บทที่ 7
การชดใช้6ซองพระเยซูคริลโต์
ใช้ของพระเยซูคริสต์เป็นหลักธรรมพื้นฐานของความรอด และเปีนปอเกิดของความหวังสำหรับมวลมนุษย์
จากชีวิตของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
เมื่อ เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็เริ่มการปฏิบัติศาสนกิจในฐานะอัครสาวก ท่านและพี่น้องชายทำงานในสหรัฐและอังกฤษในหมู่ชนที่นับถือพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ โดยทราบว่าผู้ฟ้งมี ความเชื่อพื้นฐานในเรื่องการชดใช้ของพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว พวกท่านจึงมุ่ง การสอนไปในเรื่องต่างๆ อาทิการเรียกของศาสดาโจเซฟ สมิธ การออกมา ของพระคัมภีร์มอรมอน และการแนฟูฐานะปุโรหิต1 อย่างไรก็๑ เมื่อผู้คนท้า ทายคำสอนเรื่องการชดใช้ เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟหักล้างคำกล่าวอ้างของเขาด้วยพลัง และความชัดเจน ท่านเป็นพยานว่า “วัตถุประสงค์แห่งพันธกิจที่พระคริสต์ทรง มีต่อแผ่นดินโลกคือ พลีพระองค์เป็นเครื่องบูชาเพี่อไถ,มนุษยชาติจากความตาย นิรันดร”2
คริสต์ศักราช 1845 สมาชิกศาสนาจักรคนหนึ่งในหมู,เกาะอังกฤษได้จัดพิมพ์ จุลสารเล่มหนึ่งโดยพยายามพิสูจน์ว่าไม่จำเป็นที่พระเยซูคริสต์จะต้องทนทุกข์ และสิ้นพระชนม์เพี่อไถ,มนุษยชาติ เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ซึ่งขณะนั้นรับใช้เป็นเจ้า หน้าที่ควบคุมศาสนาจักรในหมู่เกาะอังกฤษได้หักล้างคำกล่าวอ้างนี้อย่างเปีด เผยในบทความชื่อว่า “Rationality of the Atonement (เหตุอันควรของ การชดใช้)” ท่านจัดพิมพ์บทความดังกล่าวโดยหวัง “ว่าทุกคนจะเข้าใจทัศนะ [ของศาสนาจักร] เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง และสิทธิชนของพระผู้เป็น เจ้าจะพร้อมด้านทานการโจมตีของศัตรูตัวฉกาจแห่งความรอดของมนุษย์ และ พร้อมตอบคำถามในใจของผู้ที่เชื่อในการเปีดเผยของพระผู้เป็นเจ้า”3 ถ้อยคำ ของท่านทั้งในการประณามคำสอนเท็จและในการสรรเสริญพระผู้ช่วยให้รอด เผยให้ทราบถึงความรักมั่นคงของท่านที่มีต่อพระเจ้าและความกตัญฌูอย่างสุด ซึ้งที่ท่านมีต่อแผนแห่งการไถ่
ท่านแสดงความเสียใจที่ผู้เขียนจุลสาร “ยอมให้ความคิดเขาถูกอำนาจแห่ง ความมืดครอบงำมากเสียจนหันเหออกจากระเบียบและคำแนะนำแห่งอาณาจักร ของพระผู้เปืนเจ้า” ท่านตั้งข้อสังเกตว่า “คงจะดีกว่ามากถ้ามนุษย์ไม่มืพร สวรรค์เลย แทนที่จะใช้พรสวรรค์เพื่อพยายามพิสูจน์ว่าไม่จำเปีนต้องมีการชด ใช้ของพระคริสต์และโจมดีหลักธรรมพื้นฐานแห่งความรอดเช่นที่ทำลงไป”4
เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ้เขียนบทความส่วนใหญ่ของท่านตามข้ออ้างอิงจากพระกัม ภีร์ โดยแสดงให้เห็น “ประจักษ์พยานอันท่วมท้น” จากศาสดาสมัยโบราณและ จากพระเจ้าพระองค์เอง5 ท่านกล่าวว่าคำสอนเรื่องการชดใช้ “ไม่เพียงเป็นหัว ข้อที่ศาสดาสมัยโบราณและผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าชอบสั่งสอนเท่านั้น แต่ เป็นบ่อเกิดแห่งความหวังทั้งมวลของพวกท่าน และเป็นต้นกำเนิดที่พวกท่านจะ ดึงเอาความเข้มแข็งและการสนับสนุนออกมาจากตรงนี้ไต้”6
คำสอน’ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
พระเยซูคริสต์เสด็จมายังโลกนี้ตามพระประสงค์ ของพระบิดาเพื่อไถ่เราจากผลของการตก
ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระผู้ทรงมหิทธิฤทธึ๋ทรงทราบว่าพระองค์จะทรงทำอะไรกับ โลกนี้ก่อนทรงสร้าง พระองค์ทรงทราบว่าวิญญาณแบบใดจะไต้ครอบครอง และ จะต้องทำงานแบบใดเพื่อช่วยให้บุตรธิดาของพระองค์ผู้จะมายังโลกนี้รอด และ จากการอ่านประวัติการติดต่อของพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ นับแต่การสร้างโลก จนถึงสมัยการประทานนี้ เราเห็นว่าพระบิดาทรงพยายามประทานพรบุตรธิดาของ พระองค์ พระองค์ทรงสละพระบุตรผู้ถือกำเนิดองค์เดียวของพระองค์มาสิ้นพระ ชนม์เพื่อไถ่โลก—การเสียสละซึ่งมีแต’องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ และใน วันเวลาสุดท้ายนี้ พระองค์ทรงเริ่มจัดระเบียบสมัยการประทานยิ่งใหญ่และสุด ท้าย—สมัยการประทานยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสมัยการประทานทั้งหมด7
เราทราบจากพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เองว่าพระบิดาทรงมีวัตถุประสงค์ใด ในการส่งพระคริสต์มายังโลกนี้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนไต้ทรงประทาน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิ พากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยคู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” [ยอห์น 3:16–17]
การเปีดเผยที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก’มนุษย์พิสูจน์ให้เห็นอย่างพร้อมมูลว่า พระผู้เป็นเจ้าและโลกนิรันดร์ทั้งหลายล้วนถูกปกครองโดยกฎชั้นสูง และทั้งนี้ เพื่อให้มนุษย์ทนรัศมีภาพแบบเดียวกับพระองค์ได้ เขาจึงจำเป็นต้องรักษากฎ เดียวกัน “สิ่งซึ่งกฎปกครองย่อมได้รับการคุ้มครองโดยกฎด้วย และถูกทำให้ดี พร้อมและชำระให้บริสุทธึ๋โดยกฎเดียวกันนั้น” [ค.พ. 88:34] แต่เนื่องจาก มนุษย์ล่วงละเมิดกฎของพระผู้เป็นเจ้าจึงพาเอาการสาปแช่งมาให้ตนเองเพราะ การไม่เชื่อฟ้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถไถ,ตนเองได้ ทั้งไม1มีสิ่งใดชดใช้การ ตกของเขาได้นอกจากการเสืยสละอันไม’มีที่สิ้นสุด
เราทราบดีว่าผลของการไม่เชื่อฟ้งคือความตาย และการสาปแช่งนี้ตกทอด มาถึงลูกหลานทั้งหมดของแอดัม จำไว้ว่า แม้มนุษย์จะยอมรับการลงโทษนี้ แต่ เขาไม่มีอำนาจใดในตัวเขาที่จะทำให้ตนฟืนคืนชีวิตและกลับคืนส่ที่ประทับของ พระผู้เป็นเจ้าและรัศมีภาพของพระองค์ เวลานี้เขาอยู่ใต้อำนาจชี้ขาดและใน การครอบครองของความตาย และเพื่อให้มีชัยเหนือความตายจำต้องมีบุคคลคน หนึ่งที่บริสุทธิ้และศักดิ้สิทธกว่าผู้ล่วงละเมิดเข้ามาส่การครอบครองนั้น ทั้งนี้ เพื่อพระองค์จะทรงทำลายการครอบครองดังกล่าว และหากไม่ทำเช่นนี้ การ ควบคุมซึ่งความตายยึดครองมนุษยชาติจะต้องเป็นนิรันดร อาจต้องมีการถกเถียง กันบ้างเล็กน้อยเพื่อพิสูจน์ว่าพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าทรงมีคุณสมบัติครบ ถ้วนที่จะทำงานนี้เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ้ ศักดึ๋สทธิ้ และไร้มลทิน และ พระองค์คือผู้ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานดังกล่าว ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วตามประจักษ์ พยานของยอห์นเกี่ยวกับพระองค์—“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับ ความผิดบาปของโลกไปเสืย” [ดู ยอห์น 1:29]—เพื่อว่า “คนทั้งปวงต้องตาย เกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับไต้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ ฉันนั้น” [1 โครินธ์ 15:22]—
… สิ่งนั้นได้รับการสถาปนาเป็นที่แน่นอนแล้วโดยปราศจากการโต้แย้งใดๆ จากประจักษ์พยานอันท่วมท้น…จากการเปีดเผยของพระผู้เป็นเจ้าที่ให้ไว้ใน สมัยการประทานและยุคต่างๆ ของโลก และในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ว่าวัตถุ ประสงค์แห่งพันธกิจที่พระคริสต์ทรงมีต่อแผ่นดินโลกคือ พลีองค์เป็นเครื่อง บูชาเพื่อไถ่มนุษยชาติจากความตายนิรันดร และการเสืยสละที่พึงกระทำนั้น เป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดาโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงถือปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดในการเชื่อฟ้งพระประสงค์ของพระบิดาในทุกเรื่องนับแต่ด้น และทรง ดื่มจากจอกที่มอบให้ อันน่ามาซึ่งความสว่าง รัศมีภาพ เกียรติ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์ พร้อมด้วยความใจบุญนั้นซึ่งยิ่งใหญ่กว่าศรัทธาหรือความหวัง เพราะพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำสิ่งที่ [มนุษย์] ทำให้สำเร็จ ด้วยตนเองไม่ได้8
เราจะได้รับของประทานแห่งความสูงส่งโดยผ่านการชดใช้ ของพระเยซูคริสต์และการเชื่อฟ้งฺกฎกับพิธีการ แห่งพระกิตติคุณเท่านั้น
เราควรรับร้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อความ รอดของครอบครัวมนุษย์ พระองค์ทรงประกาศกฎซึ่งจำเป็นต่อความสูงส่งและ รัศมีภาพของมนุษย์ และทรงทำทุกอย่างที่ทำได้ตามกฎ…พระเยซูทรงสิ้นพระ ชนม์เพื่อไถ,มวลมนุษย์ แต่เพื่อให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากการสิ้นพระชนม์ ของพระองค์ และเพื่อพระโลหิตของพระองค์จะทรงชำระมนุษย์ให้สะอาดจาก บาปทั้งมวลที่ทำในเนื้อหนัง มนุษย์ต้องปฏิบัติตามกฎแห่งพระกิตติคุณ เราไต้ รับการไถ,จากบาปของแอดัมโดยพระโลหิตของพระคริสต์ และ เพื่อให้ไต้ความ รอด เราจะต้องเชื่อฟ้งและซึ่อสัตย์ต่อหลักคำสอนของพระกิตติคุณ9
หากข้าพเจ้าได้รับความรอดที่สมบูรณ์ นั่นเปีนเพราะข้าพเจ้ารักษากฎของ พระผู้เป็นเจ้า 10
เดิมทีความยุติธรรมมีสิทธิ๙ของมัน และพระคำของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการพิ สูจน์—“วันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่” [ดู ปฐมกาล 2:17] ดังนั้น อีก นัยหนึ่งคือ ความเมตตาขยายออกไป และความรักของพระผู้เป็นเจ้าประจักษ์ ชัดในการทำลายสายรัดแห่งความตาย ด้วยเหตุนี้วิญญาณและร่างกายของมนุษย์ จึงรวมกันใหม่ วิญญาณของคนเที่ยงธรรมได้รับความสูงส่งในที่ประทับของพระผู้ เป็นเจ้าและพระเมษโปดก—ในร่างเดิม [ร่างกาย] ที่เขาตรากตรำ ทำงาน และ ทนทุกข์ขณะอยู่บนโลกนี้ หากร่างกายและวิญญาณไปรวมกันย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่จิตวิญญาณของมนุษย์จะได้รับความบริบูรณ์แห่งรัศมีภาพ มีรัศมีภาพเกี่ยวกับ เรื่องนี้ ซึ่งจะเป็นแหล่งนิรันดร์แห่งปีติต่อพลเมืองทุกผู้ทุกนามในอาณาจักรชั้น สูง อีกนัยหนึ่งคือ วิญญาณของคนที่ไม่ยอมรับพระกิตติคุณของพระคริสต์และ ดูหมิ่นพระเมตตาที่มอบให้ด้องกลับคืนสํร่างกายของเขาในการฟืนคืนชีวิตครั้ง สุดท้ายเพื่อรับความบริบูรณ์แห่งการลงโทษในร่างเดียวกับที่เขาเคยอยู่ขณะส์รบ กับพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงเตือนมนุษย์ทุกคนที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านให้ กลับใจจากบาปและเชื่อฟ้งพระกิตติคุณแห่งพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า11
อะไรคือพระกิตติคุณตามที่พระเยซูทรงสอนด้วยพระองค์เอง หลักธรรมข้อ แรกคือศรัทธาในพระมาไซยา นึ่คือหลักธรรมข้อแรกที่เคยสอนมนุษย์ เมื่อแอดัม ไปถวายเครื่องบูชาที่แอดัม-ออนได-อามันหลังถูกขับออกจากสวนอีเด็น เทพ ของพระเจ้าถามท่านว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ แอดัมตอบว่าท่านหารู้ไม่ แต่พระเจ้า ทรงบัญชาท่านให้ทำ ท่านทราบหลังจากนั้นว่าควรเทเลือดของวัวดัวผู้และเลือด ของแพะเลือดของแกะตัวผู้และลูกแกะบนแท่นบูชาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ เสืยสละครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสุดท้ายซึ่งสมควรพลีไว้เพื่อบาปของโลก [ดู โมเสส 5: 4–7] อนึ่ง หลักธรรมข้อแรกที่เคยสอนคุณพ่อแอดัมคือ ศรัทธาในพระมาไซ ยาผู้เสด็จมาในศูนย์กลางแห่งเวลาเพื่อพลีพระชนม์ชีพสำหรับการไถ่มนุษย์ หลักธรรมข้อที่สองคือการกลับใจ และการกลับใจคืออะไร คือการละทิ้งบาป คนที่กลับใจ หากเขาเป็นคนชอบสาบาน เขาจะไม่สาบานอีก หรือเป็นขโมย เขาจะไม่ขโมยอีก เขาจะหันหลังให้บาปทั้งหมดที่เคยทำมาในอดีตและไม่ทำมัน อีก การกลับใจไม่ใช่การพูดว่าฉันกลับใจวันนี้ และขโมยในวันรุ่งขึ้น นั่นคือการ กลับใจของโลก ซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า การ กลับใจ คือหลักธรรมข้อที่สอง
ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลายคนพูดว่าไม่มีพิธีการใดจำเปีนและว่าความเชื่อในพระ เจ้าพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จำเปีนต่อความรอด ข้าพเจ้าไม่เคยเรียนรู้เรื่องนั้นด้วย ตนเองจากการเปีดเผยใดๆ ของพระผู้เปีนเจ้าที่ให้มนุษย์ ทั้งในสมัยใบราณและ ป้จจุบัน แต่ตรงกันข้าม ศรัทธาในพระคริสต์ การกลับใจ และบัพติศมาเพื่อการ ปลดบาปล้วนได้รับการสอนจากเหล่าปีตุ ศาสดา พระเยซูคริสต์ และอัครสาวก ของพระองค์ บัพติศมาเพื่อการปลดบาปเปีนพิธีการแห่งพระกิตติคุณ มีคนพูด ว่าบัพติศมาไม่จำเปีนต่อความรอด พระเยซูไม่เพียงสอนเรื่องนี้เท่านั้น แต่ทรง แสดงการเชื่อฟ้งต่อข้อกำหนดดังกล่าวด้วย ใช่ว่าพระองค์จะทรงรับบัพติศมา เพื่อการปลดบาป แต่เพื่อ “กระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” ดังที่พระองค์ ตรัส ด้วยการนี้จึงทรงเปืนแบบอย่างให้ทุกคนดำเนินตามในทุกๆ ด้าน [ดู มัทธิว 3:15] เมื่อใดที่มนุษย์ทำตามหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณเหล่านี้ เมื่อนั้นเขาก็ พร้อมรับพระวิญญาณบริสุทธิ้ และพระองค์ทรงมอบของประทานศักดิ”สทธิ”ไว้ใน สมัยนี้เช่นเดียวกับในสมัยโบราณ โดยการวางมือของผู้มีอำนาจประกอบพิธีการ แห่งพระกิตติคุณ ทั้งหมดนี้คือหลักธรรมเบื้องต้นของพระกิตติคุณซึ่งสิทธิชน ยุคสุดท้ายเชื่อและสอนเพื่อนมนุษย์ของเรา12
เมื่อมนุษย์ไต้รับการเรียกร้องให้กลับใจจากบาป การเรียกร้องนั้นหมายถึงบาป ของตัวเขา มิใช่การล่วงละเมิดของแอตัม สิ่งที่เรียกว่าบาปดั้งเติมไต้รับการไถ่ ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์โดยไม่คำนึงถึงการกระทำใดในส่วนของ มนุษย์ บาปส่วนตัวของมนุษย์ได้รับการชดใช้โดยการเสืยสละแบบเดียวกัน แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของการเชื่อฟ้งแผนพระกิตติคุณแห่งความรอดเมื่อประกาศ ให้เขาไต้ยิน13
ลูกหลานมนุษย์ทั้งหมดที่ [ถึง] วัยรับผิดชอบได้ล้วนทำบาป ทุกคนมีแนว โน้มว่าจะทำความชั่วตามวิสัยอันเป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ “เราจะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ความรอด” คือเสืยงร้องของผู้คนที่ได้ยินการสั่งสอนของเปโตรในวัน เพ็นเทคอสต์ [ดู กิจการ 2:37]และข้อความเดียวกันนี้นำมาใช้ได้กับมนุษย์ทั้ง ปวงในทุกคนทุกรุ่น คำตอบคือ เชื่อฟ้งกฎของพระกิตติคุณ นี่คือเสันทางปลอด ภัยที่มอบให้เพื่อความรอดของครอบครัวมนุษย์14
ข้าพเจ้ารู้สืกประหนึ่งว่าพวกเราน่าจะชื่นชมยินดี และเราควรเห็นคุณค่าของ พรและของประทานเหล่านี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในมือเรา และเราควรพยา ยามขยายการเรียกของเรา และทำให้ทุกสิ่งที่พระบิดาในสวรรค์ทรงคาดหวังและ ผู้ที่ล่วงลับไปก่อนหน้าเราคาดหวังสำเร็จลุล่วง …
… พระกิตติคุณของพระคริสต์คือพรประเสริฐสุดประการหนึ่งที่มอบให้มนุษย์ ได้ พระเจ้าตรัสว่าชีวิตนิรันดร์คือของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า [ดู ค.พ. 14:7] เราจะได้มาโดยการเชื่อฟ้งพระกิตติคุณนี้เท่านั้น พี่น้องชายหญิงทั้ง หลาย นี่คือพรของเรา15
คำสวดอ้อนวอนจากใจจริงของข้าพเจ้าคือ ขอให้พรของพระผู้เป็นเจ้ามาถึง เราในชีวิตนี้ เพี่อว่าเมื่อเราจากโลกนี้และจะเข้าไปในโลกนิรันดร์ เราจะทำครบ ทุกอย่างที่เรียกร้องจากเรา และพร้อมจะพำนักอยู่กับผู้รับการชำระให้บริสุทธิ้ และคนเที่ยงธรรมที่ดีพร้อมโดยพระโลหิตของพระเมษโปดก16
โดยคุณธรรมแห่งการชดใช้ เราจะถูกทำให้ดีพร้อมในพระคริสต์
ไม่มีใครมีอำนาจช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอดและให้ชีวิตนิรันดร์แก1เขา ได้ยกเว้นพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ภายใต้พระบัญชาของพระบิดาของพระองค์17
การสั่งสมคำแห่งชีวิตควรเปีนหลักการสืกษาของเรา เพื่อเราจะเติบโตใน พระคุณและก้าวหน้าในความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า และถูกทำให้ดีพร้อมในพระ คริสต์พระเยซู เพื่อเราจะได้รับความบริบูรณ์ เป็นทายาทของพระผู้เป็นเจ้าและ ทายาทร่วมของพระเยซูคริสต์ [ดู โรม 8:16–17]18
พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เรามิได้เป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ และเมื่อพระองค์จะทรงปรากฎ หากเราซื่อสัตย์ เราจะไม่เป็นเหมือนพระองค์ หรอกหรือ [ดู 1 ยอห์น 3:2] เป็นแน่นอน และเมื่อวันอันรุ่งโรจน์นั้นมาถึง เรา จะมีสิทธึ๋ยนอยู่บนโลกนี้อีกครั้ง เราจะดีใจและขอบพระทัยที่ได้พบ…คนอีก หลายพันคนผู้ล้างอาภรณ์ของเขาให้ขาวในโลหิตของพระเมษโปดกและผู้ได้รับ การเจิมเป็นกษัตริย์และปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าโดยคุณธรรมแห่งการชดใช้ของ พระองค์ และได้เลื่อนฐานะให้ปกครองร่วมกับพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงพบว่าเราต่างก็มีค่าสมกับรางวัลดังกล่าว และบัดนี้ ขณะเดิน ทางผ่านโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงและความเศร้าโศก ขอให้เราเลียนแบบชีวิต ของผู้มีค่าควร…และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ดำเนินตามรอยพระบาทของพระผู้ทรง เป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่แห่งความชอบธรรมทั้งมวล พระเจ้าพระเยซูคริสต์ของ เรา ผู้ซึ่งพระคุณของพระองค์ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายตลอดกาล19
ข้อเ?โนอแนะสำหรับศึกษาและลโอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่ หน้า ⅴ–ⅸ
-
เรื่องราวในหน้า 68-69 เปีดเผยอะไรเกี่ยวกับความรู้สืกที่ประธานวูดรัฟฟ็มี ต่อพระเยซูคริสต์
-
ทบทวนคำสอนในหน้า 69-71 ประธานวูดรัฟฟ็สอนอะไรเกี่ยวกับความจำ เป็นของเราที่ต้องมีการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด
-
อ่านบทนี้อย่างถี่ถ้วนและสืกษาพระคัมภีร์บางข้อตามที่ระบุไว้ต้านล่างของ หน้านี้ ขณะทำเช่นนั้น ให้มองหาวลีที่พรรณนาถึงสิ่งที่พระเยซูทรงอดทนเพี่อ ช่วยให้เราทุกคนรอดจากความตายทางร่างกายและเสนอความรอดจากบาป ให้เรา ท่านรู้สืกอย่างไรขณะไตร่ตรองสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำเพื่อท่าน
-
ท่านจะพูดอะไรกับคนที่อ้างว่า “ไม่มีพิธีการใดจำเป็นและว่าความเชื่อใน พระเจ้าพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จำเป็นต่อความรอด” (ดูหน้า 71-75)
-
อ่านหัวข้อสุดท้ายในบทนี้ (หน้า 75) โดยเอาใจใส่วลี “คุณธรรมแห่งการ ชดใช้” เป็นพิเศษ แล้วสืกษา 2 นีไฟ 2:6–8 และ แอลมา 22:14 คำสอน เหล่านี้ยกระดับความเช้าใจของท่านเรื่องการชดใช้อย่างไร
-
ประจักษ์พยานของท่านในการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดมีอิทธิพลต่อชีวิต ท่านอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์กี่ยวข้อง: ในบทความหน้า 67-68 เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็อ้างหรือพูด ถึงข้อความพระคัมภีร์ต่อไปนี้เกี่ยวกับการชดใช้ของพระเยซูคริสต์; โยบ 19:25; มัทธิว 26:28; 27:52; ยอห์น 1:29; 3:16–17; กิจการ 2:23; 4:12; 20:28; โรม 3:24–25; 1 โครินธ์ 15:22; กาลาเทีย 3:17–24; เอเฟซัส 1:7; โคโลสื 1:19–20; ฮีบรู 9:28; 10:7–10, 29; 11:26, 35; 1 เปโตร 1:18–21; 1 ยอห์น 2:2; วิวรณ์ 1:5; 5:9–10; 13:8; 1 นีไฟ 10:5–6; 11:32–33; 2 นีไฟ 2:26; 9:3–14; 26:23–24; เจคอบ 6:8–9; โมไซยา 3:11, 16–18; 15:19–20; 18:2; แอล มา 7:12; 11:42; 21:9; 34:8–15; 42:13–17; 3 นีไฟ 11:9–11; 27:14; มอร มอน 9:13; อีเธอร์ 3:14; โมโรไน 10:33; ค.พ. 18:10–11; 19:16–19; 35:2; 38:4; 45:3–4; 88:34