บทที่ 18
เราเชื่อในการเป็นคนซื่อสัตย์
“ถ้าเราอยากมีความเป็นเพื่อนของพระอาจารย์และพระวิญญาณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา”
จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
ขณะรอไปเที่ยวชมปราสาทเฮิร์สต์ในแคลิฟอร์เนีย ประธานกับซิสเตอร์ฮันเตอร์และสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งขับรถไปร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ขณะพวกท่านกำลังมองไปรอบๆ ร้าน “เอ็ลเดอร์ฮันเตอร์ไปที่เคาน์เตอร์ นับชะเอมออกเสียง [และ] จ่ายเงินให้คนขายไป 10 เพนนี” ต่อจากนั้นทั้งสองคู่ก็กลับไปขึ้นรถและเริ่มขับกลับไปเที่ยวชมปราสาท ระหว่างทาง “เอ็ลเดอร์ฮันเตอร์แจกชะเอมเวียนไปหนึ่งรอบ แล้วก็แจกอีกรอบ และทันใดนั้นท่านก็พบว่าท่านนับผิดเพราะเรานับได้ทั้งหมด 11 เม็ดแทนที่จะนับได้ 10 เม็ดเท่าที่ท่านจ่าย
“ท่านจะมองข้ามความผิดพลาดนี้ก็ได้ ยังไงก็แค่เพนนีเดียว และตอนนี้เราต้องรีบไปให้ทันการนำเที่ยว ใครจะรู้ว่านับผิดหรือใครจะสนใจ แต่ท่านไม่คิดเรื่องนี้เป็นครั้งที่สอง ท่านเลี้ยวรถและขับกลับไปร้านนั้น … ท่านอธิบายปัญหาให้พนักงานขายอีกคนทราบ ขอโทษที่นับผิด และจ่ายอีกเพนนีให้พนักงานที่รู้สึกประหลาดใจคนนั้น”1
สำหรับฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์แล้ว สำคัญที่ต้องซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กเช่นเดียวกับเรื่องใหญ่
ท่านสอนบุตรชายเรื่องความซื่อตรงจากแบบอย่างของท่าน “สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เกี่ยวกับความซื่อสัตย์และความซื่อตรงส่วนมากได้ยินจากคนที่เล่าเรื่องคุณพ่อให้ข้าพเจ้าฟัง” ริชาร์ด ฮันเตอร์กล่าว ครั้งหนึ่งริชาร์ดไปการประชุมธุรกิจกับบิดาซึ่งกำลังสนทนากันเกี่ยวกับโครงการซับซ้อนโครงการหนึ่ง ขณะอยู่นอกห้องช่วงพัก ริชาร์ดกับชายคนหนึ่งคุยกันเกี่ยวกับการประชุม ริชาร์ดบอกว่าอาจต้องรอนานกว่าจะได้เริ่มโครงการเพราะต้องใช้เอกสารทางกฎหมายจำนวนมาก ชายคนนั้นแก้ไขคำพูดของริชาร์ดโดยบอกเขาว่าโครงการจะเริ่มก่อนงานเอกสารเสร็จเพราะพวกเขารู้ว่าฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์จะทำอย่างที่ท่านบอกว่าจะทำ2
คริสต์ศักราช 1962 ประธานฮันเตอร์ปราศรัยกับเยาวชนของศาสนจักรและแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ ดังนี้
“ชีวิตที่มีความสุขจะมาถึงเราแต่ละคนถ้าเราจะเพียงซื่อสัตย์—ซื่อสัตย์ต่อบิดามารดาของเรา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการออกเดทของเรา งานโรงเรียน คนที่เราคบ หรือการเข้าร่วมประชุมที่โบสถ์; ซื่อสัตย์ต่ออธิการของเรา—รับคำแนะนำของพวกเขา บอกความจริงเกี่ยวกับตัวเรา จ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์ ดำเนินชีวิตให้สะอาดบริสุทธิ์; ซื่อสัตย์ต่อโรงเรียนของเรา—อย่าโกงในการกระทำทุกอย่างของเรา ไม่ว่าจะในชั้นเรียนหรือในรั้วมหาวิทยาลัย; ซื่อสัตย์ในการจ่ายส่วนที่ต้องจ่าย ไม่ว่าจะค่าเข้าชมการแข่งขันหรือภาพยนตร์ หรือในการทำหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของเราที่งานเลี้ยง; ซื่อสัตย์ต่อคู่รักของเรา—อย่าเอาเปรียบพวกเขา อย่าหลอกพวกเขา อย่านำพวกเขาไปสู่การล่อลวง; ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า”3
คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
1
พระเจ้าทรงตักเตือนให้เราเป็นคนซื่อสัตย์
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำตักเตือนให้เป็นคนซื่อสัตย์ และมีพระบัญญัติหลายข้อบอกว่าเราควรเป็นคนซื่อสัตย์ เรานึกถึงพระบัญญัติเหล่านั้นในแบบตัวพิมพ์ใหญ่ ห้าม—ห้ามลักขโมย ห้ามเป็นพยานเท็จ ห้ามโลภ [ดู อพยพ 20:15-17] …
ตัวอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไปของความไม่ซื่อสัตย์มีดังนี้
1. การลักขโมย แทบทุกครั้งที่อ่านหนังสือพิมพ์ข้าพเจ้าจะพบรายงานข่าวเกี่ยวกับการย่องเบา โจรกรรม ฉกชิงวิ่งราว ขโมยของตามร้าน ขโมยรถ และอีกนับพันอย่าง แม้แต่ในโบสถ์ของเราก็มีรายงานเรื่องลักเล็กขโมยน้อย
2. การคดโกง หนังสือพิมพ์มีเรื่องราวคล้ายกันของธุรกรรมฉ้อฉลในข้อสัญญาค้ำประกัน ในธุรกรรมด้านธุรกิจ คดโกงการลงทุน และอื่นๆ ที่สาธารณชนให้ความสนใจ มีบางคนจะโกงขณะกำลังเรียนและบางคนจะโกงในการสอบ
3. การทำผิดมาตรฐานพระคำแห่งปัญญา นี่คือมาตรฐานศาสนจักร นี่ไม่ใช่การทำผิดมาตรฐานของโลก แต่ท่านได้รับพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้แล้ว
4. การทำผิดกฎจราจร ตามหลักแล้วคนเราจะเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ได้ถ้าทำผิดกฎที่สังคมและฝ่ายปกครองกำหนดไว้เพื่อความผาสุกของผู้อื่น4
“ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน” [อพยพ 20:16] โดยพื้นฐานแล้วพระบัญญัติข้อนี้มีความเกี่ยวโยงกับคำให้การเท็จในการพิจารณาคดี แต่ขยายครอบคลุมถึงคำให้การเท็จทั้งหมดด้วย ความเท็จทุกอย่างซึ่งมุ่งหมายทำให้อีกฝ่ายเสียหายในทรัพย์ ร่างกาย หรือชื่อเสียงล้วนขัดกับเจตนาและตัวบทของกฎข้อนี้ การปกปิดความจริงซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายแบบเดียวกันถือเป็นการทำผิดพระบัญญัติข้อนี้ด้วย
“ห้ามโลภบ้านเรือนของเพื่อนบ้าน ห้ามโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน” [อพยพ 20:17] โลภหมายถึงปรารถนา อยากมี อยากได้สิ่งซึ่งเป็นของอีกคนหนึ่ง ความปรารถนาอยากได้สิ่งดีๆ ไม่ใช่การทำผิด แต่ความปรารถนาจะเอาไปจากอีกคนหนึ่งโดยมิชอบถือเป็นความผิด ในประเด็นนี้ เราพึงเข้าใจอย่างดีว่าความดีหรือความชั่วไม่ได้เริ่มเมื่อลงมือกระทำ แต่เริ่มเมื่อใจอยากได้สิ่งนั้น5
พระเจ้าทรงเกลียดดวงตายโส ลิ้นมุสา ใจที่คิดแผนเลวร้าย เท้าที่รีบวิ่งไปสู่ความชั่ว พยานเท็จที่พูดคำมุสา [และ] คนที่หว่านความแตกร้าว [ดู สุภาษิต 6:16-19] ในฐานะวิ-สุทธิชนยุคสุดท้าย เราจะทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดได้หรือ พระองค์ทรงเตือนเรื่องความไม่ซื่อสัตย์บ่อยเหลือเกิน!6
2
เราปลูกฝังความซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อยธรรมดาๆ ของชีวิต
ถ้าเราละเอียดอ่อนต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า เราต้องซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กเช่นเดียวกับเรื่องใหญ่7
ขณะที่เราพยายามบรรลุผลสำเร็จและความสำเร็จ เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการคิดและศึกษาความซับซ้อนจนเราใช้เวลาน้อยมากกับความเรียบง่าย—สิ่งเรียบง่าย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วคือพื้นฐานที่เราสร้างบนนั้นและหากปราศจากสิ่งนี้รากฐานอันแข็งแกร่งจะดำรงอยู่ไม่ได้ สิ่งปลูกสร้างอาจสูงเทียมฟ้า และเราอาจมองดูด้วยความทึ่งเพราะรูปร่างและความสูงของสิ่งนั้น แต่มันจะตั้งอยู่ไม่ได้หากรากฐานไม่ตรึงแน่นอยู่ในหินหรือในเหล็กกล้าหรือคอนกรีต
อุปนิสัยต้องมีรากฐานเช่นนั้น ข้าพเจ้าดึงความสนใจของท่านมาที่หลักธรรมแห่งความซื่อสัตย์ เหตุใดหลายคนเชื่อในหลักธรรมอันสูงส่งของความซื่อสัตย์แต่น้อยคนเต็มใจซื่อสัตย์อย่างเคร่งครัด
[หลาย] ปีมาแล้วมีโปสเตอร์ตรงโถงทางเดินและทางเข้าห้องนมัสการของเรามีชื่อหัวข้อว่า “จงซื่อสัตย์ต่อตนเอง” โปสเตอร์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กน้อยธรรมดาๆ ของชีวิต นี่คือวิธีที่เราปลูกฝังหลักธรรมแห่งความซื่อสัตย์
มีบางคนยอมรับว่าการเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่เป็นความผิดทางศีลธรรมแต่เชื่อว่าพอจะยกโทษให้ได้ถ้าเรื่องนั้นสำคัญน้อยกว่า …
ข้าพเจ้านึกถึงเยาวชนชายคนหนึ่งที่อยู่ในสเตคของเราเมื่อข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานสเตค เขาออกไปกับคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นเรื่องฉลาด เขาถูกจับสองสามครั้งในการทำผิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง วันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจแจ้งว่าเขาถูกจับเพราะทำผิดกฎจราจร เขาถูกจับเรื่องความเร็ว เหมือนที่เคยถูกจับมาแล้วก่อนหน้านั้นสองสามครั้ง โดยรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นอาจทำให้เขาไม่ได้เป็นผู้สอนศาสนา เขาจึงแก้ไข และเมื่ออายุ 19 ปีเขาได้รับหมายเรียก
ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมการพูดคุยของเราเมื่อเขากลับมา เขาบอกข้าพเจ้าว่าขณะอยู่ในสนามเผยแผ่เขามักจะนึกถึงความเดือดร้อนที่เขาก่อเพราะความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตเขา เขาตระหนักว่าไม่มีความสุขหรือความพอใจในการทำผิดกฎ ไม่ว่าจะกฎของพระผู้เป็นเจ้าหรือกฎที่สังคมกำหนดให้เราทำ8
3
เราสามารถรับใช้พระผู้เป็นเจ้าได้โดยเป็นคนซื่อสัตย์และยุติธรรมในการติดต่อธุรกิจและในเรื่องส่วนตัว
ศาสนาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำวันของเรา ธุรกิจของเรา การซื้อขายของเรา การสร้าง การขนส่ง การผลิต การค้าหรืออาชีพของเรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราทำ เราสามารถรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความซื่อสัตย์และดำเนินธุรกรรมด้านธุรกิจอย่างเที่ยงตรงในลักษณะเดียวกันกับที่เราทำในการนมัสการวันอาทิตย์ หลักธรรมที่แท้จริงของศาสนาคริสต์จะแยกออกจากธุรกิจและกิจการงานประจำวันของเราไม่ได้9
ถ้าศาสนามีความหมายต่อเรา นั่นควรเป็นสิ่งผลักดันชีวิตเรา ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าศาสนาจะถูกลดเป็นคำเทศนาหนึ่งชั่วโมงของบาทหลวงในวันอาทิตย์แล้วจะมีความหมายบางอย่างในชีวิตเรา ถ้าศาสนาไม่เข้ามาในชีวิตเราแต่ละคน—ชีวิตครอบครัวเรา—ชีวิตด้านธุรกิจของเรา—และทุกอย่างที่เราทำ เมื่อนั้นศาสนาย่อมมีความหมายเล็กน้อยต่อเราและกลายเป็นเพียงรูปเคารพที่ตั้งไว้บนหิ้งให้กราบไหว้เป็นครั้งคราว10
คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วโลกถ้าเราทุกคนจะเชื่อใจคนอื่นได้ในเรื่องความซื่อสัตย์ มนุษย์คงจะมีความเชื่อใจกันอย่างสมบูรณ์ในเรื่องส่วนตัวและการติดต่อทางธุรกิจ คงจะไม่มี … ความคลางแคลงใจระหว่างการทำงานกับการบริหาร คงจะมีความซื่อตรงในตำแหน่งราชการและในงานฝ่ายปกครอง ประเทศชาติจะอยู่ในความสงบไม่ใช่ความโกลาหลเช่นที่เรารู้ในโลกปัจจุบัน …
ในการติดต่อธุรกิจมีบางคนจะฉวยโอกาสเอาเปรียบถ้าโอกาสนั้นวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาหาเหตุผลและข้อแก้ต่างให้มุมมองของตนโดยพูดว่าในธุรกิจเราคาดหวังให้คนฉวยโอกาสทุกอย่างที่พึงได้ การกระทำเช่นนั้นทำให้ได้เงินจำนวนมาก แต่ในหลักธรรมถือว่าไม่ต่างอะไรกับการไม่คืนเงินหนึ่งเพนนีที่แคชเชียร์จ่ายเกินให้คนที่สังเกตเห็นข้อผิดพลาด นั่นคือรูปแบบหนึ่งของการโกง11
ข้าพเจ้าขอเสนอนิยามของ “งานอาชีพที่มีเกียรติ” งานอาชีพที่สมเกียรติคืองานอาชีพที่ซื่อสัตย์ งานที่ให้ค่าจ้างอย่างเป็นธรรม ไม่มีการฉ้อฉล คดโกง หรือหลอกลวง ผลของงานหรือการบริการมีคุณภาพสูง และนายจ้าง ลูกค้า ลูกความ หรือผู้ป่วยได้รับมากกว่าที่คาดหวัง งานอาชีพที่มีเกียรติจะสอดคล้องกับศีลธรรม ไม่พัวพันกับสิ่งใดที่จะทำลายความดีงามหรือศีลธรรมของส่วนรวม ตัวอย่างเช่น ไม่พัวพันกับการลักลอบค้าสุรา ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย หรือการพนัน งานอาชีพที่มีเกียรติจะมีประโยชน์ งานนี้ให้ประโยชน์หรือการบริการซึ่งทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น12
4
ความซื่อตรงคุ้มครองเราจากความชั่วร้าย ช่วยให้เราประสบความสำเร็จ และจะช่วยจิตวิญญาณเราให้รอด
การล่อลวงของความชั่วร้ายห้อมล้อมเราทุกด้าน หากไม่มีความซื่อตรงคุ้มครองเรา เราย่อมอยู่ภายใต้เงื้อมมือของบาปและการทำผิดทุกประเภท
โยบไม่มีอุปสรรคกับปัญหาเหล่านี้ เขาได้รับความคุ้มครองจากความซื่อตรงของเขาเอง เขารู้สึกดังนี้
“ลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในจมูกของข้าตราบใด
“ริมฝีปากข้าจะไม่พูดความเท็จ และลิ้นข้าจะไม่เปล่งคำหลอกลวง …
“ข้ายึดความชอบธรรมของข้าไว้มั่นไม่ยอมปล่อยไป จิตใจของข้าไม่ตำหนิข้า ไม่ว่าวันใดในชีวิตของข้า” (โยบ 27:3-4, 6)
ช่างสร้างแรงบันดาลใจยิ่งนัก เพราะความเข้มแข็งของเขา เขาจึงไม่กังวลกับการล่อลวงเล็กๆ น้อยๆ ตรงหน้าซึ่งคนส่วนใหญ่พ่ายแพ้มาแล้ว โยบได้สร้างความเข้มแข็งและความพอใจในชีวิตจนซาตานไม่สามารถทำให้พังได้ น่าสนใจเช่นกันที่เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงปลาบปลื้มในตัวเขา “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย เขายังยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของเขาอยู่” (โยบ 2:3)
คุณภาพอันดียิ่งนี้ของความซื่อตรงมีผลต่อเราอย่างสมบูรณ์ ถ้าใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ความซื่อตรงจะแก้ปัญหาทั้งหมดของเราในการปกครอง ศาสนา อุตสาหกรรม และชีวิตส่วนตัวของเรา จะกวาดล้างหายนะอันน่าสะพรึงกลัวของอาชญากรรม การหย่าร้าง ความยากไร้ และความเศร้าหมอง จะทำให้เราประสบความสำเร็จที่นี่และช่วยจิตวิญญาณเราให้รอดหลังจากนี้
ความสำเร็จสูงสุดอย่างหนึ่งของชีวิตเราคือการส่งเสริมความซื่อตรงและความซื่อสัตย์สุจริตในตัวเราเอง นี่หมายความว่าเราจะเข้มแข็งทางวิญญาณ จริงใจทางปัญญา ซื่อสัตย์ทางศีลธรรม และรับผิดชอบโดยตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเสมอ ความซื่อตรงเป็นกุญแจทองคำซึ่งจะไขประตูความสำเร็จเกือบทุกบาน13
5
ปีติที่แท้จริงเกิดจากการเป็นคนซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อพระผู้เป็นเจ้า
เรามักพูดถึงพระคัมภีร์อ้างอิงข้อนี้ “มนุษย์เป็นอยู่, เพื่อพวกเขาจะมีปีติ’ [2 นีไฟ 2:25] มีปีติมาสู่เราจากการเป็นคนซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่ามาได้อย่างไร โดยวิธีนี้ท่านจะมีความเป็นเพื่อนของพระอาจารย์และท่านจะมีพระวิญญาณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การทำผิดหลักเกณฑ์ของความซื่อสัตย์จะตัดสิทธิ์ท่านจากพรอันประเสริฐสองประการนี้ ท่านเชื่อหรือว่าคนที่กล่าวเท็จหรือคดโกง … จะมีความเป็นเพื่อนของพระอาจารย์หรือมีพระวิญญาณของพระวิญญาณบริสุทธิ์
…เราควรจำไว้เสมอว่าเราไม่เคยโดดเดี่ยว ไม่มีการกระทำใดที่มองไม่เห็น ไม่มีคำพูดใดที่ไม่ได้ยิน ไม่มีความคิดใดเกิดขึ้นในใจมนุษย์ที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงทราบ ไม่มีความมืดที่สามารถปกปิดสิ่งที่เราทำ เราต้องคิดก่อนทำ
ท่านคิดหรือไม่ว่าท่านอยู่ตามลำพังเมื่อท่านกระทำการไม่ซื่อสัตย์ ท่านคิดหรือไม่ว่าจะไม่มีคนเห็นเมื่อท่านโกงในการสอบ ถึงแม้จะอยู่ในห้องคนเดียวก็ตาม เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเราเอง ถ้าเราอยากมีความเป็นเพื่อนของพระอาจารย์และพระวิญญาณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดปีติอย่างแท้จริง14
พระเจ้าทรงทราบความนึกคิดในส่วนลึกที่สุดของเรา [ดู คพ. 6:16] พระองค์ทรงทราบการกระทำแต่ละอย่างที่เราทำ สักวันเราจะพบพระองค์ และเราจะมองพระพักตร์พระองค์ เราจะภูมิใจในบันทึกของชีวิตเราหรือไม่
เราทำบันทึกนั้นทุกวัน การกระทำแต่ละอย่าง ความคิดแต่ละเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกนั้น เราจะภูมิใจไหม เราจะภูมิใจถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว—ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตัวเราเอง ต่อคนที่เรารัก ต่อมิตรสหายของเรา และต่อมวลมนุษยชาติ …
คนที่ซื่อสัตย์ย่อมได้รับพร …
คนที่เชื่อฟังพระเจ้าย่อมได้รับพร
พวกเขาคือคนที่เป็นอิสระ—มีความสุข—คนที่สามารถเดินด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขามีความเคารพตนเอง พวกเขาได้ความเคารพจากคนที่รู้จักพวกเขาดีที่สุด
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาได้รับความเคารพและพรจากพระบิดาในสวรรค์ของเรา พระเยซูทรงเชื้อเชิญให้เราติดตามพระองค์ เส้นทางของพระองค์ตรง สะอาด ยุติธรรม และซื่อสัตย์ ขอให้เราติดตามพระองค์เข้าไปในชีวิตที่อุดมไปด้วยความสุข นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น15
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ทบทวนตัวอย่างความไม่ซื่อสัตย์ที่ประธานฮันเตอร์ระบุไว้ในหัวข้อ 1 การปฏิบัติที่ไม่ซื่อสัตย์เหล่านี้ส่งผลอะไรบ้าง ผลเหล่านั้นสอนอะไรเราได้บ้างว่าเหตุใดพระเจ้าทรงเน้นมากเรื่องการเป็นคนซื่อสัตย์
-
ไตร่ตรองคำสอนของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อยและซื่อสัตย์ต่อตัวเราเอง (ดู หัวข้อ 2) เหตุใดเราจึงต้องซื่อสัตย์ใน “เรื่องเล็กน้อย” ซื่อสัตย์ต่อตัวเราเองหมายความว่าอย่างไร เราจะเอาชนะการล่อลวงให้พูดแก้ตัวแม้ดูเหมือนจะเป็นการกระทำไม่ซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร
-
ประธานฮันเตอร์เน้นถึงความจำเป็นของการทำให้ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของทุกอย่างที่เราทำในชีวิตประจำวัน (ดู หัวข้อ 3) เราจะดำเนินชีวิตตามคำสอนในหัวข้อนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร เราจะสอนเรื่องความซื่อสัตย์อย่างมีประสิทธิภาพในบ้านของเราได้อย่างไร
-
ในหัวข้อ 4 ประธานฮันเตอร์กล่าวถึงพรหลายประการที่มาจากการดำเนินชีวิตด้วยความซื่อตรง คนเราจะพัฒนาความซื่อตรงได้อย่างไร ท่านได้รับพรอย่างไรเมื่อท่านดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า
-
การเป็นคนซื่อสัตย์นำปีติมาให้เราอย่างไร (ดู หัวข้อ 5) เหตุใดการเป็นคนซื่อสัตย์จึงจำเป็นต่อการมีความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเป็นคนซื่อสัตย์ทำให้เราเป็นอิสระอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
โยบ 27:5; 31:5–6; สดุดี 15; สุภาษิต 20:7; แอลมา 53:20–21; คพ. 10:25–28; 42:20–21, 27; 51:9; 124:15; 136:20, 25–26; หลักแห่งความเชื่อ 1:13
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
ขณะที่ท่านอ่านให้ “ขีดเส้นใต้และทำเครื่องหมายคำหรือวลีเพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดใน [ข้อความ] นั้น … เขียนข้อพระคัมภีร์อ้างอิงที่ทำให้ข้อความที่ท่านศึกษาชัดเจนขึ้นไว้ตรงที่ว่างริมหน้า (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 23)