คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 24: งานของสตรีวิสุทธิชนยุคสุดท้าย: ‘การอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่ออุดมการณ์แห่งรัศมีภาพนี้’


บทที่ 24

งานของสตรีวิสุทธิชนยุคสุดท้าย: “การอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่ออุดมการณ์แห่งรัศมีภาพนี้”

“ไม่มีขีดจำกัดในงานดีที่พี่น้องสตรีของเราทำได้”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ณ การประชุมสมาคมสงเคราะห์สามัญวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1963 ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกล่าวว่า “เรา เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักร ยกย่องและเคารพพี่น้องสตรีที่ดีสำหรับการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวต่ออุดมการณ์แห่งรัศมีภาพนี้”1

ในการประกาศครั้งนี้ ประธานสมิธกล่าวจากประสบการณ์อันยาวนาน ท่านใช้เวลาชั่วชีวิตรับใช้เคียงข้างสตรีวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ การรับใช้นี้เริ่มในช่วงปลายทศวรรษ1880 เมื่อท่านอายุประมาณ 10 ขวบ เวลานั้น สตรีวิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้รับการกระตุ้นให้เข้ารับการศึกษาด้านแพทยศาสตร์และการดูแลสุขภาพ จูลีนา แอล. สมิธ มารดาท่าน ทำตามคำแนะนำนี้และรับการฝึกอบรมเพื่อรับใช้เป็นนางผดุงครรภ์ เธอมักจะปลุกท่านกลางดึกเพื่อให้ขับรถม้าพาเธอไปบ้านที่กำลังจะให้กำเนิดทารก การรับใช้ร่วมกับมารดาของท่านเช่นนี้ เด็กหนุ่มโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ มองเห็นแบบอย่างของความเข้มแข็งและการุณยธรรมของสตรีในศาสนจักร2 ต่อมา ซิสเตอร์สมิธรับใช้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ

ประธานสมิธมีความเคารพอย่างสูงต่อสมาคมสงเคราะห์ ท่านกล่าวว่า “นี่คือส่วนสำคัญยิ่งแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก”3 เอเธล ภรรยาคนที่สองของท่าน รับใช้เป็นสมาชิกคณะกรรมการสมาคมสงเคราะห์สามัญนาน 21 ปี ซิสเตอร์เอมี่ บราวน์ ไลแมน ผู้รับใช้ร่วมกับเอเธลในคณะกรรมการชุดนั้น และต่อมา รับใช้เป็นประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ กล่าวว่า “ซิสเตอร์สมิธเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งที่ดิฉันรู้จัก ดิฉันถือว่าเธอเป็นนักเขียนและนักพูดที่ยอดเยี่ยมที่สุด [ใน] คณะกรรมการ”4 ในหน้าที่นี้ เอเธลเข้าร่วมการประชุมใหญ่สเตคเพื่อให้คำแนะนำพี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์ในท้องที่ ประธานสมิธกับเธอทำงานมอบหมายบางอย่างของศาสนจักรร่วมกัน ทั้งสองท่านมักจะเป็นผู้พูดด้วยกันเพื่อสอนสมาชิกที่การประชุม5

หลังจากเอเธลถึงแก่กรรม ประธานสมิธแต่งงานกับเจสซี อีแวนส์ เจสซีเดินทางกับท่านเกือบทุกครั้งที่ท่านไปสอนวิสุทธิชน เธอมีเสียงร้องเพลงอันไพเราะ และประธานสมิธต้องการให้เธอร้องเพลงในการประชุมที่พวกท่านเข้าร่วมเสมอ เอ็ลเดอร์ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์ ผู้รับใช้เป็นเลขานุการในฝ่ายประธานสูงสุดเล่าว่า “ทุกครั้งที่ประธานสมิธควบคุม ท่านต้องการให้เธอแสดงด้วยเหตุผลเพียงเพราะท่านไม่เคยเบื่อการฟังเธอร้องเพลงเลย แต่นอกเหนือจากนั้น การร้องเสียงต่ำที่ผ่านการฝึกปรือเป็นอย่างดีของเธอ การร้องเพลงสวดศักดิ์สิทธิ์ได้เพิ่มสัมผัสพิเศษของความเข้มแข็งทางวิญญาณให้การประชุม สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ฟัง และเพิ่มประสิทธิภาพของท่านเองในการกล่าวคำปราศรัย ต่อมา ด้วยการรบเร้าและยืนกรานของภรรยาท่าน บางโอกาส โจเซฟจะร้องเพลงคู่กับเจสซี ประสานเสียงบาริโทนอันไพเราะร่วมกับเธอ ในโอกาสเหล่านี้ พวกท่านมักจะนั่งที่เก้าอี้เปียโนด้วยกันขณะที่เจสซีเป็นผู้เล่นพร้อมร้องคลอเบาๆ เพื่อเสียงของเธอจะได้ไม่กลบเสียงร้องของสามี”6

ในฐานะประธานศาสนจักร โดยปกติ โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธทำงานกับซิสเตอร์เบลล์ เอส. สปาฟฟอร์ด ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ ซิสเตอร์สปาฟฟอร์ดเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับท่านในเวลาต่อมาว่า “ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ บุรุษแห่งความอ่อนโยนและความรักที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้คน แสดงความเข้าใจอันลึกซึ้งถึงงานของสตรีศาสนจักรตลอดเวลา ท่านส่งมอบความเข้าใจนี้ให้ฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์นับครั้งไม่ถ้วนในหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งเป็นการเปิดวิสัยทัศน์และกำกับดูแลวิธีทำงานของเรา”7

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

พระคัมภีร์กล่าวถึงสตรีที่ซื่อสัตย์หลายคนผู้มีความรับผิดชอบในศาสนจักรของพระเจ้า

เราอาจอ่านในไข่มุกอันล้ำค่าว่าหลังจากผลที่เกิดแก่อาดัมและเอวาโดยการตก เอวากล่าวคำสั่งสอน เป็นคำสอนที่สั้นแต่เปี่ยมด้วยความหมายพิเศษ ดังนี้

“… หากมิใช่เพราะการล่วงละเมิดของเรา เราจะไม่มีวันได้มีพงศ์พันธุ์, และจะไม่มีวันรู้ความดีและความชั่ว, และปีติของการไถ่ของเรา, และชีวิตนิรันดร์ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ปวงชนที่เชื่อฟัง” [โมเสส 5:11]

“และอาดัมกับเอวาถวายพระพรพระนามของพระผู้เป็นเจ้า, และพวกท่านทำให้เรื่องทั้งปวงเป็นที่รู้แก่บุตรของพวกท่านและธิดาของพวกท่าน” [โมเสส 5:12; เน้นตัวเอน]

เราเรียนรู้จากข้อความนี้ว่าเอวากับอาดัมได้รับการเปิดเผยและพระบัญญัติให้สอนบุตรธิดาพวกท่านในทางของชีวิตนิรันดร์8

เราอ่านว่าสตรีอิสราเอลในยุค [ต้น] แข็งขันและมีหน้าที่ต้องทำ [ดู อพยพ 15:20; ผู้วินิจฉัย 4–5]9

ในพันธสัญญาใหม่ เราอ่านเรื่องราวของสตรีที่ซื่อสัตย์จำนวนมาก ผู้แสวงหาและให้คำปรึกษา สตรีเหล่านี้หลายคนติดตามพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ [ดู ลูกา 8:1–3; 10:38–42]10

A woman and her daughter delivering a basket to another woman in the Philippines.

ตลอดประวัติศาสตร์ของศาสนจักร สตรีมีบทบาทสำคัญยิ่งในงานยุคสุดท้ายของพระเจ้า

2

ในยุคสุดท้าย พี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์มีบทบาทสำคัญยิ่งในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์

วันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1842 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธประชุมกับพี่น้องสตรีของศาสนจักรหลายท่านในนอวูและจัดตั้งสมาคมซึ่งมีชื่อว่า “สมาคมสตรีสงเคราะห์แห่งนอวู” … ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าองค์การนี้จัดตั้งขึ้นโดยการเปิดเผย ความจริงนี้มีหลักฐานให้เห็นอย่างชัดเจนตลอดระยะเวลาหลายปี และทุกวันนี้ ยังคงยืนยันคุณค่าและความจำเป็นขององค์การนี้อย่างชัดเจน11

แน่นอนว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์จะยังไม่ได้รับการจัดตั้งอย่างสมบูรณ์หากไม่จัดตั้งองค์การที่ดีเยี่ยมนี้ขึ้นมา … การฟื้นฟูครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์หากปราศจากสมาคมสงเคราะห์ ซึ่งพี่น้องสตรีสามารถบรรลุความสำเร็จในงานรับใช้ที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนอันจำเป็นยิ่งต่อความผาสุกของศาสนจักร12

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธจัดตั้ง “สมาคมสตรีสงเคราะห์แห่งนอวู” โดยมีเอ็ลเดอร์จอห์น เทย์เลอร์เป็นผู้ช่วย พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าควรจัดตั้งสตรีของศาสนจักรเป็นสมาคมเพราะมีงานสำคัญให้พวกเธอช่วยเหลือใน “การนำออกมาและสถาปนาอุดมการณ์ของไซอัน” [คพ. 6:6] บรรดาพี่น้องสตรีเหล่านี้ ในเบื้องต้น ต้องสร้างคุณประโยชน์ กำลังใจ และความก้าวหน้าของสตรีศาสนจักร เพื่อพวกเธอจะพร้อมทุกสิ่งสำหรับสถานที่ในอาณาจักรซีเลสเชียล พวกเธอมีหน้าที่รับผิดชอบในการให้ความอนุเคราะห์แก่งานแห่งความเมตตาและการบรรเทาความเดือดร้อนให้คนยากจน คนป่วย และคนทุกข์ยากทั่วทั้งศาสนจักร ตลอดระยะเวลาหลายปีนับแต่การก่อตั้งครั้งนั้น พี่น้องสตรีในสมาคมนี้แน่วแน่ต่อการเรียกและเพิ่มความซื่อสัตย์ในงานด้วยตนเอง ไม่มีงานมอบหมายใดยากเกินไป ไม่มีการละเลยความรับผิดชอบ และคนหลายพันคนได้รับพรโดยผ่านการปฏิบัติศาสนกิจของพวกเธอ 13

สมาคมสงเคราะห์ … เติบโตขึ้นเพื่อเป็นพลังในศาสนจักร นี่คือความจำเป็นอย่างยิ่งยวด—เราเรียกองค์การนี้ว่า องค์การช่วย ซึ่งหมายถึงความช่วยเหลือ แต่สมาคมสงเคราะห์เป็นมากกว่านั้น สิ่งนี้จำเป็น14

ข้าพเจ้าปรารถนาจะสรรเสริญพี่น้องสตรีขององค์การที่ยอดเยี่ยมนี้สำหรับความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งแสดงให้ประจักษ์อย่างเสมอต้นเสมอปลายนับตั้งแต่สมัยนอวู15

พระเจ้าพอพระทัยงานของท่าน โดยผ่านการรับใช้ของท่าน ท่านได้ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เพราะงานสมาคมสงเคราะห์ในศาสนจักรมีความจำเป็น—ข้าพเจ้าจะพูดใช่ไหมว่า—เท่าๆ กับโควรัมฐานะปุโรหิต บางคนอาจคิดว่าข้าพเจ้าพูดหนักไปนิด แต่ในวิจารณญาณของข้าพเจ้าเอง งานที่ท่านทั้งหลาย พี่น้องสตรีแสนดีของเรากำลังทำอยู่นี้ เหมาะสมและมีความสำคัญในการเสริมสร้างอาณาจักรนี้ เสริมสร้างความเข้มแข็ง ทำให้งานแผ่ขยาย และวางรากฐานซึ่งเราทุกคนจะสร้างขึ้นได้เท่าๆ กับพี่น้องชายผู้ดำรงฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า เราทำให้งานนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีท่าน16

[พี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์] คือสมาชิกองค์การสตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นองค์การที่มีส่วนสำคัญยิ่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ซึ่งวางรูปแบบและดำเนินการเพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่ซื่อสัตย์ขององค์การให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระบิดา …

สมาคมสงเคราะห์ได้รับการสถาปนาโดยวิญญาณแห่งการเปิดเผย ได้รับการนำทางโดยวิญญาณดังกล่าว [นับแต่นั้นเป็นต้นมา] และความปรารถนาเพื่อความชอบธรรมเหล่านั้นซึ่งเป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้าได้ซึมซับสู่ใจพี่น้องสตรีที่แสนดีของเรานับไม่ถ้วน17

A woman teaching in Relief Society.  She is using the Gospel Principles manual.

สมาคมสงเคราะห์คือ “องค์การของสตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นองค์การที่มีส่วนสำคัญยิ่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก”

3

พี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์ช่วยดูแลความผาสุกทางโลกและทางวิญญาณของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า

โดยพระปรีชาญาณของพระเจ้า พระองค์ทรงเรียกพี่น้องสตรีของเราให้ช่วยเหลือฐานะปุโรหิต เพราะความกรุณา ความอ่อนโยนในจิตใจ และความมีน้ำใจของพวกเธอ พระเจ้าทอดพระเนตร [บรรดาสตรี] และประทานหน้าที่กับความรับผิดชอบแก่พวกเธอ ในการเป็นผู้ดูแลคนขัดสนและคนทุกข์ยาก พระองค์ทรงชี้ทางที่พวกเธอควรดำเนินตาม และพระองค์ประทานองค์การที่ยอดเยี่ยมนี้แก่พวกเธอ องค์การที่พวกเธอมีอำนาจรับใช้ภายใต้การกำกับดูแลของอธิการวอร์ดและสอดคล้องต้องกันกับอธิการวอร์ด ในการดูแลผู้คนของเราทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ

พระเจ้าจะทรงเรียกพี่น้องสตรีของเราให้เข้าไปในบ้านเพื่อปลอบโยนคนขัดสน ช่วยเหลือเกื้อกูลคนทุกข์ยาก คุกเข่าสวดอ้อนวอนร่วมกับพวกเขา พระเจ้าทรงสดับฟังคำสวดอ้อนวอนของพี่น้องสตรี เมื่อพวกเธอสวดอ้อนวอนด้วยใจจริงแทนคนเจ็บป่วย เช่นเดียวกับที่ทรงสดับฟังคำสวดอ้อนวอนจากเหล่าเอ็ลเดอร์ของศาสนจักร18

จุดประสงค์และหน้าที่ของสมาคมสงเคราะห์มีอยู่มากมาย … ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ บิดาข้าพเจ้า [กล่าวว่า] “องค์การนี้ได้รับการสถาปนาโดยศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ฉะนั้น องค์การนี้จึงเป็นองค์การช่วยที่เก่าแก่ที่สุดของศาสนจักร และมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ไม่เพียงต้องทำงานกับความต้องการของคนยากจน คนป่วย และคนขัดสนเท่านั้น แต่ในส่วนของหน้าที่นี้—และส่วนที่ใหญ่กว่านี้—คือต้องดูแลความผาสุกทางวิญญาณและความรอดของมารดากับธิดาทั้งหลายของไซอันเช่นกัน เพื่อดูว่าไม่มีใครถูกทอดทิ้ง แต่ทุกคนได้รับการคุ้มกันจากเคราะห์ร้าย หายนะ อำนาจแห่งความมืด และความชั่วร้ายในโลกที่คุกคามพวกเธอ เป็นหน้าที่ของสมาคมสงเคราะห์ที่จะดูแลความผาสุกทางวิญญาณของพวกเธอเอง รวมทั้งของบรรดาสมาชิกสตรีของศาสนจักร”19

เป็นหน้าที่ของสมาคมสงเคราะห์ที่ไม่เพียงดูแลบรรดาสมาชิกของสมาคมสงเคราะห์เท่านั้น แต่งานของพวกเธอควรแผ่ขยายออกไปอย่างไร้พรมแดน ทุกหนแห่งที่ใครก็ตามกำลังเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ อยู่ในความยากลำบาก เจ็บป่วย หรือทุกข์ยาก เราเรียกหาสมาคมสงเคราะห์ … พวกเธอทำงานสำคัญและยิ่งใหญ่นี้ได้โดยการกระตุ้นคนที่ถือทิฐิ ช่วยเหลือพวกเขา นำพวกเขากลับเข้ามาในกิจกรรม ช่วยพวกเขาเอาชนะความอ่อนแอหรือบาปและความไม่ดีพร้อมของพวกเขา และนำพวกเขามาสู่ความเข้าใจถึงความจริง ข้าพเจ้ากล่าวว่าไม่มีขีดจำกัดในงานดีที่พี่น้องสตรีของเราทำได้

… ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าประธานสเตคของเราและอธิการในวอร์ดจะทำอย่างไรถ้าพวกเขาไม่มีพี่น้องสตรีที่แสนดีเหล่านี้ของสมาคมสงเคราะห์ สตรีที่พวกเขาพึ่งพาได้ สตรีที่พวกเขาสามารถเรียกให้รับใช้ได้หลายครั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ทั้งหลายที่ละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนสำหรับพี่น้องชายของเรา แต่เป็นสิ่งที่พี่น้องสตรีอาจทำคุณประโยชน์ได้ดีที่สุด นับเป็นเรื่องที่วิเศษมากหากสมาชิกทุกคนของศาสนจักรดีพร้อม หากนั่นเป็นกรณีที่เราจะมีหน้าที่รับผิดชอบน้อยลง ทั้งชายและหญิง แต่เวลานั้นยังไม่มาถึง เรามีสมาชิกท่ามกลางพี่น้องสตรีที่ต้องการกำลังใจ ความช่วยเหลือเล็กน้อยทางวิญญาณและทางโลก ไม่มีใครทำได้ดีกว่าพี่น้องสตรีของเรา ผู้อยู่ในองค์การสำคัญและยิ่งใหญ่นี้

ในงานนี้ พี่น้องสตรีอาจหยิบยื่นความช่วยเหลือด้วยการให้กำลังใจ ช่วยเหลือคนที่ถือทิฐิ คนที่ไม่ใส่ใจ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน เหมือนกับที่พี่น้องชายของฐานะปุโรหิตได้รับเรียกให้ทำแทนคนที่ถือทิฐิ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน และไม่ใส่ใจซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายเช่นกัน เราทุกคนควรทำงานให้เกิดความชอบธรรมและมุมานะในการนำผู้ที่หลงไปและละทิ้งหน้าที่ของศาสนจักรให้กลับคืนสู่กิจกรรม20

จากการเริ่มต้นอย่างต่ำต้อยของ [องค์การนี้] ในสภาพซึ่งยากลำบากที่สุด ขณะที่สมาชิกภาพของศาสนจักรยังมีน้อย เราได้เห็นสมาคมนี้เติบโต … คนดีที่บรรลุผลสำเร็จในการดูแลคนยากจน ผู้ป่วยและคนทุกข์ยาก ตลอดจนบรรดาคนที่ต้องการความช่วยเหลือทางร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณ จะไม่มีวันเป็นที่รู้อย่างถ่องแท้ … ทั้งหมดนี้บรรลุผลสำเร็จโดยผ่านวิญญาณของความรักตามวิญญาณที่แท้จริงในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์21

4

พระเจ้าทรงคาดหวังให้สตรีแสวงหาความสว่างและความจริงเพื่อพวกเธอจะมีสิทธิ์ในรัศมีภาพซีเลสเชียล

พระกิตติคุณมีความหมายต่อพี่น้องสตรีเทียบเท่ากับพี่น้องชาย พวกเธอมีส่วนเกี่ยวข้องเท่าเทียมกันกับพี่น้องชาย และเมื่อพระเจ้ารับสั่งกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “จงค้นคว้าพระบัญญัติเหล่านี้, เพราะสิ่งเหล่านี้จริงและเป็นสัจจะ, และคำพยากรณ์และสัญญาซึ่งอยู่ในนั้นจะเกิดสัมฤทธิผลทั้งหมด” [คพ. 1:37] พระองค์มิได้ทรงจำกัดพระบัญญัตินั้นไว้เฉพาะสมาชิกชายของศาสนจักรเท่านั้น … เป็นสิ่งสำคัญที่พี่น้องสตรีพึงเข้าใจแผนแห่งความรอดดังที่พี่น้องชายพึงเข้าใจ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเธอต้องรักษาพระบัญญัติ ไม่มีสตรีคนใดจะรอดได้ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากบัพติศมาเพื่อการปลดบาปและการวางมือเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ …

… เมื่อพระเจ้าตรัสว่าไม่มีใครจะรอดได้ในความเขลา [ดู คพ. 131:6] ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงหมายถึงทั้งหญิงและชาย ข้าพเจ้าคิดว่าสตรีของศาสนจักรอยู่ภายใต้พันธรับผิดชอบของการศึกษาพระคัมภีร์22

พระเจ้าทรงเรียกร้องให้สตรีและผู้ชายในศาสนจักรรับทราบพระประสงค์อันสูงส่งและมีประจักษ์พยานมั่นคงในจิตใจพวกเขาถึงความจริงที่เปิดเผยเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงเปิดเผยพระคัมภีร์มอรมอนเพื่อประโยชน์ของบรรดาคนที่ดำรงฐานะปุโรหิตเท่านั้น แต่เพื่อทุกจิตวิญญาณที่แสวงหาความจริง ชายและหญิงก็เหมือนกัน23

A woman kneeling at her bed praying.

“พระเจ้าทรงเรียกร้องให้สตรี … ในศาสนจักร รับทราบพระประสงค์อันสูงส่งและมีประจักษ์พยานมั่นคงในจิตใจ”

พระเจ้าทรงคาดหวังให้พี่น้องสตรีมีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยประจักษ์พยานถึงความจริงเพื่อเข้าใจหลักคำสอนของศาสนจักรดังที่ทรงคาดหวังกับบรรดาผู้ดำรงฐานะปุโรหิต หากเราได้รับความสูงส่ง ซึ่งเราหวังที่จะได้รับ ย่อมจำเป็นที่เราจะเตรียมตัวเราเองให้พร้อมโดยความรู้ ศรัทธา การสวดอ้อนวอน และเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” [มัทธิว 6:33; 3 นีไฟ 13:33] พระองค์ไม่ได้ตรัสกับผู้ชายเท่านั้น แต่ตรัสกับชายหญิงทุกคนในที่ประชุม24

สตรีทุกคนที่รับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักร มีมือของเอ็ลเดอร์วางบนศีรษะเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเธอจะมีการนำทางจากพระวิญญาณนั้นในความจริงทั้งปวง นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ทุกคนได้รับการนำทางจากเบื้องบน ซึ่งจะเปิดเผยความจริงแก่พวกเขาและทำให้พวกเขาแยกแยะความสว่างออกจากความมืด ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการเสริมสร้างและประทานพลังให้สามารถต่อต้านหลักคำสอน ทฤษฎี และแนวคิดแบบผิดๆ ซึ่งมีอยู่แพร่หลายในโลกทุกวันนี้25

พี่น้องสตรีของเรามีสิทธิ์รับการดลใจจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อความต้องการของพวกเธอในทุกๆ ด้านเช่นเดียวกับผู้ชาย พวกเธอมีสิทธิ์ในของประทานแห่งการพยากรณ์เกี่ยวกับเรื่องจำเป็นที่พวกเธอควรทราบ … เมื่อพวกเธอสวดอ้อนวอน พวกเธอควรสวดอ้อนวอนด้วยความตั้งใจจริง โดยหวังว่าจะได้รับคำตอบให้การสวดอ้อนวอนของพวกเธอ พระเจ้าจะทรงสดับฟัง หากพวกเธอตั้งใจจริง แน่วแน่ พระองค์ก็จะทรงตอบเหมือนที่ทรงตอบพี่น้องชาย26

พระเจ้าทรงสัญญาของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กับทุกคน ทั้งหญิงและชาย ตามเงื่อนไขของความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการกลับใจอย่างแท้จริง ทรงเรียกร้องให้พวกเขาศึกษาและรู้จักความจริงของพระกิตติคุณ ให้พวกเขาเตรียมตัวโดยการศึกษา ศรัทธา และการเชื่อฟังพระบัญญัติทุกข้อ แสวงหาความสว่างและความจริงเพื่อมีสิทธิ์ในรัศมีภาพซีเลสเชียล27

5

โดยผ่านฐานะปุโรหิต พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบของประทานฝ่ายวิญญาณและพรทุกประการให้ธิดาของพระองค์ ซึ่งรับได้จากบุตรของพระองค์

ข้าพเจ้าคิดว่าเราทุกคนทราบว่าพรฐานะปุโรหิตมิได้จำกัดเฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่พรเหล่านี้หลั่งมา … ให้สตรีที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรเช่นกัน สตรีที่ดีเหล่านี้สามารถเตรียมตัวรับพรจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า โดยการรักษาพระบัญญัติและรับใช้ในศาสนจักร พระเจ้าทรงมอบของประทานฝ่ายวิญญาณและพรทุกประการให้ธิดาของพระองค์ซึ่งรับได้จากบุตรของพระองค์ เพราะผู้ชายก็ขาดผู้หญิงไม่ได้ และผู้หญิงก็ขาดผู้ชายในพระเจ้าไม่ได้ [ดู 1 โครินธ์ 11:11]28

เราทุกคนทราบว่าพระเจ้ารับสั่งกับอับราฮัมให้ท่านเป็นบิดาของประชาชาติมากมายและพงศ์พันธุ์ท่านจะเป็นดังดวงดาวในท้องฟ้าและดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล แต่สิ่งที่เราต้องไม่มองข้ามคือสัญญาเดียวกันนี้ได้ให้ไว้กับซาราห์เช่นกัน

“พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าอย่าเรียกนางว่า ซาราย แต่จงเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะให้กำเนิดชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง” [ปฐมกาล 17:15–16]29

พระเจ้าตรัสถึงฐานะปุโรหิตและพลังอำนาจของฐานะปุโรหิต ศาสนพิธีของศาสนจักรที่เราได้รับโดยผ่านฐานะปุโรหิต ทรงมีพระดำรัสว่า “และฐานะปุโรหิตดังกล่าวที่เหนือกว่าดูแลพระกิตติคุณและถือกุญแจแห่งความลี้ลับของอาณาจักร, แม้กุญแจแห่งความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า”

… ข้าพเจ้าขออ่านอีกครั้งว่า “และฐานะปุโรหิตดังกล่าวที่เหนือกว่าดูแลพระกิตติคุณและถือกุญแจแห่งความลี้ลับของอาณาจักร, แม้กุญแจแห่งความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า. ฉะนั้น, ในศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, พลังอำนาจแห่งความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์. และปราศจากศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้ และสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิต, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าไม่แสดงให้ประจักษ์แก่มนุษย์ในเนื้อหนัง; เพราะปราศจากสิ่งนี้ไม่มีมนุษย์คนใดจะเห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า, แม้พระบิดา, และมีชีวิตอยู่ได้” [คพ. 84:19–22]

เมื่อเราอ่านดังนี้แล้ว เรื่องนี้ควรทำให้ผู้ชายทุกคนในบรรดาพวกเราผู้ที่ดำรงฐานะปุโรหิตชื่นชมยินดีที่จะคิดว่าเรามีสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่ โดยสิ่งนี้เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงชายที่ดำรงฐานะปุโรหิตเท่านั้นที่ทราบความจริงอันสำคัญยิ่ง แต่เพราะฐานะปุโรหิตและศาสนพิธีเหล่านี้ สมาชิกทุกคนของศาสนจักร ชายและหญิงก็จะได้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน30

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เราเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ที่บรรยายใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ท่านเคยมีประสบการณ์ใดบ้างที่คล้ายคลึงกัน

  • ประธานสมิธกล่าวถึงสตรีในยุคต่างๆ ผู้ทำความรับผิดชอบสำคัญในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า (ดู หัวข้อที่ 1) ท่านเห็นสตรีช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวของพวกเธอและศาสนจักรในทางใดบ้าง

  • ท่านเห็นว่าการรับใช้ของสมาคมสงเคราะห์ “จำเป็นอย่างยิ่งต่อความผาสุกของศาสนจักร” อย่างไร (ดู หัวข้อที่ 2) สตรีสมาคมสงเคราะห์กับผู้ดำรงฐานะปุโรหิตทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในทางใดได้บ้าง

  • สมาคมสงเคราะห์ดูแลความผาสุกทางวิญญาณของสตรีวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในทางใดบ้าง สตรีสมาคมสงเคราะห์ขยายอิทธิพลของพวกเธอออกไปนอกองค์การในทางใดบ้าง (ตัวอย่างบางเรื่อง ดู หัวข้อที่ 3)

  • ประธานสมิธเน้นว่าบุรุษและสตรีทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจหลักคำสอนพระกิตติคุณ เสริมสร้างประจักษ์พยานของตนเองให้เข้มแข็ง และรับการเปิดเผย (ดู หัวข้อที่ 4) เพราะเหตุใดท่านจึงคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราทุกคนที่ต้องแสวงหาของประทานเหล่านี้

  • ประธานสมิธสอนว่าพรฐานะปุโรหิต “หลั่งมา … ให้สตรีที่ซื่อสัตย์ทุกคนของศาสนจักร” (หัวข้อที่ 5) เพราะเหตุใดสตรีจึงต้องการพรฐานะปุโรหิตเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบของพวกเธอในบ้านและในศาสนจักร ท่านเห็นแบบอย่างอะไรของสตรีที่ได้รับของประทานฝ่ายวิญญาณ

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

กิจการ 5:12–14; แอลมา 32:22–23; คพ. 46:8–9

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“บ่อยครั้งจะช่วยได้มากเมื่อท่านเริ่มใคร่ครวญบทเรียนครั้งต่อไปทันทีหลังจากสอนบทเรียนครั้งก่อน ท่านอาจจะรู้จักคนที่ท่านสอน ความต้องการและความสนใจของเขามากที่สุดทันทีหลังจากท่านได้อยู่กับเขา” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 97)

อ้างอิง

  1. “Purpose of the Relief Society,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1964 หน้า 5

  2. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธช่วยมารดาท่านทำหน้าที่นางผดุงครรภ์ ดูบทที่ 24 ในหนังสือเล่มนี้

  3. “Mothers in Israel,” Relief Society Magazine, ธ.ค. 1970, 883

  4. เอมี่ บราวน์ ไลแมน, ใน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธและจอห์น เจ. สตูวาร์ท, The Life of Joseph Fielding Smith (1972), 243

  5. ดู ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์, Joseph Fielding Smith: Gospel Scholar, Prophet of God (1992), 261

  6. ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์, Joseph Fielding Smith: Gospel Scholar, Prophet of God, 281

  7. เบลล์ เอส. สปาฟฟอร์ด, Latter-day Prophet-Presidents I Have Known (คำปราศรัยที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ วันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1973), 4

  8. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์, ฉบับที่ 5 (1957–1966), 3:66.

  9. “The Relief Society Organized by Revelation,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1965, 5

  10. Answers to Gospel Questions, 3:67

  11. “Purpose of the Relief Society,” 4

  12. “The Relief Society Organized by Revelation,” 6

  13. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, ต.ค. 1954, 644

  14. “Relief Society—An Aid to the Priesthood,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1959, 4

  15. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, ต.ค. 1954, 646

  16. “Relief Society—An Aid to the Priesthood,” 6; ปรับเครื่องหมายวรรคตอนให้ตรงตามมาตรฐานปัจจุบัน

  17. “Mothers in Israel,” 883

  18. “Relief Society—An Aid to the Priesthood,” 5

  19. “Teaching the Gospel,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1966, 5; ดู โจเซฟ เอฟ. สมิธ, ใน Conference Report, เม.ย. 1906 หน้า 3 ด้วย

  20. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, มี.ค. 1954, 151−152

  21. “Purpose of the Relief Society,” 5

  22. “Obedience to the Truth,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1960, 6−7

  23. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, ต.ค. 1954, 644

  24. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, มี.ค. 1954, 152

  25. “Relief Society Responsibilities,” Relief Society Magazine, ต.ค. 1954, 644

  26. “Obedience to the Truth,” 7

  27. Answers to Gospel Questions, 3:68−69

  28. ใน Conference Report, เม.ย. 1970 หน้า 59

  29. “Mothers in Israel,” 885

  30. “And the Truth Shall Make You Free,” Deseret News, Mar. 30, 1940, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 4; ดู Doctrines of Salvation, รวบรวมโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 3:142–143 ด้วย