น วายรวมตัวกันนั่นเอง ประชาชนถูกบังกับให้ปลดอาวุธ ผู้นำทุกคน [ของศาสนา จักร] ถูกจับเปีนนักโทษ สิทธิชนคนอื่นๆ—ชาย หญิง และเด็ก—ต้องหลบหนี ออกจากรัฐเพื่อให้ตนรอดชีวิต ทิ้งบ้านเรือน ที่ดิน และทรัพย์สินซึ่งไม่อาจนำ ติดตัวไปด้วยให้ตกอยู่ในมือกลุ่มชนดังกล่าว พวกเขายิงปศุสัตว์และสุกรของ สิทธิชนทุกแห่งที่หาพบและปล้นเกือบทุกอย่างที่หอบหิ้วไปได้ สิทธิชนยุคสุด ท้ายถูกปฏิบัติด้วยความทารุณโหดร้ายและต้องอดทนกับการทารุณกรรมมากมาย หลายคนออกจากรัฐด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด โดยเฉพาะผู้มืชื่อเสียง เพราะเวลานั้นหลายคนในรัฐกระทำราวกับว่าการยิง “มอรมอน” มิได้เสียหาย มากไปกว่าการยิงสุนัขบ้า…
เมื่อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะดำเนินตามข้อเรียกร้องของการเปีดเผย…เราจึงเริ่ม ที่ฟาร์เวสต…
เช้าวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1839 แม้ศัตรูของเราจะขู่ว่าการเปิดเผยซึ่งด้อง สัมฤทธิผลในวันนี้จะไม่เป็นไปตามนั้น และถึงแม้ว่าสิทธิชนหนึ่งหมื่นคนจะถูก ขับไล่ออกจากรัฐโดยคำสั่งของผู้ว่าการ และแม้ศาสดาโจเซฟกับไฮรัม สมิธ พี่ชาย พร้อมด้วยผู้นำคนอื่นๆ จะอยู่ในมือศัตรู ทั้งถูกล่ามโซ่และอยู่ในคุก แต่ เรายังคงเดินหน้าไปยังสถานที่ก่อสร้างพระวิหารในเมืองฟาร์เวสต์ ประชุมปรึกษา หารือกัน ทำตามการเปิดเผยและพระบัญชาที่ประทานแก่เรา และดำเนินการอีก หลายเรื่อง ณ ที่ประชุมแห่งนี้…
หลังจากกล่าวลาสิทธิชนส่วนน้อยที่ยังอยู่บริเวณสถานที่ก่อสร้างพระวิหาร เพี่อดูเราทำตามการเปิดเผยและพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เราหันหลังออก จากฟาร์เวสต์และมิสซูรีกลับไปอิลลินอยส่ เราทำพันธกิจสำเร็จโดยไม่มีสุนัข มาข่มขู่ [ดู อพยพ 11:7] หรือมีใครมาพูดว่า “คุณทำอย่างนั้นทำไม”
เราข้ามแม่นํ้ามิสซิสซิปปีด้วยเรือยนต์ข้ามฟากไปถึงควินชีวันที่ 2 พฤษภาคม เราต่างก็มีความสุขที่ได้พบครอบครัวอีกครั้งท่ามกลางความสงบและปลอด ภัย13
การรักษาคนป๋วยที่เมืองคอมเมิร์ซ รัฐอิลลินอยส์ และเมืองมอนโทรส รัฐไอโอวา
ก่อนเริ่มงานเผยแผ่ของเราในประเทศอังกฤษ [ค.ศ. 1839] เรามีความจำเป็น ต้องลงหลักป้กฐานให้ครอบครัว สถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าคอมเมิร์ซ ต่อมามีชื่อ ว่านอวู ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ซึ่งคนของเราควรตั้งถิ่นฐานที่นั่น
ข้าพเจ้าออกจากควินซีพร้อมบราเดอร์บริคัม ยังและครอบครัวของเราเมื่อวัน ที่ 15 พฤษภาคม และมาถึงคอมเมิร์ซวันที่ 18 หลังจากสัมภาษณ์กับโจเซฟ เราข้ามแม่นํ้า [มิสซิสซิปปี] ที่เมืองมอนโทรส รัฐไอโอวา ประธานบริคัม ยัง กับข้าพเจ้า และครอบครัวเราได้อยู่ห้องหนึ่งกว้างประมาณสิบสืตารางฟุต ในที่ สุดบราเดอร์ยังได้อีกห้องหนึ่ง…จากนั้นบราเดอร์ออร์สัน แพรทท์กับครอบครัว ก็ย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกับข้าพเจ้าและครอบครัว
ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในห้องนี้ในโรงทหารเก่าๆ เราประสบกับวันแห่งพลังอำนาจ ของพระผู้เป็นเจ้าที่เกิดแก่ศาสดาโจเซฟ ช่วงนี้มีคนป่วยเยอะมากและโจเซฟได้ ยกบ้านของท่านในคอมเมิร์ซให้คนป่วย ส่วนตัวท่านอาศัยในกระโจมที่ตั้งอยู่ หน้าประตูบ้าน สิทธิชนถูกขับไล่ออกจากมิสซูรีมากขึ้น และมารวมกลุ่มกันใน คอมเมิร์ซ แต่ไม่มีบ้านให้อยู่ พวกเขาต้องอยู่ในเกวียน ในกระโจม และบนพื้น ดิน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงล้มป่วยเพราะตากแดดตากฝน บราเดอรเจเซฟอยู่ ปรนนิบัติรับใช้คนป่วยจนตัวท่านหมดแรงและเกือบป่วยตาม
เช้าวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1839 ท่านลุกขึ้นใคร่ครวญสถานการณ์ที่ เกิดขึ้นกับสิทธิชนของพระผู้เปีนเจ้าท่ามกลางการข่มเหงและความทุกข์ทรมาน ของพวกเขา และท่านเรียกหาพระเจ้าในการสวดอ้อนวอน พลังอำนาจของพระ ผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับท่านมาก พระเยซูทรงรักษาคนป่วยที่อยู่รายรอบพระองค์ใน สมัยนั้นฉันใด โจเซฟ ศาสดาของพระผ้เปีนเจ้าก็ได้รักษาทุกคนที่อยู่รายรอบใน โอกาสนี้ด้วยฉันนั้น ท่านรักษาทุกคนทงในบ้านและนอกบ้าน ท่านกับซิดนีย์ ริกดัน และอัครสาวกอีกหลายคนเดินไปในหมู่คนป่วยที่นอนเรียงรายอยู่ริมตลิ่ง และท่านสั่งพวกเขาด้วยเสียงอันดังในพระนามของพระเยซูคริสต์ไห้ลุกขึ้นและ หายเปีนปรกติ ทุกคนสุขภาพดีดังเดิม เมื่อรักษาทุกคนที่นอนป่วยอยู่ริมฝืงตะวัน ออกของแม่นํ้าแล้ว พวกท่านนั่งเรือข้ามแม่นํ้ามิสซิสซิปปีมาฝืงตะวันตก มายัง มอนโทรสเมืองที่เราอยู่ บ้านหลังแรกที่พวกท่านเข้าไปคือบ้านของบริคัม ยัง ขณะนั้นเขานอนป่วยอยู่บนเตียง ศาสดาเข้าไปในบ้านและรักษาเขา และทุกคน ออกมาพร้อมกัน ขณะเดินฝานประตูบ้านของข้าพเจ้า บราเดอร์โจเซฟพูดว่า “บราเดอร์วูดรัฟฟ็ ตามผมมา’, ไม่มืใครในคณะพูดนอกเหนือจากนี้ตั้งแต่ออก จากบ้านของบราเดอร์บริคัมจนเราข้ามลานสาธารณะไปที่บ้านของบราเดอร์ [อิ- ไลจา] ฟอร์ดแฮม บราเดอร์ฟอร์ดแฮมจวนจะสิ้นลมมาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว และ เราคิดว่าแต่ละนาทีนั้นจะเปีนนาทีสุดท้ายของเขา
ข้าพเจ้าร้สีกถึงพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังปกคลุมศาสดาของพระ องค์
เมื่อเราเข้าไปในบ้าน บราเดอรเจเซฟเดินไปหาบราเดอร์ฟอร์ดแฮม ท่านใช้ มือขวาจับเขา ส่วนมือซ้ายถือหมวก
ท่านเห็นว่าตาของบราเดอร์ฟอร์ดแฮมไม่ตอบสนอง เขาพูดไม่ออกและไม่ร้ สีกดัว
หลังจากจับมือเขา ท่านมองดูใบหน้าของชายที่จวนจะสิ้นลมและกล่าวว่า “บราเดอร์ฟอร์ดแฮม คุณจำผมไม่ได้หรือ” ตอนแรกเขาไม่โด้ตอบ แต่เราทุกคน เห็นผลแห่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ร่างนั้น
ท่านถามอีกว่า “อีใลจา คุณจำผมไม่ได้หรือ”
บราเดอร์ฟอร์ดแฮมตอบด้วยเสืยงแผ่วเบาว่า “จำได้ครับ”
ศาสดาถามต่อจากนั้นว่า “คุณไม่มีศรัทธาว่าจะหายหรือ”
เขาตอบชัดกว่าเดิมเล็กน้อยว่า “ผมเกรงว่าจะสายเกินไป ถ้าท่านมาเร็วกว่านี้ ผมคิดว่าผมคงจะหาย”
ท่านเห็นชายคนหนึ่งกำลังตื่นจากการหลับ นั่นคือการหลับของความตาย
โจเซฟถามต่อจากนั้นว่า “คุณไม่เชื่อหรือว่าพระเยซูคือพระคริสต์”
“ผมเชื่อ บราเดอร์เจเซฟ” คือคำตอบ
หลังจากนั้นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าพูดด้วยเสืยงอันตัง เสมือนหนึ่งด้วย พระบรมเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ว่า “อิไลจา ข้าพเจ้าบัญชา ท่านในพระนามของเยซูแห่งนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นและหายเป็นปรกติ”
ถ้อยคำของศาสดาไม่เหมือนถ้อยคำของมนุษย์ แต่เหมือนสุรเสืยงของพระผู้ เป็นเจ้า ดูเหมือนว่าบ้านจะสั่นไหวตั้งแต่ฐานราก
อิไลจา ฟอร์ดแฮมกระโดดลุกจากเตียงเหมือนคนฟืนจากความตาย สืหน้ามื เลือดฝาดและชีวิตปรากฎให้เห็นในทุกอิริยาบถ
เท้าของเขามี…ยาพอกอยู่ เขาสะบัดขาจนยากระจายเกลื่อน จากนั้นก็ร้องขอ เสิ้อผ้ามาสวม’ใส่ เขาขอขนมปังและนมหนึ่งชาม พอกินเสร็จก็สวมหมวก และ เดินตามเราออกไปที่ถนน ไปเยี่ยมคนอื่นๆ ที่เจ็บป่วย
ผู้ไม่เชื่ออาจถามว่า “ไม่มีการหลอกลวงในเรื่องนี้หรือ”
แม้จะมีการหลอกลวงใดๆ ในความคิดของผู้ไม่เชื่อ แต่’ใม่มีแน่นอนกับอิไล จา ฟอร์ดแฮมชายที่จวนจะสิ้นลม และกับผู้ที่อยู่กับเขา เพราะในอีกไม่กี่นาที นั้นเขาจะต้องไปอยู่ในโลกวิญญาณแน่นอนหากไม่ได้รับการช่วยชีวิต–
ทันทีที่เราออกจากบ้านของบราเดอร์ฟอร์ดแฮม เราเข้าไปในบ้านของโจเซฟ บี. โนเบิล เขาอ่อนแอมากและป่วยหนักถึงขั้นอันตราย เมื่อเข้าไปในบ้าน บรา เดอร์โจเซฟจับตัวเขา และสั่งเขาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้ลุกขึ้นและ หายเป็นปรกติ เขาลุกขึ้นและหายป่วยในทันที
ขณะที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ฝูงชนชั่วร้ายที่อยู่แถวนั้น…ตื่นตกใจ และตามเราเข้าไป ในบ้านของบราเดอร์โนเบิล
ก่อนพวกเขาจะไปถึงที่นั่น บราเดอร์เจเซฟได้ขอให้บราเดอร์ฟอร์ดแฮมสวด อ้อนวอน
ขณะที่บราเดอร์ฟอร์ดแฮมสวดอ้อนวอน ฝูงชนก็เข้ามาพร้อมวิญญาณชั่ว ทั้งหมด
พอพวกเขาเข้ามา บราเดอร์ฟอร์ดแฮมซึ่งกำลังสวดอ้อนวอนอยู่นั้นเกิดเปีน ลมล้มพับไปกับพื้น
เมื่อโจเซฟเห็นฝูงชนเข้ามาในบ้าน ท่านจึงลกขึ้นกำจัดทั้งคนชั่วกลุ่มนั้นและ มารร้ายที่อยู่กับพวกเขา บราเดอร์ฟอร์ดแฮมฟ้นขึ้นมาทันทีและสวดอ้อนวอน จนจบ
นี่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณร้ายมีพลังอำนาจเหนือร่างกายมนุษย์ สิทธิชนจะ รอดพ้นจากพลังอำนาจของมารก็ด้วยพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
บราเดอร์โนเบิลเป็นรายสุดท้ายที่หายป่วยในวันนั้น ซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่ที่สุด สำหรับปรากฎการณ์แห่งพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าผ่านของประทานแห่งการ รักษานับแต่การจัดตั้งศาสนาจักร14
ผู้บุกเบิกมาถึงทุบเขาซอลท์เลค
หมายเหตุ: ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1834 วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ได้ยินศาสดาโจเซฟ สมิธพยากรณ์ว่า “จะมีสิทธิชนหลายหมื่นคนมารวมกันในเทือกเขาร็อคกี้ และ ที่นั่นพวกเขาจะเปีดประตูรับการสถาปนาพระกิตติคุณในบรรดาชาวเลมัน ผู้จะ ได้รับพระกิตติคุฌ เอ็นดาวเม้นท์ และพรของพระผู้เปีนเจ้า คนกลุ่มนี้จะเข้าไป ในเทือกเขาร็อคกี้เขาจะสร้างพระวิหารถวายพระผู้สูงสุดที่นั่น”15 ในสัมฤทธิผล ของคำพยากรณ์ดังกล่าว สิทธิชนเริ่มตั้งกินฐานในหุบเขาซอลท์เลคอีก 13 ปีต่อ มา หลังจากถูกข่มเหงและถูกขับไล่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ซึ่ง ขฌะนั้นเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองคือคนหนึ่งในผู้บุกเบิกคณะแรกผู้ เดินทางไปถึงดินแดนใหม่ที่สัญญาไว้ โดยออกจากวินเทอร์ส ควอเทอร์ส รัฐ เนบราสกาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1847 และไปถึงหุบเขาซอลท์เลคในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1847
วันที่ 22 [กรกฎาคม ค.ศ. 1847] ออร์สัน แพรทท์ [จอร์จ] เอ. สมิธ และ คนอื่นๆ อีกเจ็ดคนขี่บ้าเข้าไปในหุบเขา โดยฝากฝืงคนในค่ายให้สร้างถนนตาม มา ประธานยังป่วย ข้าพเจ้าแบกท่านขึ้นมาบนเตียงที่สร้างไวัในรถม้าของข้าพ เจ้า และเราพักแรมอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ของคณะ…
วันที่ 24 ข้าพเจ้าขับรถม้าเข้าไปในหุบเขาโล่งกว้าง โดยมีประธานยังนอนอยู่ บนเตียง และคนที่เหลือในคณะตามมาติดๆ เมื่อเราออกจากซอกเขาจนเห็น ทัศนียภาพของหุบเขาเต็มตา ข้าพเจ้าเลี้ยวรถม้าให้ด้านข้างหันไปทางตะวันตก และประธานยังลุกจากเตียงมาสำรวจภูมิประเทศ ขณะจ้องมองทิวทัศน์ที่อยู่เบื้อง หน้า ท่านถูกโอบล้อมอยู่ในภาพปรากฎนานหลายนาที ท่านเคยเห็นทุบเขาใน ภาพปรากฎมาก่อน และครั้งนี้ท่านเห็นความรุ่งเรืองในอนาคตของไซอันและ อิสราเอลในหุบเขาท่ามกลางขุนเขาเหล่านี้ ดังที่มันจะเกิดขึ้น เมื่อภาพปรากฎ ผ่านไป ท่านกล่าวว่า “พอแล้ว นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง ไปต่อเถอะ” ข้าพเจ้า จึงขับรถม้าไปยังสถานที่ตั้งค่ายซึ่งผู้มาถึงล่วงหน้าได้สร้างไว้แล้ว
เมื่อเรามาถึง พวกผู้ชายเริ่มไถดิน ข้าพเจ้านำมันฝรั่งมาด้วยหนึ่งถังและตั้งใจ ว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะปลูกเสร็จ ข้าพเจ้าเอาลงดินเวลา 1 นาฬิกา และ มันฝรั่งเหล่านี้กับมันฝรั่งที่พี่น้องคนอื่นๆ ปลูกได้กลายเปีนฐานรากสำหรับผล เก็บเกี่ยวมันฝรั่งในอนาคตของยูท่าห์
ตอนเย็น ข้าพเจ้ากับฮีเบอร์ ซี. คิมบัลล์ [จอร์จ] เอ. สมิธ และอี. ที. เป็น สันขี่ม้าขึ้นไปบนซิตี้ครืก [แคนยอน] เพี่อหาไม้ซุง ขณะอยู่ที่นั่นเราได้ยินเสียง ฟ้าร้องเป็นพักๆ และฝนตกเกือบทั่วทั้งหุบเขา…
ตอนเช้าของวันที่ 28…ประธานยังปรึกษาหารือกับอัครสาวกสิบสอง และ เดินขึ้นไปเหนือที่พักแรมของเรา แล้วก็หยุดเดิน ชี้ไม้เท้าลงไปที่พื้น และพูด ว่า “ตรงนี้จะเปีนพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าของเรา” ที่ตรงนั้นอยู่ใกล้ๆ จุด ศูนย์กลางของสถานที่ก่อสร้างพระวิหาร [ซอลท์เลค]16
พระผู้เป็นเจ้าประทานพรเรา พระองค์ประทานพรแผ่นดินโลก ความอุตสาหะ ของเราในการไถดินประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง…ผืนดินแห้งผาก รกร้าง เต็มไป ด้วยตั๊กแตน จิ้งหรีด และสุนัขจิ้งจอก สิ่งเหล่านี้ลูเหมือนจะเป็นผลผลิตตาม ธรรมชาติเพียงอย่างเดียวของดิน เราไปไถดินด้วยศรัทธามิใช่ด้วยการมองเห็น เราทำคันไถหักเกือบทุกอันในวันแรก เราต้องปล่อยให้ธารนํ้าไหลรดดินให้ชุ่มชื้น และโดยอาศัยประสบการณ์เราเรียนรู้ที่จะปลูกทุกอย่าง คนแปลกหน้าเข้ามาใน ซอลท์เลคซิตี้และเห็นสวนผลไม้ของเรา เห็นต้นไม้ตามถนน เขาคิดว่านี่ช่าง เป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์และเพลิดเพลินเจริญใจเสียจริง ท่านไม่คิดเช่นนั้น เพราะต้นไม้เกือบทุกต้นที่ท่านเห็นตามอายุของมันต้องมีคนรดนํ้าให้สัปดาห์ละ สองครั้งตลอดฤดูร้อนเป็นเวลายี่สิบถึงยี่สิบสิ่ปี มิฉะนั้นมันคงจะตายนานแล้ว เราต้องเป็นหนึ่งเดียวคันในเรื่องเหล่านี้ พระเจ้าประทานพรความอุตสาหะของ เรา และพระเมตตาของพระองค์มีอย่เหนือคนเหล่านี้17
ในการเดินทางบุกเบิกมาที่นี่ [ส่หุบเขาซอลท์เลค] เราต้องมาด้วยศรัทธา เรา ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ แต่เราตั้งใจว่าจะมาให้ถึงเทือกเขา โจเซฟจัด คณะมาที่นี่ก่อนท่านจะเสียชีวิต ท่านมีสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงหน้า และเข้าใจอย่าง ถ่องแท้ พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยอนาคตของศาสนาจักรและอาณาจักรนี้ต่อท่าน และทรงบอกท่านครั้งแล้วครั้งเล่าว่างานซึ่งท่านกำลังวางรากฐานอยู่นี้จะกลายเป็น อาณาจักรอันเป็นนิจ—จะคงอยู่ตลอดกาล ประธานยังนำผู้บุกเบิกมาถึงประเทศ นี้ ท่านมีศรัทธาที่จะเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงคํ้าจุนเรา ทุกคนที่เดินทางมาครั้งนั้น ล้วนมีศรัทธาดังกล่าว พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา พระวิญญาณ บริสุทธึ๋สถิตกับเรา และเหล่าเทพของพระเจ้าอยู่กับเราและเราได้รับพร ทุกคน และมากเกินคาด ล้วนทราบดีว่าต้องมาที่นี่ตราบที่เวลาจะเอื้ออำนวย18
เรา ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า กำลังทำให้คำพยากรณ์บัง เกิดสัมฤทธิผลและสร้างประวัติศาสตร์…ศาสดาสมัยโบราณมองเห็นทั้งชีวิต ประวัติศาสตร์ และการเดินทางของเรา เมื่อผู้บุกเบิกเข้ามาในทะเลทรายแห้ง ผากแห่งนี้ และสิทธิชนตามเขามาเพื่อให้เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่ว่าทะเลทราย จะสะพรั่งดังดอกกุหลาบ [ดู อิสยาห์ 35:1] เพื่อหว่านธัญพืชข้างลำธารเล็กๆ และสายนํ้าทุกสาย เพื่อใช้ด้นไม้จำพวกสน และ [ด้น] หลิวเหลือง เพื่อตก แต่งสถานศักดี้สิทธิ๙’ของพระผู้เป็นเจ้า’ให้สวยงาม และทำที่รองพระบาทของ พระองค์ไห้รุ่งเรือง [ดู อิสยาห์ 60:13]…ขอให้เราขยายการเรียก เสริมสร้างไซ อันและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าจนกว่าจะสมบูรณ์พร้อมต่อท้องฟ้าและแผ่น ดินโลก และไม่ทำให้ผู้ทรงส่งเรามาผิดหวัง ทั้งผู้ที่เห็นเราในภาพปรากฎ และ การเปีดเผย แต่ขอให้เราไปถึงและบรรลุจุดหมายปลายทางของเราอันจะทำให้ พระบิดาบนสวรรค์ของเรา เหล่าเทพ และคนดีทั้งปวงพอใจ19
ข้อเลนอแนะส์าหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเดิมได้ที่ หน้า ⅴ-ⅸ
-
ทบทวนความเห็นของประธานวูดรัฟฟ้ในหน้า 139 เหตุ’ใดเราจึงควรเรียนรู้ เรื่องของสิทธิชนยุคสุดท้ายยุคแรก เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องราวของท่าน เหล่านั้นไป “ผ่านเลยไปเหมือนนิทานไร้สาระ” เราจะเก็บรักษาเรื่องราวจาก ชีวิตบรรพชนของเราไว้ได้อย่างไร
-
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ได้ประโยชนในทางใดจากประสบการณ์ของท่านในค่ายไซ อัน (ดูหน้า 140-143) ท่านคิดว่าประสบการณ์เหล่านี้ช่วยประธานวูดรัฟฟ็ เตรียมนำศาสนาจักรในช่วงชีวิตต่อมาได้อย่างไร ประสบการณ์ของท่านช่วย ท่านเตรียมรับใช้ในทางใด
-
เหตุใดสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองจึงร้สืกว่าควรไปสถานที่ก่อสร้างพระ วิหารในเมืองฟาร์เวสต์ รัฐมิสซูรี (ดู หน้า 143-146) เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง จากเรื่องนี้
-
ท่านเรียนรู้อะไรจากเรื่องการรักษาอิไลจา ฟอร์ดแฮมและคนอื่นๆ (ดูหน้า 146-150) เรื่องนี้ช่วยผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเม็ลคิเซเด็คเมื่อเขาเตรียมให้พร ผู้ป๋วยได้อย่างไร
-
การเดินทางของผู้บุกเบิกที่ไปยังหุบเขาซอลท์เลคสอนอะไรเกี่ยวกับศรัทธา ท่านเห็นหลักธรรมพระกิตติคุณเกี่ยวกับเรื่องไดอีกในชีวิตของผู้บุกเบิกยุค แรกเหล่านี้ (ดูหน้า 150-153)
-
มีใครบ้างในครอบครัวท่าน ในชุมชนหรือประเทศของท่าน ที่เป็นผู้บุกเบิก ยุคปัจจุบัน ผู้คนเหล่านี้ทำอะไรที่ให้ตนเป็นผู้บุกเบิก
-
สมาชิกทุกคนของศาสนาจักรแบ่งมรดกทางวิญญาณของสิทธิชนยุคสุดท้าย ยุคแรกด้วยวิธีใด
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวของ: ยากอบ 5:14–15; แอลมา 15:1–12; อีเธอร์ 12:6; ค.พ. 42:44–48; 103; 105; 115; 118; 136