คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 1: พระบิดาในสวรรค์ของเรา


บทที่ 1

พระบิดาในสวรรค์ของเรา

“ข้าพเจ้าปรารถนาจะเตือนท่านถึงพระลักษณะและรูปแบบในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อท่านอาจนมัสการพระองค์ในวิญญาณและความจริงเพื่อรับพรทั้งปวงจากพระกิตติคุณของพระองค์”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธอัศจรรย์ใจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคนั้น “ความก้าวหน้าอย่างมากเกิดจากความรู้ในด้านกลศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ การผ่าตัด และด้านอื่นๆ” ท่านกล่าว “มนุษย์สร้างกล้องดูดาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถมองเห็นกาแล็กซี่ที่ซ่อนอยู่ พวกเขาค้นพบโลกอันไพศาลของจุลินทรีย์ โดยการใช้กล้องจุลทรรศน์ … พวกเขาค้นพบวิธีควบคุมโรค … พวกเขาประดิษฐ์เครื่องจักรที่ละเอียดอ่อนกว่าการสัมผัสของมนุษย์ มองเห็นได้ไกลกว่าสายตามนุษย์ พวกเขาควบคุมสารและสร้างเครื่องจักรกลที่เคลื่อนย้ายภูเขาได้ และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาทำไว้ซึ่งมีมากมายเกินจะบรรยาย ใช่แล้ว นี่คือยุคที่วิเศษ” อย่างไรก็ตาม ท่านกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอีกอย่างหนึ่งที่ท่านมองเห็นในโลก ท่านเป็นห่วงว่า “การค้นพบและงานประดิษฐ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้นำมนุษย์ให้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น! ไม่ได้สร้างสรรค์จิตใจพวกเขาให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและวิญญาณของการกลับใจ แต่กลับนำการกล่าวโทษมาสู่พวกเขา … ศรัทธาไม่ได้เพิ่มขึ้นในโลก รวมทั้งความชอบธรรมหรือการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า”1

ขณะที่โลกยิ่งทวีความไม่ใส่ใจพระผู้เป็นเจ้า ประธานสมิธกลับแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดที่ท่านมีต่อพระบิดาในสวรรค์ หลานชายคนหนึ่งของท่านเล่าว่า “คุณแม่ทำอาหารเก่งมาก และคุณปู่ผมมารับประทานอาหารที่บ้านบ่อยๆ คุณพ่อผมมักจะขอให้ท่านสวดอ้อนวอนให้พรอาหาร การสวดอ้อนวอนของท่านแสดงความเป็นส่วนตัวเสมอ—ราวกับว่ากำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง”2

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

เริ่มจากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าได้รับการฟื้นฟูในสมัยของเรา

ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างมากต่อนิมิตแรก ที่พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์วัยหนุ่มและฟื้นฟูความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้ามาให้มนุษย์อีกครั้ง3

Joseph Smith in the Sacred Grove looking up at a light.

โดยผ่านนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ “ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า” ได้รับการฟื้นฟู

พึงเป็นที่จดจำว่าโลกของชาวคริสต์ทั้งหมดในปี 1820 สูญเสียหลักคำสอนที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ความจริงอันเรียบง่ายซึ่งเป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดโดยอัครสาวกและวิสุทธิชนสมัยโบราณได้สาบสูญไปในความลี้ลับของโลกที่ละทิ้งความเชื่อ ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณทั้งหมดและอัครสาวกของพระเยซูคริสต์มีความเข้าใจอันแจ้งชัดว่าพระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระอติรูปที่แยกกันตามที่พระคัมภีร์ของเราสอนไว้อย่างชัดเจนมาก โดยการละทิ้งความเชื่อ ความรู้นี้จึงสาบสูญไป … พระผู้เป็นเจ้ากลายเป็นพระเจ้าที่ลี้ลับ ทั้งพระบิดาและพระบุตรได้รับการพิจารณาโดยไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าทรงเป็นวิญญาณเดียวกัน ไม่มีร่างกาย อวัยวะหรือความปรารถนา การเสด็จมาของพระบิดาและพระบุตรวางพยานจากสวรรค์ไว้บนแผ่นดินโลก ผู้ที่สามารถใช้ความรู้ฟื้นฟูให้โลกทราบถึงพระลักษณะอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า4

นิมิต [แรก] ของโจเซฟ สมิธทำให้เป็นที่กระจ่างว่าพระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระอติรูปที่แยกกัน ทรงมีพระวรกายที่จับต้องได้เหมือนร่างกายมนุษย์ ท่านได้รับการเปิดเผยต่อมาด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นรูปกายที่เป็นวิญญาณซึ่งแยกกันจากพระบุคลิกลักษณะของพระบิดาและพระบุตร [ดู คพ. 130:22] ความจริงซึ่งสำคัญที่สุดทำให้โลกระส่ำระสาย แต่เมื่อเราพิจารณาคำบรรยายอันแจ้งชัดของงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ นี่คือข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งและยอดเยี่ยมที่สุดที่มนุษย์บิดเบือนไป พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “พระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” [ยอห์น 14:28] และหลังการฟื้นคืนพระชนม์พระองค์ทรงเชื้อเชิญสานุศิษย์ให้คลำพระองค์ดูว่านี่คือพระองค์ และตรัสว่า “เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” [ลูกา 24:39] อัครสาวกเข้าใจอย่างชัดเจนถึงรูปกายของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพวกท่านอ้างถึงในสาสน์ของพวกท่านเสมอ และเปาโลแจ้งความจริงแก่ชาวเมืองโครินธ์ว่าเมื่อทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระบิดา “เมื่อนั้นพระบุตรพระองค์เองก็จะทรงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า ผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกในทุกสิ่ง” [1 โครินธ์ 15:28]

โจเซฟ สมิธเห็นพระบิดาและพระบุตร ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นพยานได้ด้วยความรู้โดยส่วนตัวว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง ซึ่งในนั้นเราอ่านว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” [ปฐมกาล 1: 27] สิ่งนี้ต้องเป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มิใช่ความหมายอันลี้ลับหรือเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา5

2

การใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและการนมัสการพระองค์ เราต้องมีความเข้าใจถึงพระคุณลักษณะของพระองค์

การเปิดเผยอย่างหนึ่งบอกเราว่าหากเราต้องรับรัศมีภาพในพระคริสต์ เหมือนพระองค์อยู่ในพระบิดา เราต้องเข้าใจและทราบทั้งวิธีนมัสการและสิ่งที่เรานมัสการ (ดู คพ. 93:19–20)

ข้าพเจ้าปรารถนาจะเตือนท่านถึงพระลักษณะและรูปแบบในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ท่านอาจนมัสการพระองค์ในวิญญาณและในความจริงเพื่อรับพรทั้งปวงแห่งพระกิตติคุณของพระองค์

เราทราบว่าเรารู้จักพระผู้เป็นเจ้าโดยการเปิดเผยเท่านั้น เราจะเข้าใจพระลักษณะของพระองค์ได้โดยสิ่งที่เปิดเผยต่อเรา มิฉะนั้นเราจะไม่มีทางรู้ได้เลย เราต้องไปหาพระคัมภีร์—ไม่ใช่ไปหานักวิทยาศาสตร์หรือนักปรัชญา—หากเราต้องเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า อันที่จริง คำพยากรณ์สำคัญของยอห์นเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณโดยเทพองค์หนึ่งที่เหาะไปในสวรรค์กล่าวว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อมนุษย์จะมาสู่ความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงและเรียนรู้ว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ … จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” (วิวรณ์ 14:7) อีกนัยหนึ่ง การเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูพระกิตติคุณในสมัยการประทานนี้ มนุษย์จะได้รับเรียกอีกครั้งให้นมัสการและรับใช้พระผู้สร้างของพวกเขาแทนแนวคิดผิดๆ เรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่แพร่หลายอยู่ในโลก

ในทุกยุคทุกสมัย ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าได้รับเรียกให้ต่อต้านการนมัสการแบบผิดๆ และประกาศความจริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ในสมัยอิสราเอลโบราณ มีบางคนที่นมัสการรูปเคารพและเทพเจ้านอกศาสนา อิสยาห์ถามว่า “ท่านทั้งหลายจะเปรียบพระเจ้าเหมือนกับใคร หรือเปรียบพระองค์คล้ายกับอะไร

“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ? พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าใจของพระองค์ก็เหลือจะหยั่งรู้ได้” (อิสยาห์ 40:18, 28)

โลกส่วนใหญ่ทุกวันนี้ไม่มีความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ใน [ศาสนจักร] ก็ยังมีคนที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพระสัตภาวะอันทรงรัศมีภาพผู้ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของเรา สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่มีความรู้นี้ เราอาจกล่าวได้ว่า “เหตุใดท่านจึงจำกัดรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าไว้ หรือเหตุใดท่านจึงควรคาดหวังว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่น้อยกว่าที่ทรงเป็นอยู่ ท่านรู้แล้วมิใช่หรือ ท่านเคยได้ยินมามิใช่หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ พระผู้สร้างสุดปลายแผ่นดินโลก ทรงเป็นอนันต์และนิรันดร์ พระองค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง ทรงมีอานุภาพทั้งปวง และทรงมีอำนาจการปกครองทั้งปวง พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และทุกสิ่งอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์”

ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 20 ซึ่งแนะนำศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้วางระเบียบศาสนจักรอีกครั้งในสมัยการประทานนี้ เรามีข้อสรุปซึ่งได้รับการเปิดเผยถึงหลักคำสอนแห่งความรอดในเบื้องต้น การเปิดเผยเกี่ยวกับพระเจ้ากล่าวไว้ดังนี้ “… มีพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์, ผู้ทรงเป็นอนันต์และเป็นนิรันดร์, จากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันผู้ไม่เปลี่ยนแปลง, ผู้รังสฤษฏ์ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก, และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในนั้น” (คพ. 20:17) …

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะซึ่งมนุษย์ได้รับการสร้างตามรูปลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกสัมผัสได้ดังของมนุษย์ (คพ. 130:22) พระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่แท้จริงและเป็นส่วนตัวของวิญญาณมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผู้ทรงสรรพปรีชาญาณ พระองค์ทรงมีพระพลานุภาพ และพระปรีชาญาณทั้งปวง ความดีพร้อมของพระองค์ประกอบด้วยความรู้ทั้งปวง ศรัทธาหรือเดชานุภาพทั้งปวง ความยุติธรรมทั้งปวง วิจารณญาณทั้งปวง ความเมตตาทั้งปวง ความจริงทั้งปวง และความสมบูรณ์แบบแห่งพระคุณลักษณะทั้งปวงของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า … หากเราต้องมีศรัทธาอันดีพร้อมนั้นเพื่อรับชีวิตนิรันดร์ เราต้องเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าในฐานะผู้ทรงครอบครองความเพียบพร้อมของพระอุปนิสัยและพระคุณลักษณะทั้งปวง ข้าพเจ้ากล่าวเช่นกันว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะนิรันดร์และหาที่สิ้นสุดมิได้ และในฐานะพระสัตภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงครอบครองเดชานุภาพและพระคุณลักษณะอันดีพร้อมจากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ ซึ่งหมายถึงจากนิรันดรสู่นิรันดร 6

เราทราบว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นพระอติรูปผู้สูงส่งและทรงรัศมีภาพ ผู้ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง อานุภาพทั้งปวง อำนาจการปกครองทั้งปวง และพระองค์ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เราเป็นพยานว่า โดยผ่านพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างของโลกนี้และโลกหลายโลกนับไม่ถ้วน7

3

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระสัตภาวะและพระบิดาของวิญญาณเรา

เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา … เราเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ … เราเคยพำนักอยู่กับพระองค์เป็นเวลานานในชีวิตก่อนเกิดของเรา … พระองค์ทรงสถาปนาแผนแห่งความก้าวหน้าและแผนแห่งความรอดซึ่งจะทำให้เราเจริญก้าวหน้าจนกว่าเราจะเป็นเหมือนพระองค์ หากเราซื่อสัตย์และแน่วแน่ในทุกสิ่ง8

ในพระคัมภีร์สอนเราว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของเราจริงแท้แน่นอน และไม่ใช่ความหมายของการเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา พระดำรัสที่พระผู้ไถ่ตรัสกับมารีย์ใกล้อุโมงค์ฝังพระศพซึ่งพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และมีชัยชนะเหนือความตาย พิเศษสุดและมีความหมายอันล้ำเลิศ “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” [ยอห์น 20:17] ในพระดำรัสเหล่านี้ ความจริงของความเป็นพระบิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการประกาศอย่างเฉียบขาดโดยพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ ผู้ทรงประกาศว่าพระองค์คือพี่ชายของเราและเรามีพระบิดานิรันดร์องค์เดียวกัน 9

ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่ความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าและกฎต่างๆ ของพระองค์ได้รับการฟื้นฟูในยุคสมัยของเราและเราที่เป็นสมาชิกของศาสนจักรทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะและไม่เป็นตามที่คนนอกศาสนากล่าวว่า “ความสับสน [ความโกลาหล] ของกฎหลั่งไหลมาราวกับหมอกในจักรวาล” ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ พระบิดาของวิญญาณเรา และพระองค์ทรงสถาปนากฎเพื่อเราจะเจริญก้าวหน้าจนเป็นเหมือนพระองค์ได้ และข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะนิรันดร์และหาที่สิ้นสุดมิได้ ผู้ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง และความก้าวหน้าของพระองค์มิอาจได้รับความรู้หรืออำนาจมากไปกว่านี้ ไม่มีความดีพร้อมเกินไปกว่านี้แล้วในพระคุณลักษณะของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ แต่ในการเพิ่มพูนและทวีคูณแห่งอาณาจักรของพระองค์10

4

พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราและทรงสนพระทัยเราแต่ละคน

ข้าพเจ้านึกถึงถ้อยคำที่กล่าวไว้ในไข่มุกอันล้ำค่า ในนิมิตของโมเสส ซึ่งให้ไว้ขณะที่โมเสสถูกนำไปยังภูเขาสูงยิ่งท่านเห็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าและพูดกับพระองค์ พระเจ้าทรงแสดง “หัตถศิลป์จากพระหัตถ์ของพระองค์” แก่โมเสส โมเสสเห็นโลก และลูกหลานทั้งปวงของมนุษย์จนถึงอนุชนรุ่นสุดท้าย [ดู โมเสส 1:1–8, 27–29]

และพระเจ้าทรงตรัสแก่โมเสสว่า:

“เพราะดูเถิด, มีหลายโลกที่สูญสิ้นไปโดยคำแห่งอำนาจของเรา. และมีมากมายที่ตั้งอยู่เดี๋ยวนี้, และมีนับไม่ถ้วนสำหรับมนุษย์; แต่เรานับสิ่งทั้งปวงไว้สำหรับเรา, เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของเราและเรารู้จักมัน.

“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือโมเสสทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า: ขอทรงเมตตาผู้รับใช้ของพระองค์เถิด, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, และทรงบอกข้าพระองค์เกี่ยวกับแผ่นดินโลกนี้, และผู้อยู่อาศัยในนั้น, และฟ้าสวรรค์ด้วย, และจากนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จะพอใจ.

“และพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งกับโมเสส, โดยตรัสว่า: ฟ้าสวรรค์นั้น, มีมากมาย, และไม่สามารถนับได้สำหรับมนุษย์; แต่นับไว้สำหรับเรา, เพราะมันเป็นของเรา.” [โมเสส 1:35–37]

… ข้าพเจ้าคิดว่าแม้จะมีโลกอยู่มากมายนับไม่ถ้วนและความมหึมาของโลกจำนวนมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะบรรลุเป้าหมายมิใช่เป้าหมายโดยตัวของมันเอง พระบิดาทรงสร้างโลกทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์–ทรงวางบุตรธิดาของพระองค์ไว้ที่นั่น หลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 76 บอกเราว่า โดยผ่านพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า “โลกต่างๆ สร้างขึ้นมาและเคยสร้างขึ้นมาแล้ว, และผู้อยู่อาศัยในนั้นเป็นบุตรและธิดาที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า” [คพ. 76:24]

เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์เหล่านี้ จากที่ข้าพเจ้าอ่านและจากการเปิดเผยอื่นๆ ที่มาจากพระเจ้า ว่ามนุษย์สำคัญที่สุดในการสร้างทั้งหมดของพระบิดา ในนิมิตเดียวกันนี้ที่ประทานแก่โมเสส พระบิดาตรัสว่า “และดังแผ่นดินโลกหนึ่งจะสูญสิ้นไป, และฟ้าสวรรค์ของมันฉันใด แม้ฉันนั้นแผ่นดินโลกใหม่จะอุบัติ; และไม่มีที่สิ้นสุดกับงานของเรา, ไม่ทั้งกับถ้อยคำของเรา. เพราะดูเถิด, นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” [โมเสส 1:38—39]

จากข้อความนี้และข้อความอื่นในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้ากล่าว เราเรียนรู้ว่างานอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาคือการทำให้บุตรธิดาแต่ละคนได้รับความรอดเป็นรางวัลซึ่งรางวัลแต่ละอย่างประทานให้ตามงานของเขา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงสนพระทัยจิตวิญญาณ—หนึ่งจิตวิญาณของบุตรธิดาของพระองค์—มากกว่าบิดาทางโลกคนหนึ่งจะมีให้แก่บุตรคนหนึ่งของเขาได้ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักที่บิดาทางโลกมีต่อบุตรธิดาของเขา11

One oil painting depicting Moses late in his life with a white beard, holding a staff, and shielding his eyes, as he stands on a peet on Mr. Nebo looking at the promised land provided for the children of Israel.  Signed on the lowere right corner.  Signed and dated on the back along with the title.

ภาพโมเสสกำลังมองไปยังแผ่นดินแห่งคำสัญญา ท่านได้รับนิมิตซึ่งในนิมิตนั้นท่านได้เรียนรู้เรื่องงานและรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้า

5

พระบิดาบนสวรรค์ทรงกันแสงให้แก่บุตรธิดาของพระองค์ที่ไม่เชื่อฟัง

เราทราบว่าเมื่อพระเจ้ารับสั่งกับเอโนคพลางแสดงให้ท่านเห็นประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลกและทรงอธิบายถึงลักษณะของการลงโทษที่อาจเกิดกับพวกเขาเพราะการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าทรงกันแสงและแสดงให้เห็นถึงความโทมนัสด้วยน้ำพระเนตรเพราะความไม่เชื่อฟังของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เอโนคประหลาดใจและคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกที่พระเจ้าทรงกันแสงได้

ข้อความนี้กล่าวว่า:

“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทอดพระเนตรพวกที่เหลืออยู่ของผู้คน, และพระองค์ทรงกันแสง; และเอโนคกล่าวคำพยานถึงเรื่องนี้, โดยกล่าวว่า: ไฉนสวรรค์จึงร่ำไห้, และหลั่งน้ำตาของพวกเขาให้ไหลรินดังสายฝนบนภูเขา?

“และเอโนคทูลพระเจ้า: ไฉนพระองค์จะทรงกันแสงได้, โดยเห็นว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์, และดำรงอยู่จากชั่วนิรันดรถึงชั่วนิรันดร?

“และหากอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะนับอนุภาคทั้งหลายของแผ่นดินโลกได้, แท้จริงแล้ว, แผ่นดินโลกนับล้านๆ เฉกเช่นโลกนี้, ก็ยังไม่ถือว่านี่คือการเริ่มต้นจำนวนงานสร้างทั้งหลายของพระองค์; และม่านทั้งหลายของพระองค์ยังคงกางกั้นไว้; ทว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น; และพระอุระของพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น; และพระองค์ทรงเที่ยงธรรมด้วย, พระองค์ทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาตลอดกาล” [โมเสส 7:28–30]

และพระเจ้าตรัสตอบว่า “… จงดูพี่น้องเหล่านี้ของเจ้า; พวกเขาคือหัตถศิลป์จากมือเราเอง, และเราให้ความรู้แก่พวกเขา, ในวันที่เราสร้างพวกเขา; และในสวนแห่งเอเดน, เราให้สิทธิ์เสรีของมนุษย์แก่เขา;

“และแก่พี่น้องเจ้าเรากล่าว, และให้บัญญัติไว้ด้วย, ว่าพวกเขาจะรักกัน, และว่าพวกเขาจะเลือกเรา, พระบิดาของพวกเขา; แต่ดูเถิด, พวกเขาปราศจากความรัก, และพวกเขาเกลียดชังสายโลหิตของตนเอง” [โมเสส 7:32–33]

นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพระเจ้าทรงกันแสงและเหตุใดสวรรค์จึงร่ำไห้

พี่น้องชายคนหนึ่งเคยถามข้าพเจ้าครั้งหนึ่งว่าคนคนหนึ่งจะมีความสุขอย่างแท้จริงในอาณาจักรซีเลสเชียลได้หรือไม่หากลูกคนหนึ่งของเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้น ข้าพเจ้าบอกเขาว่าข้าพเจ้าคิดว่าใครก็ตามที่โชคร้ายจนถึงขนาดที่ลูกคนหนึ่งเข้าไปในอาณาจักรซีเลสเชียลไม่ได้ แน่นอนว่า เขาจะรู้สึกเสียใจเพราะสภาพนั้น และนั่นคือสภาพที่พระบิดาในสวรรค์ทรงรู้สึก ไม่ใช่บุตรธิดาของพระองค์ทุกคนมีค่าควรต่อรัศมีภาพซีเลสเชียล หลายคนจำต้องทนทุกข์กับพระพิโรธของพระองค์เพราะการล่วงละเมิดของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้พระบิดาและทั้งฟ้าสวรรค์โทมนัสร่ำไห้ พระเจ้าทรงทำงานตามกฎธรรมชาติ มนุษย์ต้องได้รับการไถ่ตามกฎและรางวัลของเขาต้องขึ้นอยู่กับกฎของความยุติธรรม เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะไม่ประทานรางวัลแก่มนุษย์ที่ไม่คู่ควร แต่จะประทานรางวัลแก่มนุษย์ตามงานของพวกเขา

… ข้าพเจ้าอิ่มเอมใจที่พระบิดาในสวรรค์จะทรงช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดและประทานรัศมีภาพซีเลสเชียลแก่พวกเขา แม้ความสมบูรณ์แห่งความสูงส่ง หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ในเมื่อพระองค์ประทานสิทธิ์เสรีแก่มนุษย์ จึงจำเป็นที่มนุษย์ต้องเชื่อฟังความจริงตามที่เปิดเผยไว้เพื่อรับความสูงส่งของคนชอบธรรม12

6

พระบิดาบนสวรรค์ทรงเตรียมทางแห่งการไถ่เพื่อให้เราสามารถกลับคืนสู่ที่ประทับของพระองค์

เมื่ออาดัมอยู่ในสวนเอเดน ท่านอยู่ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาของเรา … หลังจากที่ท่านถูกขับออกจากสวนเอเดน สภาพการณ์จึงเปลี่ยนไป อาดัมถูกขับออกจากที่ประทับของพระบิดาเพราะการล่วงละเมิดของท่าน พระคัมภีร์กล่าวว่าท่านตายทางวิญญาณ—สิ่งนี้ทำให้ท่านออกห่างจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า13

ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรับอำนาจจากพระบิดาเพื่อไถ่มนุษย์จากความตายทางร่างกายและทางวิญญาณที่การตกของอาดัมนำเข้ามาในโลก14

มีทางเดียวเท่านั้นสำหรับการไถ่ ทางเดียวที่การชดเชยนั้นทำให้วิญญาณกลับคืนสู่ร่างกายอีกครั้ง นั่นคือโดยการชดใช้อันไม่มีขอบเขต และการนี้ต้องอาศัยพระสัตภาวะอันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของความตาย ทว่า มีอำนาจที่จะตายและมีอำนาจเหนือความตายเช่นกัน ดังนั้น พระบิดาในสวรรค์ของเราจึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มายังโลกพร้อมด้วยพระชนม์ชีพในพระองค์เอง และเพราะพระองค์ [พระเยซูคริสต์] ทรงมีพระมารดาที่มีเลือดในเส้นเลือดของเธอ พระองค์จึงมีอำนาจที่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงสามารถพลีพระวรกายแก่ความตายและนำกลับมาได้อีกครั้ง ข้าพเจ้าขออ่านพระดำรัสของพระองค์ดังนี้ “เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก

“ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:17–18) 15

พระบิดาในสวรรค์ไม่ทรงมีจุดมุ่งหมายที่จะปล่อยให้มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสคลำหาทางของพวกเขาในความมืดโดยไม่มีแสงสว่างนำทางพวกเขา แล้วคาดหวังให้พวกเขาค้นหาทางกลับสู่อาณาจักรและที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์ภายใต้สภาพดังกล่าว นั่นไม่ใช่วิถีของพระเจ้า หลายยุคหลายสมัยนับจากกาลเริ่มต้นลงมา พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงมีน้ำพระทัยต่อบุตรธิดาของพระองค์และเต็มพระทัยที่จะประทานการนำทางแก่พวกเขา นับตั้งแต่ยุคต้นๆ สวรรค์เปิดออก พระเจ้าทรงส่งผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระองค์ลงมาแต่งตั้งผู้รับใช้จากสวรรค์ มนุษย์ที่ดำรงสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตได้รับมอบหมายให้สอนหลักธรรมพระกิตติคุณ เพื่อเตือนผู้คนและสอนความชอบธรรมแก่พวกเขา มนุษย์เหล่านี้ได้รับความรู้ การดลใจและการนำทางนี้จากผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือความจริงในสมัยการประทานของเราเอง ไม่จำเป็นที่มนุษย์ต้องหลับตาและรู้สึกว่าไม่มีความสว่างแล้วจึงต้องพึ่งพาเหตุผลของเขาเท่านั้น เพราะพระเจ้าเต็มพระทัยที่จะนำและชี้ทาง พระองค์ทรงส่งผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระองค์ลงมาดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ พระองค์ประทานการเปิดเผย ทรงบัญชาให้บันทึกและจัดพิมพ์พระดำรัสของพระองค์เพื่อคนทั้งปวงจะได้รู้จักสิ่งนี้16

ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน กล่าวแก่ทั้งศาสนจักร และแก่คนทั้งโลกถึงสิ่งนั้นว่า พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความรัก ทรงรับสั่งจากสวรรค์กับผู้รับใช้ของพระองค์ ศาสดาพยากรณ์ในยุคสุดท้ายนี้อีกครั้ง

สุรเสียงของพระองค์เชื้อเชิญให้มนุษย์ทั้งปวงมาสู่พระบุตรที่รักของพระองค์ เพื่อเรียนรู้จากพระองค์ เพื่อรับส่วนพระคุณความดีของพระองค์ เพื่อนำเอาแอกของพระองค์แบกไว้ และทำให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับพวกเขาโดยการเชื่อฟังกฎแห่งพระกิตติคุณของพระองค์ สุรเสียงของพระองค์เป็นสุรเสียงแห่งรัศมีภาพและเกียรติ สันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง17

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ท่านคิดว่าอะไรนำคนๆ หนึ่งให้สามารถสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าได้ “ราวกับว่ากำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง” (“จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) พิจารณาวิธีที่ท่านสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สัมพันธภาพของท่านกับพระบิดาบนสวรรค์

  • ประธานสมิธแสดงความขอบคุณนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ ซึ่งฟื้นฟู “ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า” (หัวข้อที่ 1) มีความจริงอะไรบ้างที่ท่านทราบเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์อันเนื่องมาจากนิมิตแรกนั้น

  • คุณลักษณะใดของพระผู้เป็นเจ้าที่ประธานสมิธกล่าวถึงในหัวข้อที่ 2 ซึ่งมีความหมายต่อท่านมากที่สุด เพราะเหตุใด ขณะที่ท่านใช้ศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์ของท่าน ศรัทธาช่วยให้ท่านรู้จักพระคุณลักษณะของพระองค์อย่างไร

  • ประธานสมิธเป็นพยานว่า “เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา … เราเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์” (หัวข้อที่ 3) ความจริงดังกล่าวมีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร

  • ในหัวข้อที่ 4 และ 5 การแสดงออกใดที่ช่วยให้ท่านรู้สึกถึงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อท่าน เหตุใดจึงสำคัญที่จะเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราและทรงสนพระทัยเราแต่ละคน เราสามารถช่วยให้สมาชิกครอบครัวและเพื่อนๆ รู้สึกถึงความรักของพระองค์ได้อย่างไร

  • นึกถึงสิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงทำเพื่อช่วยให้เรากลับไปยังที่ประทับของพระองค์ได้ (ดูหัวข้อที่ 6) ท่านรู้สึกอย่างไรขณะนึกถึงการที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งพระบุตรที่รักของพระองค์มา พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่ง “แสงสว่างมานำทาง [ท่าน]” ด้วยวิธีใดบ้าง

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

ยอห์น 3:16; 17:3; 1 นีไฟ 11:17; แอลมา 30:44

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“มีวิธีสอนอย่างหนึ่งที่ใช้กันในศาสนจักรมาโดยตลอด นั่นคือการบรรยาย ในห้องเรียนเราไม่ค่อยใช้การบรรยายมากนัก เราใช้ในการประชุมศีลระลึกและการประชุมใหญ่ แต่การสอนเป็นการสื่อสารสองทางเพื่อว่าเราจะตั้งคำถามได้ ในชั้นเรียนเราใช้คำถามได้สะดวก” บอยด์ เค. แพคเกอร์, “หลักธรรมของการสอนและการเรียนรู้” (เลียโฮนา,มิ.ย. 2007 หน้า 55

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, เม.ย. 1943 หน้า 15–16

  2. ต้นฉบับไม่ได้จัดพิมพ์ โดยฮอยท์ ดับเบิลยู. บรูว์สเตอร์ จูเนียร์

  3. ใน Conference Report, เม.ย. 1930 หน้า 90

  4. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์, ฉบับที่ 5 (1957–1966), 3:117

  5. “Origin of the First Vision,” Improvement Era, เม.ย. 1920, 496–97; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 1:2–3 ด้วย

  6. “The Most Important Knowledge,” Ensign, พฤษภาคม ค.ศ. 1971 หน้า 2–3

  7. “Out of the Darkness,” Ensign, มิถุนายน ค.ศ. 1971 หน้า 2

  8. Sealing Power and Salvation, การปราศรัยแห่งปีที่มหาวิยาลัยบริคัมยังก์ (12 ม.ค. 1971) หน้า 2

  9. “Purpose and Value of Mortal Probation,” Deseret News, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 12 มิถุนายน ค.ศ. 1949, 21; ดู Doctrines of Salvation, 1:1 ด้วย

  10. “The Most Important Knowledge,” 3

  11. ใน Conference Report, เม.ย. 1923 หน้า 135–136. หมายเหตุ นิมิตของโมเสสที่บันทึกไว้ใน โมเสส 1 เป็นตัวอย่างที่พระผู้ช่วยให้รอดรับสั่งพระดำรัสของพระบิดาโดยสิทธิอำนาจจากสวรรค์ (ดู “The Father and the Son: A Doctrinal Exposition by the First Presidency and the Twelve,” Improvement Era, ส.ค. 1916, 939; พิมพ์ซ้ำ ใน Ensign, เม.ย. 2002 หน้า 17). ข้อความพระคัมภีร์และบทวิจารณ์โดยโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ ในบทนี้แสดงให้เห็นว่าพระดำรัสใน โมเสส 1 คือพระดำริและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดา

  12. ใน Conference Report, เม.ย. 1923 หน้า 136–137, 139. ดู อ้างอิง 11 ในบทนี้ ซึ่งประยุกต์ใช้กับนิมิตของเอโนคที่บันทึกไว้เช่นกันใน โมเสส 7 ด้วย

  13. ใน Conference Report, ต.ค. 1953 หน้า 58

  14. “A Witness and a Blessing,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 109

  15. ใน Conference Report, เม.ย. 1967 หน้า 122

  16. ใน Conference Report, ต.ค. 1931 หน้า 15

  17. “A Witness and a Blessing,” 109