บทที่ 22
การสวดอ้อนวอน—พระบัญญัติและพร
“มีไม่กี่อย่างในชีวิตที่สำคัญเท่ากับการสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอน”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสอนว่า เราควรทำให้วิญญาณการสวดอ้อนวอน “เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”1 ท่านเป็นแบบอย่างถึงหลักธรรมนี้โดยการดำเนินชีวิต โดยการสวดอ้อนวอน—ตามลำพัง กับสมาชิกครอบครัว และในที่สาธารณะ
หลังมรณกรรมของลูอี ภรรยาคนแรกของท่าน ท่านเขียนข้อความไว้อาลัยอันละเอียดอ่อนในบันทึกส่วนตัวของท่าน ซึ่งเผยให้เห็นการสวดอ้อนวอนส่วนตัวของท่าน มีความว่า “ข้าแต่พระบิดาในสวรรค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์สวดอ้อนวอนพระองค์ในการดำเนินชีวิต เพื่อให้คู่ควรแก่การได้อยู่กับเธอในรัศมีภาพนิรันดร์ เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเธออีกครั้งโดยไม่มีวันแยกจากกันอีกต่อไป ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์นอบน้อมและวางใจในพระองค์ โปรดประทานสติปัญญาและความรู้ถึงสิ่งต่างๆ ในสวรรค์ เพื่อจะได้มีพลังต้านทานความชั่วร้ายทั้งปวงและคงความแน่วแน่ต่อความจริงของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์เถิด โปรดประทานชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ขอทรงนำทางข้าพระองค์ในความชอบธรรม โปรดประทานพระวิญญาณทั้งหมดแก่ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์เลี้ยงดูลูกๆ ที่รักของข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะบริสุทธิ์และไร้มลทินตลอดชีวิตของพวกเขา และเมื่อชีวิตสิ้นสุดลง ขอทรงนำพวกข้าพระองค์ไปสู่อาณาจักรซีเลสเชียลของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายสวดอ้อนวอนพระองค์ ในพระนามแห่งพระผู้ไถ่ของพวกข้าพระองค์ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน”2
โจเซฟ จูเนียร์ บุตรชายประธานสมิธเล่าถึงการสวดอ้อนวอนในความทรงจำของประธานสมิธ ขณะทั้งสองเดินทางกลับบ้านไปยังซอลท์เลค ซิตี้หลังการเดินทางไปยูทาห์ตะวันออก พวกเขา “ติดน้ำท่วมในพายุฝนฟ้าคะนองและเลี้ยวผิดทาง” มาหยุดอยู่ที่แห่งหนึ่งเรียกว่า อินเดียนแคนยอน “พายุโหมกระหน่ำมากขึ้น ถนนเป็นโคลนและลื่นมากจนไม่เพียงอันตรายเท่านั้น แต่ไปไกลกว่านี้ไม่ได้ด้วย หมอกหนาปกคลุมเหวลึกข้างถนนดินซึ่งมีอยู่เลนเดียว เด็กหนุ่มโจเซฟ จูเนียร์กับดร. เดวิด อี. สมิธผู้โดยสาร พยายามควบคุมรถให้อยู่ในทิศทางเดิมเพราะกลัวว่าจะลื่นไถลลงเหวลึกด้านล่าง ล้อเริ่มหมุนในโคลนและในที่สุดก็จอดสนิท … โจเซฟเล่าว่าบิดาท่านพูดดังนี้ ‘เราทำสุดความสามารถแล้ว เราจะเรียกหาพระเจ้า’ เขาค้อมศีรษะลงสวดอ้อนวอนเรียกหาพระเจ้าให้ทรงเตรียมทางแก่เขาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดและออกจากเหวอันตรายมุ่งหน้ากลับบ้านได้ เขาทูลพระเจ้าว่าเขามีงานมอบหมายสำคัญที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น จึงจำเป็นที่เขาต้องกลับไปซอลท์เลค ซิตี้ ด้วยปาฏิหาริย์ พายุสงบ สายลมพัดมาทำให้ถนนแห้งพอที่พวกเขาจะกลับเข้าสู่ทางหลวงได้ในที่สุด ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบริเวณต่ำกว่าจุดที่พายุโหมกระหน่ำอีกครั้ง มีการจราจรติดขัดในบริเวณใกล้ๆ นั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อพวกเขาลงจากโพรโวแคนยอนและมุ่งไปยังซอลท์เลค ซิตี้ หลังจากใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นหลายชั่วโมง ตำรวจทางหลวงเรียกพวกเขาให้จอดรถและถามว่ามาจากที่ไหน เมื่อแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาผ่านหุบเขาอินเดียนแคนยอนมา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ‘เป็นไปไม่ได้! มีรายงานว่าสะพานในพื้นที่นั้นถูกน้ำพัดพังเสียหายหมด’ ยังความประหลาดใจแก่พวกเขา หัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้นรายงานว่ารถ 200 คันถมทับกันอยู่ตรงจุดที่พวกเขาหลบหนีมา”3
ในช่วงที่ประธานสมิธปฏิบัติศาสนกิจของอัครสาวกมา 62 ปี มีโอวาทมากมายรวมถึงคำสวดอ้อนวอนต่อสาธารณชน ซึ่งท่านแสวงหาพรจากสวรรค์เพื่อสมาชิกศาสนจักรและผู้คนทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของท่าน ในฐานะประธานศาสนจักร ท่านวิงวอน “ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา ทรงเปิดหน้าต่างสวรรค์และเทพรนิรันดร์อันล้ำเลิศลงมายังบุตรธิดาของพระองค์ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ทางโลกและทางวิญญาณของพวกเขาดีขึ้น”4
การสวดอ้อนวอนของประธานสมิธเผยให้เห็นความลึกซึ้งของประจักษ์พยานและความรักที่ท่านมีต่อพระบิดาในสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์ ผู้ได้รับเรียกให้รับใช้ในโควรัมอัครสาวกสิบสองเมื่อโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเป็นประธานศาสนจักร กล่าวว่า “นับเป็นประสบการณ์ที่ได้ฟังประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสวดอ้อนวอน แม้ท่านอายุเลยเก้าสิบแล้ว แต่ท่านสวดอ้อนวอนว่าท่านจะ ‘รักษาพันธสัญญาและพันธรับผิดชอบของท่านและอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่”’5
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
เราได้รับบัญชาให้มาอยู่ใกล้กับพระบิดาบนสวรรค์ในการสวดอ้อนวอน
นี่เป็นพระบัญญัติจากพระเจ้าว่าให้เราแสวงหาพระองค์เสมอในการสวดอ้อนวอนที่นอบน้อม เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่กับเหล่าสานุศิษย์ พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้สวดอ้อนวอน และทรงเป็นแบบอย่างต่อพวกเขาในการสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาบ่อยๆ เรามั่นใจได้ว่า เนื่องจากนี่เป็นพระบัญญัติจากพระเจ้า จึงมีคุณธรรมในการสวดอ้อนวอน และเมื่อเราแสวงหาพระเจ้า ก็ควรทำในวิญญาณแห่งความนอบน้อมและความคารวะ …
… เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่จะสอนบุตรธิดาให้สวดอ้อนวอนทันทีที่พวกเขาเริ่มเข้าใจ ให้พวกเขาสร้างนิสัยการเข้าใกล้พระบิดาในสวรรค์ พร้อมความเข้าใจถึงเหตุผลของการสวดอ้อนวอน หากสร้างนิสัยนี้ในวัยเยาว์ นิสัยนี้จะดำรงอยู่ตลอดวัยผู้ใหญ่ ชายหรือหญิงที่แสวงหาพระเจ้าด้วยความตั้งใจจริงและขอบพระทัยพระองค์สำหรับพรมากมาย จะคาดหวังได้ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขาในยามยาก6
ข้าพเจ้าสงสัยว่าเราเคยหยุดคิดหรือไม่ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงขอให้เราสวดอ้อนวอน พระองค์ทรงขอให้เราสวดอ้อนวอนเพราะทรงต้องการให้เราค้อมศีรษะนมัสการพระองค์หรือ นั่นเป็นเหตุผลหลักใช่หรือไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ใช่ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา เราได้รับบัญชาให้นมัสการพระองค์และสวดอ้อนวอนพระองค์ในพระนามพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ แต่พระเจ้าทรงงานได้โดยไม่ต้องอาศัยการสวดอ้อนวอนของเรา งานของพระองค์จะดำเนินต่อไปเช่นเคย ไม่ว่าเราจะสวดอ้อนวอนหรือไม่ … การสวดอ้อนวอนเป็นสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่พระเจ้าทรงต้องการ พระองค์ทรงทราบว่าจะดำเนินงานและดูแลงานอย่างไรโดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือจากเรา การสวดอ้อนวอนของเราไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทูลพระองค์ว่าจะดำเนินกิจธุระของพระองค์อย่างไร หากเรามีแนวคิดเช่นนั้น แน่นอนว่าเราคิดผิด การสวดอ้อนวอนของเราเป็นการเอื้อนเอ่ยเพื่อเห็นแก่เราเอง เพื่อเสริมสร้างเรา ให้ความเข้มแข็งและความกล้าหาญแก่เรา และเพื่อเพิ่มศรัทธาของเราในพระองค์
การสวดอ้อนทำให้จิตวิญญาณนอบน้อม ขยายความเข้าใจ กระตุ้นความนึกคิด ทำให้เราอยู่ใกล้พระบิดาในสวรรค์ของเรา เราต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ โดยไม่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งนั้น เราต้องการการนำทางจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราจำเป็นต้องทราบหลักธรรมที่ประทานแก่เราเพื่อเราจะกลับไปยังที่ประทับของพระองค์ เราต้องการให้ความนึกคิดได้รับการกระตุ้นโดยการดลใจที่มาจากพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงสวดอ้อนวอนพระองค์ ให้ทรงช่วยเราดำเนินชีวิตเพื่อจะรู้จักความจริงของพระองค์และเดินในแสงสว่างนั้นได้ เพื่อเราจะกลับมาสู่ที่ประทับของพระองค์อีกครั้งโดยผ่านความซื่อสัตย์และการเชื่อฟังของเรา7
ชีวิตนี้มีเพียงไม่กี่อย่างที่สำคัญเท่ากับการสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอน พระเจ้าทรงกั้นม่านแห่งความทรงจำไว้เพื่อเราจะจำพระองค์และสัมพันธภาพของเรากับพระองค์ในฐานะสมาชิกครอบครัวในโลกก่อนเกิดไม่ได้ การสวดอ้อนวอนคือวิธีสื่อสารซึ่งทรงเตรียมไว้เพื่อให้เราติดต่อกับพระองค์อีกครั้ง ฉะนั้น จุดประสงค์หลักอย่างหนึ่งของการทดสอบทางมรรตัยคือเพื่อดูว่าเราจะเรียนรู้ด้วยวิญญาณของการสวดอ้อนวอนในใจเสมอได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อว่า เมื่อพระเจ้าทรงเลือกที่จะตรัส เราจะได้ยินสุรเสียงของพระองค์ในจิตวิญญาณเรา8
2
เราสวดอ้อนวอนได้ทุกเมื่อ
“และบัญญัติข้อหนึ่งเราให้แก่พวกเขา (แก่บิดามารดาในไซอัน) ว่าคนที่มิได้ยึดถือที่จะสวดอ้อนวอนต่อพระพักตร์พระเจ้าตามเวลาดังนี้, ก็ให้เขาถูกจดจำไว้ต่อหน้าผู้พิพากษาแห่งผู้คนของเรา” [คพ. 68:33]
ข้าพเจ้าคิดว่าเราไม่ได้อ่านข้อความในภาคนี้มากนัก บางครั้ง ข้าพเจ้าสงสัยว่าเราตระหนักหรือไม่ว่าพระบัญชานี้สำคัญเพียงใด ไม่มีใครรักษาพระวิญญาณของพระเจ้าไว้ได้ เว้นแต่เขาจะสวดอ้อนวอน ไม่มีใครสามารถมีการดลใจจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เว้นแต่จะพบวิญญาณของการสวดอ้อนวอนนี้ในใจเขา …
บัดนี้ ข้าพเจ้าต้องการกล่าวถึงข่าวสารนี้สักครู่ … ช่วงเวลาของการสวดอ้อนวอนคือเมื่อใด
บางคนอาจคิดว่าเวลาสวดอ้อนวอนที่เหมาะสมคือเมื่อตื่นนอนยามเช้า และเมื่อจะเข้านอนหลังจากเสร็จสิ้นงาน ไม่มีเวลาใดอีกแล้วสำหรับการสวดอ้อนวอน แต่ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านและข้าพเจ้าสนับสนุนว่าเราควรสวดอ้อนวอนทุกเมื่อ ข้าพเจ้าขออ่านให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าชอบพิสูจน์สิ่งที่พูด ข้าพเจ้าชอบนำพยานมากล่าวถึงสิ่งที่พูดออกไป และไม่ขอให้ผู้คนยอมรับสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวเว้นแต่จะมีความสอดคล้องต้องกันโดยสมบูรณ์กับสิ่งที่พระเจ้ารับสั่งไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยผ่านศาสดาพยากรณ์ก็ตาม เราอ่านในพระคัมภีร์มอรมอน ถ้อยคำของ [อมิวเล็ค] ถึงชาวโซรัมที่ยากจน ผู้ที่ละจากความจริง และถูกขับออกจากธรรมศาลา เพราะความยากจนของพวกเขา เรารู้สึกว่าพวกเขาสวดอ้อนวอนได้ครั้งเดียวเมื่อมายืนที่แรมีอัมทัม ตามที่เรียกกัน [ดู แอลมา 31:12–23] พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร [อมิวเล็ค] จึงสอนพวกเขาดังนี้
“แท้จริงแล้ว, จงเรียกหาพระองค์เพื่อพระเมตตา; เพราะพระองค์ทรงอานุภาพที่จะช่วยให้รอด. แท้จริงแล้ว, จงนอบน้อมถ่อมตน, และสวดอ้อนวอนถึงพระองค์ต่อไป. จงเรียกหาพระองค์เมื่อท่านอยู่ในทุ่งของท่าน, แท้จริงแล้ว, เพื่อฝูงสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของท่าน. จงเรียกหาพระองค์ในบ้านท่าน, แท้จริงแล้ว, เพื่อทั้งครัวเรือนของท่าน, ทั้งเช้า, กลาวงวัน, และเย็น. แท้จริงแล้ว, จงเรียกหาพระองค์เพื่อต่อต้านอำนาจศัตรูของท่าน. แท้จริงแล้ว, จงเรียกหาพระองค์เพื่อต่อต้านมาร, ซึ่งเป็นศัตรูต่อความชอบธรรมทั้งมวล. จงเรียกหาพระองค์เพื่อพืชผลในทุ่งของท่าน, เพื่อท่านจะรุ่งเรืองในสิ่งเหล่านี้. จงเรียกหาเพื่อฝูงสัตว์เลี้ยงในทุ่งของท่าน, เพื่อมันจะเพิ่มขึ้น. แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด; ท่านต้องทุ่มเทจิตวิญญาณท่านในห้องท่าน, และในที่เร้นลับของท่าน, และในแดนทุรกันดารของท่าน. แท้จริงแล้ว, และเมื่อท่านไม่เรียกหาพระเจ้า, ขอให้ใจท่านจงอิ่มเอิบ, และมุ่งไปที่การสวดอ้อนวอนถึงพระองค์ตลอดเวลาเพื่อความผาสุกของท่าน, และเพื่อความผาสุกของบรรดาคนที่อยู่รอบๆ ท่านด้วย. และบัดนี้ดูเถิด, พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, อย่าคิดว่านี่คือทั้งหมดแล้ว; เพราะหลังจากท่านทำทั้งหมดนี้แล้ว, หากท่านปฏิเสธคนขัดสน, และคนเปลือยเปล่า, และไม่เยี่ยมเยียนคนเจ็บและคนมีทุกข์, และให้ทรัพย์สินของท่าน, หากท่านมี, แก่ผู้ที่ขัดสน; ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, หากท่านไม่ทำแม้สิ่งเดียวจากบรรดาสิ่งเหล่านี้, ดูเถิด, การสวดอ้อนวอนของท่านเปล่าประโยชน์, และไม่ช่วยอะไรท่านเลย, และท่านเป็นดังคนหน้าซื่อใจคดผู้ปฏิเสธความเชื่อ” [ แอลมา 34:18–28]
ข้าพเจ้าคิดว่านั่นเป็นหลักคำสอนที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าพเจ้าอ่านเพื่อให้ท่านเข้าใจและจดจำช่วงเวลาของการสวดอ้อนวอน ช่วงเวลาของการสวดอ้อนวอนคือในตอนเช้าก่อนครอบครัวแยกย้ายกันไป เวลาดีสำหรับการสวดอ้อนวอนคือเมื่อท่านรวมกันที่โต๊ะก่อนรับประทานอาหารเช้า และให้สมาชิกครอบครัวผลัดกันสวดอ้อนวอน นั่นคือช่วงเวลาของการสวดอ้อนวอน เวลาสวดอ้อนวอนของนักธุรกิจคือตอนเช้าเมื่อเขาไปที่ทำงานและก่อนเริ่มงานของวัน ให้สินค้าของเขา เวลาสวดอ้อนวอนสำหรับคนเลี้ยงแกะคือเมื่อออกไปดูแลฝูงแกะ เวลาสวดอ้อนวอนของชาวนาคือเมื่อเขาไปในทุ่งนาพร้อมกับคันไถ เมื่อเขาไปหว่านธัญพืช และเมื่อเขาไปรวบรวมการเก็บเกี่ยวของเขา ถ้ามนุษย์จะสวดอ้อนวอนดังที่ทรงบัญชาในพระคัมภีร์ข้อนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเพิ่งอ่านไป เขาจะมีแนวโน้มในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างชอบธรรมทุกเรื่อง9
3
ทุกสิ่งที่เราทำต้องสอดคล้องกับถ้อยคำที่เรากล่าวในการสวดอ้อนวอน
เราไม่ควรสวดอ้อนวอนด้วยริมฝีปากเท่านั้น แต่ในทุกการกระทำด้วย ในการสนทนาของเรา ในทุกหน้าที่รับผิดชอบที่เราทำ เราควรพยายามทำตามถ้อยคำที่กล่าวในการสวดอ้อนวอนของเรา และสอดคล้องกับความคิดที่เราประกาศต่อพระเจ้าในคำขอพรประจำวันของเรา10
เรามีวิญญาณแห่งการสวดอ้อนวอนหรือไม่ เราทำให้สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราหรือไม่ เราติดต่อกับพระบิดาบนสวรรค์โดยผ่านพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือเราไม่ได้ทำเช่นนั้น11
4
ในการสวดอ้อนวอนของเรา เราควรทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อน้อมขอบพระทัย
เราควรรอบคอบอย่างยิ่งในการปลูกฝังเจตคติของความสำนึกคุณ โดยผ่านสื่อกลางของชีวิตที่สวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าเชื่อว่าบาปใหญ่หลวงที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งผู้อยู่อาศัยของโลกมีความผิดทุกวันนี้คือบาปของความอกตัญญู ไม่ต้องการ [หรือขาด] การรับรู้ ในส่วนของพวกเขา เรื่องพระเจ้าและสิทธิของพระองค์ในการปกครองและควบคุม 12
ในการสวดอ้อนวอนของเรา เราควรทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อน้อมขอบพระทัยสำหรับชีวิตและความเป็นอยู่ สำหรับการพลีพระชนม์ชีพของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่เรา สำหรับพระกิตติคุณแห่งความรอด สำหรับโจเซฟ สมิธและงานฟื้นฟูอันสำคัญยิ่งที่เกิดขึ้นโดยผ่านท่าน เราควรยอมรับว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในทุกสิ่งและขอบพระทัยพระองค์สำหรับทุกสิ่งทั้งทางโลกและทางวิญญาณ13
5
เราควรวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์เพื่อความปรารถนาที่ชอบธรรมทั้งปวง
เราควรวิงวอน [พระบิดาบนสวรรค์] เพื่อศรัทธา ความสุจริต คุณลักษณะทุกอย่างที่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า ชัยชนะและความสำเร็จในหน้าที่การงาน การนำทางจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อความรอดในอาณาจักรของพระองค์ เราควรสวดอ้อนวอนเพื่อครอบครัว เพื่อภรรยาและบุตรธิดาของเรา สำหรับอาหาร ที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม สำหรับข้อกังวลเรื่องธุรกิจของเรา และความปรารถนาที่ชอบธรรมทั้งปวง14
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พรจากสวรรค์สถิตกับเราและมนุษย์ทั้งปวง
โอ ขอให้สวรรค์หลั่งความชอบธรรมและความจริงลงมาทั่วโลก
ขอให้มนุษย์ทั้งปวงทุกหนแห่งมีหูที่สดับฟัง เพื่อพวกเขาจะเอาใจใส่พระคำแห่งความจริงและความสว่างที่มาจากผู้รับใช้ของพระเจ้า!
โอ ขอพระประสงค์ของพระเจ้าท่ามกลางผู้คนทั้งหลายในทุกประชาชาติมีสัมฤทธิผลอย่างรวดเร็ว
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนสมาชิกทั้งหลายของศาสนจักร ผู้เป็นวิสุทธิชนของพระผู้สูงสุด ขอให้พวกเขาได้รับการเสริมสร้างพลังศรัทธา และให้ความปรารถนาเพื่อความชอบธรรมเพิ่มพูนในใจพวกเขา เพื่อพวกเขาจะฝึกฝนตนเองให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับพวกเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า [ดู ฟิลิปปี 2:12; มอรมอน 9:27]
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเพื่อคนดีและคนซื่อตรงในบรรดาคนทั้งปวง ว่าพวกเขาจะได้รับการนำมาสู่การแสวงหาความจริง การสนับสนุนหลักธรรมที่แท้จริงจริงทุกประการ เพื่อความก้าวหน้าในอุดมการณ์แห่งอิสรภาพและความยุติธรรม
ในยามทุกข์ร้อนและยากลำบากนี้ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้มนุษย์ทั้งปวงได้รับการนำทางโดยแสงสว่างซึ่งให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่มาในโลก [ดู ยอห์น 1:9; คพ. 93:2] และโดยทางนี้ พวกเขาจะได้รับปัญญาในการแก้ไขปัญหาที่รุมเร้ามนุษยชาติ
ข้าพเจ้าทูลขอพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ให้ทรงเทพรของพระองค์มายังมนุษย์ทั้งปวง ทั้งคนหนุ่มสาว และสูงวัย คนโศกเศร้า คนหิวโหยและคนขัดสน คนที่ตกอยู่ในสภาพเคราะห์ร้ายและสภาวะแวดล้อมที่เสื่อมโทรม คนที่ต้องการความช่วยเหลือเกื้อกูล การอนุเคราะห์ และปัญญา ตลอดจนสิ่งดีและสิ่งประเสริฐทั้งปวงที่พระองค์เท่านั้นจะประทานได้
ท่านทั้งหลายที่พร้อมใจกัน ข้าพเจ้ารักและห่วงใยอีกทั้งเห็นใจบุตรธิดาของพระบิดาทั่วโลก ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้สภาพของพวกเขาดีขึ้นทั้งทางโลกและทางวิญญาณ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้พวกเขามาหาพระคริสต์ และเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ ให้พวกเขานำแอกของพระองค์มาแบกไว้ เพื่อจะได้พบการพักผ่อนแก่จิตวิญญาณของพวกเขา ด้วยว่าแอกของพระองค์ก็พอเหมาะและภาระของพระองค์ก็เบา [ดู มัทธิว 11:29–30]
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายและคนทั้งปวงที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาในการรักษาพระบัญญัติของพระบิดา ขอให้ดำเนินชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง [ดู คพ. 59:23]—ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าทูลขอด้วยความนอบน้อมและน้อมขอบพระทัย ในพระนามของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เอเมน15
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
“จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” มีแบบอย่างของการสวดอ้อนวอนสี่แบบที่ประธานสมิธเป็นผู้สวดอ้อนวอน เราเรียนรู้อะไรบ้างจากแบบอย่างเหล่านี้
-
ไตร่ตรองความใกล้ชิดส่วนตัวของท่านกับการสวดอ้อนวอน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้การสวดอ้อนวอนนำเรามา “อยู่ใกล้พระบิดาในสวรรค์มากขึ้น” (ดู หัวข้อที่ 1)
-
ประธานสมิธสอนว่า “เราสวดอ้อนวอนได้ทุกเมื่อ” (หัวข้อที่ 2) มีทางใดบ้างที่เราจะทำตามคำแนะนำนี้ในการสวดอ้อนวอนอยู่เสมอ
-
การ “ทำตามถ้อยคำที่กล่าวในการสวดอ้อนวอนของเรา” หมายความว่าอย่างไร (ดู หัวข้อที่ 3) นึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อปรับปรุงในเรื่องนี้
-
เจตคติของเราเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อเรา “ทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อน้อมขอบพระทัย” พระบิดาบนสวรรค์ของเรา (ดู หัวข้อที่ 4)
-
ขณะศึกษาการสวดอ้อนวอนของประธานสมิธในหัวข้อที่ 5 ให้พิจารณาการสวดอ้อนวอนของท่านเอง ไตร่ตรองคำถามนี้ในใจว่า ท่านควรใส่ชื่อใครหรือเรื่องใดในการสวดอ้อนวอนของท่านให้บ่อยขึ้นบ้าง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 7:7–8; ฟิลิปปี 4:6; 1 เธสะโลนิกา 5:17–18; ยากอบ 1:5–6; 2 นีไฟ 32:8–9; แอลมา 34:38–39; 3 นีไฟ 18:18–21; คพ. 10:5
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“ใช้คำถามท้ายบทกระตุ้นการสนทนา ท่านอาจตั้งคำถามเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ท่านกำลังสอน” (จากหน้า ⅵ ในหนังสือเล่มนี้)