บทที่ 1
พระบิดาในสวรรค์ของเรา
“ข้าพเจ้าปรารถนาจะเตือนท่านถึงพระลักษณะและรูปแบบในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อท่านอาจนมัสการพระองค์ในวิญญาณและความจริงเพื่อรับพรทั้งปวงจากพระกิตติคุณของพระองค์”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธอัศจรรย์ใจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคนั้น “ความก้าวหน้าอย่างมากเกิดจากความรู้ในด้านกลศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ การผ่าตัด และด้านอื่นๆ” ท่านกล่าว “มนุษย์สร้างกล้องดูดาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถมองเห็นกาแล็กซี่ที่ซ่อนอยู่ พวกเขาค้นพบโลกอันไพศาลของจุลินทรีย์ โดยการใช้กล้องจุลทรรศน์ … พวกเขาค้นพบวิธีควบคุมโรค … พวกเขาประดิษฐ์เครื่องจักรที่ละเอียดอ่อนกว่าการสัมผัสของมนุษย์ มองเห็นได้ไกลกว่าสายตามนุษย์ พวกเขาควบคุมสารและสร้างเครื่องจักรกลที่เคลื่อนย้ายภูเขาได้ และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาทำไว้ซึ่งมีมากมายเกินจะบรรยาย ใช่แล้ว นี่คือยุคที่วิเศษ” อย่างไรก็ตาม ท่านกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอีกอย่างหนึ่งที่ท่านมองเห็นในโลก ท่านเป็นห่วงว่า “การค้นพบและงานประดิษฐ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้นำมนุษย์ให้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น! ไม่ได้สร้างสรรค์จิตใจพวกเขาให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและวิญญาณของการกลับใจ แต่กลับนำการกล่าวโทษมาสู่พวกเขา … ศรัทธาไม่ได้เพิ่มขึ้นในโลก รวมทั้งความชอบธรรมหรือการเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า”1
ขณะที่โลกยิ่งทวีความไม่ใส่ใจพระผู้เป็นเจ้า ประธานสมิธกลับแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดที่ท่านมีต่อพระบิดาในสวรรค์ หลานชายคนหนึ่งของท่านเล่าว่า “คุณแม่ทำอาหารเก่งมาก และคุณปู่ผมมารับประทานอาหารที่บ้านบ่อยๆ คุณพ่อผมมักจะขอให้ท่านสวดอ้อนวอนให้พรอาหาร การสวดอ้อนวอนของท่านแสดงความเป็นส่วนตัวเสมอ—ราวกับว่ากำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง”2
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
เริ่มจากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าได้รับการฟื้นฟูในสมัยของเรา
ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างมากต่อนิมิตแรก ที่พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์วัยหนุ่มและฟื้นฟูความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้ามาให้มนุษย์อีกครั้ง3
พึงเป็นที่จดจำว่าโลกของชาวคริสต์ทั้งหมดในปี 1820 สูญเสียหลักคำสอนที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ความจริงอันเรียบง่ายซึ่งเป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดโดยอัครสาวกและวิสุทธิชนสมัยโบราณได้สาบสูญไปในความลี้ลับของโลกที่ละทิ้งความเชื่อ ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณทั้งหมดและอัครสาวกของพระเยซูคริสต์มีความเข้าใจอันแจ้งชัดว่าพระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระอติรูปที่แยกกันตามที่พระคัมภีร์ของเราสอนไว้อย่างชัดเจนมาก โดยการละทิ้งความเชื่อ ความรู้นี้จึงสาบสูญไป … พระผู้เป็นเจ้ากลายเป็นพระเจ้าที่ลี้ลับ ทั้งพระบิดาและพระบุตรได้รับการพิจารณาโดยไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าทรงเป็นวิญญาณเดียวกัน ไม่มีร่างกาย อวัยวะหรือความปรารถนา การเสด็จมาของพระบิดาและพระบุตรวางพยานจากสวรรค์ไว้บนแผ่นดินโลก ผู้ที่สามารถใช้ความรู้ฟื้นฟูให้โลกทราบถึงพระลักษณะอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า4
นิมิต [แรก] ของโจเซฟ สมิธทำให้เป็นที่กระจ่างว่าพระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระอติรูปที่แยกกัน ทรงมีพระวรกายที่จับต้องได้เหมือนร่างกายมนุษย์ ท่านได้รับการเปิดเผยต่อมาด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นรูปกายที่เป็นวิญญาณซึ่งแยกกันจากพระบุคลิกลักษณะของพระบิดาและพระบุตร [ดู คพ. 130:22] ความจริงซึ่งสำคัญที่สุดทำให้โลกระส่ำระสาย แต่เมื่อเราพิจารณาคำบรรยายอันแจ้งชัดของงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ นี่คือข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งและยอดเยี่ยมที่สุดที่มนุษย์บิดเบือนไป พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “พระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” [ยอห์น 14:28] และหลังการฟื้นคืนพระชนม์พระองค์ทรงเชื้อเชิญสานุศิษย์ให้คลำพระองค์ดูว่านี่คือพระองค์ และตรัสว่า “เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี” [ลูกา 24:39] อัครสาวกเข้าใจอย่างชัดเจนถึงรูปกายของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพวกท่านอ้างถึงในสาสน์ของพวกท่านเสมอ และเปาโลแจ้งความจริงแก่ชาวเมืองโครินธ์ว่าเมื่อทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระบิดา “เมื่อนั้นพระบุตรพระองค์เองก็จะทรงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า ผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกในทุกสิ่ง” [1 โครินธ์ 15:28]
โจเซฟ สมิธเห็นพระบิดาและพระบุตร ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นพยานได้ด้วยความรู้โดยส่วนตัวว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง ซึ่งในนั้นเราอ่านว่า “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” [ปฐมกาล 1: 27] สิ่งนี้ต้องเป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มิใช่ความหมายอันลี้ลับหรือเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา5
2
การใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและการนมัสการพระองค์ เราต้องมีความเข้าใจถึงพระคุณลักษณะของพระองค์
การเปิดเผยอย่างหนึ่งบอกเราว่าหากเราต้องรับรัศมีภาพในพระคริสต์ เหมือนพระองค์อยู่ในพระบิดา เราต้องเข้าใจและทราบทั้งวิธีนมัสการและสิ่งที่เรานมัสการ (ดู คพ. 93:19–20)
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเตือนท่านถึงพระลักษณะและรูปแบบในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ท่านอาจนมัสการพระองค์ในวิญญาณและในความจริงเพื่อรับพรทั้งปวงแห่งพระกิตติคุณของพระองค์
เราทราบว่าเรารู้จักพระผู้เป็นเจ้าโดยการเปิดเผยเท่านั้น เราจะเข้าใจพระลักษณะของพระองค์ได้โดยสิ่งที่เปิดเผยต่อเรา มิฉะนั้นเราจะไม่มีทางรู้ได้เลย เราต้องไปหาพระคัมภีร์—ไม่ใช่ไปหานักวิทยาศาสตร์หรือนักปรัชญา—หากเราต้องเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า อันที่จริง คำพยากรณ์สำคัญของยอห์นเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณโดยเทพองค์หนึ่งที่เหาะไปในสวรรค์กล่าวว่าสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อมนุษย์จะมาสู่ความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงและเรียนรู้ว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ … จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” (วิวรณ์ 14:7) อีกนัยหนึ่ง การเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูพระกิตติคุณในสมัยการประทานนี้ มนุษย์จะได้รับเรียกอีกครั้งให้นมัสการและรับใช้พระผู้สร้างของพวกเขาแทนแนวคิดผิดๆ เรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่แพร่หลายอยู่ในโลก
ในทุกยุคทุกสมัย ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าได้รับเรียกให้ต่อต้านการนมัสการแบบผิดๆ และประกาศความจริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ในสมัยอิสราเอลโบราณ มีบางคนที่นมัสการรูปเคารพและเทพเจ้านอกศาสนา อิสยาห์ถามว่า “ท่านทั้งหลายจะเปรียบพระเจ้าเหมือนกับใคร หรือเปรียบพระองค์คล้ายกับอะไร
“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ? พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ เป็นผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าใจของพระองค์ก็เหลือจะหยั่งรู้ได้” (อิสยาห์ 40:18, 28)
โลกส่วนใหญ่ทุกวันนี้ไม่มีความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ใน [ศาสนจักร] ก็ยังมีคนที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพระสัตภาวะอันทรงรัศมีภาพผู้ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของเรา สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่มีความรู้นี้ เราอาจกล่าวได้ว่า “เหตุใดท่านจึงจำกัดรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าไว้ หรือเหตุใดท่านจึงควรคาดหวังว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่น้อยกว่าที่ทรงเป็นอยู่ ท่านรู้แล้วมิใช่หรือ ท่านเคยได้ยินมามิใช่หรือว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ พระผู้สร้างสุดปลายแผ่นดินโลก ทรงเป็นอนันต์และนิรันดร์ พระองค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง ทรงมีอานุภาพทั้งปวง และทรงมีอำนาจการปกครองทั้งปวง พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และทุกสิ่งอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์”
ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 20 ซึ่งแนะนำศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้วางระเบียบศาสนจักรอีกครั้งในสมัยการประทานนี้ เรามีข้อสรุปซึ่งได้รับการเปิดเผยถึงหลักคำสอนแห่งความรอดในเบื้องต้น การเปิดเผยเกี่ยวกับพระเจ้ากล่าวไว้ดังนี้ “… มีพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์, ผู้ทรงเป็นอนันต์และเป็นนิรันดร์, จากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันผู้ไม่เปลี่ยนแปลง, ผู้รังสฤษฏ์ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก, และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในนั้น” (คพ. 20:17) …
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะซึ่งมนุษย์ได้รับการสร้างตามรูปลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกสัมผัสได้ดังของมนุษย์ (คพ. 130:22) พระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่แท้จริงและเป็นส่วนตัวของวิญญาณมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผู้ทรงสรรพปรีชาญาณ พระองค์ทรงมีพระพลานุภาพ และพระปรีชาญาณทั้งปวง ความดีพร้อมของพระองค์ประกอบด้วยความรู้ทั้งปวง ศรัทธาหรือเดชานุภาพทั้งปวง ความยุติธรรมทั้งปวง วิจารณญาณทั้งปวง ความเมตตาทั้งปวง ความจริงทั้งปวง และความสมบูรณ์แบบแห่งพระคุณลักษณะทั้งปวงของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า … หากเราต้องมีศรัทธาอันดีพร้อมนั้นเพื่อรับชีวิตนิรันดร์ เราต้องเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าในฐานะผู้ทรงครอบครองความเพียบพร้อมของพระอุปนิสัยและพระคุณลักษณะทั้งปวง ข้าพเจ้ากล่าวเช่นกันว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะนิรันดร์และหาที่สิ้นสุดมิได้ และในฐานะพระสัตภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงครอบครองเดชานุภาพและพระคุณลักษณะอันดีพร้อมจากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ ซึ่งหมายถึงจากนิรันดรสู่นิรันดร 6
เราทราบว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นพระอติรูปผู้สูงส่งและทรงรัศมีภาพ ผู้ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง อานุภาพทั้งปวง อำนาจการปกครองทั้งปวง และพระองค์ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เราเป็นพยานว่า โดยผ่านพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างของโลกนี้และโลกหลายโลกนับไม่ถ้วน7
3
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระสัตภาวะและพระบิดาของวิญญาณเรา
เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา … เราเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ … เราเคยพำนักอยู่กับพระองค์เป็นเวลานานในชีวิตก่อนเกิดของเรา … พระองค์ทรงสถาปนาแผนแห่งความก้าวหน้าและแผนแห่งความรอดซึ่งจะทำให้เราเจริญก้าวหน้าจนกว่าเราจะเป็นเหมือนพระองค์ หากเราซื่อสัตย์และแน่วแน่ในทุกสิ่ง8
ในพระคัมภีร์สอนเราว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของเราจริงแท้แน่นอน และไม่ใช่ความหมายของการเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา พระดำรัสที่พระผู้ไถ่ตรัสกับมารีย์ใกล้อุโมงค์ฝังพระศพซึ่งพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และมีชัยชนะเหนือความตาย พิเศษสุดและมีความหมายอันล้ำเลิศ “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” [ยอห์น 20:17] ในพระดำรัสเหล่านี้ ความจริงของความเป็นพระบิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการประกาศอย่างเฉียบขาดโดยพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ ผู้ทรงประกาศว่าพระองค์คือพี่ชายของเราและเรามีพระบิดานิรันดร์องค์เดียวกัน 9
ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่ความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้าและกฎต่างๆ ของพระองค์ได้รับการฟื้นฟูในยุคสมัยของเราและเราที่เป็นสมาชิกของศาสนจักรทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะและไม่เป็นตามที่คนนอกศาสนากล่าวว่า “ความสับสน [ความโกลาหล] ของกฎหลั่งไหลมาราวกับหมอกในจักรวาล” ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ พระบิดาของวิญญาณเรา และพระองค์ทรงสถาปนากฎเพื่อเราจะเจริญก้าวหน้าจนเป็นเหมือนพระองค์ได้ และข้าพเจ้าขอบพระทัยที่เราทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัตภาวะนิรันดร์และหาที่สิ้นสุดมิได้ ผู้ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง และความก้าวหน้าของพระองค์มิอาจได้รับความรู้หรืออำนาจมากไปกว่านี้ ไม่มีความดีพร้อมเกินไปกว่านี้แล้วในพระคุณลักษณะของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ แต่ในการเพิ่มพูนและทวีคูณแห่งอาณาจักรของพระองค์10
4
พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราและทรงสนพระทัยเราแต่ละคน
ข้าพเจ้านึกถึงถ้อยคำที่กล่าวไว้ในไข่มุกอันล้ำค่า ในนิมิตของโมเสส ซึ่งให้ไว้ขณะที่โมเสสถูกนำไปยังภูเขาสูงยิ่งท่านเห็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงหน้าและพูดกับพระองค์ พระเจ้าทรงแสดง “หัตถศิลป์จากพระหัตถ์ของพระองค์” แก่โมเสส โมเสสเห็นโลก และลูกหลานทั้งปวงของมนุษย์จนถึงอนุชนรุ่นสุดท้าย [ดู โมเสส 1:1–8, 27–29]
และพระเจ้าทรงตรัสแก่โมเสสว่า:
“เพราะดูเถิด, มีหลายโลกที่สูญสิ้นไปโดยคำแห่งอำนาจของเรา. และมีมากมายที่ตั้งอยู่เดี๋ยวนี้, และมีนับไม่ถ้วนสำหรับมนุษย์; แต่เรานับสิ่งทั้งปวงไว้สำหรับเรา, เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของเราและเรารู้จักมัน.
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือโมเสสทูลพระเจ้า, โดยกล่าวว่า: ขอทรงเมตตาผู้รับใช้ของพระองค์เถิด, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, และทรงบอกข้าพระองค์เกี่ยวกับแผ่นดินโลกนี้, และผู้อยู่อาศัยในนั้น, และฟ้าสวรรค์ด้วย, และจากนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จะพอใจ.
“และพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งกับโมเสส, โดยตรัสว่า: ฟ้าสวรรค์นั้น, มีมากมาย, และไม่สามารถนับได้สำหรับมนุษย์; แต่นับไว้สำหรับเรา, เพราะมันเป็นของเรา.” [โมเสส 1:35–37]
… ข้าพเจ้าคิดว่าแม้จะมีโลกอยู่มากมายนับไม่ถ้วนและความมหึมาของโลกจำนวนมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่จะบรรลุเป้าหมายมิใช่เป้าหมายโดยตัวของมันเอง พระบิดาทรงสร้างโลกทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์ให้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์–ทรงวางบุตรธิดาของพระองค์ไว้ที่นั่น หลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 76 บอกเราว่า โดยผ่านพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า “โลกต่างๆ สร้างขึ้นมาและเคยสร้างขึ้นมาแล้ว, และผู้อยู่อาศัยในนั้นเป็นบุตรและธิดาที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า” [คพ. 76:24]
เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์เหล่านี้ จากที่ข้าพเจ้าอ่านและจากการเปิดเผยอื่นๆ ที่มาจากพระเจ้า ว่ามนุษย์สำคัญที่สุดในการสร้างทั้งหมดของพระบิดา ในนิมิตเดียวกันนี้ที่ประทานแก่โมเสส พระบิดาตรัสว่า “และดังแผ่นดินโลกหนึ่งจะสูญสิ้นไป, และฟ้าสวรรค์ของมันฉันใด แม้ฉันนั้นแผ่นดินโลกใหม่จะอุบัติ; และไม่มีที่สิ้นสุดกับงานของเรา, ไม่ทั้งกับถ้อยคำของเรา. เพราะดูเถิด, นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” [โมเสส 1:38—39]
จากข้อความนี้และข้อความอื่นในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้ากล่าว เราเรียนรู้ว่างานอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาคือการทำให้บุตรธิดาแต่ละคนได้รับความรอดเป็นรางวัลซึ่งรางวัลแต่ละอย่างประทานให้ตามงานของเขา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงสนพระทัยจิตวิญญาณ—หนึ่งจิตวิญาณของบุตรธิดาของพระองค์—มากกว่าบิดาทางโลกคนหนึ่งจะมีให้แก่บุตรคนหนึ่งของเขาได้ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าความรักที่บิดาทางโลกมีต่อบุตรธิดาของเขา11
5
พระบิดาบนสวรรค์ทรงกันแสงให้แก่บุตรธิดาของพระองค์ที่ไม่เชื่อฟัง
เราทราบว่าเมื่อพระเจ้ารับสั่งกับเอโนคพลางแสดงให้ท่านเห็นประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลกและทรงอธิบายถึงลักษณะของการลงโทษที่อาจเกิดกับพวกเขาเพราะการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ พระเจ้าทรงกันแสงและแสดงให้เห็นถึงความโทมนัสด้วยน้ำพระเนตรเพราะความไม่เชื่อฟังของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เอโนคประหลาดใจและคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกที่พระเจ้าทรงกันแสงได้
ข้อความนี้กล่าวว่า:
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทอดพระเนตรพวกที่เหลืออยู่ของผู้คน, และพระองค์ทรงกันแสง; และเอโนคกล่าวคำพยานถึงเรื่องนี้, โดยกล่าวว่า: ไฉนสวรรค์จึงร่ำไห้, และหลั่งน้ำตาของพวกเขาให้ไหลรินดังสายฝนบนภูเขา?
“และเอโนคทูลพระเจ้า: ไฉนพระองค์จะทรงกันแสงได้, โดยเห็นว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์, และดำรงอยู่จากชั่วนิรันดรถึงชั่วนิรันดร?
“และหากอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะนับอนุภาคทั้งหลายของแผ่นดินโลกได้, แท้จริงแล้ว, แผ่นดินโลกนับล้านๆ เฉกเช่นโลกนี้, ก็ยังไม่ถือว่านี่คือการเริ่มต้นจำนวนงานสร้างทั้งหลายของพระองค์; และม่านทั้งหลายของพระองค์ยังคงกางกั้นไว้; ทว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น; และพระอุระของพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น; และพระองค์ทรงเที่ยงธรรมด้วย, พระองค์ทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาตลอดกาล” [โมเสส 7:28–30]
และพระเจ้าตรัสตอบว่า “… จงดูพี่น้องเหล่านี้ของเจ้า; พวกเขาคือหัตถศิลป์จากมือเราเอง, และเราให้ความรู้แก่พวกเขา, ในวันที่เราสร้างพวกเขา; และในสวนแห่งเอเดน, เราให้สิทธิ์เสรีของมนุษย์แก่เขา;
“และแก่พี่น้องเจ้าเรากล่าว, และให้บัญญัติไว้ด้วย, ว่าพวกเขาจะรักกัน, และว่าพวกเขาจะเลือกเรา, พระบิดาของพวกเขา; แต่ดูเถิด, พวกเขาปราศจากความรัก, และพวกเขาเกลียดชังสายโลหิตของตนเอง” [โมเสส 7:32–33]
นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพระเจ้าทรงกันแสงและเหตุใดสวรรค์จึงร่ำไห้
พี่น้องชายคนหนึ่งเคยถามข้าพเจ้าครั้งหนึ่งว่าคนคนหนึ่งจะมีความสุขอย่างแท้จริงในอาณาจักรซีเลสเชียลได้หรือไม่หากลูกคนหนึ่งของเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้น ข้าพเจ้าบอกเขาว่าข้าพเจ้าคิดว่าใครก็ตามที่โชคร้ายจนถึงขนาดที่ลูกคนหนึ่งเข้าไปในอาณาจักรซีเลสเชียลไม่ได้ แน่นอนว่า เขาจะรู้สึกเสียใจเพราะสภาพนั้น และนั่นคือสภาพที่พระบิดาในสวรรค์ทรงรู้สึก ไม่ใช่บุตรธิดาของพระองค์ทุกคนมีค่าควรต่อรัศมีภาพซีเลสเชียล หลายคนจำต้องทนทุกข์กับพระพิโรธของพระองค์เพราะการล่วงละเมิดของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้พระบิดาและทั้งฟ้าสวรรค์โทมนัสร่ำไห้ พระเจ้าทรงทำงานตามกฎธรรมชาติ มนุษย์ต้องได้รับการไถ่ตามกฎและรางวัลของเขาต้องขึ้นอยู่กับกฎของความยุติธรรม เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะไม่ประทานรางวัลแก่มนุษย์ที่ไม่คู่ควร แต่จะประทานรางวัลแก่มนุษย์ตามงานของพวกเขา
… ข้าพเจ้าอิ่มเอมใจที่พระบิดาในสวรรค์จะทรงช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดและประทานรัศมีภาพซีเลสเชียลแก่พวกเขา แม้ความสมบูรณ์แห่งความสูงส่ง หากอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ในเมื่อพระองค์ประทานสิทธิ์เสรีแก่มนุษย์ จึงจำเป็นที่มนุษย์ต้องเชื่อฟังความจริงตามที่เปิดเผยไว้เพื่อรับความสูงส่งของคนชอบธรรม12
6
พระบิดาบนสวรรค์ทรงเตรียมทางแห่งการไถ่เพื่อให้เราสามารถกลับคืนสู่ที่ประทับของพระองค์
เมื่ออาดัมอยู่ในสวนเอเดน ท่านอยู่ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาของเรา … หลังจากที่ท่านถูกขับออกจากสวนเอเดน สภาพการณ์จึงเปลี่ยนไป อาดัมถูกขับออกจากที่ประทับของพระบิดาเพราะการล่วงละเมิดของท่าน พระคัมภีร์กล่าวว่าท่านตายทางวิญญาณ—สิ่งนี้ทำให้ท่านออกห่างจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า13
ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรับอำนาจจากพระบิดาเพื่อไถ่มนุษย์จากความตายทางร่างกายและทางวิญญาณที่การตกของอาดัมนำเข้ามาในโลก14
มีทางเดียวเท่านั้นสำหรับการไถ่ ทางเดียวที่การชดเชยนั้นทำให้วิญญาณกลับคืนสู่ร่างกายอีกครั้ง นั่นคือโดยการชดใช้อันไม่มีขอบเขต และการนี้ต้องอาศัยพระสัตภาวะอันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของความตาย ทว่า มีอำนาจที่จะตายและมีอำนาจเหนือความตายเช่นกัน ดังนั้น พระบิดาในสวรรค์ของเราจึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มายังโลกพร้อมด้วยพระชนม์ชีพในพระองค์เอง และเพราะพระองค์ [พระเยซูคริสต์] ทรงมีพระมารดาที่มีเลือดในเส้นเลือดของเธอ พระองค์จึงมีอำนาจที่จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงสามารถพลีพระวรกายแก่ความตายและนำกลับมาได้อีกครั้ง ข้าพเจ้าขออ่านพระดำรัสของพระองค์ดังนี้ “เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก
“ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” (ยอห์น 10:17–18) 15
พระบิดาในสวรรค์ไม่ทรงมีจุดมุ่งหมายที่จะปล่อยให้มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัสคลำหาทางของพวกเขาในความมืดโดยไม่มีแสงสว่างนำทางพวกเขา แล้วคาดหวังให้พวกเขาค้นหาทางกลับสู่อาณาจักรและที่ประทับอันบริสุทธิ์ของพระองค์ภายใต้สภาพดังกล่าว นั่นไม่ใช่วิถีของพระเจ้า หลายยุคหลายสมัยนับจากกาลเริ่มต้นลงมา พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงมีน้ำพระทัยต่อบุตรธิดาของพระองค์และเต็มพระทัยที่จะประทานการนำทางแก่พวกเขา นับตั้งแต่ยุคต้นๆ สวรรค์เปิดออก พระเจ้าทรงส่งผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระองค์ลงมาแต่งตั้งผู้รับใช้จากสวรรค์ มนุษย์ที่ดำรงสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตได้รับมอบหมายให้สอนหลักธรรมพระกิตติคุณ เพื่อเตือนผู้คนและสอนความชอบธรรมแก่พวกเขา มนุษย์เหล่านี้ได้รับความรู้ การดลใจและการนำทางนี้จากผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือความจริงในสมัยการประทานของเราเอง ไม่จำเป็นที่มนุษย์ต้องหลับตาและรู้สึกว่าไม่มีความสว่างแล้วจึงต้องพึ่งพาเหตุผลของเขาเท่านั้น เพราะพระเจ้าเต็มพระทัยที่จะนำและชี้ทาง พระองค์ทรงส่งผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระองค์ลงมาดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ พระองค์ประทานการเปิดเผย ทรงบัญชาให้บันทึกและจัดพิมพ์พระดำรัสของพระองค์เพื่อคนทั้งปวงจะได้รู้จักสิ่งนี้16
ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน กล่าวแก่ทั้งศาสนจักร และแก่คนทั้งโลกถึงสิ่งนั้นว่า พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความรัก ทรงรับสั่งจากสวรรค์กับผู้รับใช้ของพระองค์ ศาสดาพยากรณ์ในยุคสุดท้ายนี้อีกครั้ง
สุรเสียงของพระองค์เชื้อเชิญให้มนุษย์ทั้งปวงมาสู่พระบุตรที่รักของพระองค์ เพื่อเรียนรู้จากพระองค์ เพื่อรับส่วนพระคุณความดีของพระองค์ เพื่อนำเอาแอกของพระองค์แบกไว้ และทำให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับพวกเขาโดยการเชื่อฟังกฎแห่งพระกิตติคุณของพระองค์ สุรเสียงของพระองค์เป็นสุรเสียงแห่งรัศมีภาพและเกียรติ สันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง17
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ท่านคิดว่าอะไรนำคนๆ หนึ่งให้สามารถสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าได้ “ราวกับว่ากำลังพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง” (“จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) พิจารณาวิธีที่ท่านสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สัมพันธภาพของท่านกับพระบิดาบนสวรรค์
-
ประธานสมิธแสดงความขอบคุณนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ ซึ่งฟื้นฟู “ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า” (หัวข้อที่ 1) มีความจริงอะไรบ้างที่ท่านทราบเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์อันเนื่องมาจากนิมิตแรกนั้น
-
คุณลักษณะใดของพระผู้เป็นเจ้าที่ประธานสมิธกล่าวถึงในหัวข้อที่ 2 ซึ่งมีความหมายต่อท่านมากที่สุด เพราะเหตุใด ขณะที่ท่านใช้ศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์ของท่าน ศรัทธาช่วยให้ท่านรู้จักพระคุณลักษณะของพระองค์อย่างไร
-
ประธานสมิธเป็นพยานว่า “เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา … เราเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์” (หัวข้อที่ 3) ความจริงดังกล่าวมีอิทธิพลต่อท่านอย่างไร
-
ในหัวข้อที่ 4 และ 5 การแสดงออกใดที่ช่วยให้ท่านรู้สึกถึงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อท่าน เหตุใดจึงสำคัญที่จะเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราและทรงสนพระทัยเราแต่ละคน เราสามารถช่วยให้สมาชิกครอบครัวและเพื่อนๆ รู้สึกถึงความรักของพระองค์ได้อย่างไร
-
นึกถึงสิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงทำเพื่อช่วยให้เรากลับไปยังที่ประทับของพระองค์ได้ (ดูหัวข้อที่ 6) ท่านรู้สึกอย่างไรขณะนึกถึงการที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งพระบุตรที่รักของพระองค์มา พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่ง “แสงสว่างมานำทาง [ท่าน]” ด้วยวิธีใดบ้าง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“มีวิธีสอนอย่างหนึ่งที่ใช้กันในศาสนจักรมาโดยตลอด นั่นคือการบรรยาย ในห้องเรียนเราไม่ค่อยใช้การบรรยายมากนัก เราใช้ในการประชุมศีลระลึกและการประชุมใหญ่ แต่การสอนเป็นการสื่อสารสองทางเพื่อว่าเราจะตั้งคำถามได้ ในชั้นเรียนเราใช้คำถามได้สะดวก” บอยด์ เค. แพคเกอร์, “หลักธรรมของการสอนและการเรียนรู้” (เลียโฮนา,มิ.ย. 2007 หน้า 55