คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 7: การเปิดเผยต่อเนื่องผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต


บทที่ 7

การเปิดเผยต่อเนื่องผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต

“เราได้รับการนำทางจากศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของพระผู้เป็นเจ้า—ผู้ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า”

จากชีวิตของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

หลังจากได้รับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักรในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านดังนี้

“พี่น้องที่รักทั้งหลาย ขอบคุณสำหรับเสียงสนับสนุนของท่าน ข้าพเจ้ามาอยู่ต่อหน้าท่านอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน เสียใจกับการจากไปเมื่อเร็วๆ นี้ของศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน ใจข้าพเจ้าอ่อนไหวต่อการจากไปของเพื่อนรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบใหม่ที่มาถึงข้าพเจ้า

“ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตามากมายและทูลพระบิดาในสวรรค์ในคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจด้วยความปรารถนาจะสามารถทำการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งนี้ได้ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้มีค่าควรทำงานมอบหมายซึ่งบุรุษอีกสิบสามท่านในสมัยการประทานนี้รับไปแล้ว บางทีอาจมีเพียงท่านเหล่านั้นที่คอยดูจากอีกด้านหนึ่งของม่านจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงน้ำหนักของความรับผิดชอบนี้และการพึ่งพาพระเจ้าที่ข้าพเจ้ารู้สึกในขณะยอมรับการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์นี้”

ประธานฮันเตอร์อธิบายว่าท่านพบพลังและความมั่นใจในความเชื่อมั่นของท่านว่ามนุษย์ไม่ได้นำศาสนจักรนี้ แต่พระเยซูคริสต์ทรงนำด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงเตรียมและทรงดลใจคนที่พระองค์ทรงเรียกเป็นประธาน

“พลังแข็งแกร่งที่สุดของข้าพเจ้าตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาคือประจักษ์พยานอันยั่งยืนของข้าพเจ้าที่ว่านี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่ของมนุษย์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระประมุขของศาสนจักรนี้ พระองค์ทรงนำศาสนจักรทั้งในคำพูดและการกระทำ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติสุดพรรณนาที่ได้รับเรียกให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อเป็นประธานดูแลศาสนจักรของพระองค์ แต่หากปราศจากความรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระประมุขของศาสนจักร ทั้งข้าพเจ้าหรือใครก็ตามจะไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของการเรียกที่มาถึงได้

“ในการทำหน้าที่รับผิดชอบนี้ ข้าพเจ้ายอมรับพระหัตถ์อันน่าอัศจรรย์ของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงไว้ชีวิตข้าพเจ้าหลายครั้งและทรงฟื้นฟูกำลังของข้าพเจ้า ทรงนำข้าพเจ้ากลับจากขอบนิรันดรหลายครั้ง และทรงยอมให้ข้าพเจ้าปฏิบัติศาสนกิจในมรรตัยอีกช่วงหนึ่ง บางครั้งข้าพเจ้าสงสัยว่าเหตุใดจึงทรงไว้ชีวิตข้าพเจ้า แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าตัดคำถามนั้นออกไปแล้ว และขอเพียงศรัทธาและคำสวดอ้อนวอนของสมาชิกศาสนจักรเพื่อเราจะทำงานด้วยกันได้ ข้าพเจ้ากำลังทำงานกับท่านเพื่อทำให้จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเกิดสัมฤทธิผลในช่วงเวลานี้ของชีวิตเรา …

“สามสิบห้าปีแล้วตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับการสนับสนุนเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ช่วงปีเหล่านั้นเต็มไปด้วยการเตรียม … ตอนนี้ข้าพเจ้าเดินช้าลง แต่ความคิดแจ่มใสและจิตใจกระชุ่มกระชวย …

“เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ก่อนหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับการรับรองพร้อมการเรียกนี้ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงชี้นำศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าน้อมรับการเรียกให้รับใช้และประกาศพร้อมผู้เขียนสดุดีว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและเป็นโล่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้รับความอุปถัมภ์’ (สดุดี 28:7)”1

ประธานฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

เมื่อครั้งเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ประธานฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์แนะนำวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้ทำตามประธานศาสนจักร

คำสอนของฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์

1

ในแต่ละสมัยการประทาน พระผู้เป็นเจ้าทรงยกศาสดาพยากรณ์ขึ้นเป็นกระบอกเสียงของพระองค์

เมื่อคนหนึ่งพลิกหน้าพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เขาจะเห็นงานเขียนของบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในอดีตผู้ที่เราเรียกว่าศาสดาพยากรณ์ หนังสือในพันธสัญญาใหม่นอกจากสิ่งอื่นแล้วยังประกอบด้วยงานเขียน คำสอน และประวัติของชายในสมัยการประทานต่อมาผู้ได้รับการกำหนดให้เป็นศาสดาพยากรณ์ เรามีบันทึกของศาสดาพยากรณ์ทางซีกโลกตะวันตกด้วย ผู้เปล่งเสียงของพวกท่านประกาศพระวจนะของพระเจ้า คัดค้านความไม่ชอบธรรม และสอนหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณ ทั้งหมดนี้ได้ฝากพยานของท่านเหล่านั้นไว้

ศาสดาพยากรณ์คือคนที่พระเจ้าทรงเรียกและยกขึ้นเพื่อส่งเสริมจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางบุตรธิดาของพระองค์ ท่านคือคนที่ได้รับฐานะปุโรหิตและพูดด้วยสิทธิอำนาจ ศาสดาพยากรณ์คือครูและผู้ปกป้องพระกิตติคุณ พวกท่านกล่าวคำพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ศาสดาพยากรณ์ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบสำคัญที่สุดของพวกท่าน แม้จะมีหลักฐานบางอย่างยืนยันอำนาจการพยากรณ์ของพวกท่าน

แต่ละสมัยการประทานแห่งเวลาต้องการผู้นำที่ชอบธรรม และพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกศาสดาพยากรณ์เพื่อจุดประสงค์นี้นานมาแล้วก่อนพวกท่านมาดำรงอยู่ในความเป็นมรรตัย [ดู เยเรมีย์ 1:5; อับราฮัม 3:23]2

การศึกษาการเปิดเผยของพระเจ้าในงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่าการเปิดเผยต่อเนื่องนำทางศาสดาพยากรณ์และศาสนจักรในทุกยุคทุกสมัย หากไม่ใช่เพราะการเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง โนอาห์คงจะไม่ได้เตรียมรับอุทกภัยครั้งใหญ่ท่วมแผ่นดินโลก อับราฮัมคงไม่ได้รับการนำทางจากฮารานไปเฮโบรนแผ่นดินแห่งคำสัญญา การเปิดเผยอย่างต่อเนื่องนำลูกหลานอิสราเอลออกจากการเป็นทาสกลับไปแผ่นดินที่สัญญาไว้ของพวกเขา การเปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์นำทางงานเผยแผ่ศาสนา ชี้นำการสร้างพระวิหารโซโลมอนขึ้นใหม่ และยกเลิกการปฏิบัตินอกรีตที่แทรกซึมเข้าไปในหมู่ชาวอิสราเอล

ก่อนการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระคริสต์ พระองค์ทรงสัญญากับอัครสาวกสิบเอ็ดคนที่เหลือว่า “นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20) หลังจากเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงนำศาสนจักรโดยการเปิดเผยจนถึงการสิ้นชีวิตของอัครสาวกและการละทิ้งความเชื่อจากศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในเวลาต่อมา3

ศาสนจักรมีศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยตลอดประวัติศาสนจักรเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ พระประมุขของศาสนจักรคือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชี้นำศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ … ที่ปรึกษาของศาสดาพยากรณ์ [และ] สมาชิกสภาอัครสาวกสิบสอง … เป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยเช่นกัน … สมาชิกศาสนจักรต้องไม่ฟังเสียงแตรที่ไม่ชัดเจน พวกเขาจะเชื่อในเสียงผู้นำของพวกเขาโดยรู้ว่าพระเจ้าทรงนำทางพวกท่าน4

2

พระผู้เป็นเจ้าทรงนำทางบุตรธิดาของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

อัครสาวกคนเดียวกับผู้ที่บันทึกหนังสือวิวรณ์เห็นเครื่องหมายชัดเจนของวันเวลาสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้าในนิมิต ท่านกล่าวว่า:

“ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ” (วิวรณ์ 14:6.) …

เราเป็นพยานต่อคนทั้งโลกว่าทูตสวรรค์ได้ปรากฏในยุคของเราแล้ว โดยนำสิทธิอำนาจจากสวรรค์มาให้และฟื้นฟูความจริงที่สูญหายเพราะคำสอนและการปฏิบัติที่ด่างพร้อย พระผู้เป็นเจ้าตรัสใหม่อีกครั้งและยังคงให้การนำทางบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เราประกาศว่า พระองค์ทรงอยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์เสมอและทรงกำกับดูแลกิจธุระของศาสนจักรทั่วโลกตามที่ทรงสัญญาไว้ เฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา การเปิดเผยชี้นำการทำงานเผยแผ่ศาสนา การสร้างพระวิหาร การเรียกเจ้าหน้าที่ฐานะปุโรหิต และเตือนให้ระวังความชั่วร้ายของสังคมที่อาจไม่ยอมให้บุตรธิดาของพระบิดาได้รับความรอด

ในการเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธผู้พยากรณ์ยุคปัจจุบัน พระเจ้าตรัสดังนี้

“เพราะเรามิได้เลือกที่รักมักที่ชังผู้ใด, และประสงค์ให้คนทั้งปวงรู้ว่าวันนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว; ยังไม่ถึงโมงนั้น, แต่อยู่แค่เอื้อม, เมื่อสันติสุขจะถูกนำไปจากแผ่นดินโลก, และมารจะมีอำนาจเหนือการครอบครองของเขาเอง.

“และพระเจ้าจะมีอำนาจเหนือวิสุทธิชนของพระองค์ด้วย, และจะปกครองท่ามกลางพวกเขา” (คพ. 1:35-36)

พระผู้ช่วยให้รอดทรงกำลังปกครองท่ามกลางวิสุทธิชนทุกวันนี้ผ่านการเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงอยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์วันนี้และจะอยู่จนถึงอวสานของแผ่นดินโลก

ขอเราอย่ามีวิสัยทัศน์แคบจนเราคิดว่าการเปิดเผยมีให้คนสมัยโบราณเท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาและทรงรักบุตรธิดาของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัยและทรงเปิดเผยพระองค์ต่อสมัยนี้ในประวัติศาสตร์5

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระดำริและพระประสงค์ของพระองค์ต่อศาสดาพยากรณ์ที่พระองค์ทรงเจิม มีการเปิดเผยต่อเนื่องไม่ขาดสายหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่องจากต้นน้ำของสวรรค์ถึงผู้รับใช้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมไว้บนแผ่นดินโลก ตั้งแต่มรณกรรมของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ สุรเสียงของพระเจ้าถึงศาสดาพยากรณ์ของพระองค์มีต่อเนื่องเหมือนเดิม6

3

ในยุคของความอดอยากทางวิญญาณยุคนี้ เราจะพบความอุดมสมบูรณ์ทางวิญญาณโดยเอาใจใส่เสียงของศาสดาพยากรณ์

ความกันดารเป็นหนึ่งในหายนะทั่วไปของสมัยพันธสัญญาเดิม ผู้คนเข้าใจผลเสียอย่างมากของการเพาะปลูกไม่ได้ผลและผู้คนอดอยาก อาโมสทำให้ความเข้าใจนี้ชัดเจนโดยทำนายถึงความอดอยากทางวิญญาณ เขากล่าวว่า “… ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์” [อาโมส 8:11] …

รายงานยุคปัจจุบันเกี่ยวกับความสับสนและความคับข้องใจของบุคคลตลอดจนสถาบันศาสนาขณะที่พวกเขาพยายามแก้ข้อสงสัยและข้อขัดแย้งทางศาสนา เตือนเราให้นึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ของอาโมส “…เขาจะวิ่งไปวิ่งมาเพื่อแสวงหาพระวจนะของพระยาห์เวห์ แต่จะหาไม่พบ” [อาโมส 8:12]

พวกเขาพยายามหาทางออกโดยไม่สร้างบนศิลาแห่งความรอดขณะที่พระเจ้าตรัสว่าต้องสร้างบนนั้น [ดู มัทธิว 16:17-18] …

… ความสับสนและความคับข้องใจที่โลกกำลังประสบไม่ได้เป็นเรื่องปกติของสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักร … มีเสียงที่เชื่อได้พูดกับผู้มีศรัทธาและเต็มใจเชื่อ แน่นอนว่าเราอยู่ในยุคของความกันดารตามที่อาโมสกล่าวถึง … กระนั้นก็ตาม ในสภาพที่ดูเหมือนจะเป็นความกันดารทางวิญญาณ มีคนมากมายพบความอุดมสมบูรณ์ทางวิญญาณ

ประจักษ์พยานที่นอบน้อมของข้าพเจ้า … คือพระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟูครบถ้วนสมบูรณ์ในยุคสุดท้ายนี้และมีศาสดาพยากรณ์บนแผ่นดินโลกทุกวันนี้ผู้พูดถึงพระดำริและพระประสงค์ของพระเจ้ากับคนที่จะฟังและมีศรัทธาจะทำตาม7

4

ถ้าเราทำตามคำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต เราจะไม่ผิดพลาด

สำหรับคนในสมัยการประทานที่ผ่านมาและยุคก่อนๆ ศาสดาพยากรณ์คนสำคัญที่สุดคือคนที่มีชีวิตอยู่ สอน และเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าในสมัยของพวกท่าน ในแต่ละสมัยการประทานที่ผ่านมา พระเจ้าทรงยกศาสดาพยากรณ์ให้เป็นกระบอกเสียงของพระองค์สำหรับคนในยุคนั้นและสำหรับปัญหาของยุคนั้น

ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตในปัจจุบันคือผู้นำของเรา ครูของเรา เรารับการชี้นำในโลกปัจจุบันจากท่าน จากทุกมุมของแผ่นดินโลก เราผู้สนับสนุนท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าต่างแสดงความสำนึกคุณต่อแหล่งของการนำทางจากเบื้องบนนี้ …

ขณะหวนคิดถึงศาสดาพยากรณ์นับจากกาลเริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน เราตระหนักถึงพรอันยิ่งใหญ่ที่มาสู่เราจากอิทธิพลของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต ประวัติศาสตร์ควรสอนเราว่าหากเราไม่ยอมเอาใจใส่คำเตือนและทำตามคำสอนของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า เราจะต้องรับการพิพากษาจากพระผู้เป็นเจ้า8

เฉพาะประธานศาสนจักรเท่านั้นที่มีสิทธิ์รับการเปิดเผยสำหรับทั้งศาสนจักรหรือให้การตีความพระคัมภีร์หรือหลักคำสอนของศาสนจักรอย่างเป็นทางการ

“จะไม่กำหนดให้ใครรับบัญญัติและการเปิดเผยในศาสนจักรนี้เว้นแต่ [ประธานศาสนจักร], เพราะเขาได้รับสิ่งเหล่านั้นแม้ดังโมเสส” (คพ. 28:2)9

ถ้าเราทำตามคำแนะนำ คำปรึกษา และคำสอนของผู้นำศาสนจักรเมื่อพวกท่านแนะนำสั่งสอนเรา เราจะไม่ผิดพลาดในเรื่องที่สำคัญต่อความรอดและความสูงส่งของตัวเรา10

ข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความสำนึกคุณต่อการเปิดเผยซึ่งวางระบบอันน่าอัศจรรย์ไว้ปกครองศาสนจักรของพระองค์ ชายแต่ละท่านที่ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกและรับการวางมือมอบหน้าที่เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองล้วนได้รับการสนับสนุนให้เป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองได้รับการเรียกและวางมือแต่งตั้งให้ถือกุญแจของฐานะปุโรหิต มีสิทธิอำนาจและความรับผิดชอบในการปกครองศาสนจักร ปฏิบัติศาสนพิธี สอนหลักคำสอน วางแนวทางปฏิบัติของศาสนจักรและรักษาแนวทางนั้น

เมื่อประธานศาสนจักรป่วยหรือไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ในหน้าที่ทั้งหมดของตำแหน่งนั้น ที่ปรึกษาสองคนของท่านผู้ประกอบเป็นโควรัมฝ่ายประธานสูงสุดจะดำเนินงานของฝ่ายประธานสูงสุดกับท่าน ที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองจะพิจารณาคำถาม นโยบาย โปรแกรม หรือหลักคำสอนสำคัญทุกอย่างในสภาร่วมกับการสวดอ้อนวอน ไม่มีการตัดสินใจออกมาจากฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองหากปราศจากความเป็นเอกฉันท์ในบรรดาทุกคนที่เกี่ยวข้อง

โดยทำตามแบบฉบับที่ได้รับการดลใจนี้ ศาสนาจักรจึงรุดหน้าโดยไม่หยุดชะงัก การปกครองศาสนจักรและการใช้ของประทานแห่งการพยากรณ์มักจะมอบให้ผู้มีสิทธิอำนาจของการเป็นอัครสาวกเหล่านั้นเสมอผู้ที่ถือและใช้กุญแจทั้งหมดของฐานะปุโรหิต11

ศูนย์การประชุมใหญ่

“ช่วงการประชุมใหญ่เป็นเวลาของการฟื้นฟูทางวิญญาณเมื่อความรู้และประจักษ์พยานเพิ่มพูนและมั่นคง”

5

ในการประชุมใหญ่สามัญ เราได้รับคำแนะนำด้วยการดลใจจากศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย

ขณะข้าพเจ้าไตร่ตรองข่าวสารการประชุมใหญ่ [สามัญ] ข้าพเจ้าถามตนเองดังนี้ ฉันจะช่วยให้คนอื่นๆ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณและพรของพระบิดาบนสวรรค์ได้อย่างไร คำตอบอยู่ในการทำตามคำแนะนำที่ได้รับจากผู้ที่เราสนับสนุนเป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ขอให้เราศึกษาถ้อยคำของพวกท่าน ซึ่งพูดภายใต้พระวิญญาณแห่งการดลใจ และอ้างถึงบ่อยๆ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์ต่อวิสุทธิชนในการประชุมใหญ่ครั้งนี้12

คำแนะนำที่ได้รับการดลใจมากมายจากศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ ผู้เปิดเผย และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ของศาสนจักรมีให้ในช่วงการประชุมใหญ่สามัญ ศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันกระตุ้นเราให้อ่านนิตยสารศาสนจักรฉบับการประชุมใหญ่เป็นประจำและทำให้เป็นส่วนสำคัญของการศึกษาส่วนตัวของเรา ด้วยเหตุนี้ การประชุมใหญ่สามัญจึงกลายเป็นส่วนเสริมหรือส่วนขยายของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธ-สัญญา13

ช่วงการประชุมใหญ่เป็นเวลาของการฟื้นฟูทางวิญญาณเมื่อความรู้และประจักษ์พยานเพิ่มพูนและมั่นคงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และประทานพรคนเหล่านั้นที่ซื่อสัตย์ การประชุมใหญ่เป็นเวลาที่ความเข้าใจว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ลุกไหม้ในใจคนที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรับใช้พระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ การประชุมใหญ่เป็นเวลาที่ผู้นำของเราให้การชี้นำด้วยการดลใจในการดำเนินชีวิตของเรา—เวลาที่จิตวิญญาณตื่นตัวและเราตั้งปณิธานว่าจะเป็นสามีภรรยา บิดามารดาที่ดีขึ้น เป็นบุตรธิดาที่เชื่อฟังมากขึ้น เป็นมิตรสหายและเพื่อนบ้านที่ดีขึ้น …

เราผู้มาพบกันที่นี่วันนี้ [ในการประชุมใหญ่สามัญ] มีสิทธิ์ได้รับความรู้พิเศษจำเพาะเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระผู้ช่วยให้รอด สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเราก่อน คือคำประกาศของเราต่อโลกว่าเราได้รับการนำทางโดยศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของพระผู้เป็นเจ้า—ผู้สื่อสารกับพระเจ้า ได้รับการดลใจ และการเปิดเผยจากพระเจ้า14

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ทบทวนคำสอนของประธานฮันเตอร์ในหัวข้อ 1 เหตุใดพระผู้เป็นเจ้าจึงทรงจัดเตรียมศาสดาพยากรณ์ให้แต่ละสมัยการประทาน ศาสดาพยากรณ์ทำหน้าที่อะไรบ้าง เราจะช่วยให้เด็กมีประจักษ์พยานเกี่ยวกับศาสดาพยากรณ์ได้อย่างไร

  • การมีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตเป็นพรแก่เราในทุกวันนี้อย่างไร (ดู หัวข้อ 2) เหตุใดจึงสำคัญที่ต้องมี “การเปิดเผยต่อเนื่องไม่ขาดสาย” หลั่งไหลมาจากพระผู้เป็นเจ้าสู่ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของพระองค์

  • มีหลักฐานอะไรบ้างที่ยืนยันว่าเรามีชีวิตอยู่ในยุคของ “ความกันดารทางวิญญาณ” (ดู หัวข้อ 3) ท่านได้รับพรอะไรบ้างจากการเอาใจใส่เสียงของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต

  • ประธานฮันเตอร์สอนว่า “เฉพาะประธานศาสนจักรเท่านั้นมีสิทธิ์รับการเปิดเผยสำหรับทั้งศาสนจักร” (หัวข้อ 4) เหตุใดการรู้เช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ เหตุใดการรู้ว่า “เราจะไม่ผิดพลาด” เมื่อเราทำตามศาสดาพยากรณ์จึงเป็นประโยชน์

  • พิจารณาความสำคัญของการประชุมใหญ่สามัญในชีวิตท่าน (ดู หัวข้อ 5) คำสอนอะไรบ้างจากการประชุมใหญ่สามัญเป็นพรแก่ท่าน ท่านจะทำให้การประชุมใหญ่สามัญมีอิทธิพลแรงกล้ามากขึ้นในชีวิตท่านและครอบครัวท่านได้อย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

อาโมส 3:7; มัทธิว 10:41; ลูกา 1:68–70; งานแปลของโจเซฟ สมิธ, 2 เปโตร 1:20–21; โมไซยาห์ 8:15–18; คพ. 1:14–16, 37–38; 21:1, 4–6; 43:2–6; 107:91–92

ความช่วยเหลือด้านการสอน

ให้ชั้นเรียนเขียนคำถามบางข้อที่ผู้นับถือศาสนาอื่นอาจมีเกี่ยวกับหัวข้อของบทนี้ไว้บนกระดาน เชื้อเชิญสมาชิกชั้นเรียนให้ทบทวนบทนี้ โดยมองหาคำตอบของคำถามดังกล่าว แล้วแบ่งปันสิ่งที่พบ

อ้างอิง

  1. “Exceeding Great and Precious Promises,” Ensign, Nov. 1994, 7–8.

  2. ใน Conference Report, Oct. 1963, 99.

  3. “No Man Shall Add to or Take Away,” Ensign, May 1981, 65.

  4. “Spiritual Famine,” Ensign, Jan. 1973, 65.

  5. “No Man Shall Add to or Take Away,” 65.

  6. The Teachings of Howard W. Hunter, ed. Clyde J. Williams (1997), 196.

  7. “Spiritual Famine,” 64–65.

  8. ใน Conference Report, Oct. 1963, 101.

  9. The Teachings of Howard W. Hunter, 225.

  10. The Teachings of Howard W. Hunter, 223.

  11. “Exceeding Great and Precious Promises,” 7. ประธานฮันเตอร์พูดถึงหลักธรรมสำคัญเหล่านี้ขณะที่ท่านเป็นประธานศาสนจักร

  12. “Follow the Son of God,” Ensign, Nov. 1994, 87.

  13. The Teachings of Howard W. Hunter, 212.

  14. “Conference Time,” Ensign, Nov. 1981, 12–13.