บทที่ 16
การแต่งงานและการเปีนบิดามารดา: เตรียมครอบครัวเรา ให้พร้อมรับชีวิตนิรันดร์
างจากบิดามารดาที่ชอบธรรม และเปียมด้วยความรัก ครอบครัวจะพร้อมใจกันเสริมสร้างอาฌาจักร ของพระผู้เป็นเจ้าและได้รับพรทั้งปวงจากสวรรค์
จากชีวิตฃองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
วิล ฟอร์ด วูดรัฟฟ็และโฟปี วิทท์มอร์ คาร์เตอร์แต่งงานกันเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1837 ในเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ ท่านทั้งสองอดทนความยากลำ บากมาด้วยกันตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงอุทิศตนให้แก่กัน ให้บุตรของท่าน และ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในฤดูหนาว ของปี ค.ศ. 1838 ประมาณห้าเดือนก่อนการเรียกวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็เป็นอัคร สาวก ขณะที่บราเดอร์วูดรัฟฟนำสิทธิชนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปรวมกับสมาชิกคน อื่นๆ ของศาสนาจักร ภรรยาท่านป่วยหนัก ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า
“วันที่ 23 พฤศจิกายน โฟบีภรรยาข้าพเจ้ามี อาการปวดสืรษะอย่างรุนแรง ซึ่งจบลงที่ไข้ขึ้น สมอง เธอทรมานมากขึ้นทุกวันขณะที่เราเดินทาง ต่อ นับเป็นความยากลำบากแสนสาหัสสำหรับสตรี ที่ทุกข์ทรมานเช่นเธอเมื่อต้องเดินทางด้วยเกวียน ไปตามถนนฃรุขระ ขณะเดียวกันลูกของเราก็ป่วย หนักด้วย”
อาการของซิสเตอร์วูดรัฟฟ็ทรุดลงตามลำดับ แม้พวกเขาจะหยุดพักระหว่างทางและหาที่พักได้ บราเดอร์วูดรัฟฟจำได้ว่า “วันที่ 3 ธันวาคม ภรร- ยาข้าพเจ้าอาการทรุดหนัก ข้าพเจ้าอยู่ดูแลเธอทั้งวัน และวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ากลับ ไปที่อีตัน [เมืองใกล้เคียง] เพื่อนำสิ่งของบางอย่างมาให้เธอ แต่ดูเหมือนเธอจะ เข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกที ในเย็นวันนั้นวิญญาณของเธอออกจากร่าง เธอ สิ้นใจ
“พี่น้องสตรีราไห้อยู่รอบตัวเธอ ส่วนข้าพเจ้ายืนมองเธอด้วยความเศร้าโศก พระวิญญาณและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าเริ่มอยู่กับข้าพเจ้าเปีนครั้งแรก ระหว่างที่เธอป่วย จนศรัทธาเติมเต็มจิตวิญญาณข้าพเจ้าแม้เธอจะนอนอยู่ตรง หน้าข้าพเจ้าเสมือนหนึ่งคนตายก็ตาม”
ศรัทธาของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็แรงกล้ามากขึ้น ท่านให้พรฐานะปุโรหิตแก่ ภรรยา “ข้าพเจ้าวางมือบนเธอ” ท่านกล่าว “และในพระนามของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าตำหนิพลังอำนาจแห่งความตายและผู้ทำลาย และสั่งมันให้ออกจากร่าง ของเธอ และวิญญาณแห่งชีวิตเข้าสู่ร่างของเธอ
“วิญญาณของเธอกลับคืนสู่ร่างกาย และนับจากชั่วโมงนั้น เธอก็หายเป็น ปรกติ และเราทุกคนสรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ไว้วางใจพระองค์ และ รักษาพระบัญญัติของพระองค์
“ขณะที่ประสบการณ์นี้เกิดกับข้าพเจ้า (จากคำบอกเล่าของภรรยาหลังจาก นั้น) วิญญาณของเธอออกจากร่าง และเธอเห็นตัวเธอนอนอยู่บนเตียง และพี่ น้องสตรีกำลังร้องไห้ เธอมองลูคนเหล่านั้น มองข้าพเจ้า และลูกน้อยของเธอ และขณะจ้องมองภาพเหตุการณ์ตังกล่าว มีคนสองคนเข้ามาในห้อง…ผู้ส่งข่าว หนึ่งในสองคนนั้นบอกเธอว่า เธอเลือกได้ว่าจะไปพักผ่อนในโลกวิญญาณหรือ จะกลับสู่ร่างกายและทำงานบนแผ่นดินโลกต่อไป เงื่อนไขคือหากเธอร้สืกว่าเธอ สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่สามี ฟ้นฝ่าความห่วงกังวล การทดลอง ความยาก ลำบาก และความทุกข์ทรมานทั้งหลายของชีวิตพร้อมกับเขา ซึ่งเขาด้องได้รับ การเรียกให้ฟ้นฝ่าไปจนถึงที่สุดเพื่อเห็นแก’พระกิตติคุณ เมื่อเธอมองดูสถานการณ์ ของสามีกับลูก เธอกล่าวว่า ‘ตกลง ฉันจะอยู่ต่อ’
“ในนาทีที่เธอตัดสินใจ พลังแห่งศรัทธาอยู่กับข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าให้ พรเธอ วิญญาณของเธอก็เข้าสู่ร่างกาย–
“เช้าวันที่ 6 ธันวาคม พระวิญญาณตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ลุกขึ้น และเดินทาง ต่อ, และโดยพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ภรรยาข้าพเจ้าสามารถลุกขึ้นแต่งตัว และเดินไปที่เกวียนได้ และเราเดินทางต่อด้วยความปลื้มปีติ”1
ซิสเตอร์วูดรัฟฟ็ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญา เธอยืนเคียงบ่าเคียงไหล่สามีแม้เมื่อ หน้าที่อัครสาวกเรียกร้องให้เขาต้องจากครอบครัวไปเปีนเวลานาน วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เมื่อเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็กำลังรับใช้งานเผยแผ่ในประเทศ อังกฤษ เธอส่งจดหมายให้ท่านมีใจความว่า “ฉันรู้ว่าเปีนพระประสงค์ของพระ ผู้เป็นเจ้าที่คุณควรทำงานในสวนองุ่นของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องยอมรับ พระประสงค์ของพระองค์ในเรื่องเหล่านี้ ฉันไม่เคยบ่นว่าหรือตัดพ้อตั้งแต่คุณจาก มา แต่รอคอยวันที่คุณจะกลับม้านมาส่อ้อมอกครอบครัวอีกครั้งหลังจากที่คุณทำ พันธกิจสำเร็จแล้วด้วยความรักและความเกรงกลัวพระผู้เปีนเจ้า คุณอยู่กับฉัน เสมอเมื่อฉันไปอยู่หน้าบัลลังก์แห่งพระคุณ และเมื่อฉันทูลขอความคุ้มครอง และขอพรให้ตนเองกับลูก ฉันขอสิ่งเดียวกันนี้ให้คู่ชีวิตที่ฉันรัก ผู้อยู่ไกลจาก ฉัน แม้ไกลถึงต่างประเทศ เพื่อสั่งสอนความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระ เยซูคริสต์”2
ในช่วงที่ต้องอยู่ห่างกันเช่นนี้ ประธานวูดรัฟฟ็แสดงให้เห็นด้วยว่าท่านต้อง การครอบครัว ขณะเดียวกันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า วันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1847 ท่านเตรียมเดินทางไปกับผู้บุกเบิกคณะแรกส่หุบ เขาซอลท์เลค ท่านเขียนในบันทึกส่วนตัวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สืกหนักใจยาม จากครอบครัวไปทำงานเผยแผ่มากเท่าครั้งนี้ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระผู้เปีน เจ้าขอพระองค์ทรงช่วยให้ข้าพเจ้ากับครอบครัวได้พบกันอีกครั้งบนแผ่นดินโลก เช่นที่พระองค์ทรงทำมาแล้วในงานเผยแผ่หลายๆ ครั้งที่ข้าพเจ้าทำบนแผ่นดิน โลกในสวนองุ่นของพระเจ้า”3 สี่วันต่อมาครอบครัวท่านเฝืาดูท่านออกจากถิ่น ฐานของสิทธิชนที่วินเทอร์ส ควอเทอร์ส รัฐเนบราสกา ท่านหยุดอยู่ที่สันเขาไม่ ไกลจากถิ่นฐานเพื่อหันมามองครอบครัวผ่านแว่นตาของท่าน4
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ปลื้มปีติในความรู้ที่ว่าครอบครัวเปีนนิรันดร์ ความจริงดัง กล่าวทำให้ท่านมีกำลังใจอดทนต่อความยากลำบากของชีวิต ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดอยู่หลายครั้งว่าหากข้าพเจ้าทำงานจนแก1ตัวเท่าเมธูเสลาห์ และโดย วิธีนั้นทำให้ครอบครัวได้อยู่กับข้าพเจ้าในรัศมีภาพในโลกนิรันดร์ ความเจ็บปวด และความทุกข์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสู้อดทนมาในโลกนี้ย่อมคุ้มค่า”5 คำสัญญาถึง ครอบครัวนิรันดร์มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติของท่านกับสมาชิกครอบครัว ในจด หมายถึงบลังเชบุตรสาว ท่านตั้งข้อสังเกตว่า “เราต่างก็วาดหวังว่าจะได้อยู่ด้วย กันตลอดไปหลังจากความตาย พ่อคิดว่าเราพ่อแม่ลูกควรพยายามแบกรับความ เจ็บปวดทุกอย่างเพื่อความสุขของกันและกันตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งนี้เพื่อเราจะ ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจภายหลัง”6
คำลโอนของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้
พรของการแต่งงานและการเปีนบิดามารดายิ่งใหญ่ กว่าความมั่งคั่งทางโลก
พระเจ้าทรงบอกเราว่า การแต่งงานได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เปีนเจ้าให้กับมนุษย์ [ดู ค.พ. 49:15] สถาบันการแต่งงานในบางชุมชนที่เราอ่านพบมีชื่อเสืยงไม่ค่อย ดี กล่าวกันว่าแนวโน้มในทิศทางนี้นับวันจะเพิ่มขึ้นในหมู่พวกเรา แน่นอนว่า สาเหตุสืบเนื่องมาจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นและการที่ชายหนุ่มไม่ยอมรับภาระดู แลภรรยาและครอบครัว ขณะที่เราออกจากความเรียบง่ายของยุคก่อน เราอาจ คิดว่าแนวโน้มนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อชายหนุ่มถูกยับยั้งไม่ให้ขอหญิงสาวแต่งงานเว้น แด,จะให้ความสะดวกสบายแก่เธอได้เท่ากับสมัยที่เธออยู่บ้านพ่อแม่ นิสัยสุรุ่ย สุร่ายหรือฟ้งเฟ้อในส่วนของหญิงสาวจะส่งผลให้ชายหนุ่มไม่กล้าแต่งงาน ด้วย…เราควรสอนทั้งสองเพศว่าความสุขในชีวิตแต่งงานไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่ กับความมั่งคั่งรารวย7
เมื่อชายหนุ่มขอธิดาแห่งไซอันแต่งงานกับเขา แทนที่เธอจะถามว่า “ชายคน นี้มีบ้านอิฐหลังงาม มีบ้าคู,งาม และรถบ้าคันงามหรือไม่” เธอควรถามว่า “เขา เป็นคนของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ เขามีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา หรือไม่ เขาเป็นสิทธิชนยุคสุดท้ายหรือไม่ เขาสวดอ้อนวอนหรือไม่ เขามีพระ วิญญาณอยู่กับเขาเพื่อทำให้เขาคู่ควรแก่การเสริมสร้างอาณาจักรหรือไม่” หาก เขามี ท่านไม่ต้องคำนึงถึงรถม้าและบ้านอิฐ แต่จงตอบตกลงและเป็นหนึ่ง เดียวกันตามกฎของพระผู้เป็นเจ้า8
หน้าที่ของชายหนุ่มเหล่านี้ [ใน] ไซอันคือ รับธิดาแห่งไซอันเป็นภรรยา และ เตรียมร่างกายรับวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งคือบุตรของพระบิดาในสวรรค์ของเรา พวกเขากำลังรอรับร่างกาย พวกเขาถูกกำหนดให้มาที่นึ่ และควรเกิดในแผ่น ดินไซอันแทนที่จะเกิดในแบบิลอน9
ข้าพเจ้าขอให้บิดามารดาทั่วไซอันทำเท่าที่ทำไต้เพื่อจูงใจบุตรธิดาให้เดินใน วิถีแห่งความชอบธรรมและความจริง และปรับปรุงโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเขา อย่าปล่อยให้ใจท่านยึดติดอยู่กับความหลงใหลในลาภยศและการงานของโลก แต่ซาบซึ้งต่อข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรที่ซึ่อสัตย์คือพรประเสริฐสุดและยิ่งใหญ่ที่สุด ประการหนึ่ง10
เราไณ่ห็นคุณค่าของพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยต่อเราในระเบียบปีตุของ การแต่งงาน-การผนึกเพื่อกาลเวลาและนิรันดร—เท่าที่ควร11
เราควรเห็นคุณค่าของครอบครัวเราและสายสัมพันธ์ที่มีต่อกัน โดยระลึกว่า หากเราซื่อสัตย์ เราจะได้รัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก และนี่คือของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของประทานทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานแก’มนุษย์ [ดู ค.พ. 14:7]12
โดยผ่านการสอนและตัวอย่างของบิดามารดา บุตรทั้งหลาย จะเตรียมตัวรับใช้ในศาสนาจักรและยังคงแน่วแน่ต่อศรัทธา
ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับความจริงและชัยชนะครั้งสุดท้ายของ งานนี้ ข้าพเจ้าไม่สงสัยในวันนี้ ข้าพเจ้าไม่สงสัยว่าไซอันจะเป็นดังที่ศาสดาเห็น ในรัศมีภาพ พลังอำนาจ การครอบครอง และพละกำลัง โดยมีพลังอำนาจของ พระผู้เป็นเจ้าอยู่บนนั้น
เมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดนี้ คำถามซึ่งผุดเข้ามาในความคิดข้าพเจ้า และทำ ให้ข้าพเจ้าคิดหนักคือ ใครจะรับอาณาจักรนี้ไปแบกไว้ พระเจ้าทรงต้องการให้ ใครรับอาณาจักรนี้ในชัยชนะครั้งสุดท้ายและเตรียมอาณาจักรให้พร้อมรับการ เสด็จมาของบุตรมนุษย์ทั้งในความสมบูรณ์และรัศมีภาพ บุตรธิดาของเรานั่นเอง …อาณาจักรนี้ต้องอยู่บนบ่าของเขาเมื่อบิดาของเขาและเหล่าเอ็ลเดอร์ล่วงลับ ไปอยู่อีกต้านหนึ่งของม่าน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าชัดเจนเท่าดวงอาทิตย์ใน เวหา และเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาเรื่องนี้ ข้าพเจ้าถามตนเองว่า ชายหนุ่มหญิงสาว อยู่ในเงื่อนไขใด บิดามารดาอย่างเรากำลังทำหน้าที่ต่อเขาหรือไป เขาพยายาม ทำตัวให้คู่ควรและเตรียมรับจุดหมายปลายทางและงานอันสำคัญยิ่งซึ่งวางอยู่ ตรงหน้าเขาหรือไม่13
เราไม่ทราบว่าบุตรของเราจะใช้เสันทางไหน เราเป็นแบบอย่างที่ดีต่อหน้าเขา และเราพยายามสอนหลักธรรมที่ชอบธรรมแก่เขา แต่เมื่อเขาถึงวัยรับผิดชอบ ได้ เขามีสิทธเสรีและเขากระทำด้วยตนเอง14
ในความกระตือรีอร้นของเราที่จะสั่งสอนคนทุกประเทศให้รู้พระกิตติคุณ เรา ไม่ควรลืมหน้าที่ที่มอบให้เราเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกต้อง ปลูกฝืงเขาแต่ เยาว์วัยให้รักความจริงและคุณธรรม ให้เคารพสิ่งศักดี้สิทธ และให้ความรู้เขา เกี่ยวกับหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณ15
ขอให้เราพยายามเลี้ยงดูบุตรของเราด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตาม หลักของพระเจ้า [ดู เอเฟซัส 6:4] ขอให้เราเปีนแบบอย่างที่ดีและสอนหลัก ธรรมที่ดีขณะที่เขายังเยาว์วัย พระบิดาบนสวรรค์ประทานเขาให้เรา เขาคืออา ณาจักรของเรา เขาคือรากฐานความสูงส่งและรัศมีภาพของเรา เขาคือแหล่งชื่อ เสียงของเรา [ดู ค.พ. 124:61] และเราควรพยายามเลี้ยงดูเขาให้เชื่อในพระเจ้า สอนเขาให้สวดอ้อนวอนและมีศรัทธาในพระเจ้าเท่าที่เราจะทำได้ เผื่อว่าเมื่อเรา ล่วงลับไปแล้วและเขารับช่วงการกระทำนี้ต่อจากเรา เขาจะยอมแบกรับงาน แห่งยุคสุดท้ายอันยิ่งใหญ่และอาณาจักรของพระผู้เปีนเจ้าบนแผ่นดินโลก16
ผู้มีชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่าการปกครองแบบมีอารยธรรม จะได้รับการสอน เรื่องกฎทางศีลธรรม—พระบัญญัติสิบประการ—เขาได้รับการสอนไม่ให้พูดปด ไม่ให้สบถสาบาน ไม่ให้ลักขโมย สรุปคือ ไม่ให้ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ไม่ศักดิสิทธิ และไม่ชอบธรรมท่ามกลางสังคม เมื่อบิดามารดาสอนบุตรให้ร้หลักธรรมเหล่านี้ ในวัยเยาว์ เขาย่อมฝากรอยประทับไว้ในความคิดของบุตร และทันทีที่บุตรถึง วัยรับผิดชอบได้ รอยประทับในวัยเยาว์จะมีอิทธิพลต่อการกระทำของเขา และ ตลอดชีวิตที่เหลือ เด็กที่ได้รับรอยประทับและการอบรมจะตกใจทุกครั้งที่ได้ยิน มิตรสหายสบถและใช้พระนามของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม1สมควร และหากเขา อยากจะสบถอย่างนั้นบ้าง เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อจะลบรอย ประทับในวัยเยาว์17
นับเป็น…พรอย่างยิ่งของบุตรที่มีบิดามารดาสวดอ้อนวอนให้เขา สอนหลัก ธรรมที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเขา บิดามารดาจะตำหนิไม่ไต้เมื่อบุตรทำสิ่ง ซึ่งตัวเขาเองปฏิบัติ18
หากเราเป็นแบบอย่างที่ดีต่อบุตร และพยายามสอนเขาตั้งแต่เด็กจนเป็น ผู้ใหญ่ สอนให้เขาสวดอ้อนวอน ยกย่องพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ และสอนหลัก ธรรมเหล่านั้นที่จะคํ้าจุนเขาท่ามกลางการทดสอบทุกอย่างเพื่อพระวิญญาณของ พระเจ้าจะอยู่กับเขา…เขาจะไม1หลงผิดไปง่ายๆ รอยประทับที่ดีจะติดตามเขา ตลอดชีวิต และไม่ว่าจะสอนหลักธรรมใดก็ตาม รอยประทับที่ดีเหล่านั้นจะไม่ จากเขาไป19
บิดามารดาที่ฉลาดจะไม่ยอมให้ความห่วงกังวล ภายนอกมาก่อนครอบครัว
ข้าพเจ้าเชื่อมานานว่ามารกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอกลิ่มระหว่างบิดา มารดากับบุตรโดยพยายามยัดเยียดและปลูกฝืงความเสิ่อมทรามเหล่านั้นไว้ใน ความคิดบุตรธิดาของสิทธิชนเพื่อจะกันเขาไม่ให้เจริญรอยตามบิดามารดา–
–สำคัญอย่างยิ่งที่เราจะเป็นบิดามารดาที่ชาญฉลาด และเราควรกระทำอย่าง ฉลาดในการปลูกฝืงหลักธรรมเหล่านั้นไว้ในความคิดที่อ่อนเยาว์เพื่อจะนำเขาไป ส่สิ่งซึ่งเที่ยงธรรม และดำเนินตามหลักธรรมแห่งความชอบธรรมและความจริง ในชีวิตเขา–
–เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะรู้ว่าต้องกระทำเช่นไรจึงจะได้ความเข้าอกเข้าใจของ ครอบครัวเราเพื่อจะนำเขาไปในเส์นทางที่เขาจะรอดไต้ นี่คือการสืกษาและงาน ที่บิดามารดาไม่ควรละเลย…หลายครั้งที่เราอาจเห็นธุรกิจเร่งด่วนจนต้องเบียด สิ่งเหล่านี้ออกจากความคิดเรา แต่ไปควรเป็นเช่นนั้น ความคิดของมนุษย์คนใด ก็ตามที่เปีดกว้าง และผู้รอคอยงานที่อยู่ข้างหน้าจะเห็นและรูสืกว่าความรับผิด ชอบเกี่ยวกับครอบครัวที่ตกอยู่กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงดูบุตร ถือเป็น ความรับผิดชอบที่สำคัญมาก
เราต้องการช่วยให้บุตรของเรารอด ต้องการให้เขาไต้รับส่วนพรทั้งหมดที่ห้อม ล้อมผู้รับการชำระให้บริสุทธิ๙ และไต้รับพรของบิดามารดาผู้ซื่อสัตย์ต่อความสม บูรณ์ของพระกิตติคุณ20
ขอให้เราทุกคนสำรวจบ้านของเรา และแต่ละคนควรพยายามปกครองครอบ ครัวและจัดบ้านของเขาให้อยู่ในระเบียบ21
บิดาทุกคนควรปกครองครอบครัวด้วยความอ่อนโยน และความชอบธรรม
สมัยข้าพเจ้ายังเด็กและไปโรงเรียน ครูผู้ชายคนหนึ่งเคยมาพร้อมไม้หนึ่งกำ ยาวประมาณแปดฟุต ตอนแรกเราคิดว่าจะถูกเฆี่ยน เพราะไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่ ทำให้เขาไม่พอใจ เราจะถูกเฆี่ยนอย่างแรง การเฆี่ยนตีที่ไต้รับตอนนั้นไม่ไต้ช่วย ให้ข้าพเจ้าทำดีแต’ประการใด…ความอ่อนโยน ความสุภาพ และความเมตตาดี กว่าในทุกๆ ต้าน ข้าพเจ้าอยากให้หลักธรรมนี้ฝืงอยู่ในความคิดเยาวชนชายของ เรา เพื่อให้เขาดำเนินตามในการกระทำทุกอย่างของชีวิตเขา ระบบเผด็จการไม่ ดี ไม่ว่าจะใช้โดยกษัตริย์ ประธานาธิบดี หรือผู้รับใช้ของพระผู้เปีนเจ้า คำพูด ที่อ่อนโยนดีกว่าคำพูดหยาบกระด้างมากมายนัก เมื่อเรามีเรื่องไม’เข้าใจกัน หาก เราจะสุภาพอ่อนโยนต่อกัน เราจะช่วยให้ตัวเรารอดพ้นจากความยุ่งยากมากมาย
–ท่านเข้าไปในครอบครัวที่ชายคนหนึ่งปฏิบัติต่อภรรยาและบุตรด้วยความ อ่อนโยน ท่านจะพบว่าภรรยาและบุตรจะปฏิบัติต่อเขาในลักษณะเดียวกัน มีคำ ร้องเรียนมาถึงข้าพเจ้าเรื่องที่ผู้ชายปฏิบัติต่อภรรยา เขาไม่เลี้ยงดูภรรยา เขาไม’ ปฏิบัติต่อเธอด้วยความอ่อนโยน ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวด ไม่ควรมีเรื่อง เช่นนี้…เราควรอ่อนโยนต่อกัน ทำดีต่อกัน และทำงานเพื่อส่งเสริมความผาสุก ความสนใจ และความสุขของกันและกัน โดยเฉพาะคนในบ้านของเรา
ผู้ชายเปีนหัวหน้าครอบครัว เขาคือปีตุฃองคนในม้าน…ไม่มีภาพใดบนแผ่น ดินโลกจะสวยงามเท่ากับการได้เห็นผู้ชายเปีนหัวหน้าครอบครัว สอนหลักธรรม ที่ชอบธรรม และให้คำแนะนำที่ดีแก่ครอบครัว บุตรเหล่านี้ให้เกียรติบิดา เขาได้ รับความอุ่นใจและความสุขใจจากการมีบิดาเปีนคนชอบธรรม22
คำสอนและตัวอย่างของมารดามีอิทธิพล ต่อครอบครัวชั่วกาล!วลาและนิรันดร
โดยปรกติเราถือว่ามารดาคือผู้ก่อร่างสร้างอุปนิสัยของบุตร ข้าพเจ้าคิดว่า มารดามีอิทธิพลต่อบุตรหลานมากกว่าบุคคลใด บางครั้งมีคำถามเกิดขึ้นว่า “การ สืกษาเริ่มด้นเมื่อใด” ศาสดาของเราตอบว่า “เมื่อชีวิตทางวิญญาณจากพระผู้ เปีนเจ้าเข้าสู่ร่างกาย” สภาพของมารดาในขณะนั้นจะส่งผลต่อบุตรในครรภ์ และนับจากการถือกำเนิดของบุตรไปจนตลอดชีวิต ส่วนใหญ่แล้วคำสอนและ ตัวอย่างของมารดาจะปกครองและควบคุมบุตรคนนั้น และเขาจะร้สืกถึงอิทธิพล ของเธอชั่วกาลเวลาและนิรันดร23
ส่วนใหญ่แล้วความรับผิดชอบของการพัฒนาพลังทางใจและทางศีลธรรมของ อนุชนรุ่นหลังวางอยู่บนบ่าของมารดา ไม่ว่าจะในวัยทารก วัยเด็ก หรือเป็นผู้ ใหญ่…ไม่ควรมีมารดาคนใดในอิสราเอลปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่สอน บุตรให้สวดอ้อนวอน ตัวท่านควรสวดอ้อนวอนและสอนบุตรให้ทำเช่นเดียวกัน และท่านควรเลี้ยงดูเขาในลักษณะนี้ เผื่อว่าเมื่อท่านสิ้นแล้ว เขาจะเข้ามาแทนที่ ท่านในการแบกรับงานยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะได้มีหลักธรรมผิงอยู่ใน ความคิดเขาเพื่อจะคํ้าจุนเขาในกาลเวลาและในนิรันดร ข้าพเจ้าพูดอยู่เสมอว่า มารดาคือผู้หล่อหลอมความคิดของบุตร–
–จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นมารดาผู้สวดอ้อนวอน ผู้ฟ้นฝ่าการทดลองของ ชีวิตด้วยการสวดอ้อนวอน ผู้ไว้วางใจพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอลในการ ทดลองและความยากลำบาก และบุตรของเธอจะเจริญรอยตามเส้นทางนั้น เขาจะไม่ลืมตัวอย่างเหล่านี้เมื่อเขาเข้ามาทำงานในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า24
พี่น้องสตรีของเรา…มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อสามี เธอควรคำนึงถึงสถานภาพ และสภาวการณ์ของเขา…ภรรยาทุกคนควรอ่อนโยนต่อสามี เธอควรปลอบโยน เขาและทำดีกับเขาให้มากที่สุดภายใต้สภาวการณ์ทุกอย่างของชีวิต เมื่อทุกคน ในครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาจะได้รับวิญญาณสวรรค์บนโลกนี้ นี่คือ สภาพที่ควรเป็น เพราะเมื่อผู้ชายในศาสนาจักรนี้รับผู้หญิงมาเป็นภรรยาเขาย่อม คาดหวังว่าจะได้อยู่กับเธอชั่วกาลเวลาและนิรันดร ในเช้าของการฟืนคืนชีวิตแรก เขาคาดหวังว่าจะมีภรรยาและบุตรอยู่กับเขาในองค์กรครอบครัว และอยู่ในสภาพ นั้นตลอดกาลและตลอดไป ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมกระไรเช่นนี้25
จ้อเลโนอแนะสำหรับศึกษาและลโอน
สิ่อารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่ หน้า ⅴ-ⅸ
-
ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับส้มพันธภาพระหว่างวิลฟอร์ดกับโฟบี วูดรัดฟฟ (ดูหน้า 165-167)
-
ทบทวนคำแนะนำที่ประธานวูดรัฟฟ็ให้บลังเชบุตรสาว (หน้า 167) พิจารณา หรือสนทนาสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อช่วยให้สมาชิกครอบครัวมีความสุข
-
ท่านประทับใจอะไรขณะอ่านคำแนะนำที่ประธานวูดรัฟฟ็ให้เยาวชนเกี่ยวกับ การแต่งงานและการเปีนบิดามารดา (ดูหน้า 168) คำแนะนำดังกล่าวประ ยุกต็ใช้ในชีวิตสมาชิกทุกคนของศาสนาจักรได้อย่างไร
-
อ่านสามย่อหน้าสุดท้ายในหัวข้อแรกของคำสอน (หน้า 168-169) “ความ หลงใหลในลาภยศและการงานของโลก” ทำให้เราเขวออกจากความสุขใจ ของครอบครัวได้อย่างไร เราจะลบล้างอิทธิพลเช่นนั้นได้อย่างไร เราจะแสดง ให้สมาชิกครอบครัวเห็นได้อย่างไรว่าเราเห็นคุณค่าความส้มพันธ์ของเรากับเขา
-
อ่านย่อหน้าแรกทั้งหมดในหน้า 170 ท่านคิดว่า “เลี้ยงดูบุตรของเราด้วยการ สั่งสอนและการเตือนสติตามหลักของพระเจ้า” หมายความว่าอะไร ท่านทำ อะไรไปแล้วบ้างเพื่อให้สิ่งนี้มีผลสำเร็จ
-
ทบทวนย่อหน้าที่สามและสีหน้า 169 บิดามารดาจะช่วยให้บุตรมีความ ปรารถนารับใช้ในศาสนาจักรได้อย่างไร
-
ขณะอ่านคำแนะนำของประธานวูดรัฟฟ็เกี่ยวกับการสอนบุตร ท่านพบหลัก ธรรมอะไรเป็นพิเศษ (ดูหน้า 169-170)
-
ทบทวนหัวข้อที่เริ่มในหน้า 171 บิดามารดาทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ส้มพันธ ภาพในครอบครัวมีความสำคัญสูงสุด
-
บิดามารดาเรียนรู้หลักธรรมอะไรบ้างจากประสบการณ์ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ ในวัยหนุ่มกับครูของท่าน (ดูหน้า 172)
-
ประธานวูดรัฟฟ็พูดอะไรเกี่ยวกับอิทธิพลของสามีและบิดา (ดูหน้า 172- 173) ท่านพูดอะไรเกี่ยวกับอิทธิพลของภรรยาและมารดา (ดูหน้า 173-174) สามีภรรยาจะช่วยกันและกันในความรับผิดชอบของเขาได้อย่างไร
-
คำสอนในบทนี้เกี่ยวข้องกับป้ย่าตายายอย่างไร ประสบการณ์ใดแสดงให้เห็น ว่าป๋ย่าตายายมีอิทธิพลที่’ชอบธรรมต่อหลานๆ
-
ท่านเคยเห็นตัวอย่างใดบ้างของบิดามารดาและป๋ย่าตายายขณะทำหน้าที่รับ ผิดชอบต่อครอบครัว
จ้อพระคัมภีร์ที’เกี่ยวข้อง: อีนัส 1:1; โมไซยา 4:14–15; แอลมา 56:45–48; ค.พ. 68:25–31; 93:38–40