คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 8: เข้าใจความตายและการฟ้นคืนชีวิต


บทที่ 8

เข้าใจความตายและการฟ้นคืนชีวิต

เมื่อผู้เป็นที่รักสิ้นชีวิตและเมื่อเราใคร่ครวญถึงความเป็นมรรตัยของเรา เราจะพบการปลอบโยนและความมั่นใจในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู ของพระเยซูคริสต์และโนความเป็นจริงนิรันดรของการฟื้นคืนชีวิต

จากชีวิตของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

ด้น เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1839 เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ออกจากบ้านใน มอนโทรส รัฐไอโอวาเพื่อทำตามการเรียกของพระเจ้าให้ไปรับใช้งานเผยแผ่ใน หมู่เกาะอังกฤษ ท่านกล่าวลาโฟบีภรรยา และซาราห์ เอ็มมาวัยหนึ่งขวบบุตร คนเดียวของท่าน ตอนนั้นโฟบีตั้งครรภ์วิลฟอร์ด จูเนียร์ผู้จะเกิดในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1840

สามสีเดือนหลังออกจากมอนโทรส เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟสั่งสอนพระกิตติคุณอยู่ ในสหรัฐตะวันออกและเตรียมจะออกเดินทางไปเกรทบริเทน ระหว่างนี้ท่าน เขียนในบันทึกส่วนตัวว่าท่านฝืนเห็นภรรยาถึงสามครั้ง หลังจากความฝืนครั้ง แรกท่านเขียนข้อความต่อไปนี้ไวัในบันทึกส่วนตัวของท่าน “ข้าพเจ้าฝืนเห็น คุณวูดรัฟฟ็ทุกข์ทรมานมากในมอนโทรส ข้าพเจ้าไม่เห็นซาราห์ เอ็มมา”1 ราย งานความฝืนครั้งที่สองของท่านสั้นมากด้วย “ข้าพเจ้าฝืนในตอนกลางคืนและ ได้พูดคุยกับคุณวูดรัฟฟแต่ไม่เห็นซาราห์ เอ็มมา”2 ความฝืนครั้งที่สามมีราย ละเอียดมากขึ้น “เราดีใจมากที่ได้พูดคุยกัน แต่อ้อมกอดของเราเจือด้วยความ เศร้าโศก เพราะหลังจากสนทนาได้ครู่หนึ่งเกี่ยวกับการงานในบ้านของเธอ ข้าพ เจ้าถามว่าซาราห์ เอ็มมาอยู่ที่ไหน…เธอร้องไห้พลางตอบว่า…‘ลูกตายแล้ว, เรา เสียใจอยู่ชั่วขณะ และข้าพเจ้าตื่นนอน…ความฝืนเปีนจริงหรือเปล่า เวลาเปีน เครื่องพิสูจน์”3

วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1840 เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ซึ่งเวลานี้อยู่ในเกรทบริเทน ได้เขียนข้อความระลึกถึงวันสำคัญสำหรับครอบครัวท่านไว้ในบันทึกส่วนตัวดัง นี้ “ซาราห์ เอ็มมาอายุสองขวบวันนี้ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองภรรยาและลูกของ ข้าพเจ้า ขออย่าให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตจนกว่าข้าพเจ้าจะกลับไป” ท่านยอมรับ พระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ ท่านเขียนเพิ่มเติมว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ มอบพวกเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ให้อาหาร ให้เครื่องนุ่งห่ม และทรง ปลอบโยนเขา และขอให้รัศมีภาพเป็นของพระองค์”4 สามวันต่อมา หนูน้อย ซาราห์ เอ็มมาก็เสียชีวิต

เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ้มิได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของบุตรสาวจนถึงวันที่ 22 ตุลา คม ค.ศ. 1840 เมื่อท่านอ่านข่าวในจดหมายที่ส่งให้พี่น้องชายคนหนึ่งของท่าน ในโควรัมอัครสาวกสิบสอง5 สืวันต่อมา ท่านได้รับข่าวจากโฟบีในจดหมายลง วันที่ 18 กรกฎาคม ท่านคัดลอกข้อความส่วนหนึ่งของจดหมายไว้ในบันทึก ส่วนตัวดังนี้

“วิลฟอร์ดที่รัก คุณจะรู้สืกอย่างไรถ้าฉันบอกคุณว่าเมื่อวานนี้ฉันได้เห็นซาราห์ เอมมาลูกน้อยของเราจากโลกนี้ไปต่อหน้าต่อตา ใช่ ลูกจากไปแล้ว มืออัน เหี้ยมโหดของความตายได้แย่งลูกไปจากอ้อมกอดของฉัน…เมื่อมองดูเธอ ฉัน คิดเสมอว่าฉันจะรู้สีกอย่างไรถ้าต้องพรากจากเธอ ฉันคิดว่าฉันคงอยู่ไม่ได้หาก ไม่มีเธอ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่อยู่ แต่เธอจากไปแล้ว พระเจ้าทรงนำเธอกลับ บ้านไปหาพระองค์เพี่อจุดมุ่งหมายอันเป็นพระปรีชาญาณบางอย่างของพระองค์

“นี่คือการทดลองของฉัน แต่พระเจ้าทรงสนับสนุนช่วยเหลือฉันเป็นอย่างดี ฉันเห็นและรู้สืกได้ว่าพระองค์ทรงนำเธอกลับบ้านและจะทรงดูแลเธอได้ดีกว่า ฉันในระยะนี้จนกว่าฉันจะไปพบเธอ วิลฟอร์ด เรามีเทพองค์น้อยในสวรรค์ และ ฉันคิดว่าวิญญาณของเธอคงมาเยี่ยมคุณแล้วก่อนหน้านี้

“ฉันแทบจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้เมื่อขาดเธอ…เธอฝากฉันจูบลาคุณพ่อก่อน เธอจะสิ้นใจ– เอ็ลเดอร์วางมือบนเธอและชโลมเธอได้พักหนึ่ง แต่วันรุ่งขึ้น วิญญาณของเธอก็โบยบินจากโลกนี้ไปอีกโลกหนึ่งโดยไม่มีการคราครวญ

“วันนี้วิลฟอร์ด [จูเนียร์] กับฉัน พร้อมเพี่อนๆ อีกจำนวนหนึ่ง มาที่คอม เมิร์ซ [อิลลินอยส์] เพี่ออำลาลูกน้อยสุดที่รักของเราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูก ฝืงตามประเพณี เธอไม่มีญาติตามไปที่หลุมศพหรือหลั่งนํ้าตาเพี่อเธอ มีแต่มาร- ดาและวิลฟอร์ดน้อย…ฉันเพิ่งเดินไปที่หลุมศพของซาราห์ด้วยความหม่นหมอง แต่ก็พอจะสุขใจอยู่บ้าง เธอนอนเดียวดายอย่างสงบสุข ฉันพูดได้ว่าพระเจ้าประ ทานและพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า [ดู โยบ 1:21]”6

นอกจากคัดลอกจดหมายของโฟบีแล้ว เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็เขียนไว้น้อยมาก เกี่ยวกับการจากไปของบุตรสาว ท่านพูดแต่เพียงว่า ซาราห์ เอ็มมาถูก “พราก ไปจากชีวิตนี้” และจะ “ไม่ได้เห็นเธออีกแล้วในชีวิตนี้”7

ตลอด 91 ปีในชีวิตท่าน วิลฟอร์ด วูดรัฟพีทนรับความตายของผู้เป็นที่รัก หลายคน รวมถึงสมาชิกครอบครัวจำนวนหนึ่งและอัครสาวกทั้งหมดที่ท่านร่วม รับใช้ภายใด้การกำกับดูของศาสดาโจเซฟ สมิธด้วย ในช่วงเวลาอันสำคัญยิ่งนี้ ท่านพบการปลอบโยนในประจักษ์พยานที่ท่านมีต่อพระกิตติคุณที่ได้รับการ ฟืนฟูและใน “ความเป็นจริงนิรันดร” เกี่ยวคับการฟืนคืนชีวิต8 ท่านสอนอยู่ เสมอว่า ความตายของสิทธิชนยุคสุดท้ายที่ชอบธรรมเป็นทั้งช่วงเวลาแห่งการ ทดสอบและช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดี แท้จริงแล้ว ในบั้นปลายของชีวิต ท่าน ท่านเขียนคำแนะนำเกี่ยวกับพิธีศพของท่านไว้ดังนี้ “ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ จะให้ครอบครัวหรือมิตรสหายสวมชุดไว้ทุกข!ห้ข้าพเจ้าในพิธีศพหรือหลังจาก นั้น เพราะหากข้าพเจ้าแน่วแน่และซื่อสัตย์จนถึงความตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมี ใครไว้ทุกขให้ข้าพเจ้า”9

คำสอน6ชองวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

วิญญาณของทุกคนที่สิ้นชีวิตจะเข้าไปในโลกวิญญาณ ที่ซึ่งคนชอบธรรมจะชื่นชมด้วยกันและ ดำเนินงานของพระเจ้าต่อไป

คนจำนวนมากเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ตาย นั่นคือที่สุดของเขา และไม่มีชีวิตหลัง จากนี้ คนฉลาดคนใดหรือจะเชื่อได้ว่าพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงสร้างวิญญาณ สองสามหมื่นล้านดวงและให้ร่างกายเพียงเพื่อมาอยู่บนโลกนี้แล้วดับสูญหรือ ไม่ก็ถูกทำลายล้าง สำหรับข้าพเจ้าแล้วดูเหมือนว่าคนรู้จักคิดจะไม่มีความเชื่อ เช่นนั้น เพราะมันขัดกับสามัญสำนึกและการคิดคำนึงอย่างจริงจัง10

เมื่ออาลัยการสูญเสียเพื่อนที่จากไป ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าในทุกความตาย ย่อมมีการเกิด วิญญาณออกจากร่างกายที่ตายแล้ว และผ่านเข้าอีกด้านหนึ่งของ ม่านไปอยู่กับกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งซึ่งกำลังทำงานเพื่อความสำเร็จตามจุด ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในการไถ่และความรอดของโลกที่ตกแล้ว11

มีความยินดีเมื่อวิญญาณของสิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์เข้าไป ในโลกวิญญาณและพบกับสิทธิชนที่ล่วงลับไปก่อนเขา12

บางคนทำงานในด้านนี้ของม่าน อีกหลายคนทำงานในอีกด้านหนึ่งของม่าน หากเราพักอยู่ที่นี่ เราจะด้องทำงานในอุดมการณ์แห่งความรอด และหากเราไป ที่นั่น เราจะต้องทำงานของเราต่อไปจนกว่าจะถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์13

โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ทุกคนจะฟ้นคืนชีวิต วิญญาณของเขาจะกลับมา รวมกับร่างกายอมตะของเขา

เรายอมรับว่าเนื่องจากแอดัม ทุกคนต้องตาย ความตายเนื่องจากการตกต้อง บังเกิดแก1ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด บังเกิดแก1สัตว์ไนทุ่ง ปลาในทะเล นกใน อากาศ และงานทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าด้วย ตราบที่เกี่ยวข้องกับโลกนี้ นี่ คือกฎที่ไม’อาจเปลี่ยนแปลงและยกเลิกได้…พระผู้ช่วยให้รอดทรงลิ้มรสความ ตาย พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ’โลก พระวรกายของพระองค์ถูกวางไว้ใน อุโมงค์ฝืงศพ แต่ไม่เน่าเปีอย และหลังจากนั้นสามวัน พระวรกายลุกขึ้นจาก หลุมศพและสวมความเป็นอมตะ พระองค์ทรงเป็นผลแรกของการฟืนคืนชีวิต14

ข้าพเจ้าเชื่อเสมอมาเกี่ยวกับการฟืนคืนชีวิต ข้าพเจ้าชื่นชมในเรื่องนี้ หนทาง เปีดให้เราโดยพระโลหิตของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า15

เมื่อการฟืนคืนชีวิตมาถึง เราจะออกมาพร้อมร่างกายอมตะ การข่มเหง ความ ทุกข์ยาก ความเศร้าโศก ความเจ็บปวด และความตายซึ่งอุบัติขึ้นในความเป็น มรรตัยจะสูญสิ้นตลอดกาล16

คำสอนเรื่องการฟืนคืนชีวิตของคนตายเป็นคำสอนประเสริฐสุด เป็นคำสอน ที่ให้การปลอบโยน อย่างน้อยก็แก่วิญญาณข้าพเจ้าเมื่อคิดว่าในเช้าของการฟืน คืนชีวิต วิญญาณข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสอยู่ในร่างเดิมที่เคยครอบครองอยู่ที่นี่ ในฐานะเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอล เราเดินทางไปหลายพันไมล์ด้วยความเหน็ด เหนื่อยเมื่อยล้าเพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แก’ลูกหลานมนุษย์ ข้าพเจ้าคงจะดีใจมากที่มีร่างเดิมในการ่แนคืนชีวิต ร่างกายที่ข้าพเจ้าใช้ลุยหนอง บึง ว่าย,ข้ามแม่นํ้า เดินทาง และทำงานเพื่อเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็น เจ้าบนแผนดินโลก17

พระกิตติคุณให้การปลอบโยนเมื่อผู้เปีนที่รักสิ้นชีวิต

หากปราศจากพระกิตติคุณของพระคริสต์ การพลัดพรากเพราะความตายคง เป็นเรื่องเศร้าหมองที่สุดเรื่องหนึ่งที่ตรึงแน่นอยู่ในความคิด แต่ทันทีที่เราได้รับ พระกิตติคุณและเรียนรู้หลักธรรมแห่งการฟืนคืนชีวิต ความเศร้าหมอง ความ เศร้าโศก และความทุกข์ทรมานอันเนื่องจากความตายแทบจะมลายหายไปสิ้น ข้าพเจ้ามักคิดว่า การได้เห็นร่างกายที่ตายแล้ว และได้เห็นร่างกายนอนอยู่ใน หลุมศพกลบดิน เป็นเรื่องเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งบนแผ่นดินโลก เพราะหากปราศ จากพระกิตติคุณความตายก็เหมือนกับการกระโดดเข้าไปในความมืด แต่ทันทีที่ เราได้รับพระกิตติคุณ ทันทีที่วิญญาณมนุษย์ได้รับความสว่างจากการดลใจของ พระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ เขาจะร้องออกมาได้เช่นเดียวกับผู้คนในสมัยก่อนว่า “โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ มัจจุราชเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน เหล็กในของความตายนั้นคือบาป ของประทานของพระผู้เป็นเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ ผ่านพระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเรา” [ดู 1 โครินธ์ 15:55–57] การฟืนคืนชีวิต ของคนตายเสนอตัวต่อความคิดที่ฉลาดหลักแหลมของมนุษย์ และเขามีรากฐาน ให้วิญญาณได้พัก นั่นคือจุดยืนของสิทธิชนยุคสุดท้ายในปัจจุบัน เราทราบด้วย ตนเองว่า เรามิได้อยู่ในความมืดมนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผย ต่อเรา และเราเข้าใจหลักธรรมแห่งการฟืนคืนชีวิตของคนตาย และพระกิตติคุณ นำชีวิตและความเป็นอมตะมาสู่ความสว่าง [ดู 2 ทิโมธี 1:10]18

แน่นอนว่าการแยกจากเพี่อนของเราเป็นเรื่องยาก…เป็นธรรมดาที่เราจะแสดง ความรู้สืกด้วยนํ้าตาเมื่อต้องฝืงร่างเพื่อนรัก่ของเรา และอาลัยตามสมควร แต่มี หลายคนที่คราครวญพิรี้พิไรรำพันมากเกินไป ซึ่งสิทธิชนยุคสุดท้ายไม่สมควร ลอกเลียนแบบ19

ด้วยเหตุผลบางประการที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมพิธีศพและไปส่ง ศพของศาสดาและอัครสาวกหลายท่านและของสิทธิชนมากมายผู้ทำงานใน ศาสนาจักรสมัยนี้และชั่วอายุนี้…ข้าพเจ้าไม่เคยร้สีกทุกข์โศกในวิญญาณเมื่อไป ส่งศพของศาสดา อัครสาวก และสิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ แน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ผู้แน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระ องค์ ผู้ได้รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พิธีการแห่งพระกิตติคุณ และฐานะ ปุโรหิตคักดึ๋สทธิ้ ชายหญิงเช่นนั้นลุล่วงพันธกิจของตนบนโลกนี้ด้วยเกียรติภูมิ ความมานะบากบั่น และความรัก จนได้รับการเรียกให้กลับบ้าน เขาสิ้นชีวิตใน ศรัทธา และเขาจะได้รับมงกุฎแห่งรัศมีภาพ

นั่นคือความรู้สืกที่ข้าพเจ้ามีต่อการเสียชีวิตของประธาน [บริคัม] ยัง บรา- เดอร์ เฮเบอร์ ซี.] คิมบัลล์ บราเดอร์ [จอห์น] เทย์เลอร์ อัครสาวกสิบสอง และทุกคนที่ได้รับพระกิตติคุณของพระคริสต์ ผู้ที่แน่วแน่และซื่อสัตย์ในพันธ กิจนั้น มีความเป็นจริงนิรันดรในชีวิต ซึ่งคนทั้งโลกจะเสาะหา มีความเป็นจริง นิรันดรในความตาย มีความเป็นจริงนิรันดรในการฟ้นคืนชีวิต ในการพิพากษา ภายภาคหน้า และในการดำเนินการของพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ทั้งหลายในภาย ภาคหน้าตามการกระทำที่ทำไว้เมื่ออยู่ในร่างกาย และเมื่อชายหรือหญิงผู้เข้าส่ พันธสัญญากับพระเจ้า ผู้ได้รับพระกิตติคุณและพิธีการแห่งพระกิตติคุณ แน่ว แน่และซื่อสัตย์ในวันเวลาและชั่วอายุของเขาหรือเธอ ถูกเรียกกลับบ้านไปอยู่ใน โลกวิญญาณ มนุษย์ผู้เข้าใจหลักธรรมเหล่านี้เพื่ออาลัยพี่น้องชายหรือพี่น้อง หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหนหรือ20

โดยการชดใช้ของพระ!ยซคริสต์ เด็กทุกคนที่เสียชีวิตก่อนถึงอายุทรับผิดชอบได้ จะได้รับรัศมีภาพชั้นสูงเปีนมรดก

ทารกหรือเด็กทุกคนที่เสียชีวิตก่อนถึงวัยรับผิดชอบจะได้รับการไถ, และด้วย เหตุนี้จึงหลุดพ้นจากความทรมานของนรก…ข้าพเจ้าจะท้าทุกคนให้หาพิธีการที่ กระทำเพี่อความรอดของเด็กเล็กไร้เดียงสาในบันทึกความจริงอันศักดิ้สิทธทั้ง หมด ถ้าดูเพียงผิวเผินแล้วคงไม่จำเปีน และเรื่องเดียวที่พบคือ พระเยซูทรงนำ เด็กเล็กๆ มาอยู่ในอ้อมพาหุและทรงอวยพรเขา ซึ่งเปีนเรื่องถูกต้องทีเดียวที่ จะทำตามระเบียบของพระผู้เปีนเจ้า แด’บัพติศมาทารกโดยการพรมหรือคำสอน ที่ว่าทารกจะไปอยู่ในนรกภายใต้สภาพการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นคำสอนของ มนุษย์ไม่ใช่ของพระผู้เป็นเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผลแต่อย่างใด ทั้งยังไม่ถูก ต้อง และไม’เป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีอะไรต้อง พูดอีกแล้วเกี่ยวกับทารก…พวกเขาไต้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์21

เด็กๆ ไร้ความผิดต่อพระพักตร์พระเจ้า ความตายของพวกเขาและสาเหตุ ของความตายนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า และเราไม่ควรปนว่าพระเจ้า หรือวิธีดำเนินการของพระองค์มากไปกว่าโยบ…มีการปลอบขวัญเกี่ยวกับเรื่อง ที่ว่าพวกเขาไร้ความผิด พวกเขาไม่อยู่ในการล่วงละเมิด พวกเขาจ่ายกฎแห่ง ความตายซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงส่งผ่านแอดัมและลูกหลานทั้งหมดของท่าน แต่ เมื่อวิญญาณของพวกเขาออกจากร่างกายเข้าไปในโลกวิญญาณ ความทุกข์ยาก ลำบากของพวกเขาจะสิ้นสุด…พวกเขาจะออกมาจากหลุมศพในเข้าของการ ฟืนคืนชีวิต…เปียมด้วยรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์ ในความ งามและความรุ่งเรืองนิรันดร์ และจะมอบพวกเขาไวัในมือบิดามารดาผู้จะรับเขา ไว้ในองค์กรครอบครัวของโลกชั้นสูง และบิดามารดาจะมีพวกเขาตลอดกาล พวกเขาจะมืชีวิตตราบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ เรื่องนี้ควรเป็นแหล่งข้อมูล ของการปลอบโยนและการปลอบขวัญสำหรับสิทธิชนยุคสุดท้ายที่เชื่อในการ ฟืนคืนชีวิต

… อาจมืคำถามเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและกับท่านว่า “ทำไมพระเจ้าทรงพรากลูก ของฉันไป” แต่นั่นเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบ มันอยู่ ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเป็นเช่นนั้นนับแต่การสร้างโลกจวบจนปีจจุบัน เด็กถูกนำไปในวัยทารก และพวกเขาไปอยู่ในโลกวิญญาณ พวกเขามาที่นึ่และ บรรลุวัตถุประสงค์ของการมาที่นี่นั่นคือเพื่อรับร่างกายหรือมีชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขามารับการทดสอบและมรดกบนแผ่นดินโลก ได้รับร่างกาย หรือที่พัก ชั่วคราว และจะเก็บรักษาที่พักนั้นไว้ให้เขา และในเช้าของการฟืคืนชีวิต วิญ ญาณและร่างกายจะรวมกัน และเราจะพบเด็กวัยต่างๆ ในครอบครัว ตั้งแต่ทารก ที่อ้อมอกมารดาไปจนถึงผู้ใหญ่ จะเป็นเช่นนั้นในองค์กรครอบครัวในโลกชั้นสูง และจะคืนบุตรของเราให้เราดังที่เขาเป็นอยู่คราวถูกฝืงหากเราผู้เป็นบิดามารดา จะรักษาศรัทธาและพิสูจน์ว่ามีค่าควรแก่การได้รับชีวิตนิรันดร์ และหากเราไม่พิสูจน์ตัวเช่นนั้น เราจะยังไม่ได้บุตรคืนและพวกเขาจะได้รัศมีภาพชั้นสูงเป็น มรดก นี่คือทัศนะของข้าพเจ้าเกี่ยวกับทารกทุกคนที่เสืยชีวิต ไม่ว่าจะเกิดจาก ชาวยิวหรือคนต่างชาติ ชอบธรรมหรือชั่วร้าย พวกเขามาจากบิดานิรันดร์และ มารดานิรันดร์ผู้ให้กำเนิดเขาในโลกนิรันดร และจะคืนเขาให้แก่บิดามารดานิ รันดร์นั้น และบิดามารดาทุกคนที่มีบุตรในโลกนี้ตามระเบียบของพระผู้เป็นเจ้า และฐานะปุโรหิตสักดสิทธี้ ไม่ว่าจะในวัยใดที่เขาเคยมีชีวิตอยู่ จะได้รับบุตรเหล่า นั้นในเช้าของการฟืนคืนชีวิต และจะมอบบุตรให้เขาและเขาจะให้เกียรติองค์กร ครอบครัวในโลกชั้นสูง …

… ข้าพเจ้าจะพูดกับมิตรสหายที่กำลังทุกข์โศกของเราว่า บุตรของท่านถูก พรากไปและท่านช่วยไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีการตำหนิบิดามารดาเมื่อเขาทำ สุดความสามารถ มารดาไม่ควรถูกตำหนิเพราะช่วยชีวิตบุตรที่เจ็บป๋วยไม่ได้ และเราต้องฝากเรื่องเหล่านี้ไวัในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า อีกไม่นานเราก็จะ ไต้บุตรคืน …

เกี่ยวกับการเติบโต รัศมีภาพ หรือความสูงส่งของเด็กในชีวิตหน้านั้น พระผู้ เป็นเจ้ามิได้ทรงเปิดเผยต่อข้าพเจ้าในเรื่องนั้นมากไปกว่าที่เรารู้ว่าเขารอด ไม่ว่า จะเกี่ยวกับบุตรของท่าน ของข้าพเจ้าหรือของใคร และข้าพเจ้ารู้สืกว่าเราต้อง วางใจพระเจ้าในความทุกข์ทรมานเหล่านี้ เราต้องพึ่งพิงพระพาหุของพระองค์ และหมายพึ่งพระองค์เพื่อการปลอบโยนและการปลอบขวัญ เราจะไม่ทุกข์โศก ภายใต้ความทุกข์ทรมานเหล่านี้เฉกเช่นผู้ไม่มีความหวัง เราจะไปทุกข์โศกเพราะ การสูญเสียบุตรประหนึ่งว่าจะไม่ได้พบเขาอีก เพราะเราทราบดีกว่านั้น พระเจ้า ทรงสอนเราดีกว่านั้น และมีพระกิตติคุณ การเปีดเผยของพระเยซูคริสต์แสดง ให้เราเห็นว่าเราจะได้เขาคืนในการฟืนคืนชีวิตของคนเที่ยงธรรม…

… ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์ขอพระองค์ประทานพรบราเดอร์ และซิสเตอร์วีลเลอร์ [สามีภรรยาที่บุตรชายวัยสีขวบและหกขวบเพิ่งเสียชีวิต] ผู้อยู่ในความทุกข์โศก และประทานพระวิญญาณศักดิ้สิทธิ๙ของพระองค์ให้เขา เพื่อว่าเมื่อเขาลงนอนในตอนกลางคืนและลุกขึ้นในตอนเช้า และคิดถึงลูกๆ เขาจะร้สืกว่าควรวางชีวิตของเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และตระหนักว่าการ พลัดพรากจากลูกน้อยไม่ใช่การพลัดพรากตลอดกาล แต่อีกไม่นานเขาจะไต้คืน เรื่องนี้ประยุกต์ใช้ไต้กับเราทุกคนที่สูญเสียบุตร เราวางร่างเขาไว้ในหลุมศพ แต่ เขาจะออกมาในเช้าของการฟืนคืนชีวิต และหากเราซื่อสัตย์ต่อความจริง เราจะ ได้รับเขาและชื่นชมยินดีกับเขา22

เราควรดำ*นินชีวิตจนเราจะพร้อมรับพรที่พระผู้!ปีนเจ้า ทรงเตรียมไว้ให้เราเมื่อเราสิ้นชีวิต

จุดหมายในอนาคตของเราอยู่อีกด้านหนึ่งของม่าน เมื่อข้าพเจ้าสิ้นชีวิต ข้าพ เจ้าอยากมีโอกาสไปยังที่ที่พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ และพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลกประทับอยู่23

เราควรพยายามปรับปรุงเวลาของเรา พรสวรรค์ของเรา และโอกาสของเรา ขณะอยู่บนโลกนี้ ข้าพเจ้าทราบดีว่าโลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรของเรา เรามีหลักฐาน ชัดเจนถึงวันเวลาของชีวิตเรา เราต้องฝืงศาสดา อัครสาวก เอ็ลเดอร์ บิดา มารดา ภรรยา และบุตรของเรา ซึ่งล้วนแสดงให้เราเห็นว่าชีวิตเราไมยืนยาว ด้วยเหตุนี้เราจึงควรปรับปรุงเวลาของเราในวันนี้24

คำเตือนต่อไปนี้มาถึงคนเป็นโดยตรง “ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้” [มัทธิว 24:44] คำเตือนดังกล่าวใช้ได้กับเราทุกคน และมีไว้ให้เราในฐานะบิดา มารดาและเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลเพื่อทำงานในอุดมการณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ขณะได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อโดยดำเนินชีวิตตามความสว่างและความรู้ที่เราได้รับ เพราะมีเวลากำหนดไว้ให้มนุษย์ทุกคน และพระองค์ทรงนำหลายคนไปตามคำ แนะนำแห่งพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงพรากคนที่พระองค์จะทรง พราก และจะทรงไว้ชีวิตคนที่พระองค์จะทรงไว้ชีวิตเพื่อจุดประสงค์อันเป็น ปรีชาญาณในพระองค์25

เมื่อใดที่เราประสบความเศร้าโศกของความเป็นมรรตัย มีปีติ และรัศมีภาพ ของอาณาจักรชั้นสูงประสาทให้เรา เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าความทุกข์ทรมานในความ เป็นมรรตัยได้เตรียมเราและทำให้เราซาบชึ้งต่อพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ ให้คนซื่อสัตย์26

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้คนเหล่านี้กลับใจจากบาปทั้งหมดของเขา ตื่นตัว ทางวิญญาณ และมีพลังที่จะออกมาเข้าเฝืาพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะ ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเขา เพื่อเขาจะพร้อมปกป้องอาณาจักรและไม่ทิ้ง พันธสัญญาและพี่น้องของเขา หรือทรยศต่อพระกิตติคุณ แต่เอาชนะโลกและ พร้อมเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ตามความบริบูรณ์ของการฟืนคืนชีวิตแรก ซึ่งถูกเตรียมไว้ให้ผู้รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า27

ฃ้อเลโนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่ หน้า ⅴ–ⅸ

  • ทบทวนเรื่องราวการเสืยชีวิตของซาราห์ เอ็มมา วูดรัฟฟ็ (หน้า 78, 80-81) คำสอนใดปลอบขวัญและให้กำลังใจเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์วูดรัฟฟ็ เราเรียน รู้อะไรบ้างจากเรื่องนี้

  • จากคำพูดของประธานวูดรัฟฟ็ เราตั้งตาคอยประสบการณ์อะไรได้บ้างในโลก วิญญาณ (ดูหน้า 81-82) ความรู้นี้ช่วยท่านอย่างไร

  • ขณะอ่านคำแนะนำของประธานวูดรัฟ’ฟ้เกี่ยวกับความทุกข์โศกเพราะการเสืย ชีวิตของผู้เป็นที่รัก ท่านเห็นหลักธรรมใด (ดูหน้า 83-84) ท่านพบสันติสุข อย่างไรเมื่อผู้เป็นที่รักเสืยชีวิต เราจะช่วยผู้ทุกข์โศกในช่วงเวลาของความตาย ได้อย่างไร

  • การชดใช้ของพระเยซูคริสต์นำเหล็กในออกจากความตายอย่างไร (ดูหน้า 82-84; ดู 1 โครินธ์ 15:55–57; โมไซยา 16:6–9 ด้วย)

  • ท่านเรียนรู้อะไรจากคำสอนของประธานวูดรัฟฟเกี่ยวกับเด็กเล็กที่เสืยชีวิต (ดูหน้า 85-87)

  • ทบทวนหน้า 88 พยายามคิดถึงสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหายที่ลูเหมือน พร้อมเมื่อถึงเวลาสิ้นชีวิต เราเรียนเอะไรบ้างจากคนเหล่านี้ จากคำพูดของ ประธานวูดรัฟฟ็ เราต้องทำอะไรเพื่อเตรียมรับชีวิตหลังความตาย (ดูหน้า 87-88)

  • คำสอนของประธานวูดรัฟฟ็มีส่วนช่วยให้ท่านเข้าใจเรื่องความตายและการ ฟ้นคืนชีวิตอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวพง: 1 โครินธ์ 15; แอลมา 11:42–45; 28:12; 34:32–41; โมโรไน 8:12–19; ค.พ. 42:45–47; 76:50–70; 138:57

อ้างอิง

  1. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 8 พฤศจิกายน 1839 หอจดหมายเหตุ ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชน ยุคสุดท้าย

  2. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 11 พฤศจิกายน 1839

  3. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 28 พฤศจิกายน 1839

  4. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 14 กรกฎาคม 1840

  5. ดูบันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 22 ตุลาคม 1840

  6. ในบันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 26 ตุลาคม 1840

  7. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ บทสรุปของปี 1840

  8. ใน Brian H. Stuy, comp., Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92), 2:192.

  9. ใน “President Wilford Woodruff,” Millennial Star, September 22, 1898, 604.

  10. ในCollected Discourses, 1:344.

  11. The Discourses of Wilford Woodruff, sel. G. Homer Durham (1946), 245.

  12. ในCollected Discourses, 2:192.

  13. The Discourses of Wilford Woodruff, 246.

  14. The Discourses of Wilford Woodruff, 244.

  15. Deseret News: Semi-Weekly, January 17, 1882, 1.

  16. ในCollected Discourses, 3:428.

  17. Deseret News: Semi-Weekly, December 28, 1875, 1.

  18. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  19. The Discourses of Wilford Woodruff, 247.

  20. ในCollected Discourses, 2:191-92.

  21. The Discourses of Wilford Woodruff, 232–33.

  22. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  23. ในCollected Discourses, 1:225.

  24. ในCollected Discourses, 1:78.

  25. The Discourses of Wilford Woodruff, 246.

  26. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  27. Deseret News, December 31, 1856, 340.

Christ emerging from tomb

ประธานวูดรัฟฟืเป็นพยานว่า พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็น “ผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต”

Christ appearing to the five hundred

“ทันทีที่เราได้รับทระกิตติคุฌและเรียนรู้หลักธรรมแท่งการพึ๋เนคืนชีวิต ความเศร้าหมอง ความเศร้าโศก และความทุกข์ทรมาบอันเนื่องจาก ความตายแทบจะมลายหายไปลิ้น”

Temple Hill Cemetery

ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟืปลอบโยนบิดามารดาที’ลูกเล็กๆ เสัยชีวิตโดยเป็นพยานถึงการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด