บทที่ 23
“หาได้รับใช้น้อยไปกว่า”
“พวกเราส่วนใหญ่จะเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่ค่อยมีใครรู้จักผู้ … ทำงานของเราโดยไม่ป่าวประกาศ กับท่านที่อาจพบว่า … ไม่มีคนสนใจ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ท่าน ‘หาได้รับใช้น้อยไปกว่า’ ผู้ร่วมงานที่คนสนใจมากที่สุดไม่”
จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
ประธานฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ไม่เพียงเป็นผู้นำที่อุทิศตนและศาสดาพยากรณ์ที่คนรักเท่านั้น แต่คนรู้จักท่านเพราะวิธีรับใช้แบบเงียบๆ ของท่านด้วย ท่านรู้ว่าการรับใช้สำคัญในตัวมันเอง ไม่ว่าจะมีคนรับรู้หรือไม่ก็ตาม เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเคยพูดถึงท่านดังนี้ “ประธานฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์เป็นคนอ่อนโยน … เมื่อข้าพเจ้าตื่นนอนหลังจากวันที่เหนื่อยล้าและมอมแมมหลังจากทำงานมอบหมายกับท่านในอียิปต์ ข้าพเจ้าเห็นชายที่อ่อนน้อมถ่อมตนคนนี้นั่งขัด รองเท้าให้ข้าพเจ้าอย่างเงียบๆ งานที่ท่านหวังว่าจะทำให้เสร็จเรียบร้อยโดยไม่ให้ข้าพเจ้าเห็น”1
ประธานโธมัส เอส. มอนสันสังเกตเห็นการรับใช้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนของประธานฮันเตอร์ครั้งแรกเมื่ออุทิศพระวิหารลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนียในปี 1956 หลายปีก่อนพวกท่านได้รับเรียกเป็นอัครสาวก ท่านเล่าว่า
“ข้าพเจ้า … เริ่มรู้จักประธานฮันเตอร์คราวที่ท่านรับใช้เป็นประธานสเตคแพซา-ดีนา แคลิฟอร์เนียและมีหน้าที่ประสานงานในระดับท้องที่เพื่อเตรียมอุทิศพระวิหารลอสแอนเจลิส (แคลิฟอร์เนีย) ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พิมพ์ตั๋ว งานมอบมายของท่านมหึมา ข้าพเจ้าเห็นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับตั๋วซึ่งเป็นรหัสสี ตัวหนังสือปรา-ณีต และตัวเลขเรียงเป็นระเบียบที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ท่านยกความดีความชอบให้ผู้อื่นอย่างใจกว้างและไม่ให้ใช้ชื่อท่านมากเกินไปถึงแม้ท่านจะเป็นพลังผลักดันเบื้องหลังภารกิจสำคัญเหล่านี้”2
เอ็ลเดอร์เจมส์ อี. เฟาสท์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสังเกตว่า “ท่านไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอ ด้วยความเฉลียวฉลาดของท่าน ท่านจะนั่งอยู่ในหมู่พี่น้องของท่านและพูดน้อยมาก ท่านอยู่เงียบๆ กับตนเอง”3
ประธานฮันเตอร์เข้าใจว่าการรับใช้ทุกครั้งสำคัญในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะมีคนรับรู้หรือสังเกตเห็นหรือไม่ก็ตาม หลายสัปดาห์ก่อนประธานฮันเตอร์จะถึงแก่กรรม เพื่อนคนหนึ่งถามว่า “ประธานครับ ตำแหน่งหรือการเรียกใดสูงส่งที่สุดครับ—เพื่อนรักและไว้ใจได้ หรือศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า” หลังจากฟังคำถาม “ท่านประธานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะหลายนาที จากนั้นก็จับมือเพื่อนมากุมไว้ และหันหน้ามองเขาตรงๆ น้ำตาไหลอาบแก้มที่บอบบางของท่าน และตอบว่า ‘ ทั้งสอง เป็นการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ของความไว้วางใจ’”4
คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
1
คนที่รับใช้อย่างเงียบๆ และไม่มีใครสังเกตเห็น “หาได้รับผู้คนใช้น้อยไปกว่า” คนที่ได้รับการสรรเสริญของโลกไม่
มีคนกล่าวถึงแม่ทัพโมโรไนที่กล้าหาญและอายุยังน้อยว่า “หากคนทั้งปวงได้เป็นแล้ว, และได้เป็น, และจะเป็นอยู่ตลอดไป, เหมือนกับโมโรไน, ดูเถิด, พลังนั้นของนรกจะสั่นสะเทือนตลอดกาล; แท้จริงแล้ว, มารจะไม่มีวันมีอำนาจเหนือใจลูกหลานมนุษย์.” (แอลมา 48:17)
นี่เป็นคำชมเชยสำหรับชายที่มีชื่อเสียงและเก่งกล้าสามารถ! ข้าพเจ้านึกคำสรรเสริญที่คนหนึ่งมีให้อีกคนหนึ่งที่ไพเราะกว่านี้ไม่ออก สองข้อต่อมาเป็นการกล่าวถึงฮีลามันกับพี่น้องของเขาผู้มีบทบาทเด่นชัดน้อยกว่าโมโรไน “บัดนี้ดูเถิด, ฮีลามันและพี่น้องท่านหาได้รับใช้ผู้คนน้อยไปกว่าโมโรไนไม่” (แอลมา 48:19)
อีกนัยหนึ่งคือ ถึงแม้ฮีลามันจะไม่โดดเด่นหรือไม่เป็นที่สนใจเท่าโมโรไน แต่ท่านรับใช้ นั่นคือท่านมีส่วนช่วยหรือมีประโยชน์เท่าๆ กับโมโรไน
เห็นได้ชัดว่าเราจะได้ประโยชน์มากจากการศึกษาชีวิตของแม่ทัพโมโรไน ท่านเป็นแบบอย่างของศรัทธา การรับใช้ การอุทิศตน คำมั่นสัญญา และคุณลักษณะตามชอบพระทัยพระเจ้าอีกมากมาย อย่างไรก็ดี แทนที่จะสนใจเฉพาะชายที่ยอดเยี่ยมคนนี้ ข้าพเจ้ากลับเลือกมองคนที่ไม่เป็นจุดสนใจ คนที่ไม่ได้รับความสนใจจากชาวโลก แต่เป็นคนดังที่พระคัมภีร์เขียน คือ “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” ไม่
ใช่ว่าเราทุกคนจะเป็นเหมือนโมโรไน คือได้รับคำสรรเสริญจากเพื่อนร่วมงานของเราทั้งวันทุกวัน พวกเราส่วนใหญ่จะเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่ค่อยมีใครรู้จักผู้ไปๆ มาๆ และทำงานของเราโดยไม่มีการป่าวประกาศ กับท่านที่อาจพบ [เคยคิด] ว่าตนโดดเดี่ยว หรือน่าหวาดหวั่น หรือแค่ไม่มีคนสนใจ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ท่าน “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” ผู้ร่วมงานที่คนสนใจมากที่สุดไม่ ท่านเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพของพระผู้เป็นเจ้าด้วย
ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาการทุ่มเทรับใช้อย่างเงียบๆ ของมารดาหรือบิดาในบ้านวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่มีค่าควร ลองนึกถึงครูสอนหลักคำสอนพระกิตติคุณ คณะนักร้องปฐมวัย ครูลูกเสือ และผู้เยี่ยมสอนของสมาคมสงเคราะห์ที่รับใช้และเป็นพรแก่คนหลายล้านคนแต่ชื่อของพวกเขาไม่เคยได้รับเสียงปรบมือชมเชยจากสาธารณชนหรือเป็นบทความเด่นในสื่อของประเทศ
คนที่ไม่มีใครเห็นหลายแสนคนทำให้โอกาสและความสุขของเราเกิดขึ้นได้ทุกวัน ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า พวกเขา “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า’ คนที่ชีวิตพวกเขาขึ้นหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ไม่
จุดสนใจของประวัติศาสตร์และความสนใจร่วมสมัยมักจะเน้น คนหนึ่งคน ไม่ใช่ คนหลายคน บุคคลหนึ่งมักได้รับเลือกออกจากหมู่มิตรและพากันยกให้เป็นวีรบุรุษ ข้าพเจ้ายอมรับว่าความสนใจลักษณะนี้เป็นวิธีหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าผู้คนชื่นชมหรือเห็นสิ่งใดมีค่า แต่บางครั้งการยกย่องเช่นนั้นไม่สมควรเกิดขึ้นหรืออาจเป็นการฉลองคุณค่าที่ไม่ถูกต้อง
เราต้องเลือกวีรบุรุษและแบบอย่างของเราอย่างฉลาดขณะขอบคุณผองเพื่อนและพลเมืองเหล่านั้นผู้ไม่มีชื่อเสียงแต่ “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” คนแบบโมโรไนในชีวิตเราไม่5
2
ในพระคัมภีร์ คนมากมายที่รับใช้ในเงาของคนอื่น ได้ทำคุณประโยชน์สำคัญมากมาย
บางทีท่านกับข้าพเจ้าน่าจะพิจารณาคนบางคนที่น่าสนใจจากพระคัมภีร์ที่ไม่ได้รับความสนใจแต่ได้พิสูจน์ตนผ่านเลนส์ยาวของประวัติศาสตร์ว่าเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง
หลายคนที่อ่านเรื่องราวของนีไฟศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่แทบจะไม่นึกถึงบุตรชายที่กล้าหาญอีกคนหนึ่งของลีไฮ ชื่อของเขาคือแซม นีไฟเป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในพระคัมภีร์มอรมอน แต่แซมเล่า พระคัมภีร์มอรมอนเอ่ยชื่อแซมเพียงสิบครั้ง เมื่อลีไฮให้คำแนะนำและอวยพรลูกหลาน เขากล่าวกับแซมว่า
“ลูกและพงศ์พันธุ์ของลูก, เป็นสุขแล้ว; เพราะลูกจะรับแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเช่นเดียวกับนีไฟน้องชายลูก. และพงศ์พันธุ์ของลูกจะนับเข้ากับพงศ์พันธุ์ของเขา; และลูกจะเป็นแม้เหมือนน้องชายลูก, และพงศ์พันธุ์ของลูกจะเป็นเสมือนหนึ่งพงศ์พันธุ์ของเขา; และลูกจะได้รับพรตลอดวันเวลาของลูก.” (2 นีไฟ 4:11)
โดยทั่วไปแล้วบทบาทของแซมคือสนับสนุนและช่วยเหลือน้องชายที่ได้รับการสรรเสริญมากกว่า และในที่สุดเขาได้รับพรเหมือนที่สัญญาไว้กับนีไฟและลูกหลานของท่าน ไม่มีสิ่งใดที่สัญญากับนีไฟแล้วแซมผู้ซื่อสัตย์จะไม่ได้รับ แต่เรารู้รายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับการรับใช้และการทำคุณประโยชน์ของแซม เขาเป็นคนที่แทบจะไม่มีใครรู้จักชีวิตเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้นำที่กำชัยชนะและเป็นผู้ชนะในบันทึกของนิรันดร
คนมากมายทำคุณประโยชน์ในวิธีที่ไม่มีใครแซ่ซ้องสรรเสริญ อิชมาเอลเดินทางกับครอบครัวของนีไฟโดยที่ตัวเขาเสียสละมาก ทนรับ “ความทุกข์, ความหิว, ความกระหาย, และความเหน็ดเหนื่อยมามาก” (1 นีไฟ 16:35) ต่อจากนั้นท่ามกลางความทุกข์ทั้งหมดนี้ เขาสิ้นชีวิตในแดนทุรกันดาร มีพวกเราไม่กี่คนเริ่มเข้าใจการเสียสละของชายคนนั้นในสมัยเริ่มแรกและในสภาพเหล่านั้น บางทีถ้าเราสำเหนียกและเข้าใจมากกว่านี้ เราคงจะอาลัยเหมือนธิดาของเขาในแดนทุรกันดาร สำหรับสิ่งที่ชายคนนี้มอบไว้ —และเสียสละ!—ทั้งนี้เพื่อเราจะได้มีพระคัมภีร์มอรมอนในปัจจุบัน
ชื่อและเรื่องราวที่น่าจดจำของชายหญิงผู้ “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” มีมากมายในพระคัมภีร์มอรมอน ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ซาไรยาห์หรือเอบิชหญิงรับใช้ของราชินีชาวเล-มัน แต่ละคนทำคุณประโยชน์ที่ตามนุษย์ไม่รับรู้แต่พระเนตรของพระผู้เป็นเจ้ามองเห็น
เรามีพระคัมภีร์เพียงสิบสองข้อเกี่ยวกับชีวิตของโมไซยาห์ กษัตริย์ปกครองแผ่นดินแห่งเซราเฮ็มลาและบิดาของกษัตริย์เบ็นจามินผู้มีชื่อเสียง ทว่าการรับใช้ผู้คนของเขาจะขาดเสียมิได้ เขานำผู้คนโดย “การสั่งสอนและการพยากรณ์หลายประการ” และ “ได้รับคำแนะนำอยู่ตลอดเวลาโดยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า” (ออมไน 1:13) ลิมไฮ อมิวเล็ค และเพโฮรัน—ซึ่งคนหลังสุดเป็นมีจิตวิญญาณสูงส่ง เขาไม่กล่าวโทษเมื่อเขาถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม—เป็นตัวอย่างของคนที่รับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวขณะที่คนอื่นๆ เป็นจุดสนใจ
นายทหารทีแอนคัมผู้สละชีวิต หรือเลโคนิอัสหัวหน้าผู้พิพากษาที่สอนผู้คนให้กลับใจในช่วงความท้าทายของชาวแกดิแอนทัน หรือออมเนอร์และฮิมไนซึ่งเป็นผู้สอนศาสนาที่ไม่ถูกกล่าวถึง เขาเหล่านั้น “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” คู่ของพวกเขาไม่ แต่พวกเขาก็ยังได้รับความสนใจในพระคัมภีร์น้อยมาก
เรารู้ไม่มากเกี่ยวกับชิบลันบุตรชายที่ซื่อสัตย์ของแอลมา ซึ่งเรื่องราวของเขาแทรกอยู่ระหว่างเรื่องราวของฮีลามันผู้นำในอนาคตกับโคริแอนทอนผู้ล่วงละเมิด แต่ที่สำคัญคือ ในพระคัมภีร์บรรยายว่าเขาเป็น “คนเที่ยงธรรม [ผู้] ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า” (แอลมา 63:2) นีไฟศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ผู้ถูกกล่าวถึงในหนังสือของฮีลามัน มีน้องชายชื่อลีไฮ ซึ่งดูเหมือนจะกล่าวถึงเขาเพียงผ่านๆ แต่บันทึกบอกไว้ว่าเขา “ไม่ได้ด้อยกว่า [นีไฟ] แม้แต่น้อยในเรื่องที่เกี่ยวกับความชอบธรรม.” [ฮี-ลามัน 11:19; ดู ข้อ 18ด้วย]6
3
ถึงแม้ไม่มีใครรู้จักเราดี แต่เราสามารถให้การรับใช้อันสำคัญยิ่งในอาณาจักร
แน่นอนว่ามีแบบอย่างของบุคคลที่ได้รับใช้ในสมัยการประทานของเราเช่นกัน ออ-ลิเวอร์ แกรนเจอร์เป็นคนสงบเสงี่ยมและคอยช่วยเหลืองานในยุคสุดท้ายที่พระเจ้าทรงระลึกถึงเขาในภาค 117 ของหลักคำสอนและพันธสัญญา หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อออ-ลิเวอร์ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอถือวิสาสะทำให้ท่านคุ้นเคยกับชายที่สัตย์ซื่อในยุคแรก
ออลิเวอร์ แกรนเจอร์อายุแก่กว่าโจเซฟ สมิธสิบเอ็ดปี และมาจากเขตภาคเหนือของนิวยอร์กเหมือนท่านศาสดาพยากรณ์ เพราะเป็นหวัดรุนแรงเมื่ออายุสามสิบสามปี ออ-ลิเวอร์จึงสูญเสียการมองเห็นไปมาก แม้จะมองเห็นจำกัด แต่เขารับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาสามครั้ง เขาทำงานที่พระวิหารเคิร์ทแลนด์และรับใช้ในสภาสูงเคิร์ทแลนด์ด้วย
เมื่อวิสุทธิชนส่วนใหญ่ถูกขับออกจากเคิร์ทแลนด์ โอไฮโฮ ศาสนจักรเหลือหนี้บางส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ ออลิเวอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของโจเซฟ สมิธและฝ่ายประธานสูงสุดโดยกลับไปเคิร์ทแลนด์เพื่อจัดการกิจธุระของศาสนจักร พระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาบันทึกเกี่ยวกับภารกิจนี้ว่า “ฉะนั้น, ให้เขาแข็งขันอย่างจริงจังเพื่อการไถ่ฝ่ายประธานสูงสุดแห่งศาสนจักรของเรา, พระเจ้าตรัส” (คพ. 117:13)
เขาทำงานมอบหมายนี้ด้วยการทำให้เจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องพอใจจนคนหนึ่งในนั้นเขียนว่า “การบริหารของออลิเวอร์ แกรนเจอร์ในการจัดการกิจธุระที่ยังไม่แล้วเสร็จของคนที่ย้ายไปฟาร์เวสต์ ในการไถ่ถอนทรัพย์สินที่พวกเขาจำนองไว้ และยืนยันความซื่อสัตย์ของพวกเขาด้วยวิธีนั้น ถือว่าน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง และทำให้ข้าพเจ้านับถือมากที่สุด และทุกคนระลึกถึงเขาด้วยความสำนึกคุณ” (Horace Kingsbury, ตามที่อ้างใน Joseph Smith, History of the Church, 3:174.)
ช่วงที่ออลิเวอร์อยู่ในเคิร์ทแลนด์ บางคนรวมทั้งสมาชิกที่ไม่พอใจศาสนจักร กำลังพยายามลดความน่าเชื่อของฝ่ายประธานสูงสุดและทำให้คนสงสัยความซื่อสัตย์ของพวกท่านโดยการเผยแพร่ข้อกล่าวหาเท็จ ออลิเวอร์ แกรนเจอร์ “ไถ่ฝ่ายประธานสูงสุด” โดยแท้ผ่านการรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเขา … พระเจ้าตรัสถึงออลิเวอร์ แกรนเจอร์ว่า “ชื่อเขาจะมีอยู่ในความทรงจำอย่างมีเกียรติจากรุ่นสู่รุ่น, ตลอดกาลและตลอดไป.” (คพ. 117:12) “เราจะยกออลิเวอร์ผู้รับใช้ของเราขึ้น และทำให้เขามีชื่อเสียงเกริกก้องบนแผ่นดินโลก และในหมู่คนของเรา เพราะความซื่อตรงของจิตวิญญาณเขา” (History of the Church, 3:350)
เมื่อเขาสิ้นชีวิตในปี 1841 ถึงแม้จะมีวิสุทธิชนเพียงไม่กี่คนอยู่ในเขตเคิร์ทแลนด์ และแม้เพื่อนของวิสุทธิชนมีน้อยลง แต่คนจำนวนมากจากเมืองใกล้เคียงมาร่วมพิธีศพของออลิเวอร์ แกรนเจอร์
แม้ปัจจุบันมีคนรู้จักออลิเวอร์ แกรนเจอร์ไม่มากเท่าผู้นำรุ่นแรกๆของศาสนจักร แต่เขาเป็นคนยิ่งใหญ่และสำคัญในการรับใช้อาณาจักร และถึงแม้ไม่มีใครจดจำชื่อของเขานอกจากพระเจ้า แต่นั่นเป็นพรมากแล้วสำหรับเขา—หรือสำหรับเราทุกคน7
4
นีไฟเป็นแบบอย่างของการจดจำว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งพลังและพรของเขา
ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรตระหนักว่าอันตรายทางวิญญาณเกิดขึ้นได้กับคนที่เข้าใจผิดเรื่องการที่คนคนหนึ่งต้องเป็นจุดเด่นเสมอ พวกเขาอาจโลภความมีชื่อเสียงและด้วยเหตุนี้จึงลืมความสำคัญของการรับใช้ที่ให้
เราต้องไม่ยอมให้ตัวเราสนใจแต่แสงแวบเดียวของความนิยมชมชอบหรือมัวแต่ดึงความสนใจแทนที่จะลงแรงทำจริงโดยไม่บอกใครเพื่อดึงความสนพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ได้เป็นข่าวรับอรุณ ความจริงแล้วเสียงปรบมือและความสนใจอาจกลายเป็นจุดอ่อนทางวิญญาณของผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในบรรดาพวกเราได้
ถ้าจุดสนใจของประชานิยมตกกับท่านบางช่วงในชีวิต อาจจะดีถ้าท่านทำตามแบบอย่างของคนมีชื่อเสียงในพระคัมภีร์ นีไฟเป็นหนึ่งในแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม หลังจากเขาเดินทางในแดนทุรกันดารกับครอบครัวจนถึงที่หมาย เจตคติของเขายังคงอยู่กับเรื่องสำคัญที่สุด เขากล่าวดังนี้
“และเมื่อข้าพเจ้าปรารถนาจะชื่นชมยินดี, ใจข้าพเจ้าครวญครางเพราะบาปของข้าพเจ้า; กระนั้นก็ตาม, ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าได้วางใจผู้ใด.
“พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงเคยเป็นผู้สนับสนุนข้าพเจ้า; พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าผ่านความทุกข์ของข้าพเจ้าในแดนทุรกันดาร; และพระองค์ทรงปกปักรักษาข้าพเจ้าเหนือผืนน้ำแห่งห้วงลึกอันใหญ่หลวง.
“พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วยความรักของพระองค์, แม้จนจะเผาไหม้เนื้อหนังข้าพเจ้า.
“พระองค์ทรงทำให้ศัตรูข้าพเจ้าจำนน, เป็นเหตุให้พวกเขาครั่นคร้ามต่อหน้าข้าพเจ้า.” (2 นีไฟ 4:19-22)
การเป็นจุดสนใจไม่เคยทำให้นีไฟมองไม่เห็นแหล่งพลังและพรของเขา8
5
เมื่อเราเข้าใจสาเหตุที่เรารับใช้ เราจะไม่สนใจว่าเรารับใช้ตรงไหน
ในช่วงที่คนสนใจและมองเห็น อาจเป็นประโยชน์สำหรับเราเช่นกันถ้าจะตอบคำถามว่า เหตุใดเราจึงรับใช้ เมื่อเราเข้าใจว่าเหตุใด เราจะไม่สนใจว่าเรารับใช้ตรงไหน
ประธาน เจ. รูเบน คลาร์ก จูเนียร์สอนหลักธรรมสำคัญยิ่งนี้ในชีวิตท่านเอง ที่การประชุมใหญ่สามัญในเดือนเมษายน ค.ศ. 1951 ประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ได้รับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักรหลังจากมรณกรรมของประธานจอร์จ อัลเบิร์ต สมิธ ก่อนหน้านั้นประธานคลาร์กเคยรับใช้เป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งของประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์จากนั้นจึงเป็นที่ปรึกษาของประธานจอร์จ อัลเบิร์ต สมิธ ประธานแมคเคย์เคยเป็นที่ปรึกษาที่สองของประธานทั้งสอง
ระหว่างภาคสุดท้ายของการประชุมใหญ่เมื่อดำเนินกิจธุระของศาสนจักร บราเดอร์สตีเฟน แอล. ริชาร์ดส์ได้รับเรียกให้อยู่ในฝ่ายประธานสูงสุดและได้รับการสนับสนุนเป็นที่ปรึกษาที่หนึ่ง ประธาน เจ. รูเบน คลาร์ก จูเนียร์ได้รับการสนับสนุนเป็นที่ปรึกษาที่สอง หลังจากการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของศาสนจักร ประธานแมคเคย์อธิบายสาเหตุที่ท่านเลือกที่ปรึกษาตามลำดับนั้น ท่านกล่าวดังนี้
“ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหลักธรรมชี้นำประการหนึ่งในการเลือกครั้งนี้คือการทำตามลำดับอาวุโสในสภา [อัครสาวกสิบสอง] ชายสองคนนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งของพวกเขาในฝ่ายประธานในศาสนจักร และข้าพเจ้ารู้สึกว่าควรทำตามลำดับอาวุโสเดิมในโควรัมใหม่ของฝ่ายประธานสูงสุด” (ใน Conference Report, 9 April 1951, p. 151.)
จากนั้นท่านก็ขอให้ประธานคลาร์กพูดต่อจากประธานแมคเคย์ คำกล่าวของประธานคลาร์กครั้งนี้กระชับแต่สอนบทเรียนอันทรงพลังยิ่ง “ในการรับใช้พระเจ้า ไม่สำคัญว่าท่านรับใช้ตรงไหนแต่สำคัญว่าท่านรับใช้อย่างไร ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย คนหนึ่งรับตำแหน่งซึ่งคนนั้นได้รับเรียกตามสมควรแก่เวลา ตำแหน่งซึ่งเขาไม่แสวงหาทั้งไม่ปฏิเสธ ข้าพเจ้าปฏิญาณต่อประธานแมคแคย์และประธานริชาร์ดส์ว่าจะอุทิศตนรับใช้ด้วยความภักดีเต็มที่ในภารกิจที่อาจมาถึงข้าพเจ้าสุดพละกำลังและความสามารถของข้าพเจ้า และตราบเท่าที่พวกท่านจะเปิดทางให้ข้าพเจ้าปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ แม้ข้าพเจ้าจะไม่ดีพอก็ตาม” (Ibid., p. 154.)
บทเรียนที่ประธานคลาร์กสอนบรรยายไว้ในบทกวีของเมด แม็คไกวร์ซึ่งกล่าวย้ำหลายครั้งดังนี้
“พระบิดา ข้าจะทำที่ใดวันนี้”
รักของข้าอบอุ่นล้นปรี่
จุดเล็กมากที่พระองค์ทรงชี้
พลางตรัส “ดูตรงนั้นที”
ข้าตอบเร็วรี่ “ไม่นะ ไม่ไป!
ไม่มีใครเห็นงานข้า
ไม่ว่าจะทำงานดีเพียงใด
ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของข้า”
พระดำรัสฟังดูไม่อึดอัด
ตรัสตอบข้าอย่างนุ่มนวล
“ลูกพ่อ สำรวจใจเจ้าสักที
เจ้าทำเพื่อคนเหล่านี้หรือเพื่อข้า
นาซาเร็ธเป็นเมืองเล็ก
กาลีลีก็เล็กเช่นกัน
[ดู Best-Loved Poems of the LDS People, comp. Jack M. Lyon and others (1996), 152.]
กษัตริย์เบ็นจามินประกาศว่า “ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าเพราะข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านแล้วว่าข้าพเจ้าใช้วันเวลาของข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ท่าน, ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะโอ้อวด, เพราะข้าพเจ้าอยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง. และดูเถิด, ข้าพเจ้าบอกท่านถึงเรื่องเหล่านี้เพื่อท่านจะเรียนรู้ปัญญา; เพื่อท่านจะเรียนรู้ว่าเมื่อท่านอยู่ในการรับใช้เพื่อนมนุษย์ของท่าน ท่านก็อยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของท่านนั่นเอง.” (โมไซยาห์ 2:16–17)9
6
เราควรรับใช้อย่างซื่อสัตย์และเงียบๆ โดยระวังเรื่องคำสรรเสริญของผู้อื่น
คนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตคือคนที่ความสนใจของเขาอยู่คู่กับการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและช่วยให้พวกเขาพบทาง
ป้ายตรงทางข้ามรางรถไฟที่เตือนเราให้หยุด มอง และฟังจะเป็นเครื่องนำทางสำหรับเรา จงหยุดขณะที่เรารีบผ่านชีวิต จงมองหาทุกสิ่งที่สร้างมิตรไมตรี มีน้ำใจ และสุภาพที่เราสามารถทำได้ และช่วยเติมเต็มความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของมนุษย์ จงฟังผู้อื่นและเรียนรู้จากความหวังและปัญหาของพวกเขาเพื่อเราจะสามารถเอื้อประโยชน์ในวิธีเล็กๆ น้อยๆ ต่อความสำเร็จและความสุขของพวกเขา10
ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน กล่าวว่า … “การรับใช้เฉกเช่นพระคริสต์ทำให้สูงส่ง … พระเจ้าทรงสัญญาว่าคนที่สละชีวิตรับใช้ผู้อื่นจะพบตนเอง ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธบอกเราว่าเราควร ‘ทำให้มากในช่วงชีวิตของเรา’ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของพระองค์ (คพ. 123:13)” (Ensign, Nov. 1989, pp. 5–6.)
ถ้าท่านรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ มากมายที่ท่านทำไม่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงมาก อย่าหวั่นไหว คนดีที่สุดส่วนใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากเช่นกัน จงรับใช้และเติบโตอย่างซื่อสัตย์และสงบเสงี่ยม จงระวังเรื่องคำสรรเสริญของมนุษย์ พระเยซูตรัสไว้ในคำเทศนาบนภูเขาว่า
“จงระวัง อย่าทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านทั้งหลายจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
“เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าเหมือนพวกคนหน้าซื่อใจคดที่ทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จของพวกเขาแล้ว
“แต่เมื่อท่านทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การกระทำของมือขวา
“เพื่อว่าทานของท่านจะเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” (มัทธิว 6:1–4)
ขอให้พระบิดาในสวรรค์ของเราประทานบำเหน็จแก่ท่านเสมอ11
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ประธานฮันเตอร์กำลังพยายามช่วยให้เราเข้าใจอะไรโดยเน้นว่าฮีลามันกับพี่น้องของเขา “หาได้รับใช้น้อยไปกว่า” แม่ทัพโมโรไนไม่ (ดู หัวข้อ 1) ความเข้าใจนี้จะช่วยท่านได้อย่างไร
-
ตัวอย่างจากพระคัมภีร์ในหัวข้อ 2 สอนอะไรเราได้บ้าง ตัวอย่างเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเราขณะที่เรารับใช้ได้อย่างไร ท่านได้รับพรอย่างไรจากคนที่รับใช้อย่างสงบเสงี่ยมไม่มีใครแซ่ซ้องสรรเสริญ
-
เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องที่ประธานฮันเตอร์เล่าเกี่ยวกับออลิเวอร์ แกรนเจอร์ (ดู หัวข้อ 3) เหตุใดเราจึงไม่ควรห่วงเรื่องการได้รับยกย่องเมื่อเรารับใช้
-
“จุดสนใจของประชานิยม” หรือชื่อเสียงจะเป็นอันตรายได้อย่างไร (ดู หัวข้อ 4) แบบอย่างของนีไฟสอนอะไรท่านได้บ้างเกี่ยวกับวิธี “จดจ่อกับสิ่งสำคัญที่สุด”
-
ทบทวนเรื่องราวของประธานฮันเตอร์ในหัวข้อ 5 ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับเจตคติและคำพูดของประธานคลาร์ก พิจารณาคำตอบของท่านต่อคำถามที่ว่า “เหตุใดฉันจึงรับใช้” เราจะพัฒนาเจตคติของการทำให้ดีที่สุดโดยไม่คำนึงว่าเรารับใช้ตรงไหนได้อย่างไร
-
ในหัวข้อ 6 ประธานฮันเตอร์กล่าวถึงสัญญาของพระเจ้าที่ว่า “คนที่ยอมสละชีวิตตนรับใช้ผู้อื่นจะพบตนเอง” (ดู มัทธิว 10:39; 16:25) ข้อความนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านพบว่าข้อความนี้เป็นความจริงอย่างไร การรับใช้ทำให้ท่านเกิดความสุขอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 6:2–7, 24; 20:25–28; ยากอบ 1:27; คพ. 76:5–7; 121:34–37
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“แบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียนรู้ เมื่อท่านทำดังนี้ ความคิดของท่านจะกระจ่างชัดมากขึ้นและพลังแห่งความทรงจำจะเพิ่มขึ้น” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 17)