คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 5: พระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเปีดเผยส่วนตัว


บทที่ 5

พระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเปีดเผยส่วนตัว

วามเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธํ่ ตามความซื่อสัตย์ของเรา เพื่อไห้ความสว่างทางปัญญา และนำทางเราไนชีวิตนี้และนำเราสู่ชีวิตนิรันดร์

จากชีวิต6ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

ในเดือนตุลาคุมคริสต์ศักราช 1880 ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็บอกสิทธิชน ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ท่านได้รับการเยือนจากประธานบริคัม ยังผู้ล่วงลับในปี ค.ศ. 1877 และจากประธานฮีเบอร์ ซี. คิมบัลล์ผู้ล่วงลับในปี ค.ศ. 1868 “เมื่อเรามา ถึงที่หมาย” ประธานวูดรัฟฟ็เล่า “ข้าพเจ้าถามประธานยังว่าท่านจะสอนเราได้ ไหม ท่านตอบว่า ‘ไม,ได้ ข้าพเจ้าสิ้นสุดการเป็นพยานในเนื้อหนังแล้ว ข้าพเจ้า จะไม,พูดกับคนเหล่านี้อีก, ‘แต่, ท่านกล่าว ‘ข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้ามาดูแล ท่าน และดูว่าผู้คนทำอะไรอยู่, จากนั้น ท่านกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าต้องการให้ท่าน สอนผู้คน—และข้าพเจ้าต้องการให้ตัวท่านทำตามคำแนะนำนี้ นั่นคือพวกเขา ต้องทำงาน และดำเนินชีวิตจนได้รับพระวิญญาณศักดิ๙สิทธิ๙ เพราะหากปราศจาก พระวิญญาณองค์นี้ ท่านจะเสริมสร้างอาณาจักรไม่ได้ หากปราศจากพระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านย่อมอยู่ในอันตรายของการเดินในความมืด และในอัน ตรายของการไม่สามารถทำการเรียกในฐานะอัครสาวกและในฐานะเอ็ลเดอร์ของ ศาสนาจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าได้’”1

คำแนะนำข้างด้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประธานวูดรัฟฟ พี่น้องชายของท่าน ทราบว่าท่านคือ “ชายผู้หนึ่งที่ไวต่อการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณแห่ง พระเจ้า ชายผู้หนึ่งที่ได้รับการนำทางให้ปฏิบัติหน้าที่ของท่านด้วยการดลใจมาก ยิ่งกว่าของประทานแห่งปัญญาหรือวิจารณญาณที่ตัวท่านครอบครอง”2 ท่านมัก จะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ท่านกับครอบครัวเดินทางไปสหรัฐตะวันออกและท่านได้รับการเรียกให้รับใช้งาน เผยแผ่ที่นั่น ท่านกล่าวว่า

“เย็นวันหนึ่ง ข้าพเจ้าขับรถม้าเข้าไปในที่ฃองบราเดอร์วิลเลียมส์ [สมาชิก ศาสนาจักรในท้องที่] บราเดอร์ออร์สัน ไฮด์ [แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง] ขับ เกวียนอยู่ข้างๆ ภรรยาข้าพเจ้ากับลูกๆ อยู่ในรถม้า หลังจากปล่อยม้าพัก และ รับประทานอาหารคาเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เข้าไปนอนในรถม้า ข้าพเจ้าเข้านอนได้ ไม่กี่นาทีเมื่อพระวิญญาณตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ลุกขึ้นไปย้ายรถม้า, ข้าพเจ้าบอก ภรรยาว่าต้องลุกขึ้นไปย้ายรถม้า เธอถามว่า ‘ย้ายทำไมคะ, ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ไม่ รู้เหมือนกัน, นั่นคือทั้งหมดที่เธอถามข้าพเจ้าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น เมื่อ ข้าพเจ้าบอกเธอว่าไม่รู้ นั่นเพียงพอแล้ว ข้าพเจ้าลุกขึ้นไปย้ายรถม้า…จากนั้นก็ เหลียวมองไปรอบๆ และเข้านอน พระวิญญาณองค์เดิมตรัสว่า ‘ไปย้ายสัตว์ออก จากต้นโอ๊คต้นนั้น,…ข้าพเจ้าไปย้ายม้าและปล่อยมันไว้ในป๋าฮิคคอรีเล็กๆ และ กลับเข้านอนอีกครั้ง

“สามสิบนาทีต่อมาเกิดพายุหมุนโค่นต้นโอ๊คต้นนั้นแล้วหอบลอยสูงจากพื้น สองฟุต มันหอบเสารั้วไปสามสืต้นแล้วจึงหล่นระเนระนาดตรงลานหน้าประตู ใกล้เกวียนของบราเดอร์ออร์สัน ไฮด์ตรงที่รถม้าของข้าพเจ้าเคยจอดอยู่ ผลจะ เป็นอย่างไรหากข้าพเจ้าไม่ฟ้งพระวิญญาณองค์นั้น ข้าพเจ้าคับภรรยาจะต้องตาย แน่นอน นั่นคือสูรเสืยงสงบแผ่วเบาที่มาถึงข้าพเจ้า—ไม่ใช่แผ่นดินไหว ไม่ใช่ ฟ้าร้อง ไม่ใช่ฟ้าแลบ แต่คือสุรเสืยงสงบแผ่วเบาของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า สุรเสืยงนั้นช่วยชีวิตข้าพเจ้า นั่นคือวิญญาณแห่งการเปิดเผยที่มาถึงข้าพเจ้า”3

ประธานวูดรัฟฟ้เน้นว่าสมาชิกทุกคนของศาสนาจักรจำเป็นต้องไต้รับการนำ ทางจากพระวิญญาณบริสุทธึ๋—แสวงหาการเปิดเผยสํวนตัว ท่านยืนยันว่า “ศาส นาจักรของพระผู้เป็นเจ้าคงจะอยู่ไม่ถึงยี่สิบสืชั่วโมงหากปราศจากการเปิดเผย”4

คำรโอนของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้!

พระวิญญาณบริสุทธิทรงเป็นบุคคลที่เป็นวิญญาณ พระองค์ทรงเป็นพยานถึงพระผู้เปืนเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์ และความจริงของพระกิตติคุณ

พระวิญญาณบริสุทธิ๙ทรงเป็นองค์หนึ่งในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ พระผู้เป็น เจ้าพระบิดาและพระผู้เป็นเจ้าพระบุตรทรงมีร่างกาย [พระวรกายเป็นเนื้อหนัง และกระลูก] และพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามรูปลักษณะของพระองค์ แต่ พระวิญญาณบริสุทธิ”ทรงเป็นบุคคลที่เป็นวิญญาณ ซึ่งเป็นพยานถึงพระบิดาและ พระบุตรต่อลูกหลานมนุษย์ [ตู ค.พ. 130:22]5

อะไรคือประจักษ์พยานสำคัญที่สุดที่ชายหรือหญิงคนใดก็มีได้ในเรื่องที่ว่านี่ คืองานของพระผู้เปีนเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่าอะไรคือประจักษ์พยานสำคัญที่ สุดที่ข้าพเจ้าเคยมี ประจักษ์พยานมั่นคงที่สุดนั้นคือประจักษ์พยานในพระวิญ ญาณบริสุทธิ ประจักษ์พยานในพระบิดาและพระบุตร6

ตาและหูของเราอาจถูกความฉ้อฉลและเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์หลอกได้ แต่ ไม,มีใครหลอกพระวิญญาณบริสุทธได้7

พระคัมภีร์บอกเราว่ามีวิญญาณในมนุษย์และว่าการดลใจของพระผู้ทรงมหิทธิ ฤทธึ๋กระทำให้เข้าใจ [ดู โยบ 32:8] หลักธรรมนี้ทำให้เราคุ้นกับความจริงและ พลังอำนาของพระกิตติคุณซึ่งเราได้รับ หลักธรรมแห่งชีวิตนิรันดร์เป็นที่ประจักษ์ ต่อเราโดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ้ เพราะพระวิญญาณองค์นั้นสถิตอยู่ กับเรา มีอิทธิพลต่อความคิดของเรา และหากเราเอาใจใส่คำสอนเหล่านั้น โดย มีความรู้สืกที่ถูกต้องในตัวเรา เราจะเข้าใจเรื่องต่างๆ ตังที่เป็นอยู่นั้นได้อย่างชัด เจน8

สิทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนที่ซื่อสัตย์จะได้รับของประทาน แห่งพระวิญญาณบริลุ[ทธิ ซื่งเป็นฃองประทานยิ่งใหญ่ที่สุดที่ใคร ก็ตามจะได้รับในความเปีนมรรตัย

ทุกคนที่กลับใจจากบาปและรับบัพติศมาเพื่อการปลดบาปตามพระฐานะของ พระผู้เป็นเจ้าและตามแบบของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกฝืงในนํ้าเหมือนกับการ สิ้นพระชนม์และขึ้นมาจากนํ้าเหมือนกับการฟืนคืนพระชนม์ มีสิทธิ”ได้รับพระ วิญญาณบริสุทธิ๙ นี่คือสัญญาที่ให้ไว้และสิ่งนี้เปีนของเขา ทุกคนมีสิทธิ”ชนชมสิ่ง นี้และหากเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ”และของประทาน [ของพระองค์] เขา ย่อมมีการดลใจ ความสว่าง และความจริง เขาย่อมมีตาเพื่อจะมองเห็น มีหู เพื่อจะได้ยิน และ มีใจเพื่อจะเข้าใจ9

หากท่านมีพระวิญญาณบริสุทธิ”สถิตอยู่กับท่าน—และทุกท่านควรมี-ข้าพ เจ้าบอกท่านได้ว่าไม่มีของประทานใด ไม่มีพรใด และไม,มีประจักษ์พยานใดที่ ให้มนุษย์บนแผ่นดินโลกจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ท่านอาจมีการปฏิบัติของ เทพ ท่านอาจเห็นการอัศจรรย์มามาก ท่านอาจเห็นสิ่งแปลกประหลาดมากมาย ในโลก แต่ข้าพเจ้าถือว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ๙เป็นของประทาน ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มอบให้มนุษย์ เราปฏิบัติสิ่งซึ่งเรามีโดยพลังอำนาจนี้ พลังอำนาจ ซึ่งคํ้าจุนเราในยามที่ต้องเผชิญการข่มเหง การทดลอง และความยากลำบากทั้ง หลาย10

ชายหรือหญิงทุกคนที่เข้ามาในศาสนาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและรับบัพติศมา เพื่อการปลดบาปย่อมมีสิทธิ้รับการเปีดเผย มีสิทธิ๙รับพระวิญญาณของพระผู้เป็น เจ้าเพื่อช่วยเขาในการทำงาน ในการอบรมบ่มนิสัยลูกๆ ในการให้คำปรึกษาลูกๆ และคนที่อยู่ในความดูแล พระวิญญาณบริสุทธิ้มิไต้ถูกจำกัดไว้สำหรับผู้ชาย อัคร สาวก หรือศาสดา แต่เป็นของชายหญิงทุกคนที่ซื่อสัตย์ และเด็กทุกคนที่โตพอ จะรับพระกิตติคุณของพระคริสต์ได้11

เราควรทำตัวให้คุ้นเคยกับสุรเสียงสงบแผ่วเบาของพระวิญญาณ บริสุทธิ—สุรเสียงของการเปิดเผย

มีวิธีกำหนดไว้…ให้รับการเโเดเผยจากพระเจ้าเพื่อการปกครองศาสนาจักร ของพระองค์ มีผู้ดำรงอำนาจนี้บนแผ่นดินโลกคราวละหนึ่งคน แต่สมาชิกทุก คนมีสิทธิ”ได้รับการเปีดเผยจากพระเจ้าเพื่อนำทางเขาในกิจการงานของเขา และ เป็นพยานต่อเขาเกี่ยวกับความถูกต้องของคำสอนและกิจกรรมเพื่อส่วนรวม12

การเปีดเผยคืออะไร คือการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ”ตอมนุษย์ โจเซฟ สมิธกล่าวกับบราเดอร์จอห์น เทย์เลอร์ในสมัยของท่านว่า “บราเดอร์เทย์เลอร์ คุณเอาใจใส่การกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า คุณเอาใจใส่สุร เสียงกระซิบของพระวิญญาณที่มาถึงคุณ คุณทำตามนั้นในชีวิตคุณ และ [นี่] จะเป็นหลักธรรมแห่งการเปีดเผยในตัวคุณ คุณจะรู้และเข้าใจพระวิญญาณองค์ นั้นและพลังอำนาจของพระองค์” นี่คือกุญแจ ศิลาอันเป็นรากฐานของการเปีด เผยทั้งมวล…ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามทำความคุ้นเคยกับ พระวิญญาณองค์นั้นและเรียนรู้การทำงานของพระองค์13

มีกี่คนในพวกท่านที่เคยไต้รับการเปีดเผย มีกี่คนในพวกท่านที่พระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้าเคยกระซิบกับท่านด้วยสุรเสียงสงบแผ่วเบา…ข้าพเจ้ามีประ จักษ์พยานมากมายนับแต่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนาจักรนี้และอาณาจักร ข้าพเจ้า ได้รับพรหลายครั้งด้วยของประทานและพระคุณบางอย่าง การเปีดเผยและการ ปฏิบัติบางอย่าง แต่ข้าพเจ้าไม่เคยพบว่ามีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าน่าจะเชื่อถือได้มาก กว่าสุรเสียงสงบแผ่วเบาของพระวิญญาณบริสุทธ14

มนุษย์มักมองสูงเกินไปหรือคาดหวังมากเกินไปจนเขาเข้าใจพระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้าและการดลใจของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธผิดบ่อยๆ เราควรมอง หาพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าในสุรเสียงสงบแผ่วเบามิใช่ในเสียงฟ้าร้องหรือ พายุหมุน [ดู 1 พงค์กษัตริย์ 19:11–12]15

โดยผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิเราได้รับพร เพื่อนำทางชีวิตเราเวลานี้และเพื่อตรียมเราให้พร้อมรับชีวิตนิรันดร์

ท่านอาจทำให้ชายหรือหญิงคนใดคนหนึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยความมั่งคั่งและ เกียรติยศทุกอย่างที่มนุษย์ฝืนจะไขว่คว้าได้ และเขาพอใจหรือไม, ไม,เลย ยังคง มีบางอย่างขาดหายไปในชีวิตเขา ในทางตรงกันข้ามให้ข้าพเจ้าลูคนขอทานที่อยู่ ตามท้องถนนผู้มีพระวิญญาณบริสุทธิ๙ ผู้ที่ความคิดเขาเปียมด้วยพระวิญญาณ และพลังอำนาจนั้น และข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นผู้มีสันติสุขในใจ ผู้ครอบ ครองความรั่ารวยที่แท้จริง และความสุขเหล่านั้นที่ไม,มีมนุษย์คนใดได้มาจาก แหล่งอื่น16

เมื่อเราชื่นชมพระวิญญาณศักดิ๙สิทธี้ เมื่อเราพยายามดำเนินชีวิตตามศาสนา ของเราบนโลกนี้ เราคือผู้มีความสุขที่สุด ณ ที่รองพระบาทของพระผู้เป็นเจ้าไป ว่าสภาพการณ์ของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม,สนใจว่าเราจะรารวยหรือ ยากจน อยู่ในความสุขหรือความทุกข์ยาก หากมนุษย์ดำเนินชีวิตตามศาสนา ของเขา และชื่นชมความอิ่มเอิบและพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่เกิด ขึ้นบนแผ่นดินโลกย่อมไม,มีผลอะไรต่อเขา อาจมีแผ่นดินไหว สงคราม ความ เดือดร้อนหรือหายนะในแผ่นดิน แต่เขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างยังคงดีสำหรับเขา นั่น แหละที่ข้าพเจ้ารู้สึก17

ทุกคนที่ได้รับพระวิญญาณองค์นั้นจะมีผู้ปลอบโยนอยู่ในใจ—ผู้นำที่คอย บอกทางและนำทางเขา พระวิญญาณองค์นี้ทรงเปีดเผยเรื่องเหล่านั้นซึ่งเป็นไป เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่มีศรัทธา วันแล้ววันเล่า…การดลใจของพระผู้เป็นเจ้า ต่อลูกๆ ของพระองค์ในทุกยุคสมัยของโลกเป็นของประทานจำเป็นอย่างหนึ่งที่ คํ้าจุนมนุษย์และทำให้เขาสามารถเดินด้วยศรัทธา ออกไปทำตามคำบอก พระ บัญญัติ และการเปีดเผยทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ลูกๆ ของพระองค์ เพื่อนำทางและชี้นำเขาในชีวิต18

ทุกคนควรได้รับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และทำตามการนำทางของ พระวิญญาณ นึ่คือการเปีดเผย ไม่สำคัญว่าพระวิญญาณบอกให้ท่านทำอะไร เพราะพระวิญญาณจะไม่บอกให้ท่านทำสิ่งผิด19

เราถูกห้อมล้อมด้วย…วิญญาณชั่วที่ทำสงครามกับพระผู้เป็นเจ้าและกับทุก สิ่งที่มุ่งหมายจะเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า และเราต้องการพระวิญ ญาณศักดสิทธิ้องค์นี้เพื่อเราจะสามารถเอาชนะอิทธิพลเหล่านี้ได้ …

… นี่คือพระวิญญาณที่เราต้องมีเพื่อดำเนินจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าบน แผ่นดินโลก เราต้องการพระวิญญาณมากกว่าของประทานอื่นทั้งหมด…เราอยู่ ท่ามกลางศัตรู ท่ามกลางความมืดและการล่อลวง และเราต้องไต้รับการนำทาง จากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า เราควรสวดอ้อนวอนพระเจ้าจนกว่าจะได้รับ พระผู้ปลอบโยน นี่คือสิ่งที่สัญญาไว้กับเราเมื่อเรารับบัพติศมา นี่คือวิญญาณ แห่งความสว่าง ความจริง และการเปีดเผย และจะอยู่กับเราทุกคนได้ในเวลา เดียวกัน20

ท่านจะพบว่าหากเราพยายามทำสิ่งอื่นนอกเหนือจากการทำตามคำบอกของ พระวิญญาณศักดึ๋•สิทธิ๙ เราจะเข้าไปในหมอก ในความมืดและความยุ่งยาก และ เราจะไม,รู้ทิศทางที่เรากำลังแสวงหา ทุกวันที่เรามีชีวิตเราต้องการพลังอำนาจ ของพระเจ้า—พลังอำนาจของพระวิญญาณศักดิ้สิทธิ๙องค์นี้และความเข้มแข็ง ของฐานะปุโรหิตอยู่กับเราเพื่อเราจะรู้ว่าต้องทำอะไร และหากเราจะดำเนินชีวิต เช่นนั้นต่อพระพักตร์พระเจ้า พระวิญญาณจะทรงเปีดเผยให้เราทราบทุกวันว่า หน้าที่ของเราคืออะไร ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าเรามีส่วนร่วมในเรื่องใด แต่ก่อนอื่นเรา ควรทราบพระประสงค์ของพระเจ้าและทำตาม และเมื่อนั้นงานของเราจะลุล่วง ด้วยดีและเปีนที่ยอมรับต่อพระเจ้า21

ตลอดชีวิตและการทำงานของข้าพเจ้า ทุกครั้งที่พระวิญญาณของพระเจ้าบอก ให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ข้าพเจ้ามักพบว่าสิ่งที่ทำนั้นเปีนเรื่องดี ข้าพเจ้าได้รับ การปกปักรักษาโดยอำนาจดังกล่าว…จงมีวิญญาณแห่งการเปิดเผยอยู่กับท่าน และเมื่อท่านมีท่านจะปลอดภัย และท่านจะทำตามที่พระเจ้าทรงต้องการให้ ท่านทำ22

ความคิดที่ว่าเราสามารถเชื่อฟ้งและรับการชำระให้ศักดิ๙สิทธี้ไต้โดยพระกิตติ คุณ และต้วยเหตุนี้จึงพร้อมรับชีวิตนิรันดร์เปืนมรดก คือหลักธรรมลํ้าเลิศที่สุด ประการหนึ่งที่เคยเปิดเผยต่อมนุษย์…เรามีความหวังที่ชาวโลกไม,รู้จัก และ ความหวังนั้นเข้าไปในความคิดของเขาไม่ได้ หากเขาไม,เกิดจากพระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้าเขาจะเห็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าไม,ได้ และเขาจะเข้าไป ในนั้นไม,ได้เว้นแต่เขาจะเกิดจากนํ้าและจากพระวิญญาณ [ดู ยอห์น 3:5] ด้วย เหตุนี้เขาจึงไม1มีส่วนในความคาดหวังและความหวังอันน่ายินดีที่เราครอบครอง ตา หูและใจของเขาไม,ยอมเปิดดู ฟ้ง และรู้สีกถึงพลังอำนาจแห่งพระกิตติคุณ ของพระคริสต์23

นับเป็นสิทธิพิเศษของเราที่ได้ทำตามคำบอกของพระวิญญาณของพระเจ้า มี พระวิญญาณเป็นเครื่องนำทาง และเป็นเพื่อนของเรา และโดยทำเช่นนี้ พรแห่ง สวรรค์จะเป็นของเราทันทีที่เราพร้อมจะรับไว้24

การมีพระวิญญาณเป็นเพื่อนตลอดเวลานั้นต้องอาศัยความพยายาม และความซอสตยอย่างเสมอตนเสมอปลายของเรา

ข้าพเจ้าปรารถนา…ให้พวกเราทำหน้าที่ของเรา ดำเนินชีวิตตามศาสนาของ เรา จรรโลงศรัทธา ดำเนินชีวิตต่อพระพักตร์พระเจ้าจนพระวิญญาณบริสุทธิ้เป็น เพื่อนเราตลอดเวลาเพื่อนำเราในวันข้างหน้า นี่คือคำสวดอ้อนวอนและความ ปรารถนาของข้าพเจ้า25

ข้าพเจ้าทราบว่าเราด้องต่อส้ ต้องลงแรง และซื่อสัตย์ต่อพระพักตร์พระเจ้า ตลอดเวลาทั้งนี้เพื่อเราจะรักษาความเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณศักดี้สิทธิ้เอาไว้ ได้ และดำเนินชีวิตจนเราได้รับพรเหล่านี้26

ขณะอยูไนเนื้อหนังไม,มีสิ่งใดที่เราควรบากบั่นให้ได้มามากไปกว่าพระวิญญาณ ของพระผู้เป็นเจ้า พระ’วิญญาณบริสุทธิ พระผู้ปลอบโยน ซึ่งเรามีสิทธี้ได้รับ เนื่องด้วยการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพระกิตติคุณ27

คำสัญญายิ่งใหญ่ซึ่งมาควบคู,กับการสั่งสอนพระกิตติคุณดังเปิดเผยจากสวรรค์ ในสมัยของเราคือ จะมอบพระวิญญาณบริสุทธิ้ให้คนที่สำนึกผิดอย่างแท้จริงและ ปฏิบัติตามพิธีการศักดิ๙สิทธิ้*ใ)องพระกิตติคุณ โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ้ ความ ร้ในเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจะถูกถ่ายทอด พระดำริและพระประสงค์ ของพระบิดาจะเป็นที่รู้ โดยวิธีนื้พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ้ทรงเปิดเผยจุดประสงค์ ของพระองค์ต่อคนที่เชื่อฟังพระบัญญัติและคนที่ชีวิตเขาบริสุทธิ้และเป็นที่ยอม รับต่อพระองค์ ทั้งนื้เพื่อเขาจะพร้อมรับเหตุการณ์และการทดลองทั้งปวงที่อาจ อยู่ในเส้นทางของเขา

หากมีสมาชิกคนใดของศาสนาจักรผู้ไม1รู้โดยประสบการณ์ของตนเองว่านี่ เป็นความจริง เขามั่นใจได้เลยว่าเขามิได้ดำเนินชีวิตสมกับสิทธิพิเศษของเขา สิทธิชนทุกคนควรติดต่อใกล้ชิดกับพระวิญญาณบริสุทธิ้ และกับพระบิดาโดย ผ่านพระวิญญาณองค์นั้น หาไม่แล้วเขาจะอยู่ในอันตรายของการฟายแพ้ต่อความ ชั่วร้ายและเฉออกข้างทาง

เพราะเหตุนี้เราจึงพูดกับสิทธิชนยุคสุดท้ายว่า พระวิญญาณบริสุทธิ๙จะไม,อยู่ใน วิหารที่ไม่บริสุทธ หากท่านอยากได้พลังอำนาจและของประทานโดยครบถ้วน จากศาสนาของท่าน ท่านต้องบริสุทธ หากท่านทำผิดเพราะความอ่อนแอ ความ โง่เขลา และบาป ท่านต้องกลับใจจากสิ่งเหล่านี้และละทิ้งโดยสิ้นเชิง ไม,มีวิธี อื่นที่เราจะทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยได้ “มนุษย์แห่งความบริสุทธิ้” คือ พระนามของพระองค์ [ดู โมเสส 6:57] และพระองค์ทรงดีพระทัยเมื่อลูกๆ ของพระองค์พยายามทำตัวให้บริสุทธ28

หากเราไม่มีการเปีดเผย นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างที่ควรทำ เพราะเราไม่ขยาย [การเรียกใน] ฐานะปุโรหิตตังที่เราควรทำ หากเราทำ เราจะ ไม่ปราศจากการเปีดเผย ทั้งจะไม,แห้งแล้งหรือไร้ผล29

ขอให้เราละทิ้งการปฏิบัติชั่วทุกอย่าง อุปนิสัยทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการ ติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า…หากเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มีแนวโน้มจะขัดขวางความ เบิกบานใจของเราและทำให้เราด้อยค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราควร ละทิ้งมันและแสดงให้เห็นความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำตามพระประสงค์ของพระ บิดาในสวรรค์ และทำงานที่มอบไว้ให้เราจนสำเร็จ…เมื่อข้าพเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ที่ขัดขวางข้าพเจ้าไม่ให้ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า ทันทีที่รู้ตัว ข้าพเจ้าจะ ทิ้งมันทันที30

เรากำลังพยายามทำตามกฎชั้นสูงของพระผู้เป็นเจ้า เรากำลังสั่งสอนพระกิต ติคุณของพระเยซูคริสต์และพยายามดำเนินตามหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณ คำถามมีอยู่ว่า เราจะได้ประโยชน์จากการทำเช่นนั้นหรือไม่ เราจะได้ประโยชน์ จากการเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่ เราจะได้ประโยชน์จากการเผชิญกับการทดลอง หรือความทุกข์ยาก หรือการข่มเหง หรือแม้แต่ความตาย เพื่ออาณาจักรของ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อความรอดและชีวิตนิรันดร์อันเป็นของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดใน บรรดาของประทานทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ลูกหลานมนุษย์หรือไม, ข้าพเจ้ากล่าวว่าเราจะได้ และข้าพเจ้าหวังว่าสิทธิชนยุคสุดท้าย ชายทุกคนที่มี อำนาจ—ว่าเราทุกคนจะซื่อสัตย์ต่อพระพักตร์พระเจ้า ระลึกถึงคำสวดอ้อนวอน ของเรา บากบั่นเพื่อให้มีพระวิญญาณคักดึ๋สทธิ๙ บากบั่นเพื่อให้รู้พระดำริและ พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เรารู้เสันทางที่จะเดินไป ขอให้เราได้รับพระ วิญญาณของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ้ และขอให้เราเอาชนะโลกและ ขยายการเรียกของเราจนกว่าเราจะผ่านพ้นการทดสอบนี้31

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและลโอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเดิมได้ที่ หน้า ⅴ–ⅸ.

  • ท่านเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวในหน้า 47–48

  • ขณะสืกษาบทนี้ ท่านเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธี้และบทบาท ของพระองค์

  • ทบทวนย่อหน้าที่สองหน้า 50 เหตุใดเราจึงถือว่าของประทานแห่งพระวิญ ญาณบริสุทธิเป็น “ของประทานยิ่งใหญ่ที่สุด,, ที่เราจะได้รับในความเป็น มรรตัย ทบทวนย่อหน้าสุดท้ายในบทนี้ หน้า 55-56 ของประทานแห่งพระ วิญญาณบริสุทธเตรียมเราให้พร้อมรับชีวิตนิรันดร์ “ของประทานยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดาของประทานทั้งหมด” อย่างไร

  • คำสอนของประธานวูดรัฟฟ็ช่วยให้เราตระหนักในการกระตุ้นเตือนของพระ วิญญาณบริสุทธิ”ได้อย่างไร (ดูหน้า 48, 51; ดู ค.พ. 6:15, 22–23; 11:12–14 ด้วย) เหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะจำไว้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ๙มักลือสาร ด้วย “สุรเสืยงสงบแผ่วเบา”

  • อ่านย่อหน้าที่เริ่มด้นตรงมุมล่างสุดของหน้า 51 “ความรารวยที่แท้จริง,, ที่ เราได้รับเมื่อมีพระวิญญาณบริสุทธิ”อยู่กับเรามีอะไรบ้าง (ดูหน้า 51-54)

  • ลองนึกถึงประสบการณ์เมื่อท่านได้รับการน่าทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ๙ ท่านเคยได้รับพรผ่านความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธในทางใด

  • ทบทวนหัวข้อสุดท้ายในบทนี้ (หน้า 54-56) เหตุใดเราจึงต้องพยายามอยู่ ตลอดเวลาเพื่อให้มีพระวิญญาณบริสุทธิไปีนเพื่อนตลอดเวลา อะไรเปีน อุปสรรคไม่ให้เรารู้สืกถึงอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ๙ อะไรช่วยให้เรารู้ สืกถึงอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ๙

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: ยอห์น 14:26; 15:26; 16:13; 1 โครินธ์ 2:9–14; 1 นีไฟ 10:17–19; 2 นีไฟ 32:1–5; โมโรไน 10:5; ค.พ. 8:2–3; 14:7

อ้างอิง

  1. The Discourses of Wilford Woodruff, sel. G. Homer Durham (1946), 290; ดู page 289 ด้วย

  2. Joseph F. Smith, Gospel Doctrine, 5th ed. (1939), 171.

  3. ใน Brian H. Stuy, comp., Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92), 2:266-67.

  4. The Discourses of Wilford Woodruff, 61.

  5. ใน Collected Discourses, 1:341.

  6. Deseret News: Semi-Weekly, September 7, 1880, 1.

  7. Deseret News: Semi-Weekly, July 30, 1878, 1.

  8. Deseret News, June 26, 1861, 130.

  9. Deseret News: Semi-Weekly, May 2, 1876, 4.

  10. ใน Collected Discourses, 1:224.

  11. The Discourses of Wilford Woodruff, 53.

  12. The Discourses of Wilford Woodruff, 54.

  13. The Discourses of Wilford Woodruff, 45–46.

  14. The Discourses of Wilford Woodruff, 45.

  15. บันทึกส่วนตัวของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ 20 มกราคม 1872 หอจดหมายเหตุศาสนาจักร ของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย

  16. The Discourses of Wilford Woodruff, 5.

  17. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  18. The Discourses of Wilford Woodruff, 7–8.

  19. The Discourses of Wilford Woodruff, 293–94.

  20. ใน Collected Discourses, 5:238-40.

  21. Deseret News, March 4, 1857, 411.

  22. ใน Conference Report, April 1898,31.

  23. Deseret News: Semi-Weekly, March 4, 1873, 3.

  24. Deseret News, December 26, 1860, 338.

  25. ใน Collected Discourses, 5:263.

  26. Deseret News: Semi-Weekly, July 20, 1875, 1.

  27. ใน Collected Discourses, 4:327.

  28. “Epistle,” Woman’s Exponent, April 15, 1888, 174; จากจดหมายที่ ประธานวูดรัฟฟ็เขียนในนามของโควรัม อัครสาวกสิบสอง

  29. The Discourses of Wilford Woodruff, 51.

  30. Deseret News, February 26, 1862, 274.

  31. The Discourses of Wilford Woodruff, 129.

gift of the Holy Ghost

ของประทานแห่งพระวิญญาฌบริสุทธิ้ปีให้ “ชายหญิงทุกคนที่ซื่อสัตย์ และเด็กทุก คนที่โตพอจะรับพระกิตติคุณของพระคริสต์ได้”

two men conversing

สิทธิชนยุคสุดท้ายที่ปีค่าควรจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธี้ “เพื่อช่วยเขาไนการ ทำงาน ไนการอบรมปมนิสัยลูกๆ ไนการให้ค่าปรึกษาลูกๆ และคนที่อยู่ ในความดูแล”