บทที่ 6
การชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
“เราจะลุกขึ้นจากความตายในมรรตัยเพื่อมีชีวิตอันเป็นนิจเพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด”
จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1934 ลูกคนแรกของฮาเวิร์ดกับแคลร์ ฮันเตอร์เกิด พวกท่านตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ว่าฮาเวิร์ด วิลเลียม ฮันเตอร์ จูเนียร์ และเรียกเขาว่าบิลลี ในช่วงฤดูร้อนพวกท่านสังเกตว่าบิลลีดูเซื่องซึม คณะแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคโลหิตจาง และฮา-เวิร์ดถ่ายเลือดให้สองครั้ง แต่อาการของบิลลีไม่ดีขึ้น ผลตรวจเพิ่มเติมปรากฏว่ามีปัญหารุนแรงที่ลำไส้ส่งผลให้บิลลีเสียเลือด คณะแพทย์ทำการผ่าตัด โดยมีฮาเวิร์ดนอนให้เลือดอยู่ข้างๆ ลูกชาย แต่ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ สามวันต่อมา วันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1934 บิลลีน้อยจากไปอย่างสงบขณะพ่อแม่นั่งอยู่ข้างเตียงเขา “เราเศร้าใจมากและมึนงงขณะออกจากโรงพยาบาลในคืนนั้น” ฮาเวิร์ดเขียน1
ประจักษ์พยานของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดประคับประคองท่านให้ผ่านพ้นประสบการณ์การเสียชีวิตของบิลลีและการเสียชีวิตของบุคคลอื่นที่ท่านรัก “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า [การชดใช้] เป็นความจริง” ท่านเป็นพยาน “และไม่มีสิ่งใดในแผนแห่งความรอดอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งแผนสำคัญไปกว่าการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราเชื่อว่าความรอดเกิดขึ้นเพราะการชดใช้ หากไม่มีการชดใช้แผนการสร้างทั้งแผนย่อมไร้ผล … หากปราศจากการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ ความตายทางโลกคงเป็นจุดสิ้นสุด และจะไม่มีการฟื้นคืนชีวิต และไม่มีจุดประสงค์ในชีวิตทางวิญญาณของเรา คงจะไม่มีความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์”2
ในช่วงการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ซึ่งจัดราวๆ ช่วงอีสเตอร์ ประธานฮัน-เตอร์พูดบ่อยครั้งเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ในการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ค.ศ. 1983 ท่านกล่าวว่า
“เนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ปีนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างแรงกล้าถึงความสำคัญของงานมอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด พี่น้องทั้งหลาย มีพระผู้เป็นเจ้าในฟ้าสวรรค์ผู้ทรงรักและห่วงใยท่านกับข้าพเจ้า เรามีพระบิดาในสวรรค์ ผู้ทรงส่งพระบุตรหัวปีของบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์ พระองค์เดียวที่ถือกำเนิดในเนื้อหนัง มาเป็นแบบอย่างให้เราบนแผ่นดินโลก มารับบาปของโลกไว้กับพระองค์ และต่อมาถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของโลกและฟื้นคืนพระชนม์ …
“นี่เป็นข่าวสารที่สวยงามอย่างแท้จริง—จะมีชีวิตหลังความตาย เราจะได้กลับไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ของเราอีกครั้ง เพราะการพลีพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อเรา และเพราะการกลับใจของเราและการเชื่อฟังพระบัญญัติ
“รุ่งอรุณที่สวยงามของเช้าวันอีสเตอร์เมื่อโลกของคริสตศาสนิกชนหันไปสู่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูชั่วคราว ขอให้เราแสดงความสำนึกคุณต่อพระบิดาบนสวรรค์สำหรับแผนแห่งความรอดอันสำคัญยิ่งที่จัดเตรียมไว้ให้เรา”3
คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์
1
การชดใช้เป็นการแสดงความรักขั้นสูงสุดจากพระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรที่รักของพระองค์พระเยซูคริสต์
การชดใช้ของพระเยซูคริสต์เป็นงานมอบหมายที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงกำหนดล่วงหน้าเพื่อให้ไถ่บุตรธิดาของพระองค์หลังจากสภาพที่ตกแล้วของพวกเขา นั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงยอมให้องค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์พลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ และนั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักขั้นสูงสุดของพระบุตรที่รักของพระองค์ที่ทรงดำเนินการชดใช้
ข้าพเจ้าเคยยืนอยู่ในสวนเกทเสมนีหลายครั้ง ข้าพเจ้าตรึกตรองความทุกข์เวทนา ความเจ็บปวดรวดร้าวของพระผู้ช่วยให้รอดในใจ—ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ทรงประสบเมื่อพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงยอมให้พระองค์รับเอาความเจ็บปวดและบาปของมวลมนุษยชาติไว้กับพระองค์ในวิธีที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยโทมนัสขณะนึกถึงการพลีพระชนม์ชีพครั้งสำคัญยิ่งนี้เพื่อมนุษยชาติ
ข้าพเจ้าเคยยืนอยู่ใต้กลโกธา ที่กะโหลกศีรษะ และตรึกตรองความอัปยศอดสูของการตรึงกางเขนซึ่งนำไปสู่การสิ้นพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด แต่ทำให้เกิดความเป็นอมตะแก่พระองค์และมวลมนุษยชาติ และจิตวิญญาณข้าพเจ้าจำนนอีกครั้ง
ข้าพเจ้าเคยยืนอยู่หน้าอุโมงค์ในสวนและนึกภาพวันอันรุ่งโรจน์นั้นของการฟื้นคืนพระชนม์เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จออกจากอุโมงค์ ทรงมีพระชนม์ชีพ ฟื้นคืนพระชนม์ และทรงเป็นอมตะ การตรึกตรองเรื่องนั้นทำให้ใจข้าพเจ้าพองโตด้วยปีติ
ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าอยากระบายความในใจโดยน้อมขอบพระทัยและสำนึกคุณพระบิดาบนสวรรค์ของเราสำหรับความรักที่พระองค์และพระบุตรทรงมีต่อเราผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันน่าชื่นชมยินดีนั้น ในเนื้อร้องของชาร์ลส์ เอช. กาเบรียล “ฉันเฝ้าพิศวงต่อความรักพระเยซูให้ฉัน ทั้งงงงันต่อพระคุณท่วมท้นที่พระองค์ประทาน ฉันสะท้านกายาเมื่อทราบว่าพระองค์วายเพื่อฉัน และเพื่อฉันคนบาป พระองค์ทนทุกข์หลั่งเลือดวายปราณ โอ ช่างแสนอัศจรรย์ พระองค์ทรงห่วงใยฉัน แม้วายชีวันทรงยอม โอ ช่างแสนอัศจรรย์ อัศจรรย์ต่อฉัน” …
ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานต่อท่าน พี่น้องทั้งหลายว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงส่งพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์มาในโลกเพื่อทำตามเงื่อนไขในการดำเนินแผนแห่งความรอดให้สำเร็จ การชดใช้แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงรักเรามาก4
2
พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับเอาบาป ความทุพพลภาพ ความเศร้าโศก และความเจ็บปวดทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์
เมื่อครั้งพบกันเพื่อฉลองปัสกา พระเยซูและเหล่าอัครสาวกรับส่วนเครื่องหมายศีลระลึกที่พระองค์ทรงเริ่มไว้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้ายนี้ด้วยกัน และจากนั้นทรงพระดำเนินไปภูเขามะกอกเทศ
พระองค์ทรงเป็นครูจนถึงวาระสุดท้ายของพระองค์ และทรงเทศนาต่อไปเกี่ยวกับลูกแกะพลีบูชา พระองค์รับสั่งกับพวกเขาว่าพระองค์จะทรงถูกลงทัณฑ์และพวกเขาจะกระจัดกระจายไปเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง (ดู มัทธิว 26:31) “แต่หลังจากพระเจ้าทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาแล้ว” พระองค์ตรัส “เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน” (มัทธิว 26:32)
ในเวลาต่อมา พระองค์ทรงหลั่งพระเสโทเป็นเม็ดโลหิต ทรงถูกผู้นำที่อ้างตนเป็นผู้รักษากฎหมายโบย และตรึงกางเขนพระองค์ในหมู่โจร กษัตริย์เบ็นจามินในพระคัมภีร์มอรมอนพยากรณ์ดังนี้ “พระองค์จะทนรับการล่อลวง, และความเจ็บปวดทางร่างกาย, ความหิวโหย, ความกระหาย, และความเหน็ดเหนื่อย, แม้มากกว่าที่มนุษย์จะทนได้, เว้นแต่จะถึงแก่ความตาย; เพราะดูเถิด, พระโลหิตไหลออกจากทุกขุมขน, ความปวดร้าวของพระองค์จะใหญ่หลวงนักเพราะความชั่วร้ายและความน่าชิงชังของผู้คนของพระองค์. …
“พระองค์จะเสด็จมาสู่ผู้คนของพระองค์, เพื่อความรอดจะได้มาสู่ลูกหลานมนุษย์ … ; และแม้หลังจากทั้งหมดนี้แล้วพวกเขาก็จะถือว่าพระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง, และกล่าวว่าพระองค์มีผีสิงอยู่, และจะโบยพระองค์, และจะตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน” (โม-ไซยาห์ 3:7, 9)
เราเป็นหนี้ศาสดาพยากรณ์แอลมาสำหรับความรู้เรื่องความทุกขเวทนาเต็มขนาดของพระองค์ “พระองค์จะเสด็จออกไป, ทรงทนความเจ็บปวดและความทุกข์และการล่อลวงทุกอย่าง; และนี่ก็เพื่อคำซึ่งกล่าวว่าพระองค์จะทรงรับความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของผู้คนของพระองค์จะได้เกิดสัมฤทธิผล.
“และพระองค์จะทรงรับเอาความตาย, เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สายรัดแห่งความตายที่ผูกมัดผู้คนของพระองค์หลุดออก; และพระองค์จะทรงรับเอาความทุพพลภาพของพวกเขา, เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, ตามเนื้อหนัง, เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร” (แอลมา 7:11-12)
ลองนึกดู! เมื่อพวกเขานำพระวรกายของพระองค์ลงจากกางเขนแล้วรีบไปวางไว้ในอุโมงค์ที่ยืมใช้ พระองค์พระบุตรที่ไร้บาปของพระผู้เป็นเจ้ามิเพียงรับเอาบาปและการล่อลวงของจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนผู้จะกลับใจเท่านั้น แต่ทรงรับเอาความป่วยไข้ ความเศร้าโศก และความเจ็บปวดทุกรูปแบบไว้กับพระองค์ด้วย พระองค์ทรงทนรับความทุกข์เหล่านี้ดังที่เราทนทุกข์ตามเนื้อหนัง พระองค์ทรงทนรับทั้งหมด พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อทำให้พระเมตตาและพระปรีชาสามารถในการยกเราขึ้นเหนือการทดลองทางโลกทุกอย่างสมบูรณ์5
อันที่จริงเราอาจทำการเลือกผิดๆ การเลือกที่ไม่ดี การเลือกที่ทำให้เจ็บปวด และบางครั้งเราทำเช่นนั้น แต่นั่นคือจุดที่พระพันธกิจและพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เข้ามามีผลโดยสมบูรณ์ … พระองค์ทรงทำการชดใช้เพื่อไกล่เกลี่ยการเลือกผิดๆ ที่เราทำ พระองค์ทรงเป็นผู้วิงวอนพระบิดาแทนเรา และทรงชดเชยล่วงหน้าให้ความผิดพลาดและความโง่เขลาที่เราเห็นบ่อยครั้งในการใช้เสรีภาพของเรา เราต้องยอมรับของประทานดังกล่าว กลับใจจากความผิดพลาดเหล่านั้น และทำตามพระบัญญัติของพระองค์เพื่อจะได้ประโยชน์เต็มที่จากการไถ่นี้ ข้อเสนอมีอยู่เสมอ หนทางเปิดเสมอ เราสามารถหวังพึ่งพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิตได้เสมอ แม้ในโมงมืดมิดที่สุดและในความผิดมหันต์ที่สุดของเรา6
3
พระเยซูคริสต์ทรงลุกขึ้นจากความตายและทรงเป็นผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต
ขอให้ย้อนเวลากลับไปพร้อมข้าพเจ้าถึงเหตุการณ์สุดท้ายเหล่านั้นในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ จุดจบแห่งพระชนม์ชีพมรรตัยของพระเจ้าของเราใกล้ถึงแล้ว พระองค์ทรงรักษาคนป่วย ทรงทำให้คนตายฟื้น และทรงอรรถาธิบายพระคัมภีร์ รวมไปถึงคำพยากรณ์เหล่านั้นเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เอง พระองค์ตรัสกับเหล่าสานุศิษย์ว่า
“ฟังนะ พวกเราจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ และพวกเขาจะลงโทษท่านถึงตาย
“ทั้งจะมอบตัวท่านไว้กับพวกต่างชาติเพื่อให้เยาะเย้ย เฆี่ยนตี และตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 20:18–19) …
ในรุ่งอรุณของวันที่สาม มารีย์ชาวมักดาลาและ “มารีย์อีกคนหนึ่ง” มาถึงสุสานที่วางพระวรกายไร้ชีวิตของพระองค์ [มัทธิว 28:1; ดู มาระโก 16:1; ลูกา 24:10ด้วย] ก่อนหน้านั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ไปหาปีลาตและเกลี้ยกล่อมเขาให้วางยามตรงประตูอุโมงค์ “มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” (มัทธิว 27:64) แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังมากสององค์กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ และพวกยามที่เฝ้าอยู่หนีไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นทูตสวรรค์
เมื่อหญิงทั้งสองมาถึงอุโมงค์ พวกเธอพบอุโมงค์เปิดแล้วและว่างเปล่า ทูตสวรรค์รอบอกข่าวใหญ่ที่สุดเท่าที่หูมนุษย์เคยได้ยินว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น” (มัทธิว 28:6)7
ไม่มีหลักคำสอนใดในคัมภีร์ศาสนาคริสต์สำคัญต่อมวลมนุษยชาติมากไปกว่าหลักคำสอนเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้า โดยผ่านพระองค์การฟื้นคืนชีวิตมาถึงชาย หญิง และเด็กทุกคนที่เคยเกิด—หรือจะเกิด—มาในโลกนี้
ทั้งที่เราให้ความสำคัญมากกับการฟื้นคืนชีวิตในหลักคำสอนของเรา แต่พวกเราหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจความสำคัญทางวิญญาณและความสง่างามอันเป็นนิรันดร์ของการฟื้นคืนชีวิต ถ้าเราเข้าใจ เราจะพิศวงกับความสวยงามของการฟื้นคืนชีวิตเช่นเดียวกับเจ-คอบน้องชายของนีไฟ และเราคงสั่นเทากับทางเลือกที่เราจะเผชิญถ้าเราไม่ได้รับของประทานอันสูงค่านี้ เจคอบเขียนว่า
“โอ้พระปรีชาญาณของพระผู้เป็นเจ้า, พระเมตตาและพระคุณของพระองค์ ! เพราะดูเถิด, หากเนื้อหนังจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไปวิญญาณของเราย่อมต้องมาขึ้นอยู่กับเทพผู้นั้นซึ่งตกจากเบื้องหน้าที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้านิรันดร์, และกลายเป็นมาร, เพื่อจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไป” (2 นีไฟ 9:8)
โดยแท้แล้วการฟื้นคืนชีวิตเป็นศูนย์กลางความเชื่อของคริสต์ศาสนิกชนทุกคน เป็นปาฏิหาริย์ใหญ่ที่สุดในบรรดาปาฏิหาริย์ที่พระผู้ช่วยให้รอดของโลกทรงกระทำ หากปราศจากการฟื้นคืนชีวิต เราคงถูกทิ้งให้สิ้นหวัง ข้าพเจ้าขอยืมคำพูดของเปาโล “ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี … การประกาศของเรานั้นก็ไร้ประโยชน์ … และคนก็จะเห็นว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาแล้ว … ถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน” (1 โครินธ์ 15:13-15, 17)8
หากปราศจากการฟื้นคืนพระชนม์ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะกลายเป็นบทสวดคติธรรมและปาฏิหาริย์ที่ไม่สามารถอธิบายตามที่เห็นได้—แต่เป็นคำบอกกล่าวและปาฏิหาริย์ที่ปราศจากชัยชนะสุดท้าย ชัยชนะสุดท้ายอยู่ในปาฏิหาริย์สุดท้าย เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่คนตายยกตนเองขึ้นสู่การมีชีวิตอมตะ พระองค์ทรง เป็น พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระบุตรของพระบิดาอมตะในสวรรค์ และชัยชนะเหนือความตายทางร่างกายและทางวิญญาณของพระองค์เป็นข่าวดีที่ชาวคริสต์ทุกคนควรกล่าวถึง
ความจริงนิรันดร์คือพระเยซูคริสต์ทรงลุกขึ้นจากความตายและทรงเป็นผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต (ดู 1 โครินธ์ 15:23) พยานของเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้จะถูกกังขาไม่ได้
บรรดาพยานที่ทรงเลือกคือเหล่าอัครสาวกของพระเจ้า ความจริงแล้วการเรียกเป็นอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในการกล่าวคำพยานต่อโลกถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของเหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว” (History of the Church, 3:30.) …
ในการสอนเหล่าอัครสาวก พระองค์ทรงทำให้พวกเขารู้ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่และพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์จะทรงถูกประหารชีวิต และหลังจากนั้นสามวันจะเป็นขึ้นมาใหม่” (มาระโก 8:31) เป็นดังที่กล่าวมานั้น พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนและถูกวางไว้ในอุโมงค์ ในวันที่สาม พระองค์ทรงลุกขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง—พระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติและผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ มนุษย์ทั้งปวงจะได้รับการช่วยให้รอดจากหลุมศพและจะมีชีวิตอีกครั้ง นี่เป็นประจักษ์พยานของเหล่าอัครสาวกเสมอมา ซึ่งข้าพเจ้าเพิ่มพยานของข้าพเจ้าเข้าไปในนั้น9
4
พระเยซูทรงปรากฏต่อคนจำนวนมากหลังการฟื้นคืนพระชนม์
ในวันหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ พระเจ้าทรงปรากฏต่อคนจำนวนมาก พระองค์ทรงแสดงรอยแผลพิเศษห้าแผลต่อพวกเขา พระองค์ทรงดำเนิน รับสั่ง และเสวยกับพวกเขา ประหนึ่งเพื่อพิสูจน์ให้พ้นความสงสัยว่าพระวรกายที่ฟื้นคืนพระชนม์แล้วเป็นพระวรกายของเนื้อหนังและกระดูกที่จับต้องได้ ต่อมา พระองค์ทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อชาวนีไฟผู้ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้ “ลุกขึ้นและออกมาหาเรา, เพื่อเจ้าจะได้แยงมือเข้าไปในสีข้างของเรา, และเพื่อเจ้าจะได้สัมผัสรอยตะปูที่มือเราและเท้าเราด้วย, เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอล, และพระผู้เป็นเจ้าของทั้งแผ่นดินโลก, และถูกประหารเพื่อบาปของโลก.
“และ … ฝูงชนได้ออกไป, และยื่นมือพวกเขาเข้าไปในพระปรัศว์ของพระองค์, และสัมผัสรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์และที่พระบาทของพระองค์; และการนี้พวกเขาทำ, โดยออกไปทีละคนจนพวกเขาทั้งหมดได้ออกไป, และเห็นด้วยตาของตนและสัมผัสด้วยมือของตน, และรู้แน่แก่ใจและเป็นพยาน, ว่าคือพระองค์, ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์เขียนไว้, ว่าจะเสด็จมา” (3 นีไฟ 11:14–15)
ความรับผิดชอบและปีติของชายหญิงทุกคนทุกแห่งหนคือ “แสวงหาพระเยซูองค์นี้ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก [เป็นพยาน]” (อีเธอร์ 12:41) และมีพยานทางวิญญาณถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ นี่คือสิทธิ์และพรของทุกคนที่แสวงหาอย่างนอบน้อม คือได้ยินสุรเสียงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานถึงพระบิดาและพระบุตรที่ฟื้นคืนพระชนม์10
ประจักษ์พยานของคนที่เห็น [พระเยซู] เป็นบุคคลที่มีชีวิตหลังความตายไม่ขัดแย้งกันเลย พระองค์ทรงปรากฏอย่างน้อยสิบถึงสิบเอ็ดครั้งต่อมารีย์ชาวมักดาลาและหญิงคนอื่นๆ ในสวน ต่อสาวกสองคนบนถนนไปเอมมาอูส ต่อเปโตรที่เยรูซาเล็ม ต่อเหล่าอัครสาวกเมื่อโธมัสไม่อยู่และอีกครั้งเมื่อเขาอยู่ ต่อเหล่าอัครสาวกที่ทะเลกาลิลี และต่อพี่น้องกว่า 500 คนบนเขาในคราวเดียวกัน ต่อยากอบน้องชายของพระเจ้า และต่อเหล่าอัครสาวกเมื่อเสด็จขึ้นสวรรค์11
ในฐานะผู้ได้รับเรียกและแต่งตั้งให้เป็นพยานถึงพระนามของพระเยซูคริสต์ต่อคนทั้งโลก ข้าพเจ้าเป็นพยานเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์นี้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงมีพระวรกายอมตะเปี่ยมด้วยรัศมีภาพของเนื้อหนังและกระดูก พระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดาในเนื้อหนัง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แสงสว่าง และชีวิตของโลก หลังจากการตรึงกางเขนและการสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงปรากฏเป็นสัตภาวะที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วต่อมารีย์ เปโตร เปาโล และคนอีกมากมาย พระองค์ทรงแสดงองค์ต่อชาวนีไฟ พระองค์ทรงแสดงองค์ต่อโจเซฟ สมิธศาสดาพยากรณ์หนุ่ม และต่อคนอีกมากในสมัยการประทานของเรา12
5
เราจะลุกขึ้นจากความตายและมีชีวิตเป็นนิจ
อีสเตอร์เป็นการฉลองของประทานที่ได้เปล่าแห่งความเป็นอมตะที่ประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง โดยคืนชีวิตให้และเยียวยาบาดแผลทั้งหมด ถึงแม้ทุกคนจะตายอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนนิรันดร์แห่งการเติบโตและการพัฒนา แต่เราทุกคนจะพบการปลอบโยนในคำกล่าวของผู้เขียนสดุดี “การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้า” (สดุดี 30:5)
โยบคือผู้ตั้งคำถามที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคำถามที่ไม่มีวันล้าสมัย “ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกได้หรือ?” (โยบ 14:14) คำตอบของพระคริสต์ดังก้องผ่านกาลเวลามาจนถึงโมงนี้ว่า “เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย” (ยอห์น 14:19)13
มีการแยกจากกันของวิญญาณและร่างกายเมื่อสิ้นชีวิต การฟื้นคืนชีวิตจะรวมวิญญาณกับร่างกายอีกครั้ง และร่างกายจะกลายเป็นร่างกายฝ่ายวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งเนื้อหนังและกระดูกแต่ได้รับการชุบชีวิตจากวิญญาณแทนที่จะเป็นเลือด เพราะฉะนั้น ร่างกายของเราหลังจากการฟื้นคืนชีวิตที่ได้รับการชุบชีวิตโดยวิญญาณจะกลายเป็นอมตะและไม่ตายอีกเลย นี่คือความหมายของคำกล่าวของเปาโลที่ว่า “ถ้ามีกายเนื้อหนัง กายจิตวิญญาณก็มีด้วย” และ “เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า” [ดู 1 โครินธ์ 15:44, 50] กายเนื้อหนังคือเนื้อหนังและเลือด แต่ได้รับการชุบชีวิตโดยวิญญาณไม่ใช่เลือด กายนี้สามารถและจะเข้าในอาณาจักร …
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และพระเยซูคือพระคริสต์ ตามที่เปาโลแสดงประจักษ์พยานต่อวิสุทธิชนชาวโครินธ์ในจดหมายที่เขียนช่วงเทศกาลอีสเตอร์เมื่อหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าเพิ่มพยานของข้าพเจ้าว่าเราจะลุกขึ้นจากความตายในมรรตัยเพื่อมีชีวิตเป็นนิจ เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้านึกเห็นภาพพระองค์ทรงกางพระพาหุให้ทุกคนที่จะได้ยินว่า
“… เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป
“และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:25–26)14
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์นำพรของความเป็นอมตะและความเป็นไปได้ของชีวิตนิรันดร์เข้ามา อุโมงค์ว่างเปล่าของพระองค์ประกาศต่อคนทั้งโลกว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว” (ลูกา 24:6) ถ้อยคำเหล่านี้มีความหวัง ความมั่นใจ และความเชื่อทั้งหมดที่จำเป็นต่อการค้ำจุนเราในชีวิตที่ท้าทายและบางครั้งเต็มไปด้วยความเศร้าโศก15
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
การชดใช้แสดงให้เห็นความรักที่พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงมีต่อเราอย่างไร (ดู หัวข้อ 1) เราจะแสดงความสำนึกคุณต่อของประทานแห่งความรักนี้ได้อย่างไร (ดู คพ. 42:29)
-
ขณะที่ท่านทบทวนหัวข้อ 2 ให้มองหาด้านต่างๆ ที่การชดใช้เป็นพรแก่เรา คำสอนของประธานฮันเตอร์และการใช้พระคัมภีร์ยกระดับความเข้าใจของท่านเรื่องการชดใช้อย่างไร ประสบการณ์ใดเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประจักษ์พยานท่านเกี่ยวกับการชดใช้ เดชานุภาพแห่งการชดใช้จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ท่านในช่วงการทดลองได้อย่างไร
-
ท่านประทับใจอะไรบ้างขณะศึกษาคำสอนของประธานฮันเตอร์เกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ (ดู หัวข้อ 3) เราจะชื่นชมมากขึ้นต่อความสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ได้อย่างไร?
-
ทบทวนหัวข้อ 4 ซึ่งประธานฮันเตอร์อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับพยานมากมายของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เหตุใดประจักษ์พยานของพยานเหล่านี้จึงสำคัญ
-
พิจารณาคำสอนของประธานฮันเตอร์ที่ว่าการฟื้นคืนชีวิตให้ “ความหวัง ความมั่นใจ และความเชื่อทั้งหมดที่จำเป็นต่อการค้ำจุนเราในชีวิตที่ท้าทายและบางครั้งเต็มไปด้วยความเศร้าโศก” (หัวข้อ 5) การฟื้นคืนชีวิตเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังและการปลอบประโลมสำหรับท่านอย่างไร ประจักษ์พยานเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ยกระดับชีวิตท่านอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ยอห์น 10:17–18; 2 นีไฟ 2:6–9, 22–27; 9:19–25; 3 นีไฟ 27:13–16; คพ. 18:10–16; 19:15–20; โมเสส 6:59–60
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“วางแผนกิจกรรมการศึกษาซึ่งจะสร้างศรัทธาของท่านในพระผู้ช่วยให้รอด” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 22) ตัวอย่างเช่น ขณะที่ท่านศึกษา ท่านอาจถามตัวท่านดังนี้ “คำสอนเหล่านี้จะช่วยฉันเพิ่มพูนความเข้าใจเรื่องการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร คำสอนเหล่านี้จะช่วยให้ฉันเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นได้อย่างไร”