บทที่ 24
การทำตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์
“เราควรถามตัวเราทุกโอกาสว่า ‘พระเยซูจะทรงทำอะไร’ และจากนั้นให้กล้าทำตามคำตอบนั้นมากขึ้น”
จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
ประธานโธมัส เอส. มอนสันผู้รับใช้เป็นที่ปรึกษาที่สองของประธานฮันเตอร์กล่าวว่าท่าน “ดำเนินชีวิตตามที่ท่านสอน ตามแบบฉบับของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ที่ท่านรับใช้”1
เพื่อนสนิทคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “คุณลักษณะที่อยู่ในพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราพระเยซูคริสต์แสดงออกอย่างสวยงามในชีวิตที่น่าทึ่งและไม่เห็นแก่ตัวของประธานฮันเตอร์ มนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนของท่าน”2
เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งที่ทำงานใกล้ชิดกับประธานฮันเตอร์มานานกว่าสามทศวรรษกล่าวว่า “[ท่าน] รู้วิถีที่ท่านจะเดินตามโดยสัญชาตญาณ วิถีดังกล่าวจะต้องทำตามพระอุปนิสัยของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ของท่าน”3
ตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของประธานฮันเตอร์ ท่านกระตุ้นสมาชิกศาสนจักรด้วยความรักให้ทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด ในถ้อยแถลงครั้งแรกในฐานะประธานศาสนจักร ท่านกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าใคร่ขอเชื้อเชิญสมาชิกทุกท่านของศาสนจักรให้ดำเนินชีวิตด้วยความเอาใจใส่มากขึ้นต่อพระชนม์ชีพและแบบอย่างของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรัก ความหวัง และความสงสารที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น
“ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตามากขึ้น ความเอื้อเฟื้อมากขึ้น ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดทน และการให้อภัยมากขึ้น เรามีความคาดหวังสูงในกันและกัน ทุกคนปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ โลกของเราร้องขอให้ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างมีวินัยมากขึ้น แต่วิธีที่เราต้องใช้กระตุ้นตามที่พระเจ้ารับสั่งกับโจเซฟในความเย็นยะเยือกของคุกลิเบอร์ตี้คือ ‘โดยการชักชวน, โดยความอดกลั้น, โดยความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยน, และโดยความรักที่ไม่เสแสร้ง; … ปราศจากความหน้าซื่อใจคด, และปราศจากมารยา’ (คพ. 121:41-42)”4
คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
1
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมสำหรับเรา
การเป็นแสงสว่างคือการเป็นแบบอย่าง—ผู้เป็นแบบอย่างและเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นทำตาม … [เราได้ทำพันธสัญญาว่า] จะติดตามพระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อการเรียนรู้จากพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงสอนและสิ่งที่พระองค์ทรงทำในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก เมื่อเรียนบทเรียนเหล่านี้แล้ว เราอยู่ภายใต้พระบัญชาให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และต่อไปเป็นแบบอย่างส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เรา
1. พระคริสต์ทรงเชื่อฟังและองอาจกล้าหาญในพระชนม์ชีพก่อนมรรตัย ด้วยเหตุนี้จึงทรงได้รับสิทธิพิเศษให้มาสู่ความเป็นมรรตัยและรับร่างกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก
2. พระองค์ทรงรับบัพติศมาเพื่อให้ประตูสู่อาณาจักรซีเลสเชียลเปิด
3. พระองค์ทรงดำรงฐานะปุโรหิตและได้รับศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่งทั้งหมดของพระกิตติคุณ
4. พระเยซูทรงรับใช้ประมาณสามปีในการปฏิบัติศาสนกิจด้านการสอนพระกิตติคุณ กล่าวคำพยานถึงความจริง และสอนมนุษย์ว่าพวกเขาต้องทำอะไรจึงจะพบปีติและความสุขในชีวิตนี้และรัศมีภาพนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง
5. พระองค์ทรงประกอบศาสนพิธีรวมถึงการให้พรเด็ก บัพติศมา การให้พรผู้ป่วย และการวางมือแต่งตั้งสู่ฐานะปุโรหิต
6. พระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ ตามบัญชาของพระองค์คนตาบอดมองเห็น คนหูหนวกได้ยิน คนง่อยเดินได้ และคนตายกลับคืนสู่ชีวิต
7. ตามพระดำริและพระประสงค์ของพระบิดา พระเยซูทรงดำเนินพระชนม์ชีพที่ดีพร้อมปราศจากบาปและได้คุณลักษณะทั้งหมดของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
8. พระองค์ทรงเอาชนะโลก กล่าวคือ พระองค์ทรงหักห้ามความลุ่มหลงทั้งหมดและทรงอยู่เหนือตัณหาและราคจริตทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงดำเนินพระชนม์ชีพและดำเนินตามการนำทางของพระวิญญาณ
9. พระองค์ทรงทำให้เกิดการชดใช้ ด้วยเหตุนี้จึงทรงไถ่มนุษย์จากความตาย [ทางวิญญาณและร่างกาย] อันเนื่องจากการตกของอาดัม
10. เวลานี้พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้วและทรงมีรัศมีภาพ ทรงได้รับเดชานุภาพทั้งหมดในสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงได้รับความบริบูรณ์ของพระบิดาและทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา
ถ้าเราประสงค์จะทำตามแบบอย่างของพระคริสต์และเดินตามรอยพระบาทพระองค์ เราต้องหมายมั่นทำสิ่งเดียวกันตามแบบฉบับที่พระองค์ทรงวางไว้5
สิ่งสำคัญคือต้องจดจำว่าพระเยซูทรงทำบาปได้ พระองค์จะทรงยอมจำนนก็ได้ พระองค์จะทรงทำให้แผนแห่งชีวิตและความรอดล้มเหลวได้ แต่พระองค์ไม่ทรงทำ หากไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ทรงยอมต่อการชักจูงของซาตาน คงจะไม่มีการทดสอบที่แท้จริง และไม่มีชัยชนะแท้จริงเกิดขึ้น ถ้าพระองค์ไม่ทรงมีความสามารถในการทำบาป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิ์เสรีของพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์คือผู้เสด็จมาปกป้องและทำให้มนุษย์มีสิทธิ์เสรี พระองค์ต้องรักษาสมรรถภาพและความสามารถในการทำบาปหากพระองค์ทรงประสงค์จะปกป้องสิทธิ์เสรีของมนุษย์6
จนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพมรรตัย พระเยซูทรงแสดงให้เห็นความสง่างามของวิญญาณพระองค์และระดับความเข้มแข็งของพระองค์ แม้ในโมงสุดท้าย พระองค์ก็ไม่ทรงหมกมุ่นกับโทมนัสของพระองค์หรือทรงครุ่นคิดถึงความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น พระองค์ทรงขวนขวายดูแลความต้องการในปัจจุบันและอนาคตของผู้ติดตามที่พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงทราบว่าความปลอดภัยของพวกเขาแต่ละคนและศาสนจักรขึ้นอยู่กับความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่พวกเขามีต่อกันเท่านั้น ดูเหมือนพระองค์จะทรงทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้แก่ความต้องการของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงทรงสอนโดยแบบอย่างในสิ่งที่พระองค์ทรงกำลังสอนโดยกฎเกณฑ์ พระองค์ประทานพระดำรัสปลอบโยน พระบัญญัติ และคำเตือนแก่พวกเขา7
ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยท่ามกลางผู้คนของพระองค์ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ทั้งในการปฏิบัติศาสนกิจหลังมรรตัยในหมู่แกะที่กระจัดกระจายทางซีกโลกตะวันตก พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นความรักและความห่วงใยแต่ละคน
ในความแออัดของฝูงชน พระองค์ทรงรู้สึกได้ว่าหญิงคนหนึ่งแตะชายฉลองพระองค์ เธอแสวงการบรรเทาความเจ็บป่วยที่ทนทุกข์มานานสิบสองปี (ดู ลูกา 8:43-48) อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงมองเห็นความอคติของฝูงชนใจคับแคบที่กำลังประณามบาปของเธอผู้ถูกกล่าวหา บางทีอาจเป็นเพราะพระคริสต์ทรงทราบว่าเธอยินดีกลับใจ พระองค์จึงทรงเลือกมองคุณค่าในตัวเธอและบอกเธอว่าอย่าทำบาปอีก (ดู ยอห์น 8:1–11) อีกครั้งหนึ่ง “พระองค์ทรงพาเด็กเล็กๆ ของพวกเขามา, ทีละคน, และประทานพรให้พวกเขา, และทรงสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาเพื่อพวกเขา.” (3 นีไฟ 17:21; เน้นตัวเอน)
ขณะที่การทดลอง ณ เกทเสมนีและคัลวารีใกล้จะเกิดขึ้น ด้วยพระทัยอันหนักอึ้ง พระผู้ช่วยให้รอดทรงใช้เวลาสังเกตหญิงม่ายใส่เหรียญทองแดงของเธอในตู้เก็บเงินถวาย (ดู มาระโก 12:41–44) ในทำนองเดียวกัน พระองค์ทรงจ้องมองศักเคียสชายร่างเล็กผู้มองไม่เห็นเพราะมีคนห้อมล้อมพระผู้ช่วยให้รอดเป็นจำนวนมาก เขาจึงปีนขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อให้เห็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า (ดู ลูกา 19:1–5) ขณะที่ทรงเจ็บปวดรวดร้าวจากการตรึงกางเขน พระองค์ทรงมองข้ามความทุกขเวทนาของพระองค์และทรงแสดงความสนพระทัยห่วงใยหญิงที่กำลังร่ำไห้ผู้ให้ชีวิตพระองค์ (ดู ยอห์น 19:25-27)
นี่เป็นแบบอย่างอันดีเลิศที่เราพึงทำตาม! แม้ท่ามกลางโทมนัสและความเจ็บปวดใหญ่หลวงของพระองค์ พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปให้พรผู้อื่น … พระชนม์ชีพของพระองค์ไม่ใช่พระชนม์ชีพที่มุ่งหมายสิ่งที่พระองค์ไม่มี แต่เป็นพระชนม์ชีพของการเอื้อมออกไปรับใช้ผู้อื่น8
2
ขอให้เราทำตามพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าในการดำเนินชีวิตทุกด้าน
คำถามสำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่เคยถามมนุษย์มรรตัยคือคำถามที่พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของโลกเคยตรัสถาม พระองค์ตรัสถามสานุศิษย์กลุ่มหนึ่งในโลกใหม่ กลุ่มที่ปรารถนาให้พระองค์ทรงสอนและแม้ปรารถนามากขึ้นไปอีกเพราะพระองค์จะเสด็จจากพวกเขาไปในไม่ช้าว่า “เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า?” ต่อจากนั้นพระองค์ประทานคำตอบนี้ในเวลาเดียวกัน “แม้ดังที่เราเป็น” (3 นีไฟ 27:27)
โลกเต็มไปด้วยคนที่เต็มใจจะบอกให้เรา “ทำอย่างที่ฉันพูด” แน่นอนว่าเราไม่ขาดผู้ให้คำแนะนำในทุกเรื่อง แต่มีน้อยคนที่พร้อมจะพูดว่า “ทำอย่างที่ฉันทำ” และแน่นอนว่ามีเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่สมควรและคู่ควรประกาศเช่นนั้น ประวัติศาสตร์ให้ตัวอย่างมากมายของชายหญิงที่ดี แต่แม้คนดีที่สุดก็ยังบกพร่องด้านใดด้านหนึ่ง ไม่มีใครสามารถเป็นต้นแบบที่ดีพร้อมหรือเป็นต้นแบบที่ไม่ผิดพลาดให้ทำตาม ไม่ว่าพวกเขาจะเจตนาดีเพียงใดก็ตาม
เฉพาะพระคริสต์เท่านั้นทรงสามารถเป็นต้นแบบของเรา เป็น “ดาวประจำรุ่งอันสุกใส” ของเรา (วิวรณ์ 22:16) เฉพาะพระองค์เท่านั้นทรงสามารถพูดได้โดยไม่มีข้อจำกัด ใดๆ ว่า “จงตามเรามา เรียนจากเรา [และ] ทำสิ่งที่เจ้าเห็นเราทำ จงดื่มน้ำของเราและกินอาหารของเรา เราเป็นทางนั้น ความจริง และชีวิต เราเป็นกฎและแสงสว่าง จงดูที่เราและเจ้าจะมีชีวิต จงรักกันดังที่เรารักเจ้า” (ดู มัทธิว 11:29; 16:24; ยอห์น 4:13–14; 6:35, 51; 7:37; 13:34; 14:6; 3 นีไฟ 15:9; 27:21)
นี่เป็นคำขอร้องที่ชัดเจนและกังวานยิ่ง! นี่เป็นความแน่นอนและแบบอย่างในวันของความไม่แน่นอนและการขาดแบบอย่าง …
… เราควรสำนึกคุณเพียงใดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์มายังแผ่นดินโลก … มาวางแบบอย่างที่ดีพร้อมของการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ของความเมตตากรุณาและความสงสาร ทั้งนี้เพื่อให้มนุษยชาติที่เหลือทั้งหมดรู้วิธีดำเนินชีวิต รู้วิธีปรับปรุงให้ดีขึ้น และรู้วิธีเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น
ขอให้เราทำตามพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตทุกด้าน ขอให้เราเทิดทูนพระองค์เป็นแบบอย่างและผู้นำทางของเรา เราควรถามตัวเราทุกโอกาสว่า “พระเยซูจะทรงทำอะไร” และจากนั้นจงกล้าทำตามคำตอบนั้นมากขึ้น เราต้องทำตามพระคริสต์ให้ดีที่สุด ในความหมายที่ดีที่สุดของคำนั้น เราจะต้องทำงานของพระองค์เฉกเช่นพระองค์ทรงทำงานของพระบิดา เราควรพยายามเป็นเหมือนพระองค์ แม้ดังเด็กปฐมวัยร้องว่า “พยายาม” (หนังสือเพลงสำหรับเด็ก, น. 34) เราควรพยายามทุกวิถีทางจนถึงระดับที่พลังความสามารถของมนุษย์อย่างเราเอื้ออำนวยให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์—แบบอย่างที่ดีพร้อมและไม่มีบาปเท่าที่โลกนี้เคยเห็น9
หลายต่อหลายครั้งในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัย พระองค์ทรงร้องขอซึ่งเป็นการเชื้อเชิญและการท้าทายในเวลาเดียวกัน กับเปโตรและอันดรูว์น้องชายของเขา พระคริสต์ตรัสว่า “จงตามเรามา และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” (มัทธิว 4:19) กับเศรษฐีหนุ่มที่ถามว่าเขาต้องทำอะไรจึงจะมีชีวิตนิรันดร์ พระเยซูตรัสตอบว่า “จงไปขายทรัพย์สินของท่านที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน … และจงตามเรามา” (มัทธิว 19:21) และกับเราแต่ละคน พระเยซูตรัสว่า “ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา” (ยอห์น 12:26)10
ขอให้เราศึกษาคำสอนทั้งหมดของพระอาจารย์และอุทิศตนทำตามแบบอย่างของพระองค์อย่างเต็มที่มากขึ้น พระองค์ประทาน “ทุกสิ่งแก่เราที่จำเป็นต่อชีวิตและต่อการดำเนินตามทางพระเจ้า” พระองค์ทรง “เรียกเราด้วยพระสิริและคุณธรรมของพระองค์เอง” และ “ได้ประทานพระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ [พวกเรา] …จะมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” (2 เปโตร 1:3-4)11
คนที่ติดตามพระคริสต์หมายมั่นทำตามแบบอย่างของพระองค์ ความทุกขเวทนาของพระองค์เพื่อบาป ข้อบกพร่อง โทมนัส และความเจ็บป่วยของเราควรผลักดันให้เรายื่นมือช่วยเหลือคนรอบข้างด้วยจิตกุศลและความสงสารเช่นเดียวกัน …
… จงหาโอกาสรับใช้ อย่ากังวลเกินเหตุกับสถานภาพ ท่านจำพระดำรัสแนะนำของพระผู้ช่วยให้รอดเกี่ยวกับผู้แสวงหา “ที่นั่งโดดเด่น” หรือ “ที่นั่งอันมีเกียรติ” ได้หรือไม่ “คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน” (มัทธิว 23:6, 11) สำคัญที่ต้องมีคนเห็นคุณค่า แต่จุดมุ่งหมายของเราควรเป็นเรื่องความชอบธรรม ไม่ใช่ชื่อเสียง ควรเป็นเรื่องของการรับใช้ ไม่ใช่สถานภาพ ผู้เยี่ยมสอนที่ซื่อสัตย์ ผู้ออกไปทำงานของเธออย่างเงียบๆ เดือนแล้วเดือนเล่า สำคัญต่องานของพระเจ้าเท่าๆ กับคนเหล่านั้นผู้ดำรงตำแหน่งที่บางคนเห็นว่าสำคัญกว่าในศาสนจักร สิ่งที่เห็นด้วยสายตาไม่ทัดเทียมเท่าคุณค่า12
3
ความรอดของเราขึ้นอยู่กับคำมั่นสัญญาของเราว่าจะติดตามพระผู้ช่วยให้รอด
พระดำรัสเชื้อเชิญให้ติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องส่วนตัวและมีพลังผลักดัน เราจะยืนระหว่างความคิดเห็นสองด้านตลอดไปไม่ได้ เราแต่ละคนต้องเผชิญคำถามสำคัญยิ่งนี้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง “แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร” (มัทธิว 16:15) ความรอดของตัวเราขึ้นอยู่กับคำตอบของเราต่อคำถามดังกล่าวและคำมั่นสัญญาของเราต่อคำตอบนั้น คำตอบที่เปิดเผยต่อเปโตรคือ “พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (มัทธิว 16:16). พยานหลายปากให้คำตอบที่ตรงกันโดยอำนาจเดียวกัน และข้าพเจ้าร่วมเป็นพยานกับพวกเขาด้วยความสำนึกคุณอย่างนอบน้อม ทว่าเราแต่ละคนต้องตอบคำถามด้วยตนเอง—ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ ก็ภายหลัง เพราะในวันสุดท้ายทุกเข่าจะย่อลงและทุกลิ้นจะสารภาพว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ความท้าทายของเราคือตอบให้ถูกต้องและดำเนินชีวิตตามนั้นก่อนจะสายเกินไปตลอดกาล เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์จริงๆ เราต้องทำอะไร
การเสียสละสูงสุดของพระคริสต์จะบังเกิดผลเต็มที่ในชีวิตเราได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับพระดำรัสเชื้อเชิญให้ตามพระองค์ [ดู คพ. 100:2] คำร้องขอดังกล่าวใช่ว่าไม่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่เป็นจริง หรือเป็นไปไม่ได้ การติดตามคนๆ หนึ่งหมายถึงการเฝ้าดูเขาหรือตั้งใจฟังเขา ยอมรับสิทธิอำนาจของเขา รับเขาเป็นผู้นำ เชื่อฟังเขา สนับสนุนและส่งเสริมความคิดของเขา และรับเขาเป็นต้นแบบ เราแต่ละคนสามารถยอมรับการท้าทายนี้ได้ เปโตรกล่าวว่า “พระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” (1 เปโตร 2:21) คำสอนที่ไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระคริสต์เป็นเท็จฉันใด ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับแบบอย่างของพระคริสต์ย่อมดำเนินไปผิดทางฉันนั้น และอาจไม่บรรลุจุดหมายอันสูงส่ง …
ความชอบธรรมต้องเริ่มในชีวิตส่วนตัวของเราเอง ต้องสอดประสานกับการดำเนินชีวิตในครอบครัว บิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบในการทำตามหลักธรรมพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และสอนหลักธรรมเหล่านั้นแก่บุตรธิดา [ดู คพ. 68:25-28] ศาสนาต้องเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของเรา พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต้องกลายเป็นอิทธิพลจูงใจในทุกสิ่งที่เราทำ เราต้องพยายามมากขึ้นเพื่อทำตามแบบอย่างอันล้ำเลิศที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงวางไว้ถ้าเราต้องการเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น นี่เป็นความท้าทายใหญ่หลวงของเรา13
ถ้าเราสามารถทำแบบแผนชีวิตตามพระอาจารย์ และใช้คำสอนตลอดจนแบบอย่างของพระองค์เป็นแบบฉบับสูงสุดสำหรับเรา เราจะพบว่าการเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายและภักดีในชีวิตทุกด้านทำได้ไม่ยาก เพราะเราจะทำตามมาตรฐานอันศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวของความประพฤติและความเชื่อ ไม่ว่าที่บ้านหรือในตลาด ไม่ว่าที่โรงเรียนหรือเรียนจบไปนานแล้ว ไม่ว่าเรากำลังทำคนเดียวหรือทำกับคนอื่นเป็นกลุ่ม วิถีของเราชัดเจนและมาตรฐานของเราเป็นที่ประจักษ์ เราจะตั้งใจ “ยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่งที่ [เรา] อยู่, แม้จนถึงความตาย” ตามที่ศาสดาพยากรณ์แอลมากล่าว (โมไซยาห์ 18:9)14
4
เราควรมีที่ว่างให้พระคริสต์
คืนนั้นในเบธเลเฮมไม่มีที่ว่างให้พระองค์ในโรงแรม และนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวในช่วงสามสิบสามปีสำหรับการพักแรมในความเป็นมรรตัยที่ไม่มีที่ว่างให้พระองค์ เฮโรดส่งทหารไปเบธเลเฮมเพื่อสังหารเด็ก ไม่มีที่ว่างให้พระเยซูในอาณาจักรของเฮโรด ด้วยเหตุนี้บิดามารดาจึงพาพระองค์ไปอียิปต์ ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ คนมากมายไม่มีที่ว่างให้คำสอนของพระองค์—ไม่มีที่ว่างให้พระกิตติคุณที่พระองค์ทรงสอน ไม่มีที่ว่างให้ปาฏิหาริย์ของพระองค์ พรของพระองค์ ไม่มีที่ว่างให้ความจริงจากสวรรค์ที่พระองค์ตรัส ไม่มีที่ว่างให้ความรักหรือศรัทธาของพระองค์ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” (มัทธิว 8:20)
แม้ในสมัยของเรา ถึงแม้สองพันปีผ่านไป ก็ยังมีคนมากมายพูดแบบเดียวกับที่พูดกันคืนนั้นในเบธเลเฮม “ไม่มีที่ว่าง ไม่มีที่ว่าง” (ดู ลูกา 2:7) เรามีที่ว่างสำหรับของขวัญ แต่บางครั้งไม่มีที่สำหรับผู้ให้ เรามีที่ว่างสำหรับการจับจ่ายใช้สอยช่วงคริสต์มาสและแม้แต่การแสวงหาความพอใจในวันสะบาโต แต่มีหลายครั้งไม่มีที่ว(297)่างสำหรับการนมัสการ ความนึกคิดของเราเต็มไปด้วยเรื่องอื่น—ไม่มีที่ว่าง15
แม้การได้เห็นไฟคริสต์มาสจะเป็นภาพที่สวยงาม … แต่สำคัญกว่านั้นคือการให้ชีวิตมนุษย์ส่องสว่างโดยการยอมรับพระองค์ผู้ทรงเป็นแสงสว่างของโลก [ดู แอลมา 38:9; คพ. 10:70] แท้จริงแล้วเราควรเทิดทูนพระองค์เป็นผู้นำทางและแบบอย่างของเรา
ในคืนก่อนการประสูติ เหล่าเทพร้องสรรเสริญว่า “ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย” (ลูกา 2:14) ถ้ามนุษย์จะทำตามแบบอย่างของพระองค์ โลกคงจะเป็นโลกแห่งสันติสุขและความรักต่อมนุษย์ทั้งปวง16
อะไรคือความรับผิดชอบของเราเวลานี้ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราต้องเห็นว่าชีวิตเราแต่ละคนสะท้อนพระกิตติคุณในคำพูดและการกระทำตามที่พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราพระเยซูคริสต์ทรงสอน ทั้งหมดที่เราทำและพูดควรมีรูปแบบที่สอดคล้องกับแบบอย่างของบุคคลคนหนึ่งซึ่งปราศจากบาปผู้ดำเนินบนแผ่นดินโลก แม้พระเจ้าพระเยซูคริสต์17
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ทบทวนหลายๆ ด้านที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นแบบอย่างสำหรับเรา ดังที่สรุปไว้ในหัวข้อ 1 แบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดมีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากแบบอย่างของพระองค์ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพมรรตัย
-
ประธานฮันเตอร์แนะนำให้เรา “ถามตัวเราเองว่า ‘พระเยซูจะทรงทำอะไร’ แล้วกล้าทำตามคำตอบนั้นมากขึ้น” (หัวข้อ 2) พิจารณาว่าท่านจะกล้าทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นได้อย่างไร เราจะสอนหลักธรรมนี้ในครอบครัวเราได้อย่างไร
-
คำสอนในหัวข้อ 3 จะช่วยให้เราเข้าใจอะไรเกี่ยวกับการทำตามพระเยซูคริสต์ ชีวิตท่านจะต่างไปอย่างไรถ้าท่านไม่มีอิทธิพลของคำสอนและแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะทำให้ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้นได้อย่างไร
-
ไตร่ตรองสิ่งที่ประธานฮันเตอร์กล่าวเกี่ยวกับการ “ไม่มีที่ว่าง” สำหรับพระผู้ช่วยให้รอด (หัวข้อ 4) เราจะมีที่ว่างสำหรับพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตเรามากขึ้นได้อย่างไร ท่านได้รับพรอย่างไรเมื่อท่านมีที่ว่างสำหรับพระองค์มากขึ้น
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 16:24–27; ยอห์น 10:27–28; 14:12–15; 1 เปโตร 2:21–25; 2 นีไฟ 31:12–13; 3 นีไฟ 12:48; 18:16; 27:20–22; คพ. 19:23–24
ความช่วยเหลือด้านการสอน
เตรียมหนังสือเพลงสวดให้ทุกคน เชิญผู้เข้าร่วมประชุมหาและแบ่งปันเพลงสวดหนึ่งเพลงที่เกี่ยวข้องกับข้อความที่พวกเขาอ่านในบทนี้