ชีวิตและการปฏิบัติศาลโนกิจ ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์
“พระผู้เป็นเจ้าทำการลี้ลับ ประกอบกิจอัศจรรย์ จารึกรอยพระบาทใน ทะเลและทรงห้ามพายุ”1 เพลงโปรดของประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ขึ้นต้นดังนี้ “พระผู้เป็นเจ้าทำการลี้ลับ”
“ท่านชอบ [เพลงสวดเพลงนั้น]” ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ผู้รับใช้เป็น อัครสาวกสมัยวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้เป็นประธานศาสนาจักรกล่าว “ข้าพเจ้ายืนยัน ว่าเราร้องเพลงดังกล่าวในการประชุมประจำสัปดาห์ของเราที่พระวิหารบางทีก็ ร้องเดือนละสองครั้ง และแทบไ ม่มีเดือนใดผ่านไปโดยบราเดอร์วูดรัฟฟ็ไม่ได้ ขอให้ร้องเพลงนั้น ท่านเชื่อในงานนี้สุดจิตสุดใจและสุดจิตวิญญาณ และทำงาน สุดกำลังที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก’ท่านเพื่อความก้าวหน้าของงานดังกล่าว”2
มัทธิอัส เอฟ. คาวลีย์ ผู้รับใช้ร่วมกับประธานวูดรัฟฟกล่าวด้วยว่า “บางที อาจไ ม่มีใครในศาสนาจักรร้ซึ้งถึงความจริงของเนื้อเพลง ‘พระผู้เป็นเจ้าทำการ ลี้ลับ ประกอบกิจอัศจรรย์’ มากไปกว่าวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ ท่านคือผู้มีวิญญาณ แ ก่กล้าและอุทิศตนเต็มที่ต่อการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าจนได้รับปรากฎการณ์อันน่า อัศจรรย์มากมายที่แสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาของท่าน มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการอัศจรรย์ การอัศจรรย์เพียงแต่ยืนยันสิ่งที่ท่านเชื่อ สุดจิตสุดใจและสนับสนุนแนวคิดของท่านในคำสอนเรื่องงานเขียนอันศักดิ้ สิทธิ”3
ดังที่ประธานแกรนท์และบราเดอร์คาวลีย์ตั้งข้อสังเกต เพลงโปรดของประ ธานวูดรัฟฟ้เป็นหัวข้อที่เข้ากับชีวิตท่าน อีกทั้งบรรยายถึงความก้าวหน้าที่ท่าน เห็นด้วยตาตนเองในศาสนาจักรของพระเยูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย เพลง สวดกล่าวต่อไปว่า
สิทธิชนซื่อสัตย์ ปีนหยัดกล้าหาญ
เมฆหมอกอันน่าหวาดหวั่น
สลายลงพลันด้วยพระเมตตา
พระพรหลั่งมาคุ้มครอง
พระประสงค์บรรลุร็วพลัน
คลี่ออกทุกวันทลา
หน่ออ่อนอาจขมนักหนา
ต่อมาจึงหวานชื่นใจ
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟเป็นผู้มืส่วนเด่นชัดในเหตุการณ์สำคัญมากมายของประวัติ ศาสนาจักรยุคต้น และคุ้นเคยดีกับเมฆหมอกแห่งความยากลำบากที่สุดท้าย กลายเปีนพรสำหรับผู้ซื่อสัตย์ ท่านลิ้มรสความขมขื่นของการข่มเหงและความ ทุกข์ยาก แต่จากความขมขื่นนั้นท่านได้รับส่วนแห่งความหวานชื่นที่พระหัตถ์ ของพระผู้เป็นเจ้าทรงนำมา และขณะที่เห็นการฟืนฟูพระกิตติคุณเผยออกมา ท่านได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนถึงงานของพระผู้เป็นเจ้าด้วย
วัยเดีกนละวัยหนุ่มของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้: รากฐานอันแข็งแกร่งวางไว้ในบ้าน
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1807 ในเมืองฟาร์มิงตัน รัฐ คอนเนคติกัท เป็นบุตรของอาเพค วูดรัฟฟและ’มูลาห์ ธอมป็สัน วูดรัฟฟ พอ อายุได้ 15 เดือนมารดาท่านก็เสียชีวิตเพราะใรคหัดลาย อีกสามปีต่อมา อาเพค แต่งงานใหม่ วิลฟอร์ดกับพี่ชายสองคนได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาและอซูบาห์ ฮาร์ต วูดรัฟฟมารดาเลี้ยง อาเพคกับอซูบาห์มีบุตรด้วยกันอีกหกคน สีคนเสีย ชีวิตในวัยทารกหรือวัยเด็ก
งานเขียนของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็แสดงให้เห็นว่าท่านเติบโตเช่นเด็กผู้ชายทั่วไป ในสมัยนั้น ท่านไปโรงเรียนและทำงานที่ฟาร์มครอบครัว ท่านทำงานในโรงเลื่อย ของบิดาเมื่ออายุยังน้อยด้วยโดยได้รับประสบการณ์ที่ช่วยท่านขณะเป็นผู้ใหญ่ คราวเปีดกิจการโรงเลื่อยของตนเอง กิจกรรมยามว่างที่ท่านโปรดปรานมากที่สุด อย่างหนึ่งคือตกปลา ท่านกับพี่ชายมักไปตกปลาเทราท์ด้วยกันบ่อยๆ ในลำธาร ที่ไหลผ่านโรงเลื่อยของบิดา
ท่านรักครอบครัวและมีความเคารพสุดซึ้งต่อบิดามารดา ท่านพูดถึงบิดาด้วย ความชื่นชมและกตัญญว่าเป็นชายกำยำลาสันผู้ “ตรากตรำงานหนัก” ตลอด เวลาและเป็น “บุรุษผู้มีความใจบุญ ความซื่อสัตย์ ความตรงไปตรงมา และ ความจริงอย่างมาก”5 ท่านจำได้ด้วยว่าการสอนพระกิตติคุณของมารดาเลี้ยงช่วย นำท่านให้แสวงหาศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเจ้า6
แม้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องมากมายที่ทำให้ท่านปีติยินดีอย่างที่สุดในชีวิต ยังคงเกี่ยวข้องกับบิดามารดาและพี่ๆ น้องๆ ท่านเข้าร่วมศาสนาจักรวันเดียวกับ แอซมอนพี่ชาย ท่านปลื้มปีติเมื่อได้สอนและให้บัพติศมาบิดา มารดาเลี้ยง และ คนในครอบครัว ต่อมาภายหลังท่านทำงานพระวิหารให้มารดาด้วย อันเป็นสิทธิ พิเศษที่ท่านกล่าวว่าให้ผลคุ้มค่าแก่การลงแรงมาตลอดชีวิต7
“ความคุ้มครองและพระเมตตาของพระผู้!ปีนเจ้า”
เมื่อหวนคิดถึงวัยเด็กและวัยหนุ่มของตนเอง วิลฟอร์ด วูดรัฟพ่ยอมรับว่า พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงปกปักรักษาชีวิตท่านหลายครั้ง ในบทความเรื่อง “Chapter of Accidents” ท่านพรรณนาถึงอุบัติเหตุบางอย่างที่ได้รับและรู้สืก อัศจรรย์ใจที่ท่านมีชีวิตเพี่อบอกกล่าวเรื่องเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ท่านพูดถึงการ ผจญภัยที่ฟาร์มของครอบครัวไว้ดังนี้ “ตอนอายุหกขวบ ข้าพเจ้าเกือบถูกวัว เปลี่ยวอารมณ์ร้ายฆ่าตาย ข้าพเจ้ากับคุณพ่อกำลังเลี้ยงฝูงวัวด้วยฟ้กทอง [และ] วัวเปลี่ยวนิสัยเกเรตัวหนึ่งดันวัวตัวเมียของข้าพเจ้าเพี่อจะแย่งฟ้กทองที่กำลัง กินอยู่ พอมันปล่อยฟ้กทองข้าพเจ้าก็คว้าไว้เป็นเหตุให้มันพุ่งเข้ามาขวิดข้าพเจ้า คุณพ่อบอกให้ข้าพเจ้าโยนฟ้กทองทิ้งแล้ววิ่งหนี ข้าพเจ้าวิ่งลงเนินเขาชันและถือ ฟ้กทองติดมือไปด้วยเพราะคิดว่าวัวตัวเมียควรได้รับสิทธี้ของมัน วัวตัวผู้วิ่งไล่ จวนจะทันอยู่แล้วก็พอดีข้าพเจ้าล้มลงไปในหลุมที่จะใช้ปักเสา มันกระโดดข้าม ตัวข้าพเจ้าตามไปเอาฟักทองและใช้เขาทิ่มแทงจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันคงจะ ทำกับข้าพเจ้าแบบเดียวกันหากข้าพเจ้าไ ม่ล้มลงไป”8
ท่านพูดถึงอุบัติเหตุที่เคยได้รับตอนอายุ 17 ปีด้วย “ข้าพเจ้ากำลังขี่ม้าปราด เปรียวอารมณ์ร้ายที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก และขณะวิ่งลงเนินเขาซึ่งเป็นผาหิน ชันมากนั้น จู,ๆ ม้าก็ฉวยโอกาสตอนถึงพื้นราบเผ่นโผนจากถนนวิ่งห้อลงทางชัน ท่ามกลางโขดหินและเริ่มยกขาหน้าเพี่อพยายามเหวี่ยงข้าพเจ้าข้ามหัวมันไปที่ โขดหิน ความที่เหวี่ยงไ ม่พ้นข้าพเจ้าจึงคาอยู่บนหัวของมัน ข้าพเจ้าจับหูแต่ละ ข้างของมันแน่นสุดชีวิตพลางนึกว่ามันอาจจะเหวี่ยงข้าพเจ้าไปกระแทกโขดหิน จนแหลกละเอียดได้ทุกเมื่อ ขณะอยู่ในท่านั่งคร่อมคอม้า ไม่มีบังเหียนคอยควบ คุมนอกจากหูของมัน บันกระโจนลงเนินด้วยความเร็วเต็มเหยียด จนวิ่งชนโขด หิน และกระแทกพื้น ร่างข้าพเจ้ากระเด็นข้ามหัวม้าและโขดหินไปไกลประมาณ หนึ่งร้อด [ประมาณห้าเมตรหรือห้าหลาครึ่ง] พุ่งกระแทกพื้นในลักษณะยืนตัว ตรงและเหตุนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ารอดชีวิต เพราะหากเอาส่วนอื่นของร่างกาย กระแทกพื้น ข้าพเจ้าคงเสืยชีวิตทันที แต่สภาพในตอนนั้นคือกระดูกส่วนล่าง แตกหักจนตัวลู่ตามลมเหมือนต้นอ้อ ขาข้างซ้ายหักสองแห่ง ข้อเท้าทั้งสองข้าง หลุดในสภาพที่น่ากลัวมาก ม้าเกือบจะกลิ้งมาชนข้าพเจ้าขณะที่มันพยายามลุก ขึ้นยืน ทิตัส วูดรัฟฟ็ คุณลุงข้าพเจ้าเห็นข้าพเจ้าตกจากหลังม้าจึงรีบเข้ามาช่วย เหลือและแบกข้าพเจ้าไปที่บ้านท่าน ข้าพเจ้านอนตั้งแต่บ่ายสองถึงสี่ทุ่มโดยไม่ ได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์แต่อย่างใดจนคุณพ่อพาคุณหมอสวิฟท์จาก ฟาร์มิงตันตามมาทีหลัง เขาจับกระลูกเข้าที่ ใส่เแอกขาสองข้าง และพาข้าพเจ้า นั่งรถม้าของเขาแปดไมลัในคืนนั้นไปที่รถม้าของคุณพ่อ ข้าพเจ้าทรมานมาก แต่ได้รับความเอาใจใส่เป็นอย่างดีและในเวลาไม่ถึงแปดสัปดาห์ข้าพเจ้าก็พอจะ ใช้ไม้เท้าพยุงตัวออกนอกบ้านได้”9
ชีวิตของวิลฟอร์ด วูดรัพ่ฟ็ยังคงได้รับการปกปักรักษาต่อไปแม้จะเกิดอุบัติเหตุ บ่อยครั้งในวัยผู้ใหญ่ ตอนอายุ 41 ปีท่านสรุปเคราะห์ร้ายที่เคยประสบมาพร้อม ทั้งแสดงความกตัญญต่อพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทรงปกป้กรักษาท่านไว้ตังนี้
“ข้าพเจ้าเคยขาหักทั้งสองข้าง-ข้างหนึ่งหักสองแห่ง-แขนหักสองข้าง กระ ลูกหน้าอกและซี่โครงหักสามซี่ และข้อเท้าทั้งสองข้างหลุด ข้าพเจ้าเคยจมนํ้า ตัวแข็งเพราะความหนาวเย็น ถูกนํ้าร้อนลวก และถูกสุนัขที่กำลังโกรธจัดกัด เคยติดอยู่ในกังหันวิดนํ้าสองตัวใต้นํ้าที่แรงมาก เคยเจ็บป่วยขั้นรุนแรงหลายครั้ง เคยถูกพิษที่อันตรายที่สุด เคยติดอยู่ในกองซากรางรถไฟ ลูกกระสุนเกือบ พลาดมาโดน และเคยหนีรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาไต้หลายครั้ง
“ราวกับปาฏิหาริย์ที่แม้ข้าพเจ้าจะเคยได้รับบาดเจ็บและกระลูกหัก แต่ขาไม่ กะเผลก ยังสามารถทำงานหนักที่สุดได้ กรำแดดกรำฝนได้ เดินทางได้-เดินวัน ละสี่สิบไมล์ ห้าสิบไมล์อยู่บ่อยๆ และมีอยู่วันหนึ่งที่เดินหกสิบไมล์ ความคุ้ม ครองและพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ชีวิตข้าพเจ้า จึงได้รับการปกปักรักษา เพราะพรเหล่านี้ข้าพเจ้าจึงใคร่แสดงความกตัญญจากใจ ต่อพระบิดาบนสวรรค์ โดยสวดอ้อนวอนว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือในการรับใช้พระ องค์และเสริมสร้างอาณาจักรของพระองค์”10
แสวงหาและพบศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเจ้า
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็อยู่ในวัยหนุ่มเมื่อท่านปรารถนาเป็นครั้งแรกที่จะรับใช้พระ เจ้าและเรียนจากพระองค์ ท่านกล่าวว่า “เมื่ออายุยังน้อย ข้าพเจ้ามักจะใฝ่ใจ ในเรื่องศาสนา”11 อย่างไรก็๑ ท่านเลือกไม1เข้าร่วมศาสนาจักรใด แด1ตั้งใจว่าจะ หาศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ไห้พบ ด้วยแรงบันดาลใจจากคำสอน ของบิดามารดา มิตรสหาย และสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณ ท่านจึงแน่ใจ “ว่าศาสนาจักรของพระคริสต์อยู่ในแดนทุรกันดาร-เคยมีการละทิ้งศาสนาที่ บริสุทธิ๙และไร้มลทินต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นในไม่ช้า”12 ท่านได้รับแรงจูงใจเป็นพิเศษจากคำสอนของชายคนหนึ่ง ชื่อโรเบิร์ต เมสัน เขาพยากรณ์ว่าวิลฟอร์ดจะมีชีวิตอยู่จนได้ลิ้มรสผลของพระ กิตติคุณที่ได้รับการฟืนฟู (ดู หน้า 1–3 ในหนังสือเล่มนี้)
หลายปีต่อมา โดยเชื่อว่าสิทธิชนยุคสุดท้ายคนอื่นๆ จะได้ประโยชน์จาก ประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน13 ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็จึงเล่าเรื่องการค้นหา ความจริงของท่านอยู่บ่อยๆ ท่านเล่าว่า
“ข้าพเจ้าไ ม่พบนิกายใดที่มีคำสอน ศรัทธาหรือการปฏิบัติสอดคล้องกับพระ กิตติคุณของพระเยซูคริสต์ หรือพิธีการและของประทานที่อัครสาวกสอน แม้ บาทหลวงในสมัยนั้นจะสอนว่าศรัทธา ของประทาน พระคุณ สิ่งอัศจรรย์ และ พิธีการซึ่งสิทธิชนสมัยโบราณได้รับล้วนถูกล้มเลิกและไม’จำเป็นอีกแล้ว แต่ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น นอกเสืยจากจะถูกล้มเลิกเพราะความไ ม่เชื่อของ ลูกหลานมนุษย์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าของประทาน พระคุณ สิ่งอัศจรรย์ และพลัง อำนาจเดียวกันนี้จะปรากฎให้เห็นในยุคหนึ่งของโลกเช่นเดียวกับอีกยุคหนึ่งเมื่อ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีศาสนาจักรบนแผ่นดินโลก และศาสนาจักรของพระผู้เป็น เจ้าจะได้รับการสถาปนาอีกครั้งบนแผ่นดินโลก และข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนได้ เห็นศาสนาจักรนั้น หลักธรรมเหล่านี้ฝืงแน่นอยู่ในความคิดข้าพเจ้าจากการอ่าน พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พร้อมด้วยการสวดอ้อนวอนอย่างจริงจัง ทูลขอพระเจ้าทรงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด และนำข้าพเจ้าไปใน เส้นทางแห่งความรอดโดยไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของมนุษย์ และสุรเสียงกระ ซิบของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าในช่วงเวลาสามปีสอนข้าพเจ้าว่าพระองค์จะทรง ตั้งศาสนาจักรและอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกในยุคสุดท้าย”14
“จิตวิญญาณข้าพเจ้ายึดมั่นในเรื่องเหล่านี้” ท่านกล่าว “ช่วงแรกที่เป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนทั้งวันคืนขอให้ตนมีชีวิตอยู่จนเห็นศาสดา ข้าพเจ้าจะต้อง เดินทางหนึ่งพันไมล์ไปพบศาสดา หรือชายผู้สามารถสอนสิ่งที่ข้าพเจ้าอ่านจาก พระคัมภีร์ไบเบิลไต้ ข้าพเจ้าไม่เข้าร่วมศาสนาจักรใด เพราะไม่พบศาสนาจักร ใดในเวลานั้นที่สนับสนุนหลักธรรมเหล่านี้ หลายคืนที่ข้าพเจ้าอยู่จนดึกดื่นริม แม่นํ้า ในภูเขา และในโรงเลื่อยของตนเอง… ทูลพระผู้เป็นเจ้าขอให้ข้าพเจ้า มีชีวิตอยู่จนไต้เห็นศาสดาหรือคนที่จะสอนข้าพเจ้าเรื่องอาณาจักรของพระผู้เป็น เจ้าตามที่อ่านพบ”15
การค้นหาของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็สิ้นสุดลงเมื่อท่านอายุ 26 ปี วันที่ 29 ธันวา คม ค.ศ. 1833 ท่านไต้ฟ้งคำสั่งสอนของเอ็ลเดอร์เซรา พัลซิเฟอร์ผู้สอนศาสนา สิทธิชนยุคสุดท้ายและพรรณนาถึงการตอบรับโอวาทของเอ็ลเดอร์พัลซิเฟอร์ไว้ ในบันทึกส่วนตัวของท่านดังนี้
“เขาเริ่มการประชุมด้วยการอารัมภบทพอประมาณแล้วก็สวดอ้อนวอน ข้าพ เจ้าร้สืกว่าพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานว่าเขาคือผู้รับใช้ของพระผู้ เป็นเจ้า ต่อจากนั้นเขาเริ่มสั่งสอนด้วยพลังอำนาจ และเมื่อเขาจบปาฐกถา ข้าพ เจ้าร้สืกจริงๆ ว่านี่คือการสั่งสอนพระกิตติคุณครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเคยได้ยิน และ คิดว่านี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้ารอคอยมานาน ข้าพเจ้าเสืกว่าตนต้องออกจากบ้านไปเป็น พยานต่อผู้คนถึงความจริง ข้าพเจ้าลืมตาดู เงี่ยหูฟ้ง เปิดใจรับความเข้าใจ เปิด ประตูต้อนรับเขาผู้มีส่วนช่วยเรา”16
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟเชิญเอ็ลเดอร์พัลซิเพ่อร์กับเอ็ลเดอร์อิไลจาห์ ชีนีย์คู่ของ เขามาพักที่บ้านวูดรัฟพ่ สองวันต่อมา หลังจากใช้เวลาพอสมควรอ่านพระคัมภีร์ มอรมอนและพูดคุยคับผู้สอนศาสนา บราเดอร์วูดรัพ่ฟ็ก็รับบัพติศมาและรับการ ยืนยันเป็นสมาชิกศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย ชีวิตท่าน เปลี่ยนไปนับจากวันนั้น หลังจากพบความจริงแล้วท่านได้อุทิศตนเพื่อนำความ จริงไปให้ผู้อื่น
“ความปรารถนาจะไปสั่งสอนพระกิตติคุณ’’
โดยตั้งใจรักษาพันธสัญญาที่ทำไว้เมื่อครั้งบัพติศมา วิลฟอร์ด วูดรัพ่ฟ็จึงเป็น เครื่องมีอที่เต็มใจในพระหัตถ์ของพระเจ้า พร้อมเสมอที่จะทำตามพระประสงค์ ของพระองค์ ปลายปี 1834 ท่าน “มีความปรารถนาจะไปสั่งสอนพระกิตติ คุณ”17 และท่านไต้รับการเรียกให้รับใช้ในสหรัฐตะวันออกเฉียงใต้ ท่านทราบ ว่าการทดลองคอยท่านอยู่ และชีวิตจะอยู่ในอันตรายขณะเดินทาง แต่ท่านพบ ความเข้มแข็งในประจักษ์พยานและศรัทธาของตน ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าพระกิตติคุณที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธเป็นความ จริง และข้าพเจ้าต้องการบอกพระกิตติคุณอันลํ้าค่านี้กับคนที่ยังไม่เคยได้ยิน พระกิตติคุณดีและชัดเจนมากจนดูเหมือนข้าพเจ้าจะทำให้คนเชื่อได้”18
เมื่อวิลฟอร์ด วูดรัฟฟเริ่มงานเผยแผ่ครั้งแรก ท่านเพิ่งได้รับการวางมือแต่ง ตั้งเป็นปุโรหิตในฐานะปุโรหิตแห่งแอรัน คู่ของท่านผู้ได้รับการวางมือแต่งตั้งเป็น เอ็ลเดอร์อยู่กับท่านตลอดการทดลองในช่วงแรกๆ ของงานเผยแผ่ แต่ไ ม่นาน ก็ท้อถอยและกลับบ้านที่เมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ โดยถูกทิ้งไว้ตามลำพังใน ดินแดนที่ไ ม่คุ้นเคย วิลฟอร์ดจึงสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ลุยหนองนํ้า และผืนดินเปียกแฉะทำงานสอนศาสนาของท่านต่อไป จนมาถึงเมืองเมมฟส รัฐ เทนเนสซี ทั้ง “เหน็ดเหนื่อยและหิวโหย”19 ในประสบการณ์สอนศาสนาครั้ง แรกที่นั่น ท่านได้พูดกับผู้ฟ้งกลุ่มใหญ่ ท่านเล่าว่า
“ข้าพเจ้าไปที่โรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งของเมืองซึ่งดำเนินกิจการโดยคุณโจสิยาห์ แจ็คสัน ข้าพเจ้าบอกเขาว่าข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิ่นและไม่มืเงิน ข้าพเจ้าถาม ว่าเขาจะให้ข้าพเจ้าพักค้างคืนที่นั่นได้หรือไ ม่ เขาถามว่าข้าพเจ้าทำธุรกิจอะไร ข้าพเจ้าบอกว่าเป็นนักเทศน์ที่มาสั่งสอนพระกิตติคุณ เขาหัวเราะ และพูดว่า ข้าพเจ้าลูไม่เหมือนนักเทศน์เลย ข้าพเจ้าไม1ตำหนิเขาเหมือนนักเทศน์ทั้งหลาย ที่เขาเคยรู้จัก ทุกคนล้วนขี่บ้าพันธุดีหรือไม่ก็นั่งรถม้าคันงาม สวมเสื้อผ้าที่ทอ อย่างประณีต มีเงินเดือนงาม และปล่อยให้คนทั้งโลกจมอยู่กับความหายนะ แทนที่จะลุยโคลนไกลหนึ่งร้อยเจ็ดสิบไมล์ไปช่วยคนเหล่านั้น
“เจ้าของอยากจะเย้าแหย่เล่นเล็กน้อยจึงพูดว่าเขาจะให้พักที่นั่นหากข้าพเจ้า จะเทศน์ให้เขาฟ้ง เขาอยากรู้ว่าข้าพเจ้าจะเทศน์ได้หรือไม1 ข้าพเจ้าต้องสารภาพ ว่าตอนนั้นข้าพเจ้าออกจะเป็นคนกวนๆ อยู่สักหน่อยจึงอ้อนวอนว่าอย่าให้ข้าพ- เจ้าเทศน์เลย ยิ่งอ้อนวอน คุณแจ็คสันก็ยิ่งยืนกรานจะให้ข้าพเจ้าเทศน์ให้ไต้…
“ข้าพเจ้านั่งรับประทานอาหารคาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ ยังไม่ทันเสร็จห้อง ก็เริ่มแออัดไปด้วยคนรารวยและคนชั้นสูงของเมืองเมมฟิส แต่งกายด้วยผ้าขน สัตว์และผ้าไหม ส่วนสารรูปของข้าพเจ้านั้นหรือ ท่านคงพอจะนึกออกว่าเป็น อย่างไรหลังจากเดินยาโคลนมา เมื่อข้าพเจ้ารับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวก เขาก็ยกโต๊ะตัวนั้นข้ามศีรษะคนอื่นๆ ออกไป ข้าพเจ้าถูกจัดให้ไปอยู่มุมหนึ่งของ ห้อง มีพระคัมภีร์ไบเบิล หนังสือเพลงสวด และเชิงเทียนวางอยู่บนแท่นพูด มี คนนับสิบยืนรายล้อมบริเวณนั้นส่วนเจ้าของโรงเตี๊ยมยืนอยู่มุมหนึ่ง มีคนประ มาณห้าร้อยคนมารวมกันที่นั่น ไม่ใช่เพื่อฟังคำสั่งสอนพระกิตติคุณแด,เพื่อ กระเซ้าเย้าแหย่– ท่านจะเป็นอย่างไรเมื่อตกอยู่ในสภาพดังกล่าว ในงานเผยแผ่ ครั้งแรกของท่าน ไม1มีคู,หรือเพื่อน และถูกขอร้องให้สั่งสอนคนเช่นนั้น กับข้าพเจ้าแล้วนั่นเป็นเวลาน่าพึงใจที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต แม้จะร้สืกว่าอยากมี เพื่อนก็ตาม
“ข้าพเจ้าอ่านเพลงสวดเพลงหนึ่ง และขอให้พวกเขาร้อง ไม่มีใครยอมร้อง ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าไม่มีพรสวรรคไนการร้องเพลง แต่ด้วยความช่วยเหลือ ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะสวดอ้อนวอนและสั่งสอน ข้าพเจ้าคุกเข่าสวดอ้อนวอน และคนที่อยู่รอบๆ คุกเข่าด้วย ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าประทานพระ วิญญาณของพระองค์และทำให้ข้าพเจ้ารู้จิตใจของผู้คน ข้าพเจ้าสัญญากับพระ เจ้าในคำสวดอ้อนวอนว่าจะสั่งสอนคนกลุ่มนั้นอะไรก็ตามตามที่พระองค์จะประ ทาน ข้าพเจ้าลุกขึ้นพูดนานหนึ่งชั่วโมงครึ่ง และนั่นเป็นคำสั่งสอนที่ดีที่สุดครั้ง หนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า
“ข้าพเจ้าเห็นชีวิตของคนกลุ่มนั้นในมโนภาพ และบอกเขาถึงการกระทำที่ชั่ว ร้ายของเขาตลอดจนรางวัลที่เขาจะได้รับ พวกที่ยืนรายล้อมข้าพเจ้าทำคอตก สามนาทีหลังจากพูดจบเหลือข้าพเจ้าเพียงคนเดียวในห้อง
“ไม่นานมีผู้พาข้าพเจ้ามาที่เตียงนอนในห้องติดกับห้องใหญ่นั้นซึ่งหลายคน มาชุมนุมกันเพื่อฟังข้าพเจ้าสั่งสอน ข้าพเจ้าได้ยินการสนทนาของพวกเขา ชาย คนหนึ่งพูดว่าเขาอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มมอรมอนคนนั้นรู้จักชีวิตในอดีตของพวกเขา ได้อย่างไร พวกเขาโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นคำสอนบางอย่าง คน หนึ่งเสนอให้เรียกข้าพเจ้ามาดัดสิน เจ้าของบอกว่า ‘ไม่ต้อง ฟังครั้งเดียวก็พอ แล้ว’
“ตอนเช้า ข้าพเจ้ามีอาหารเช้าที่ดี เจ้าของบอกว่าถ้าผ่านมาทางนี้อีกให้ข้าพ เจ้าแวะที่ม้านของเขา และจะอยู่นานเท่าไรก็ไต้”20
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1836 วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้สิ้นสุดงานเผยแผ่ของท่าน ในสหรัฐตะวันออกเฉียงใต้ ท่านเขียนในบันทึกส่วนตัวว่าในปี ค.ศ. 1835 และ 1836 ท่านเดินทาง 9,805 ไมล์ จัดการประชุม 323 ครั้ง จัดตั้งสาขาของ ศาสนาจักร 4 สาขา ให้บัพติศมา 70 คนและยืนยัน 62 คน วางมือแต่งตั้ง ฐานะปุโรหิต 11 คน วางมือรักษาคนป่วย 4 คนและได้รับการปลดปล่อยจาก เ’เอมมือคนร้าย 4 กลุ่ม21 ท่านได้รับการวางมือแต่งตั้งเปีนเอ็ลเดอร์ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1835 และเป็นสาวกเจ็ดสิบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1836
เมื่อเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็กลับไปเคิร์ทแลนด์ ท่านพบว่าสมาชิกจำนวนมากของ ศาสนาจักรตกไปสํการละทิ้งความเชื่อและกำลังพูดให้ร้ายศาสดาโจเซฟ สมิธ “ในช่วงของการละทิ้งความเชื่อในเคิร์ทแลนด์” ท่านกล่าวในภายหลัง “โจเซฟ สมิธแทบไม่รู้เลยว่าเมื่อท่านพบคนๆ หนึ่ง คนนั้นเปีนมิตรหรือศัตรูกันแน่ เว้น แต่พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปีดเผยต่อท่าน ผู้นำส่วนใหญ่กำลังต่อ ด้านท่าน”22
แม้จะอยู่ “ท่ามกลางความมืด”23 แต่วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ยังคงภักดีต่อศาสดา และภักดีต่อความตั้งใจแน่วแน่ของตนที่จะสั่งสอนพระกิตติคุณ ท่านได้รับการ เรียกเข้าส่โควรัมที่หนึ่งแห่งสาวกเจ็ดสิบและในตำแหน่งนั้นท่านยังคงเป็นพยาน ถึงความจริงโดยเดินทางไปร่วมการประชุมใหญ่ในพื้นที่ หลังจากอยู่ในเคิร์ท แลนด์ได้ไม่ถึงปี ท่านทำตามการกระตุ้นเตือนให้รับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาที่หมู่ เกาะฟือกช์ นอกชายฝืงรัฐเมน ท่านกล่าวว่า
“พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจงเลือกผู้ร่วมงานคน หนึ่งและตรงไปยังหมู่เกาะฟือกซ์, ข้าพเจ้ามิได้รู้จักหมู1เกาะฟอกซ์มากไปกว่า โคลอบ แต่พระเจ้ารับสั่งให้ข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าเลือกโจนาธาน เอช. เฮลไปกับข้าพเจ้า ที่นั่นเราขับมารร้าย สั่งสอนพระกิตติคุณ และทำการ อัศจรรย์บางอย่าง…ข้าพเจ้าไปถึงหมู่เกาะฟอกซ์ และ’ทำงานดีที่นั่น”24 เมื่อเอ็ล- เดอร์วูดรัฟฟ็มาถึงหมู่เกาะฟึอกซ์ ท่านพบว่า “ผู้คนที่นั่นปรารถนาระเบียบสมัย ก่อน” ท่านรายงานในภายหลังว่า “ข้าพเจ้าจะบอกว่าขณะอยู่ที่นั่นข้าพเจ้าให้ บัพติศมาคน 100 กว่าคนโดยไ ม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น”25
การรับใช้งานสอนศาสนาอย่างต่อเนื่องในฐานะอัครสาวก ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์
ระหว่างเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็รับใช้งานเผยแผ่ที่หมู่เกาะฟอกซในปี ค.ศ. 1838 ท่านได้รับการเรียกอย่างหนึ่งที่ขยายการรับใช้งานสอนศาสนาของท่านตลอด ชีวิตที่เหลือ “วันที่ 9 สิงหาคม ข้าพเจ้าได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง” ท่านกล่าว “จากโธมัส ปี. มาร์ช ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานโควรัมอัครสาวกสิบสอง โดยแจ้ง ว่าโจเซฟ สมิธ ศาสดาได้รับการเปิดเผยให้เลือกบุคคลต่อไปนี้ดำรงตำแหน่ง แทนคนที่ตกไป ได้แก่ จอห์น อี. เพจ จอห์น เทย์เลอร์ วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์
“ประธานมาร์ชเพิ่มเติมมาในจดหมายว่า ‘บราเดอร์วูดรัฟฟ็ คุณทราบทาง จดหมายฉบับนี้ว่า คุณได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครสาวกสิบสองคนหนึ่ง และนั่นเป็นไปตามพระดำรัสของพระเจ้าที่ประทานให้เมื่อเร็วๆ นี้ว่าคุณควรมา ที่ฟาร์เวสต์โดยเร็ว และในวันที่ 26 ของเดือนเมษายนถัดไป คุณควรอำลาสิทธิ ชนที่นึ่และข้ามทะเลลึกไปยังถิ่นอื่น’”
ประธานวูดรัฟฟแสดงความเห็นในเวลาต่อมาว่า “เนื้อความของจดหมาย ฉบับนี้ถูกเปีดเผยต่อข้าพเจ้าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้ ให้ใครทราบ”26
คำสั่งให้ “ข้ามทะเลลึกไปยังถิ่นอื่น” หมายถึงพระบัญชาของพระเจ้าให้สภา สิบสองรับใช้งานเผยแผ่ในเกรทบริเทน ไม่นานหลังจากได้รับการวางมือแต่งตั้ง เป็นอัครสาวกเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1839 เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ ออกเดินทางไปเกรทบริเทนในฐานะ “พยานพิเศษ [คนหนึ่ง] ถึงพระนามของ พระคริสต์ไนทั่วโลก” (ค.พ. 107:23)
เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ได้รับใช้งานเผยแผ่อีกหลายครั้งในสหรัฐและในเกรทบริเทน ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สอนศาสนาที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ ศาสนาจักร หนังสือเล่มนี้มืเรื่องราวมากมายจากประสบการณในการเป็นผู้สอน ศาสนาของท่าน
ช่วยให้สิทธิชนมารวมกัน
ทุกวันนี้สิทธิชนยุคสุดท้ายถูกกระตุ้นให้เสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็น เจ้าในภาคต่างๆ ที่เขาอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศาสนาจักรแข็งแกร่งขึ้นทั่วโลก ใน ยุคแรกๆ ของศาสนาจักร ผู้สอนศาสนาสิทธิชนยุคสุดท้ายกระตุ้นผู้เปลี่ยนใจ เลื่อมใสใหม่ให้อพยพไปศูนย์ใหญ่ของศาสนาจักร ไม่ว่าจะในเคิร์ทแลนด์ รัฐ โอไฮโอ หรือแจ็คสันเคาน์ตี้ รัฐมิสซูรี หรือนอวู รัฐอิลลินอยส์ หรือซอลท์เลค ซิตี้ รัฐยูท่าห์
ประมาณสองปีหลังจากมรณสักขีของโจเซฟและไฮรัม สมิธ สิทธิชนถูกบัง คับให้ทิ้งบ้านเรือนในนอวูไปตั้งรกรากชั่วคราวในวินเทอร์ควอเทอร์ส รัฐเน- บราสกา เอ็ลเดอร์วูดรัพ่ฟ็ซึ่งกำลังรับใช้งานเผยแผ่ในประเทศอังกฤษขณะนั้น ต้องกลับมาที่หน่วยกลางของศาสนาจักร ท่านออกจากวินเทอร์ควอเทอร์สมา ช่วยนำสิทธิชนในการอพยพอันเลื่องชื่อที่สุดนั่นคือ การเดินทางข้ามทุ่งราบและ เทือกเขาของสหรัฐไปยังแผ่นดินที่สัญญาไว้ในหุบเขาซอลท์เลค ท่านอยู่ในกลุ่ม ผู้บุกเบิกคณะแรกที่เคลื่อนย้ายประธานบริคัม ยังในการเดินทางช่วงสุดท้าย เพราะท่านป่วย เอ็ลเดอร์วูดรัพ่ฟ็อยู่ที่นั่นเมื่อประธานยังลุกจากเตียงในเกวียน สำรวจผืนดินที่อยู่ตรงหน้า และประกาศว่า “พอแล้ว นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง เคลื่อนขบวน”27
เอ็ลเดอร์วูดรัพ่ฟ้ยังคงช่วยให้สิทธิชนมารวมกันในแผ่นดินที่สัญญาไว้ ใน ภารกิจครั้งหนึ่งของท่าน ท่านและครอบครัวใช้เวลาสองปีครึ่งในแคนาดาและ สหรัฐตะวันออกเฉียงหนือเพื่อช่วยสมาชิกศาสนาจักรอพยพไปหุบเขาซอลท์เลค ท่านอยู่กับสิทธิชนกลุ่มสุดท้ายเมื่อไต้รับประสบการณ์ดังต่อไปนี้ซึ่งแสดงให้เห็น ถึงความรู้สืกเฉียบไวของท่านต่อการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณ
“ข้าพเจ้าเห็นเรือกลไฟกำลังพ่นไอนํ้าพร้อมจะออกเดินทาง ข้าพเจ้าไปหานาย เรือและถามว่าเขามีผู้โดยสารกี่คน ‘สามร้อยห้าสิบคน, ‘คุณจะรับอีกหนึ่งร้อย คนได้ไหมครับ, ‘ได้, ข้าพเจ้าเกือบจะบอกเขาว่าเราต้องการไปด้วยเมื่อพระวิญ ญาณตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่าลงเรือลำนั้น ทั้งตัวเจ้าและคณะของเจ้า, ตกลง ข้าพเจ้าตอบ ข้าพเจ้าเรียนรู้บางสิ่งเกี่ยวกับเสียงแผ่วเบาดังกล่าว ข้าพเจ้าไม่ ลงเรือกลไฟลำนั้น แต่คอยจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเรือกลไฟออกไปได้ สามสิบนาที เรือก็ลุกไหม้ เรือใช้เชือกควบคุมหางเสือไม่ใช่โซ่เหล็ก พอเชือก ไหม้จึงแล่นเข้าเทียบฝืงไม่ไต้ คืนนั้นเปีนคืนเดือนมืด และไ ม่มีใครรอดชีวิต หากข้าพเจ้าไม่เชื่อฟ้งอิทธิพลของสิ่งเตือนสติที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและ คนอื่นในคณะคงอยู่ในเรือลำนั้น”28
การรับใช้ในหุบเขาซอลท์เลค
หลังจากสิทธิชนตั้งถิ่นฐานในหุบเขาซอลท์เลคแล้ว หน้าที่ของเอ็ลเดอร์วูด- รัฟฟเปลี่ยนไป ท่านไม่ถูกส่งไปทำงานเผยแผ่เต็มเวลาในต่างประเทศอีก แต่ สิ่งที่ท่านทำคือ ช่วยให้สิทธิชนอพยพมาศูนย์ใหญ่ของศาสนาจักรมากขึ้น พูด คุยกับคนที่มาเยี่ยมพื้นที่นั้น รับใช้เปีนสมาชิกสภานิติบัญญัติ ทำการทดนํ้าและ เพาะปลูก เพิ่มผลผลิตและพัฒนาวิธีทำฟาร์ม ท่านไปเยี่ยมถิ่นฐานต่างๆ ของ สิทธิชนยุคสุดท้ายในยูท่าห์ แอริ’โซนา และไอดาโฮบ่อยครั้งเพื่อสั่งสอนพระกิต ติคุณและกระตุ้นสิทธิชนให้ทำหน้าที่ของตน
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็รับใช้เป็นผู้,ช่วยนักประวัติศาสตร์ศาสนาจักรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 ถึง 1883 และเป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนาจักรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1883 ถึง 1889 ซึ่งเปีนช่วงคาบเกี่ยวกับการรับใช้ส่วนใหญ่ของท่านในโควรัมอัครสาวกสิบ สอง แม้ความรับผิดชอบตังกล่าวจะต้องใช้เวลามาก แต่ท่านถือว่านี่เป็นสิทธิ พิเศษ โดยเชื่อว่า “ประวัติศาสตร์ของศาสนาจักรนี้จะคงอยู่ชั่วกาลเวลาและใน นิรันดร”29 การรับใช้เป็นนักประวัติศาสตร์คือความต่อเนื่องของงานที่ท่านทำไว้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1835 เมื่อท่านเริ่มจดบันทึกส่วนตัว ซึ่งได้แก่ บันทึกชีวประวัติ ของท่านเองและประวัติศาสนาจักร (ดูหน้า 125–27)
ในความพยายามอย่างต่อเนื่องของท่านเพื่อเสริมสร้างศาสนาจักร รับใช้ใน ชุมชน และเลี้ยงดูครอบครัว วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ดำเนินตามหลักธรรมที่ท่าน เรียนรู้จากบิดาที่ขยันขันแข็งของท่าน เอ็ลเดอร์แฟรงคลิน ดี. ริ,ชาร์ดส์แห่ง โควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ “โดดเด่นในความแข็งขัน ความวิริยะอุตสาหะ และความทรหดอดทน แม้ไม่ใช่คนร่างใหญ่ แตกสามารถ ตราก ตรำงานหนักจนแม้ผู้มีรูปร่างปรกติธรรมดายังต้องยอมแพ้”30
บันทึกส่วนตัวของเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็เต็มไปด้วยเรื่องราวการทำงานหนักตลอด วันเวลาอันยาวนาน ท่านเคยเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 67 ปี ท่านกับเอเซล บุตรชายปีนบันไดสูง 12 ฟุตเพื่อขึ้นไปเก็บลูกพีชจากด้นพีช เอเซลเริ่มเสืย หลัก เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟพยายามช่วยเอเซลจนตัวท่านตกลงมา ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้าตกจากบันไดสูงประมาณ 10 ฟุต ไหล่ขวาและสะโพกกระแทกพื้น ข้าพเจ้าเจ็บมาก แต่เอเซลเจ็บไ ม่มากนัก ข้าพเจ้าปวดมากและนอนซมตลอด คืน”31 วันรุ่งขึ้น ท่านบันทึกว่า “วันนี้ข้าพเจ้าปวดมาก เดินไม่ค่อยถนัด แต่ ไปทำงานในไร่และกลับบ้านตอนเย็น”32 มัทธีอัส คาวลีย์แสดงความเห็นใน เหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “คนทั่วไปสงสัยว่าชายวัยขนาดนี้ขึ้นไปทำอะไรบนด้นไม้ ประการที่หนึ่ง เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ไม่เคยคำนึงถึงอายุเมื่อท่านเห็นว่าควรทำบางสิ่ง ให้แล้วเสร็จหากเห็นว่าทำได้ ท่านอยู่ทุกที่…ท่านพร้อมรับภาวะฉุกเฉินทุกเมื่อ หากท่านเห็นกิ่งแอปเปิลสักกิ่งบนยอดแอปเปีลด้นไหนที่ควรตัดออก ไ ม่ทันไร ท่านก็ขึ้นไปอยู่บนยอดแอปเปีลด้นนั้นแล้ว และท่านจะไม่ขอให้ใครทำสิ่งที่ ท่านทำได้ด้วยตัวเอง”33
การสร้างพระวิหารและงานพระวิหาร
เมื่อใดที่สิทธิชนรวมกันอยู่ในศูนย์แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน พวกเขาจะ สร้างพระวิหาร พวกเขาทำแบบนี้ในเคิร์ทแลนด์ ในนอวู และสูดท้ายในซอลท์ เลคซิตี้ ขณะทำเช่นนั้นพวกเขาจะปฏิบัติตามการเปีดเผยจากพระเจ้าผ่านศาสดา โจเซฟ สมิธ-การเปีดเผยที่เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็เขียนในบันทึกส่วนตัวของท่านว่า
“อะไรคือวัตถุประสงค์ของการรวมชาวยิวหรือผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าในยุค ใดยุคหนึ่งของโลก วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อสร้างพระนิเวศถวายพระเจ้าเพื่อ พระองค์จะทรงเปีดเผยพิธีการแห่งพระนิเวศของพระองค์และรัศมีภาพแห่งอา ณาจักรของพระองค์ต่อผู้คนของพระองค์ได้ และสอนผู้คนให้ร้เสันทางแห่งความ รอด เพราะมีพิธีการและหลักธรรมบางอย่างที่ด้องสอนและปฏิบัติในสถานที่หรือ บ้านที่สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์นั้น จุดประสงค์ตังกล่าวอยู่ในพระดำริของพระผู้ เป็นเจ้าก่อนโลกเป็นมา และเพื่อจุดประสงค์นี้พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงรวมชาวยิว บ่อยๆ แด’พวกเขาปฏิเสธ เพื่อจุดประสงค์เดียวกันนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงรวมผู้ คนในวันเวลาสุดท้าย-เพื่อสร้างพระนิเวศถวายพระองค์เพื่อเตรียมพวกเขาให้ พร้อมรับพิธีการและเอ็นดาวเม้นท์ การล้างและการชโลม ฯลฯ”34
เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ้ชักชวนเพื่อนสิทธิชนบ่อยครั้งให้มารับพรในพระวิหาร ท่าน กล่าวว่า “ข้าพเจ้าถือว่าการสร้างพระวิหารเป็นงานสำคัญอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรง เรียกร้องจากสิทธิชนยุคสุดท้ายในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา เพื่อ เราจะเข้าไปในพระวิหารเหล่านั้นและไม1เพียงไถ,คนเป็นเท่านั้นแต่ไถ,คนตาย ด้วย”35 เนื่องด้วยความขยันหมั่นเพียรในอุปนิสัย ท่านจึงเป็นแบบอย่างของ งานพระวิหาร โดยได้ทำงานให้แก1บรรพชนหลายพันคนของท่าน
เช่นเดียวกับศาสดาอีกหลายคนในสมัยของท่าน เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ้พยากรณ์ ว่าเวลาจะมาถึงเมื่อจะมีพระ วิหารอยู่ทั่วโลก36 ท่านปลื้มปีติในโอกาสที่ได้เห็นว่า คำพยากรณ์นั้นเริ่มจะสำเร็จเมื่อมีการสร้างและอุทิศพระวิหารสีแห่งในเขตยูท่าห์ ระหว่าง 46 ปีแรกหลังจากสิทธิชนมาถึงหุบเขาซอลท์เลค-ในเมืองเซนต์จอร์จ โลแกน แมนไท และซอลท์เลคซิตี้
ประธานวูดรัฟฟ็ถวายคำสวดอุทิศพระวิหารในแมนไทและซอลท์เลคซิตี้ ใน ข่าวสารถึงสมาชิกทุกคนของศาสนาจักรนั้น ท่านและที่ปรึกษาในฝ่ายประธาน สูงสุดเป็นพยานถึงพรที่มาล่ผู้เข้าร่วมการอุทิศพระวิหารด้วยวิญญาณแห่งการ นมัสการที่จริงใจดังนี้ “เขาจะได้รับสุรเสียงกระซิบนุ่มนวลของพระวิญญาณ คักดิ้สิทธี้ ทรัพย์สมบัติ’ในสวรรค์หรือการมีกรรมสิทธิร่วมกับเหล่าเทพจะเพิ่ม ขึ้นเสมอ เพราะคำสัญญา [ของพระเจ้า] ออกไปแล้วและจะล้มเหลวไปได้”37 ท่านเขียนเล่าประสบการณ์ทำนองนั้นครั้งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่การอุทิศพระวิหารโล แกนว่า
“ระหว่างเข้าร่วมการอุทิศพระวิหารแห่งนี้ ข้าพเจ้าหวนนึกถึงเวลาหลายชั่ว โมงในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ใช้ไปกับการสวดอ้อนวอนทูลขอพระผู้เปีนเจ้าให้ทรง อนุญาตข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ในโลกจนเห็นศาสนาจักรของพระคริสต์ได้รับการ สถาปนาและเห็นผู้คนได้รับพระกิตติคุณดั้งเดิมและต่อสัเพื่อศรัทธาที่ครั้งหนึ่ง เคยมอบให้สิทธิชน พระเจ้าทรงสัญญากับข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนได้ เห็นผู้คนของพระผู้เป็นเจ้า มีชื่อและตำแหน่ง…ภายในพระนิเวศของพระองค์ ชื่อที่ดีกว่าของบุตรและของธิดา ชื่อที่จะไ ม่ถูกตัดออก วันนี้ข้าพเจ้าปลื้มปีติที่ ได้มีชื่ออยู่กับผู้คนของพระองค์และช่วยในการอุทิศพระวิหารอีกแห่งหนึ่งถวาย พระนามอันศักดิ๙สิทธิ้ที่สุดของพระองค์ จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าและพระเมษ- โปดกตลอดกาล”38
การรับใช้ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ในฐานะประธานศาสนาจักร
เมื่อประธานจอห์น เทย์เลอร์ถึงแก’อนิจกรรมในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1887 โควรัมอัครสาวกสิบสองกลายเป็นองค์กรปกครองศาสนาจักร โดยมีประ ธานวูดรัฟฟเปีนเจ้าหน้าที่ควบคุม ท่านร้สืกถึงภาระของการนำทั้งศาสนาจักร และได้เขียนความคิดไว้ในบันทึกส่วนตัวของท่านดังนี้ “ตำแหน่งนี้ทำให้ข้าพเจ้า อยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษมาก ตำแหน่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยแสวงหาในชีวิต แต่ใน พระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าสวด อ้อนวอนขอพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ประทานพระคุณแก่ข้าพเจ้าเท่าๆ กับความรับผิดชอบที่มีอยู่ อันเป็นตำแหน่งรับผิดชอบอันสูงส่งที่มนุษย์จะ ครอบครองและเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก ข้าพเจ้าไ ม่เคยคิดอยาก จะมีอายุยืนกว่าประธานเทย์เลอร์…แต่มันเกิดขึ้น…ข้าพเจ้าพูดได้แต่เพียงว่า วิถีแห่งพระองค์นั้นน่าอัศจรรย์นัก โอ้พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ เพราะพระองค์ทรงเลือกสิ่งอ่อนแอของโลกให้ทำงานของพระองค์บนแผ่นดิน โลก ขอให้วิลฟอร์ดผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมรับสิ่งใดก็ตามที่คอยเขาบนแผ่น ดินโลกและมีพลังทำสิ่งใดก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงเรียกร้องจากมือ เขา ข้าพเจ้าทูลขอพรนี้จากพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้าในพระนามของพระ เยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์”39 ประธานวูดรัฟฟัใต้รับ การสนับสนุนเปีนประธานศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย เมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1889 ท่านเปีนประธานคนที่ห้าของศาสนาจักรในสมัย การประทานนี้
เปีนพยานถึงงามยุคสุดท้ายของพระเจ้า
ในข่าวสารถึงสมาชิกศาสนาจักร ประธานวูดรัฟฟ็เปืนพยานหลายครั้งถึงการ ฟ้นฟูพระกิตติคุณ เช่นที่ท่านทำมาตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของท่าน แต่ท่าน แสดงประจักษ์พยานด้วยความเร่งต่วนมากขึ้นระหว่างเก้าปีสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านคือคนสุดท้ายที่เคยรับใช้เปีนอัครสาวกสมัยโจเซฟ สมิธ และท่านรู้สืกถึง ความจำเปีนเร่งด่วนในการฝากประจักษ์พยานที่ชัดเจนและมั่นคงถึงศาสดาแห่ง การฟืนฟู ประมาณหนึ่งปีก่อนเสียชีวิต ท่านกล่าวว่า
“มีหลายเรื่องที่ข้าพเจ้าไ ม่เข้าใจ เรื่องหนึ่งคือเหตุใดข้าพเจ้าจึงอยู่มาจนอายุ ปูนนี้ ข้าพเจ้าไ ม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้รับการปกป้กรักษาให้อยู่นานขนาดนี้ทั้งที่ อัครสาวกและศาสดาหลายท่านถูกเรียกกลับบ้านไปแล้ว…ข้าพเจ้าเปีนคนเดียว ที่ยังมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังผู้ได้รับเอ็นดาวเม้นท์ภายใต้มือของศาสดาโจเซฟ สมิธ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวในเนื้อหนังที่อยู่กับอัครสาวกสิบสองเมื่อศาสดาโอนอาณา จักรของพระผู้เป็นเจ้าให้อัครสาวกและมีบัญชาให้อัครสาวกเหล่านั้นขยายอาณา จักรนี้ต่อไป ท่านยืนอยู่ในห้องราวสามชั่วโมงเพื่อกล่าวคำปราศรัยกับเราเป็นครั้ง สุดท้าย ห้องนั้นเสมือนหนึ่งเต็มไปด้วยเพลิงเผาผลาญ ใบหน้าท่านกระจ่างใส ราวอำพัน คำพูดของท่านดุจสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาที่เรา ทะลุทะลวงทุกส่วนของ ร่างกายตั้งแต่สืรษะจดปลายเท้า ท่านกล่าวว่า ‘พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าผู้ทรง มหิทธิฤทธี้ทรงผนึกฐานะปุโรหิตทั้งหมด กุญแจทั้งหมด พลังทั้งหมด หลักธรรม ทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของสมัยการประทานสุดท้ายของความสมบูรณ์แห่งเวลา และการเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนสืรษฺะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผนึก หลักธรรม ฐานะปุโรหิต ฐานะอัครสาวก และกุญแจทั้งหมดนั้นของอาณาจักร ของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนศีรษะท่าน และบัดนี้ท่านต้องร่วมแรงร่วมใจกันขยาย อาณาจักรนี้ต่อไปหาไ ม่แล้วท่านจะถูกกล่าวโทษ, ข้าพเจ้าไม่ลืมถ้อยคำเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่มืวันลืมขณะมีชีวิตอยู่ นั่นคือสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายที่ท่านกล่าวใน เนื้อหนัง หลังจากนั้นไม่นานท่านก็เสืยชีวิตเป็นมรณสักขีและได้รับการเรียกกลับ บ้านไปส่รัศมีภาพ”40
ในฐานะประธานศาสนาจักร ประธานวูดรัฟฟ็ขอร้องสิทธิชนให้แสวงหาและ ทำตามการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ๙ แน่วแน่ต่อพันธสัญญา สั่งสอนพระ กิตติคุณทั้งที่บ้านและต่างแดน ซื่อสัตย์ในความรับผิดชอบทางโลก พากเพียร ในงานพระวิหารและประวัติครอบครัว คำแนะนำของท่านสะท้อนถ้อยแถลงที่ เคยให้ไว้สมัยเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองดังนี้ “ไปว่าเราจะเป็นคนดี เพียงใด เราควรมุ่งปรับปรุงตนให้ดีฃึ้นตลอดเวลา เราเชื่อฟ้งกฎและพระกิตติ คุณต่างจากที่คนอื่นเชื่อฟ้ง และเรามีอาณาจักรในวิสัยที่ต่างออกไป และเป้า หมายของเราควรสูงตามไปด้วยต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเรา เราควรปกครองและควบคุมตนเองตามนั้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ขอให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตกับเราและให้เราสามารถ ทำเช่นนั้นได้”41
ออกแถลงการณ์
ประธานวูดรัฟฟ็นำสิทธิชนยุคสุดท้ายผ่านช่วงเวลาวุ่นวายที่สุดในสมัยการ ประทานนี้ด้วยพลังที่ได้จากพระหัตถ์ชี้นำของพระเจ้า ในปลายทศวรรษ 1880 ศาสนาจักรยังคงปฏิบัติพหุสมรสอันเป็นการเชื่อฟ้งพระบัญชาของพระเจ้าต่อ ศาสดาโจเซฟ สมิธ อย่าง’ใรก็ดี รัฐบาลสหรัฐเพิ่งผ่านร่างกฎหมายต่อต้านการ ปฏิบัติดังกล่าว โดยมีบทลงโทษรุนแรงสำหรับการฝ่า’สืนกฎเหล่านั้น รวมถึงการ ริบทรัพย์สินของศาสนาจักรและปฏิเสธสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานของสมาชิก ศาสนาจักร อาทิ สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง ความก้าวหน้าเหล่านั้นเปีดช่อง ให้กฎหมายดำเนินการกับสิทธิชนยุคสุดท้ายที่กำลังปฏิบัติพหุสมรสด้วย ศาสนา จักรยื่นอุทธรณ์ทางกฎหมาย แต่ไม่เป็นผล
สภาวการณ์เหล่านี้ทำให้ประธานวูดรัฟฟหนักใจมาก ท่านแสวงหาพระประ สงค์ของพระเจ้าในเรื่องดังกล่าวและได้รับการเปิดเผยในที่สุดว่าสิทธิชนยุค สุดท้ายควรยุติการปฏิบัติที่ว่าด้วยการเข้าสู่พหุสมรส ท่านเชื่อฟ้งพระบัญชาของ พระเจ้าโดยจัดพิมพ์สิ่งที่เรียกว่าแถลงการณ์-ถ้อยแถลงที่ได้รับการดลใจให้รัก ษาสถานะพื้นฐานของศาสนาจักรในเรื่องพหุสมรส ในการประกาศต่อสาธารณ ชนครั้งนี้ ลงวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1890 ท่านแสดงเจตจำนงว่าจะทำตาม กฎหมายของประเทศ ท่านเป็นพยานด้วยว่าศาสนาจักรได้ยุติการสอนให้ปฏิบัติ พหุสมรสแล้ว42 วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1890 ในภาคหนึ่งของการประชุมใหญ่ สามัญ สิทธิชนยุคสุดท้ายสนับสนุนคำประกาศของศาสดา โดยมีมติเป็นเอก ฉันท์สนับสนุนถ้อยแถลงที่ท่าน “มีอำนาจเต็มโดยตำแหน่งของท่านที่จะออก แถลงการณ์”43
ยืนยันอีกครั้งถึงลักษฌะยันเปีนนิรันดร์ของครอบครัว
ราวสามเดือนก่อนศาสดาโจเซฟ สมิธจะถูกสังหารเป็นมรณสักขี ท่านได้กล่าว คำปราศรัยต่อสิทธิชนกลุ่มใหญ่ที่มาชุมนุมกัน เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟผู้บัน ทึกสาระสำคัญของคำปราศรัยกล่าวว่าศาสดาพูด “เรื่องน่าสนใจและสำคัญที่สุด เรื่องหนึ่งที่เคยมอบให้สิทธิชน”44 ส่วนหนึ่งของคำสั่งสอนนั้นคือ ศาสดาเป็น พยานถึงลักษณะอันเป็นนิรันดร์ของครอบครัว ท่านพูดถึงความจำเป็นของการ ผนึกกับบิดามารดาของเราและทำพิธีการผนึกนั้นต่อไปตลอดชั่วอายุของเราไว้ ดังนี้
“นี่คือวิญญาณของอิไลจะที่เราไถ1คนตายของเราและเชื่อมตัวเรากับบรรพ- บุรุษซึ่งอยู่ในสวรรค์และผนึกกับคนตายของเราเพื่อจะออกมาในการฟืนคืนชีวิต แรก และที่นี่เราต้องการให้พลังอำนาจของอิไลจะผนึกคนที่อยู่บนแผ่นดินโลก กับคนที่อยู่ในสวรรค์…จงไปผนึกบุตรธิดาของท่านกับตัวท่านและผนึกตัวท่าน กับบรรพบุรุษของท่านบนแผ่นดินโลกในรัศมีภาพนิรันดร”45
เป็นเวลาสองสามทศวรรษที่สิทธิชนยุคสุดท้ายทราบว่ามี “ห่วงอย่างใดอย่าง หนึ่งเชื่อมระหว่างบรรพบุรุษกับลูกหลาน” (ค.พ. 128:18) อย่างไรก็ดี การตำ- เนินงานของเขามิได้เปีนไปตามลำดับขั้นตอนที่สมบูรณ์ ดังประธานวูดรัฟ’ฟ็ตั้ง ข้อสังเกต ศาสดาโจเซฟมิได้มีชีวิตนานพอจะ “ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เรื่องเหล่านี้”46 โดยทำตาม “ความสว่างและความรู้ทั้งหมดที่ [พวกเขา] มี”47 พวกเขามักผนึกตนเองกับโจเซฟ สมิธ บริคัม ยัง หรือผู้นำศาสนาจักรคนอื่นๆ หรือ “เป็นบุตรบุญธรรม” ของท่านเหล่านั้นแทนที่จะผนึกกับบิดามารดาของตน ในฐานะประธานศาสนาจักร ประธานวูดรัฟฟพูดถึงการปฎิบัตินี้’ว่า “เรามิได้ ปฏิบัติหลักธรรมเหล่านั้นอย่างครบถ้วนในการดำเนินตามการเปีดเผยของพระผู้ เป็นเจ้า ในการผนึกใจบรรพบุรุษกับลูกหลาน และลูกหลานกับบรรพบุรุษ ข้าพเจ้ารู้สืกไม่พอใจ ประธาน [จอห์น] เทย์เลอร์ก็ไ ม่พอใจ ทั้งไ ม่มีใครพอใจ นับตั้งแต่ศาสดาโจเซฟผู้ทำพิธีการรับเป็นบุตรในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า เรารู้สืกว่ามีการเปิดเผยในเรื่องนี้มากกว่าที่เราได้รับ”48
การเปิดเผยเพิ่มเติมมาถึงประธานวูดรัฟฟ็เมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 189449 สามวันต่อมา ในคำปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญ ท่านพูดถึงการเปิดเผยดังนี้ ‘‘เมื่อข้าพเจ้าไปเฝืาพระเจ้าเพื่อให้ทราบว่าควรเป็นบุตรบุญธรรมของใคร … พระ วิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าไม่มีพ่อผู้ให้กำเนิดเจ้าหรือ’ ‘ข้าพระองค์มี, ‘แล้วไฉนเจ้าไม่ให้เกียรติเขา ไฉนไม่ยอมรับเขา, ‘พระเจ้าข้า, ข้าพเจ้าตอบว่า ‘นั่นถูกต้อง, ข้าพเจ้ายอมรับคุณพ่อ และคุณพ่อผนึกกับคุณพ่อ ของท่าน ย้อนกลับไปตามลำดับ และหน้าที่ที่ข้าพเจ้าต้องการให้ชายทุกคนที่เป็น ประธานดูแลพระวิหารกระทำนับจากวันนี้และตลอดกาล เว้นแต่พระเจ้าผู้ทรง มหิทธิฤทธึ๋จะทรงบัญชาเป็นอื่น คือ ให้ทุกคนยอมรับบิดาของตน…นี่คือพระ ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าต่อคนเหล่านี้ ข้าพเจ้าต้องการให้ชายทุกคนที่เป็นประ ธานดูแลพระวิหารในเทือกเขาเหล่านี้ของอิสราเอลจำสิ่งนี้ไว้ ไม่ใช่ธุระอะไร ของข้าพเจ้าที่จะนำสิทธิ๙ตามเชื้อสายของมนุษย์ไปจากเขา มนุษย์มีสิทธึ๋อะไร เล่าในการทำเช่นนี้ ไม่มี ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนยอมรับบิดาของเขา และเมื่อ นั้น ท่านย่อมทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้เมื่อครั้งทรงประกาศว่าจะทรงส่งอิไลจะ ศาสดามาในวันเวลาสุดท้าย [ดู มาลาคี 4:5–6]…
“เราต้องการให้สิทธิชนยุคสุดท้ายนับจากเวลานี้สืบลำดับเชื้อสายให้ไกลที่สุด เท่าที่จะทำได้ และผนึกกับบิดามารดาของเขา ให้ลูกๆ ผนึกกับบิดามารดา และ ต่อสายโช่เสันนี้ให้ยาวที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้…
“พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย จงยอมรับเรื่องเหล่านี้ในใจท่าน ขอให้เราทำบันทึก ของเราต่อไป กรอกข้อมูลให้ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า ปฏิบัติหลักธรรมนี้ และพรของพระผู้เปีนเจ้าจะอยู่กับเรา และผู้ไต้รับการไถ,จะอวยพรเราในวันที่จะ มาถึง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระผู้เปีนเจ้าขอให้พวกเราลืมตาดู เงี่ยหูฟ้ง และ เปีดใจรับความเข้าใจงานอันเกรียงไกรและลํ้าเลิศที่วางอยู่บนบ่าของเรา และที่ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงเรียกร้องจากมือเรา”50
“เราสวดให้ท่านเสมอ”
วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1897 สิทธิชนยุคสุดท้ายนั่งเต็มแทเบอร์นาเคิลซอลท์ เลคเพี่อฉลองวันเกิดปีที่ 90 ของประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ ที่นั่นพวกเขาไต้ ยินเพลงสวดเพลงใหม่“เราสวดให้ท่านเสมอ” อีวาน สดีเฟนส์ดัดแปลงทำนอง ของเพลงสวดที่มือยู่เดิมและเขียนเนื้อร้องขึ้นใหม่เพี่อสดุดีศาสดาผู้เป็นที่รัก ของศาสนาจักร
เราสวดไห้ท่านเสมอศาสดาที่รัก
ว่าพระเจ้าจักอวยพรสุขศรีปรีดา
แม้อายุลุล่วงเข้าในวัยชรา
ขอแสงจ้าภายในคงส่องเช่นวันนี้
ขอแสงจ้ากายในคงส่องเช่นวันนี้
เราสวดให้ท่านเสมอด้วยสุดดวงใจ
ว่าขอให้ปีกำลังในการทำงาน
เพื่อนำและแนะแนวเราทุกวันผันผ่าน
เพื่อฉายฉานแสงศักดี้สิทธํ่ห้อมล้อมทางเรา
เพื่อฉายฉานแสงศักดิ๔สิทธิ้ห้อมล้อมทางเรา
เราสวดให้ท่านเสมอด้วยรักแรงกล้า
นละคราคำสวดลูกหลานยินถึงสวรรค์
ท่านจะสุขแท้และพระเจ้าจะประทาน
สิ่งต้องการสิ่งเลิศลํ้าตราบปีชีวา
สิ่งต้องการสิ่งเลิศลํ้าตราบปีชีวา51
สิบแปดเดือนต่อมา วันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1898 ประธานวิลฟอร์ด วูด- รัฟฟ็ได้ล่วงลับไปอยู่รวมกับเพื่อนสิทธิชนผู้ล่วงหน้าไปก่อนท่าน ณ พิธีศพ ซึ่ง จัดขึ้นที่แทเบอร์นาเคิลซอลท์เลค “วิญญาณแห่งสันติสุข…แผ่คลุมระหว่าง เตรียมการแผ่ซ่านไปทั่วการประชุม และยังคงปลุกปลอบความรู้สืกของทุกคน” ภายในแทเบอร์นาเคิล “ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงในโทนสืฃาว” ด้วยดอกไม้ “มากมายตระการตา” พร้อมรวงข้าวสาลีและรวงข้าวโอ๊ต “แต่ละด้านของออร์ แกนจะมีตัวเลข 1847 หญ้าหางหนู ดอกทานตะวัน [และ] ยอดสนช่อใหญ่ หลายช่อ” เพื่อหวนระลึกถึงการเข้าสุ่หุบเขาซอลท์เลคของผู้บุกเบิกในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1847 เหนือภาพวาดขนาดใหญ่ของประธานวูดรัฟฟ็คือคำประ กาศ “ล่วงลับแล้วยังพูดอยู่” ที่ล่องสว่างไสวไว้อาลัยศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งคำสอนและแบบอย่างของท่านยังคงเป็นแรงบันดาลใจแก’สิทธิชนยุค สุดท้ายในการพยายามช่วยเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า52