บทที่ 5
โจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู
“ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานอันศักดิ์สิทธิ์ว่าศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิมในยุคสุดท้ายนี้”
จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
แนนซี โนเวลล์ผู้เป็นคุณย่าทวดคนหนึ่งของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ ย้ายไปอยู่เมืองลาเพียร์ รัฐมิชิแกนกลางทศวรรษ 1830 คริสต์ศักราช 1842 ผู้สอนศาสนาคนหนึ่งของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจากเมืองนอวู รัฐอิลลินอยส์มาถึงเมืองลาเพียร์ แนนซีฟังข่าวสารของเขา สวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนั้น และได้รับประจักษ์พยานว่าเขากำลังสอนความจริง เธอไปนอวูเพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนจักร และในบันทึกส่วนตัวเธอเขียนบันทึกประสบการณ์ดังนี้
“ดิฉันไปฟังนักเทศน์มอรมอน [โจเซฟ สมิธ] ด้วยความระมัดระวังมากหวังว่าจะไม่ถูกหลอก หัวข้อเรื่องของเขาคือการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ดิฉันมีประจักษ์พยานว่าเขาพูดความจริง และโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริง พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกและแต่งตั้งเขาให้ทำงานสำคัญ เพราะเขาได้นำความจริงตามที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนออกมา ดิฉันขอรับบัพติศมา”1
เช่นเดียวกับแนนซี โนเวลล์คุณย่าทวดของท่าน ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์มีประจักษ์พยานมั่นคงเกี่ยวกับพันธกิจการเป็นศาสดาพยากรณ์ของโจเซฟ สมิธ สามสัปดาห์หลังจากเป็นประธานศาสนจักร ท่านเดินทางไปนอวูเพื่อฉลองครบรอบ 150 ปีมรณสักขีของโจเซฟ และไฮรัม สมิธ ในการประชุมที่จัด ณ บริเวณก่อสร้างพระวิหารนอวู ประธานฮันเตอร์กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความรับผิดชอบต่องานที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟเริ่มไว้ทำให้ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำสุดความสามารถในเวลาและวาระที่จัดสรรให้ข้าพเจ้า เชื่อได้ว่าโจเซฟซื่อสัตย์และแน่วแน่ต่อเวลาและวาระของท่าน! … ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานอันศักดิ์สิทธิ์ว่าศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิมในยุคสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าเพิ่มประจักษ์พยานของข้าพเจ้าเข้ากับประจักษ์พยานของโจเซฟถึงความเป็นพระเจ้าและการดำรงอยู่จริงของพระเยซูคริสต์”2
ต่อมาในวันนั้น ในการประชุมที่จัดข้างคุกคาร์เทจ ประธานฮันเตอร์เป็นพยานว่า “โจเซฟ สมิธ ผู้สละชีวิตที่นี่ เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณและสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตของพระองค์”3
คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
1
พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธเพื่อเริ่มการฟื้นฟู
หลายครั้งพระเจ้าประทานพระกิตติคุณแก่ชาวโลกผ่านศาสดาพยากรณ์ และทุกครั้ง [พระกิตติคุณ] สูญหายเพราะการไม่เชื่อฟัง ในปีคริสต์ศักราช 1820 ความเงียบสงัดถูกทำลายและพระเจ้าทรงปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์อีกครั้ง ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธท่านนี้เป็นพยานถึงความรู้ที่แน่ชัดของท่านว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า องค์สัตภาวะที่ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว ทรงเป็นคนละองค์แยกจากพระบิดา ท่านไม่เป็นพยานเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเชื่อหรือสิ่งที่ท่านหรือคนอื่นๆ คิดหรือคาดเดา แต่ถึงสิ่งที่ท่านรู้ ความรู้นี้มาถึงท่านเพราะพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อท่านด้วยพระองค์เองและตรัสกับท่าน4
พระผู้เป็นเจ้า … ทรงเปิดเผยพระองค์ [ต่อโจเซฟ สมิธ] ในฐานะสัตภาวะที่เป็นบุคคลองค์หนึ่ง นอกจากนี้ พระบิดาและพระบุตรยังได้ทรงแสดงความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระอติรูปคนละพระองค์และแตกต่างกัน แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของพระบิดากับพระบุตรได้รับการยืนยันอีกครั้งจากการแนะนำต่อศาสดาพยากรณ์หนุ่มว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!” [โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17]5
เมื่อมนุษย์ได้ยินว่าเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธกำลังอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงองค์ต่อท่าน พวกเขาหัวเราะเยาะท่านและเบือนหน้าไปจากท่าน เฉกเช่นในยุคคริสเตียนที่คนฉลาดและมีความสามารถในกรุงเอเธนส์เบือนหน้าจากชายที่พิเศษคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติศาสนกิจท่ามกลางพวกเขา ทว่าข้อเท็จจริงคือ ในประสบการณ์เริ่มแรกนั้นเปาโลเป็นชายคนเดียวในมหานครนั้นที่รู้ว่ามนุษย์จะผ่านประตูแห่งความตายและมีชีวิต เขาเป็นคนเดียวในกรุงเอเธนส์ที่อธิบายความแตกต่างได้อย่างชัดเจนระหว่างพิธีบูชารูปเคารพกับการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าองค์จริงและทรงพระชนม์ด้วยความจริงใจ [ดู กิจการของอัครทูต 17:19–20, 22–23]6
คนที่ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อพระองค์เสด็จมาแผ่นดินโลกพร้อมคำประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงพระองค์ว่า “คนนี้เป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ” (มัทธิว 13:55) เมื่อโจเซฟประกาศว่าท่านเห็นนิมิตและเห็นพระบิดาและพระบุตร คำถามเกิดขึ้นในใจและริมฝีปากของเพื่อนบ้าน บาทหลวง และชาวเมืองทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นลูกชาวนาไม่ใช่หรือ” พระคริสต์ทรงถูกข่มเหงและถูกประหาร แต่เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์พระองค์ ลูกของช่างไม้เป็นฉันใด ลูกชาวนาก็เป็นฉันนั้น7
โจเซฟ สมิธไม่เพียงเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ท่านเป็นผู้รับใช้ที่ได้รับการดลใจของพระเจ้า ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ความยิ่งใหญ่ของท่านประกอบด้วยสิ่งหนึ่ง—สิ่งนั้นคือความจริงตามคำประกาศของท่านที่ว่าท่านเห็นพระบิดาและพระบุตร และท่านตอบรับความจริงของการเปิดเผยจากสวรรค์ครั้งนั้น …
ข้าพเจ้าเป็นพยาน … ว่าพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเพื่อเริ่มดำเนินงานยุคสุดท้ายครั้งใหญ่นี้ในสมัยของเราให้ก้าวไปข้างหน้า
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าท่านศาสดาพยากรณ์หนุ่มผู้ยังคงเป็นปาฏิหาริย์สำคัญ … ของประสบการณ์ศาสนจักรนี้ในหลายๆ ด้าน เป็นหลักฐานที่มีชีวิตในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าและภายใต้การกำกับดูแลของพระผู้ช่วยให้รอดของโลกซึ่งยืนยันว่าสิ่งอ่อนแอและเรียบง่ายจะออกมาและทำลายสิ่งที่เข้มแข็งและมีพลัง8
2
พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์อีกครั้งผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ
ในวันที่หกเมษายน ค.ศ. 1830 … ชายหญิงกลุ่มหนึ่งแสดงการเชื่อฟังพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า โดยมาชุมนุมกันในบ้านของมิสเตอร์ปีเตอร์ วิตเมอร์ [ซีเนียร์] เพื่อจัดตั้งศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย … ไม่มีใครอ้างว่าตนมีความรู้เป็นพิเศษหรือเป็นผู้นำคนสำคัญ พวกเขาเป็นคนมีเกียรติและเป็นพลเมืองที่น่านับถือ แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนที่อยู่นอกละแวกบ้านพวกเขา …
ชายธรรมดาที่อ่อนน้อมถ่อมตนเหล่านี้มารวมกันเพราะหนึ่งในนั้น โจเซฟ สมิธ จู-เนียร์ ชายที่อายุน้อยมาก ได้อธิบายคำกล่าวอ้างอันน่าทึ่งที่สุด ท่านประกาศต่อพวกเขาและคนอื่นทั้งหมดที่ยอมฟังว่าท่านได้รับการสื่อสารอันลึกซึ้งจากสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งนิมิตที่เห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ สืบเนื่องจากประสบการณ์อันเป็นการเปิดเผยเหล่านี้ โจเซฟ สมิธจึงได้จัดพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอน ซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับการติดต่อของพระคริสต์กับผู้อยู่อาศัยในอเมริกาแต่โบราณ ใช่แต่เท่านั้น พระเจ้ายังได้ทรงบัญชาชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งตอนนี้อายุยี่สิบสี่ปี ให้ตั้งศาสนจักรที่เคยดำรงอยู่ในสมัยพันธสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง และด้วยความบริสุทธิ์ที่ฟื้นฟูขึ้นมาในศาสนจักรนี้จึงให้ชื่อตามชื่อขององค์ศิลามุมเอกและประมุขนิรันดร์ของศาสนจักร พระเจ้าพระเยซูคริสต์
ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์สำคัญอันดับแรกของเรื่องราวในศาสนจักรซึ่งต่ำต้อยแต่สำคัญที่สุดไม่เพียงส่งผลต่อคนรุ่นนั้นแต่ต่อครอบครัวมนุษย์ทั้งหมดด้วย … แม้จะเริ่มต้นอย่างต่ำต้อย แต่คำกล่าวอ้างที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัส ว่าศาสนจักรของพระคริสต์ได้รับการจัดตั้งอีกครั้งและหลักคำสอนของศาสนจักรได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยการเปิดเผยจากเบื้องบน เป็นคำประกาศเด่นชัดที่สุดต่อชาวโลกนับตั้งแต่สมัยของพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินไปตามเส้นทางยูเดียและเนินเขากาลิลี9
ส่วนหนึ่งของการเปิดเผยจากเบื้องบนที่ [โจเซฟ สมิธได้รับ] คือการแนะนำให้สถาปนาศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่อีกครั้ง ฟื้นฟูในยุคปัจจุบันให้เหมือนที่เคยดำรงอยู่ในสมัยการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยของพระผู้ช่วยให้รอด ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ได้รับการ “จัดตั้งตามพระบัญชาและการเปิดเผยที่พระองค์ประทานแก่พวกเราในวันเวลาสุดท้ายนี้ อีกทั้งเป็นไปตามระเบียบของศาสนจักรดังบันทึกไว้ในพันธสัญญาใหม่ด้วย” [คำสอนของประธานศาสนจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 148] …
… คนที่รับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักรเมื่อวันที่หกเมษายน ค.ศ. 1830 เชื่อในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นบุคคล พวกเขาเชื่อว่าการดำรงอยู่จริงของพระองค์และการดำรงอยู่จริงของพระบุตรพระองค์ พระเยซูคริสต์ ประกอบเป็นรากฐานนิ-รันดร์ซึ่งศาสนจักรนี้สร้างบนนั้น10
โดยผ่าน [โจเซฟ สมิธ] และโดยเหตุการณ์ต่อๆ มา ฐานะปุโรหิตและพระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟูในความสมบูรณ์อีกครั้งบนแผ่นดินโลก ไม่มีวันนำออกไปอีก [ดู คพ. 65:2] ศาสนจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ได้รับการสถาปนาอีกครั้งและถูกกำหนดให้กลิ้งออกไปจนเต็มทั้งแผ่นดินโลกตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ [ดู ดาเนียล 2:35]11
3
โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย
การเข้ามาในโลกของศาสดาพยากรณ์โจเซฟคือสัมฤทธิผลของคำพยากรณ์ที่โยเซฟผู้ถูกขายไปในอียิปต์กล่าวไว้เมื่อหลายศตวรรษก่อน:
“พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงยกผู้หยั่งรู้ผู้หนึ่งขึ้น, ซึ่งจะเป็นผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอแก่เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าพเจ้า. … ชื่อท่านจะเรียกตามข้าพเจ้า; และจะเป็นตามชื่อบิดาท่าน” (2 นีไฟ 3:6, 15)
โจเซฟ สมิธ จูเนียร์ได้รับเรียกตามชื่อโยเซฟสมัยก่อนผู้ถูกพาไปเชลยในอียิปต์ และตามชื่อโจเซฟ สมิธ ซีเนียร์บิดาท่าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คำพยากรณ์ดังกล่าวเกิดสัมฤทธิผล ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และเรียกท่านว่า “โจเซฟผู้หยั่งรู้” มักจะมีผู้กล่าวถึงท่านว่าท่านเป็น “ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย”
คำว่า “ศาสดาพยากรณ์” และ “ผู้หยั่งรู้” และ “ผู้เปิดเผย” มักจะใช้แทนกัน คนจำนวนมากคิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน อย่างไรก็ดี ทั้งสามคำนี้ไม่เหมือนกันและมีความหมายต่างกันชัดเจน
[เอ็ลเดอร์] จอห์น เอ. วิดท์โซให้นิยามศาสดาพยากรณ์ว่าผู้สอน—คนที่อรรถาธิบายความจริง ท่านสอนความจริงตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อมนุษย์ และอธิบายความจริงให้ผู้คนเข้าใจภายใต้การดลใจ คำว่า “ศาสดาพยากรณ์” มักจะใช้เรียกคนที่รับการเปิดเผยและการนำทางจากพระเจ้า หลายคนคิดว่าตามหลักแล้วศาสดาพยากรณ์คือผู้ทำนายเหตุการณ์และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่นี่เป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่มากมายของศาสดาพยากรณ์ ท่านเป็นกระบอกเสียงสำหรับพระเจ้า
ผู้หยั่งรู้คือคนที่มองเห็น นี่มิได้หมายความว่าท่านเห็นผ่านดวงตาฝ่ายธรรมชาติของท่าน แต่ผ่านดวงตาฝ่ายวิญญาณ ของประทานแห่งการหยั่งรู้เป็นการประสาทพรเหนือธรรมชาติ โจเซฟเป็นเหมือนโมเสสผู้หยั่งรู้สมัยโบราณ และโมเสสเห็นพระผู้เป็นเจ้าตรงหน้า แต่ท่านอธิบายวิธีที่ท่านเห็นพระองค์ดังนี้
“แต่บัดนี้ดวงตาข้าพเจ้าเองมองเห็นพระผู้เป็นเจ้า; แต่มิใช่ฝ่ายธรรมชาติของข้าพเจ้า, แต่ดวงตาฝ่ายวิญญาณของข้าพเจ้า, เพราะดวงตาฝ่ายธรรมชาติของข้าพเจ้ามองเห็นไม่ได้; เพราะข้าพเจ้าจะเหี่ยวแห้งและตายในพระสิริของพระองค์; แต่รัศมีภาพของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า; และข้าพเจ้าเห็นพระพักตร์ของพระองค์, เพราะข้าพเจ้าได้รับการเปลี่ยนสภาพต่อพระพักตร์พระองค์” (โมเสส 1:11)
เราไม่ควรคิดไปเองว่าการมองเห็นทางวิญญาณไม่ใช่การมองเห็นจริงๆ การมองเห็นเช่นนั้นไม่ใช่ความเพ้อฝันหรือจินตนาการ เห็นวัตถุจริงๆ แต่ไม่ใช่ด้วยดวงตาฝ่ายธรรมชาติ เราแต่ละคนมีดวงตาฝ่ายวิญญาณซึ่งคู่กับดวงตาฝ่ายธรรมชาติของเรา พระองค์ทรงสร้างเราทางวิญญาณก่อนและจากนั้นทรงสร้างร่างกายเป็นเครื่องห่อหุ้มวิญญาณเรา เราทราบว่าในสถานะแรกของเรา เราเดินตามการมองเห็น นี่คือผ่านการมองเห็นของดวงตาฝ่ายวิญญาณของเราเพราะเรายังไม่ได้รับร่างกายที่มีดวงตาฝ่ายธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนมีการมองเห็นทางวิญญาณแต่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้การมองเห็นเช่นนั้นตลอดเวลาเว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะชุบชีวิตเขา …
โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางคนที่ถูกส่งมาแผ่นดินโลกเพื่อจุดประสงค์นั้นจะสามารถมองเห็นและดูสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้า ผู้หยั่งรู้คือคนที่มองเห็นและรู้สิ่งที่ผ่านมา รวมทั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย และโดยพวกเขาสิ่งทั้งปวงจะได้รับการเปิดเผย (ดู โมไซยาห์ 8:15-17) สรุปได้ว่าเขาคือคนที่มองเห็น เดินในแสงของพระเจ้าด้วยดวงตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดอยู่และได้รับการชุบชีวิตโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โมเสส ซามูเอล อิสยาห์ เอเสเคียล และอีกหลายท่านคือผู้หยั่งรู้ เพราะพวกท่านได้รับสิทธิ์ให้เห็นรัศมีภาพและเดชานุภาพของพระเจ้าใกล้กว่ามนุษย์คนอื่นๆ
การเปิดเผยทำให้รู้สิ่งที่ไม่มีใครรู้หรือรู้สิ่งซึ่งมนุษย์เคยรู้มาก่อนและถูกนำไปจากความทรงจำของเขา การเปิดเผยมักจะเกี่ยวข้องกับความจริงเสมอ และมักจะมาพร้อมตราประทับอนุมัติจากเบื้องบน การเปิดเผยจะได้รับในหลายวิธี แต่มักสันนิษฐานว่าผู้เปิดเผยดำเนินชีวิตและประพฤติตนจนสอดคล้องกับวิญญาณแห่งการเปิดเผย วิญญาณแห่งความจริง และด้วยเหตุนี้จึงสามารถรับข่าวสารจากเบื้องบนได้
เพื่อสรุปเรื่องนี้ เราอาจพูดได้ว่าศาสดาพยากรณ์คือผู้สอนความจริงจากเบื้องบน ผู้หยั่งรู้ในทุกๆ ด้านของโลก สัมผัสด้านการมองเห็นทางวิญญาณ [ของโจเซฟ สมิธ] ได้รับการชุบชีวิตถึงระดับที่ไม่ธรรมดาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานดังกล่าวนี้ทำให้ท่านมองเห็นพระบิดาและพระบุตรเมื่อท่านเข้าไปสวดอ้อนวอนในป่า เมื่อเราติดตามชีวิตและงานของท่านจากจุดนั้น เราพบว่าท่านไม่ได้พยายามทำตามพลังอำนาจของท่านเอง ท่านพึ่งพาพระเจ้าและด้วยเหตุนี้จึงได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำสั่งสอนจากพระองค์ การเปิดเผยนำทางชีวิตท่าน12
4
สรรเสริญบุรุษผู้ติดต่อพระเยโฮวาห์
เมื่อเราร้องเพลงเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธ “สรรเสริญบุรุษ” (เพลงสวด, 1985, บทเพลงที่ 14) เราระลึกถึงสิ่งที่ควรค่าแก่การสรรเสริญมากมายเกี่ยวกับท่าน
เราสรรเสริญท่านเพราะท่านสามารถสื่อสารไม่เฉพาะกับพระเยโฮวาห์เท่านั้นแต่กับรูปกายอื่นๆ ของสวรรค์ด้วย มีการมาเยือนหลายครั้ง มีการมอบกุญแจ และได้รับการสอนแก่ “ผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอ” คนนั้นที่พระเจ้าทรงยกขึ้นในยุคสุดท้าย (2 นีไฟ 3:6-7) เมื่อคุณพ่อสมิธให้พรเด็กหนุ่มโจเซฟในปี ค.ศ. 1834 เขาประกาศว่าโยเซฟในอียิปต์ยุคโบราณเห็นผู้หยั่งรู้ยุคสุดท้ายคนนี้ โยเซฟสมัยโบราณหลั่งน้ำตาเมื่อตระหนักว่างานของศาสดาพยากรณ์โจเซฟจะเป็นพรแก่ลูกหลานจำนวนมากของโยเซฟคนก่อน
เราสรรเสริญโจเซฟ สมิธเพราะความขยันหมั่นเพียรและความสามารถของท่านในการแปลและรับพระคัมภีร์ที่เปิดเผยหลายร้อยหน้าด้วย ท่านเป็นช่องทางการเปิดเผย ประมาณการว่าพระคัมภีร์อันน่าอัศจรรย์ผ่านมาทางท่านมากกว่ามนุษย์คนใดในประวัติศาสตร์
เราสรรเสริญโจเซฟไม่เพียงเพราะท่านอดทนได้เท่านั้นแต่ “อดทนมันด้วยดี” ด้วย (คพ. 121:8) สมัยที่ท่านยังเด็ก ท่านได้รับการผ่าตัดอันแสนเจ็ปปวดที่ขา—หากไม่ได้รับการผ่าตัดครั้งนั้นท่านคงไม่สามารถเดินทางที่เสี่ยงอันตรายไปกับค่ายไซอันจากรัฐโอไฮโอไปรัฐมิสซูรีในเวลาต่อมา ระหว่างการเดินทางครั้งนั้น โจเซฟ “เดินเกือบตลอดเวลา ทำให้เท้าของท่านพุพอง มีเลือดออก และปวดแสบปวดร้อน” [คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ, 311] ในทำนองเดียวกัน เราสรรเสริญท่านกับเอ็มมาสำหรับความอดทนต่อการสูญเสียบุตรตามสายเลือดและบุตรบุญธรรมหกคนให้แก่ความตายก่อนเวลาอันควร บิดามารดาผู้สูญเสียบุตรแม้เพียงคนเดียวจะเข้าใจความรู้สึกนั้น
เราสรรเสริญโจเซฟเพราะท่านสามารถอดทนต่อการข่มเหง รวมถึงการถูกทอดทิ้งให้อยู่ในคุกลิเบอร์ตี้อย่างยากลำบากเป็นเวลานาน สำหรับคนส่วนใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนั้นดูเหมือนจะสิ้นหวัง แต่พระเจ้าแห่งสวรรค์ทรงยืนยันกับโจเซฟที่ถูกคุมขังว่า “สุดแดนแผ่นดินโลกจะสอบถามเกี่ยวกับนามของเจ้า” (คพ.122:1) เรามีชีวิตอยู่ในวันที่มีการสอบถามเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธและพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู
โจเซฟสมประสงค์มานานแล้วที่ว่าท่านจะมี “ค่าควรเท่ากับ” คนสมัยโบราณ [คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 424] เวลานี้เราสามารถร้องเพลงได้ว่าโจเซฟจะได้ “พำนักท่ามกลางศาสดาครั้งโบราณ” (เพลงสวด, 1985, บทเพลงที่ 14)
เราสรรเสริญโจเซฟเพราะท่านอดทนต่อการทรยศหักหลังและความผิดหวังอันขมขื่นครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไปคาร์เทจ “ดังลูกแกะถูกพาไปเชือด” “สงบดังเวลาเช้าของฤดูร้อน” และ “ปราศจากความผิดต่อ … มนุษย์ทั้งปวง” (คพ. 135:4) ท่านไม่ได้ไปคาร์เทจอย่างเคียดแค้น ท่านไม่ได้ไปคาร์เทจอย่างคนที่พร่ำบ่น ช่างน่าอัศจรรย์นักที่ท่านสามารถอดทนด้วยดี!
โจเซฟรู้ว่าท่านหันหน้าไปทางใด ท่านหันไปฟังพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ตั้งแต่พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงสอนเด็กหนุ่มโจเซฟครั้งแรก โดยตรัสว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!” [โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17]13
5
ชีวิตและพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธช่วยให้เรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่นำสู่ชีวิตนิรันดร์
ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อบุรุษผู้นี้ ต่อคำสอนของท่าน ต่อการเปิดเผยของท่าน ต่อสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้เรา ต่อพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูสู่แผ่นดินโลกผ่านท่าน ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีเรื่องใดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดสวยงามกว่าเรื่องราวที่เรียบง่ายงดงามของเด็กหนุ่มผู้เข้าไปในป่าใกล้บ้าน คุกเข่าสวดอ้อนวอน และมีผู้มาเยือนจากสวรรค์
เวลานี้ขอให้เรามองดูชีวิตและงานของท่าน หลายคนสืบสาวชีวิตและงานของท่านเพื่อหาความลี้ลับทั้งหมดเบื้องหลังถ้อยคำที่เขียนไว้ แต่ไม่มีความลี้ลับใดๆ … มีเพียงศรัทธาอันเรียบง่าย ศรัทธาของเด็กหนุ่มผู้ได้รับการอบรมในเรื่องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และเมื่อเวลาผ่านไป ชายหนุ่มคนนี้ผู้ปราศจากความสำเร็จด้านวิชาการและขาดการศึกษาได้รับการสอนจากพระเจ้าในสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้น
เวลานี้เราได้รับสติปัญญาและความคิดแล้ว เราเพียงแต่ต้องฝึกฝนและปลูกฝังตามที่พระเจ้าทรงสอนโจเซฟและมีศรัทธาอันเรียบง่ายเช่นเดียวกับท่าน โดยยอมทำตามคำแนะนำสั่งสอนอันเรียบง่าย เมื่อเราทำเช่นนั้นและเดินตามเส้นทางที่ [พระเจ้า] ทรงประสงค์ให้เราเดินตาม และเรียนรู้บทเรียนที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราเรียนรู้ เราจะพบว่าชีวิตเราได้รับการชำระให้สะอาดจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ตรงข้ามกับจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเช่นนั้นกับโจเซฟ ท่านกลายเป็นคนที่เข้าใกล้ความดีพร้อม เพราะท่านชำระจิตวิญญาณและจิตใจท่านให้สะอาดและดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้า สามารถพูดคุยกับพระองค์ และได้ยินพระองค์ตรัสสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้เราผ่านการเปิดเผยของท่าน โดยผ่านดวงตาฝ่ายวิญญาณท่านสามารถเห็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วและสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เรามีหลักฐานยืนยันความจริงของสิ่งที่ท่านเคยเห็น …
ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อการเป็นสมาชิกในศาสนจักร และประจักษ์พยานของข้าพเจ้าเกี่ยวกับความสูงส่งของศาสนจักรขึ้นอยู่กับเรื่องราวอันเรียบง่ายของเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ใต้ต้นไม้และต้อนรับผู้มาเยือนจากสวรรค์—ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว แต่เป็นสองพระองค์แยกกัน พระบิดาและพระบุตรทรงเปิดเผยพระอติรูปของพระองค์ต่อโลกอีกครั้ง ศรัทธาและประจักษ์พยานของข้าพเจ้าขึ้นอยู่กับเรื่องราวอันเรียบง่ายนี้ เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่จริง ความเชื่อของชาวมอรมอนย่อมพังภินท์ ถ้าเรื่องนี้จริง—และข้าพเจ้าเป็นพยานว่าจริง—นั่นจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ทั้งหมด
คำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าคือ เมื่อเราระลึกถึงศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้และใคร่ครวญชีวิตท่าน ขอให้เรามีความสำนึกคุณในใจเราต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเราเนื่องด้วยการเป็นผู้หยั่งรู้ของท่านและการเปิดเผยของท่านต่อเรา—ผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงยกขึ้นเพื่อนำทางเราในยุคสุดท้ายนี้ เพื่อเราจะเดินกลับไปตามเส้นทางเหล่านั้นซึ่งจะนำเราสู่ความสูงส่งและชีวิตนิรันดร์14
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ใตร่ตรองคำสอนของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ (ดู หัวข้อ 1) ประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับนิมิตแรกมีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร เหตุใดจึงสำคัญยิ่งที่วิสุทธิชนต้องมีประจักษ์พยานว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
-
ท่านประทับใจอะไรบ้างขณะทบทวนคำสอนของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับการจัดตั้งศาสนจักร (ดู หัวข้อ 2) ท่านและครอบครัวได้รับพรอะไรบ้างผ่านศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์
-
เหตุใดการเข้าใจความหมายของคำว่า ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และ ผู้เปิดเผยจึงเป็นประโยชน์ (ดู หัวข้อ 3) ท่านได้รับพรอย่างไรจากศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย
-
ในหัวข้อ 4 ประธานฮันเตอร์สรุปเหตุผลบางประการที่เราสรรเสริญโจเซฟ สมิธ คำสอนเหล่านี้เพิ่มความชื่นชมที่เรามีต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟอย่างไร เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากแบบอย่างของโจเซฟ สมิธ
-
ทบทวนคำสอนของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับศรัทธา การศึกษาทางวิญญาณ และการเชื่อฟังของโจเซฟ สมิธ (ดู หัวข้อ 5) คำสอนเหล่านี้ประยุกต์ใช้กับเราได้อย่างไร เราจะแสดงความสำนึกคุณต่อพรที่มาถึงเราผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
งานแปลของโจเซฟ สมิธ, ปฐมกาล 50:25–33; ดาเนียล 2:44; เอเฟซัส 2:19–22; 4:11–14; คพ. 1:17–32; 5:9–10; 122:1–2; 135; โจเซฟ สมิธ—ประวัติ
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“เมื่อท่านรู้สึกถึงปีติสุขซึ่งมาจากการเข้าใจพระกิตติคุณ ท่านย่อมต้องการนำสิ่งที่ท่านเรียนรู้ไปใช้ ขอให้พยายามอย่างหนักที่จะดำเนินชีวิตชีวิตสอดคล้องกับความเข้าใจของท่าน การกระทำดังกล่าวจะทำให้ศรัทธา ความรู้ และประจักษ์พยานของท่านเข้มแข็งขึ้น” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 19)