บทที่ 20
ความรักความห่วงใยบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาของเรา
“ข้าพเจ้าคิดว่าหากมนุษย์ทุกคนทราบและเข้าใจว่าพวกเขาเป็นใคร และตระหนักถึงที่มาอันสูงส่งซึ่งพวกเขาจากมา … พวกเขาจะรู้สึกถึงความกรุณาฉันพี่น้องที่มีให้กัน ซึ่งจะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตทั้งหมดของพวกเขาและนำสันติสุขมาสู่แผ่นดินโลก”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์และจอห์น เจ. สตูวาร์ท สังเกตว่า “โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธให้ความสนใจแม้ในเรื่องเล็กน้อยของชีวิตซึ่งทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของท่านได้ชัดเจนที่สุด” จากนั้นพวกท่านแบ่งปันตัวอย่างสามเรื่องของ “ความสนใจแม้ในเรื่องเล็กน้อย” ที่ท่านทำ ดังนี้
“วันหนึ่ง ณ การประชุมใหญ่ศาสนจักรในมอรมอนแทเบอร์นาเคิล เท็มเปิลสแควร์ มีเด็กชายวัย 12 ปี ตื่นเต้นที่จะได้ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก เขามาถึงก่อนเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ที่นั่งใกล้กับด้านหน้า … ก่อนการประชุมจะเริ่ม และเมื่อที่นั่งเต็มหมดแล้ว ผู้ต้อนรับคนหนึ่งขอให้เด็กชายคนนั้นลุกจากที่นั่งเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐที่มาสายได้นั่ง เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย เขายืนอยู่ตรงทางเดินด้วยความผิดหวังและประหม่า น้ำตาคลอหน่วย” ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ “สังเกตเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นและเรียกให้เขาขึ้นมา [บนยกพื้น] เมื่อเด็กชายเล่าให้ท่านฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านกล่าวว่า ‘ผู้ต้อนรับคนนั้นไม่มีสิทธิทำเช่นนั้น มานี่ มานั่งข้างผมสิ’ ท่านแบ่งที่นั่งให้เขา ท่ามกลางเหล่าอัครสาวกของศาสนจักร
“วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังสัมภาษณ์ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะออกไปเป็นผู้สอนศาสนาเป็นเวลาสองปีให้ศาสนจักร [ท่าน] สังเกตเห็นเด็กชาวไร่คนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ไปแคนาดาตะวันออก ‘พ่อหนุ่ม ที่นั่นหนาวนะ คุณมีเสื้อโค้ตดีๆ สักตัวไหม’ ‘ไม่มีครับท่าน’ ท่านพาหนุ่มน้อยคนนั้นข้ามถนนไปยังร้านขายเสื้อผ้า [แห่งหนึ่ง] และซื้อเสื้อโค้ตที่อุ่นที่สุดในร้านให้เขา
“วันที่ท่านได้รับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักรในการประชุมใหญ่ เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนหลังการประชุมและเอื้อมไปจับมือท่าน เป็นภาพที่ซึ้งใจอย่างยิ่ง ท่านโน้มกายลงโอบเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน ท่านทราบว่าชื่อของเธอคือวีนัส ฮอบส์ … ซึ่งกำลังจะสี่ขวบอีกไม่นาน ในวันเกิดของเธอ วีนัสได้รับโทรศัพท์ที่ทำให้ตื่นเต้น โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกับภรรยาท่านโทรทางไกลมาร้องเพลง ‘สุขสันต์วันเกิด’ ให้เธอ”1
การกระทำแห่งความกรุณานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแต่เป็นแบบแผนมาตลอดชีวิต ประธานสมิธเป็น “บุรุษแห่งความโอบอ้อมอารีและการุณยธรรม ชีวิตท่านเป็นแบบอย่างของการช่วยเหลือคนขัดสน ปลอบโยนคนที่ใจชอกช้ำ ให้คำปรึกษาแก่คนที่สับสน และแบบอย่างของจิตกุศลซึ่งคือ ‘ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์’ [โมโรไน 7:47]”2
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
ด้วยความรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาของคนทั้งปวง เราปรารถนาที่จะรักและเป็นพรแก่ผู้อื่น
ข้าพเจ้าคิดว่าหากมนุษย์ทั้งหลายทราบและเข้าใจว่าพวกเขาเป็นใคร ตระหนักถึงที่มาอันสูงส่งซึ่งพวกเขาจากมา และศักยภาพอันไม่มีขอบเขตที่เป็นส่วนหนึ่งในมรดกของพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกถึงความกรุณาฉันพี่น้องที่มีให้กัน ซึ่งจะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตทั้งหมดของพวกเขาและนำสันติสุขมาสู่แผ่นดินโลก
เราเชื่อในศักดิ์ศรีและต้นกำเนิดอันสูงส่งของมนุษย์ ศรัทธาของเราได้รับการก่อตั้งบนข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาของเรา เราคือบุตรธิดาของพระองค์ และมนุษย์ทั้งปวงคือพี่น้องในครอบครัวนิรันดร์เดียวกัน
ในฐานะสมาชิกครอบครัวของพระองค์ เราเคยพำนักอยู่กับพระองค์ก่อนการวางรากฐานของโลกนี้ พระองค์ทรงแต่งตั้งและสถาปนาแผนแห่งความรอด ซึ่งเราได้รับสิทธิพิเศษให้เติบโตและก้าวหน้าหากเราพากเพียรที่จะทำ
พระผู้เป็นเจ้าที่เรานมัสการเป็นพระสัตภาวะที่มีรัศมีภาพ ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวงและความดีพร้อม พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ในรูปลักษณ์ของพระองค์ ตามลักษณะที่เหมือนพระองค์ พร้อมด้วยลักษณะพิเศษและคุณลักษณะที่พระองค์ทรงครอบครอง
ดังนั้น ความเชื่อของเราในศักดิ์ศรีและจุดหมายของมนุษย์จึงเป็นส่วนสำคัญทั้งในด้านศาสนศาสตร์และวิถีชีวิตของเรา นี่คือคำสอนพื้นฐานของพระเจ้า “พระบัญญัติข้อใหญ่ข้อแรก” คือ “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน” และพระบัญญัติข้อใหญ่ข้อที่สองคือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ดู มัทธิว 22:37–39)
เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา เราจึงมีความปรารถนาโดยธรรมชาติที่จะรักและรับใช้พระองค์ และเป็นสมาชิกที่มีค่าควรในครอบครัวของพระองค์ เรารู้สึกถึงพันธะรับผิดชอบในการทำสิ่งที่พระเจ้าจะทรงให้เราทำ ในการรักษาพระบัญญัติและดำเนินชีวิตสอดคล้องกับมาตรฐานพระกิตติคุณของพระองค์—ทั้งหมดนี้คือส่วนสำคัญยิ่งของการนมัสการที่แท้จริง
เนื่องจากมนุษย์ทั้งปวงคือพี่น้องของเรา เราจึงมีความปรารถนาที่จะรัก เป็นพรและผูกมิตรกับพวกเขา—และเรายอมรับว่าสิ่งนี้คือส่วนสำคัญยิ่งของการนมัสการที่แท้จริงเช่นกัน
ดังนั้น ทุกสิ่งที่เราทำในศาสนจักรจึงมุ่งเน้นไปที่กฎแห่งสวรรค์ว่าเราต้องรักและนมัสการพระผู้เป็นเจ้าและรับใช้เพื่อนมนุษย์ของเรา
ไม่สงสัยเลยว่าในฐานะศาสนจักรและผู้คน เรามีความห่วงใยอันลึกซึ้งเสมอมาต่อความผาสุกของบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ เราแสวงหาความผาสุกทางโลกและทางวิญญาณของพวกเขาไปพร้อมกับของเราเอง เราสวดอ้อนวอนเพื่อพวกเขาดังที่เราทำเพื่อตนเอง เราพยายามดำเนินชีวิตเพื่อพวกเขาจะเห็นงานดีของเรา และอาจนำพวกเขามาสู่การสรรเสริญพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ [ดู มัทธิว 5:16]3
2
ขณะที่เรารักและค้ำจุนกันในศาสนจักร เรากลายเป็นพลังในโลกเพื่อก่อเกิดสิ่งดีงาม
“ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14:15)
พระอาจารย์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้แก่สานุศิษย์ของพระองค์ แต่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการสิ้นพระชนม์ ขณะทรงเรียกพวกเขามารวมกันเพื่อรับปัสกา และประทานคำแนะนำครั้งสุดท้ายก่อนจะทรงทนทุกข์เพราะบาปของโลก ในโอกาสเดียวกันนี้ ไม่นานก่อนหมายสำคัญเหล่านี้ พระองค์ทรงอ้างถึงเรื่องเดียวกัน เมื่อรับสั่งว่า
“ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเราและอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับท่านด้วย คือที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้ เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” [ยอห์น 13:33–34] …
… เราไม่เพียงเป็นเพื่อนกันเท่านั้น เราเป็นพี่น้องกัน บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เราออกมาจากโลกดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้ว เพื่อเข้าสู่พันธสัญญา เพื่อถือรักษากฎของพระองค์ และเพื่อยึดมั่นสิ่งทั้งปวงที่ประทานแก่เราโดยการดลใจ เราได้รับพระบัญชาให้รักกัน “พระบัญญัติใหม่” พระเจ้าตรัสว่า เช่นเดียวกับพระบัญญัติข้ออื่นๆ ซึ่งเก่าแก่เท่าๆ กับนิรันดร ไม่มีเวลาใดที่พระบัญญัติไม่ดำรงอยู่จริงและไม่จำเป็นต่อความรอด ทว่ายังคงใหม่เสมอ ไม่เคยเก่าเลย เพราะนี่คือความจริง4
ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราที่จะรักกัน เชื่อในกันและกัน มีศรัทธาในกันและกัน เป็นหน้าที่ของเราที่จะมองข้ามความผิดและความล้มเหลวของกันและกัน ไม่ขยายสิ่งเหล่านั้นในสายตาเราเอง ไม่ทำเช่นนั้นต่อสายตาของโลก ไม่ควรมีการจับผิด ลอบกัด พูดให้ร้าย และต่อต้านกันในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราควรซื่อสัตย์ต่อกันและต่อหลักธรรมทุกประการของศาสนาเราและไม่ริษยากัน เราไม่ควรอิจฉาริษยากัน ทั้งไม่ควรโกรธเคืองกัน และไม่ควรมีความรู้สึกในใจว่าเราจะไม่ให้อภัยการล่วงละเมิดของกันและกัน ไม่ควรมีความรู้สึกในใจบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าเรื่องการไม่ให้อภัยใครก็ตาม ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นใคร …
… เราไม่ควรฝังใจกับความรู้สึกไม่เป็นมิตรต่อกัน แต่จงมีความรู้สึกของการให้อภัยและรักกันฉันพี่น้อง ขอให้เราจดจำความล้มเหลวส่วนตัวของเราเอง ความอ่อนแอ และความมุ่งมั่นที่จะแก้ไข เรายังไปไม่ถึงความดีพร้อม แทบจะคาดหวังไม่ได้เลยว่าเราจะดีพร้อมในชีวิตนี้ ทว่าโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย่อมอยู่ในวิสัยที่เราจะยืนหยัดด้วยกันได้โดยมองเห็นด้วยตาตนเองและเอาชนะบาปกับความไม่ดีพร้อมของเรา หากเราจะทำสิ่งนี้ ด้วยความเคารพในพระบัญญัติทุกข้อของพระเจ้า เราจะเป็นพลังในโลกเพื่อก่อเกิดสิ่งดีงาม เราจะล้มล้างและเอาชนะความชั่วร้ายและการตรงกันข้ามกับความจริงทั้งปวง เราจะทำให้เกิดความชอบธรรมบนพื้นพิภพ เพราะพระกิตติคุณจะแผ่ไปและผู้คนในโลกจะรู้สึกถึงอิทธิพลซึ่งจะฉายส่องจากผู้คนของไซอัน พวกเขาจะมีแนวโน้มมากขึ้นในการกลับใจจากบาปและได้รับความจริง5
3
เราแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์โดยการรับใช้พวกเขา
พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาในโลกเพื่อสอนเราให้รักกัน ดังที่บทเรียนสำคัญนั้นเป็นที่ประจักษ์โดยผ่านความทุกขเวทนาและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเราจะมีชีวิต แล้วเราจะไม่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์โดยการรับใช้พวกเขาหรอกหรือ …
เราต้องรับใช้ผู้อื่น เราต้องขยายมือที่ช่วยเหลือไปยังผู้เคราะห์ร้าย คนที่ไม่เคยได้ยินความจริงและอยู่ในความมืดทางวิญญาณ คนขัดสน คนที่ถูกกดขี่ ท่านกำลังล้มเหลวไหม ขอให้เรานึกถึงถ้อยคำของกวี วิลล์ แอล. ธอมพ์สัน … บทกวีเริ่มต้นดังนี้
“ฉันทำความดีบ้างหรือไม่ในโลกวันนี้?
ฉันปรานีคนขัดสนบ้างไหม?
ฉันได้ปลอบคนหมองหม่น
ช่วยคนให้เบิกบานไหม?
หากไม่ฉันล้มเหลวแน่นา” [เพลงสวด บทเพลงที่ 109]6
พันธกิจของเราเพื่อโลกทั้งโลก—เพื่อสันติสุข ความหวัง ความสุข ความรอดทางโลกและความรอดนิรันดร์ของบรรดาบุตรธิดาของพระบิดา … ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญท่านทั้งหลายอย่างสุดพลัง ข้าพเจ้ากระตุ้นคนเหล่านี้ให้เอื้อมออกไปและเป็นพรอย่างต่อเนื่องให้ชีวิตบุตรธิดาของพระบิดาในทุกหนแห่ง7
4
เราต้องชื่นชมและรักผู้คนดังที่พวกเขาเป็น
สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็ก เรามีม้าตัวหนึ่งชื่อจูนี จูนีเป็นสัตว์ฉลาดที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยพบ ดูเหมือนความสามารถของจูนีเกือบจะเท่าๆ กับคน ข้าพเจ้าขังจูนีไว้ในโรงนาไม่ได้เลยเพราะเธอถอดสายรัดที่ประตูคอกออกได้ ข้าพเจ้ามักจะผูกสายรัดติดกับประตูคอกเหนือตู้ไปรษณีย์ แต่จูนีจะถอดออกง่ายๆ ด้วยจมูกกับฟัน จากนั้นเธอจะออกไปที่สนามหญ้า
มีก็อกน้ำในสนามที่ใช้สำหรับเติมน้ำในรางให้สัตว์ของเรา จูนีจะหมุนก็อกนี้ด้วยปากแล้วปล่อยให้น้ำไหล คุณพ่อจะบ่นเพราะข้าพเจ้าไม่สามารถเก็บม้านั้นไว้โรงนาได้ จูนีไม่เคยวิ่งหนี แค่เปิดน้ำแล้วเดินไปรอบๆ สนามหรือเดินไปทั่วลาน หรือเดินลัดสวนไป ตกกลางดึก ข้าพเจ้าจะได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วข้าพเจ้าต้องลุกไปปิดและขังจูนีอีกครั้ง
คุณพ่อบอกว่าดูเหมือนม้าจะฉลาดกว่าข้าพเจ้า วันหนึ่งท่านตัดสินใจจะขังม้าไว้ข้างใน เพื่อไม่ให้ออกมาได้ ท่านคล้องสายรัดที่มักจะทำเป็นห่วงคล้องไว้เหนือกล่องไปรษณีย์ผูกไว้รอบๆ และใต้ขื่อ แล้วท่านก็พูดว่า “สาวน้อย ทีนี้ มาดูสิว่าจะออกได้ไหม!” คุณพ่อกับข้าพเจ้าออกจากโรงนาเริ่มเดินกลับบ้าน และก่อนที่เราจะถึงบ้าน จูนีก็มาอยู่ข้างๆ เราแล้ว จากนั้นก็ไปเปิดน้ำอีกครั้ง
ข้าพเจ้าบอกว่า ตอนนี้ จูนีอาจจะฉลาดพอๆ กับเราคนใดคนหนึ่ง เราห้ามจูนีออกจากคอกไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจูนีไม่ดี ไม่ใช่เช่นนั้น คุณพ่อไม่ได้คิดจะขายหรือนำเธอไปแลก จูนีมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างซึ่งทำให้ความผิดนี้ดูเล็กน้อยมาก
จูนีเป็นม้าที่ไว้ใจได้และเชื่อถือได้ในการลากรถม้าเช่นเดียวกับที่เชี่ยวชาญการออกจากคอก เรื่องนี้สำคัญเพราะคุณแม่เป็นนางผดุงครรภ์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ เมื่อมีผู้เรียกให้ปฏิบัติงานที่ใดสักแห่งในหุบเขา โดยปกติจะเป็นช่วงกลางดึก ข้าพเจ้าจะลุกขึ้น คว้าโคมไฟออกไปที่โรงนาและผูกจูนีกับรถม้า
ข้าพเจ้าอายุประมาณสิบหรือสิบเอ็ดปีในเวลานั้น ม้าจึงต้องเชื่อง ทว่าเข้มแข็งพอที่จะพาข้าพเจ้ากับคุณแม่ไปทั่วหุบเขา ในทุกสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจเลยคือเพราะเหตุใดทารกส่วนใหญ่ต้องเกิดกลางคืนและส่วนมากเกิดในฤดูหนาว
บ่อยครั้ง ข้าพเจ้ามักจะรอคุณแม่ในรถม้า จึงถือเป็นเรื่องดีที่มีจูนีม้าชราที่อ่อนโยนอยู่เป็นเพื่อน ประสบการณ์กับม้าตัวนี้ดีสำหรับข้าพเจ้าเพราะในชีวิตช่วงแรกๆ ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรักและชื่นชมสิ่งที่เธอทำ จูนีเป็นม้าที่ยอดเยี่ยมแต่มีนิสัยแย่ๆ เพียงสองอย่าง ผู้คนก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครในพวกเราดีพร้อม ทว่าเราทุกคนกำลังพยายามเป็นคนดีพร้อม แม้ดังพระบิดาในสวรรค์ของเรา เราต้องชื่นชมและรักผู้คนในสิ่งที่พวกเขาเป็น
ท่านอาจต้องจดจำสิ่งนี้เมื่อท่านประเมินบิดามารดา หรือครู หรือผู้นำวอร์ดและสเตค หรือเพื่อนๆ—หรือพี่น้องของท่าน บทเรียนนี้ยังอยู่กับข้าพเจ้าเสมอ—ที่จะเห็นความดีในผู้คน ถึงแม้เรากำลังพยายามจะช่วยให้พวกเขาเอาชนะนิสัยไม่ดีหนึ่งหรือสองอย่างก็ตาม …
ข้าพเจ้าเรียนรู้ชีวิตในวัยเยาว์ว่าให้รักและอย่าตัดสินผู้อื่น พยายามเสมอที่จะเอาชนะความผิดของตนเอง8
5
เมื่อเรารักพระเจ้าด้วยสุดใจของเราและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
“จงรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน
“นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
“ข้อที่สองก็เหมือนกันคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
“ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้” (มัทธิว 22:37–40)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งหมดที่ได้รับการเปิดเผยเพื่อความรอดของมนุษย์นับจากกาลเริ่มตันจนถึงเวลาของเราเองนั้นอยู่ใกล้ รวมถึงส่วนที่เป็นกฎสองข้อใหญ่นี้ด้วย หากเรารักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต และสุดความคิด และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ย่อมไม่มีอะไรเป็นที่ปรารถนามากไปกว่านี้อีกแล้ว เราจึงดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด หากเราเต็มใจดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระบัญญัติสองข้อใหญ่นี้—และเราต้องทำเช่นนั้นในที่สุดถ้าเรามีค่าควรที่จะอยู่ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า—จากนั้น ความชั่วร้าย ความอิจฉาริษยา ความทะเยอทะยาน ความโลภ การนองเลือด และบาปทั้งปวงอันเป็นธรรมชาติวิสัยทุกอย่างจะถูกขับไล่ไปจากแผ่นดินโลก จากนั้นวันแห่งสันติและความสุขนิรันดร์จะมาถึง วันอันรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง! เราได้รับการประสาทพรด้วยเหตุผลเพียงพอที่จะทราบว่าสถานะเช่นนั้นเป็นที่พึงปรารถนามากที่สุดและจะสถาปนาไว้ท่ามกลางมนุษย์ถึงความเป็นพระบิดาของพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นพี่น้องที่ดีพร้อมของมนุษย์
… เรากล่าวได้ว่าเรารักพระเจ้าด้วยสุดจิตหรือไม่ เรากล่าวได้ว่าเราห่วงใยความผาสุกของเพื่อนบ้านดังที่เราห่วงใยตนเองหรือไม่9
ขอให้เรารักพระเจ้าเพราะนี่คือรากฐานของสิ่งทั้งปวง นึ่คือพระบัญญัติข้อแรก และข้อที่สองก็เช่นกัน ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เมื่อเราทำเช่นนั้น เราทำให้กฎเกิดสัมฤทธิผล เพราะไม่มีสิ่งใดจะถูกทิ้งไว้ให้คั่งค้าง10
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
พิจารณาข้อความ “ให้ความสนใจแม้ในเรื่องเล็กน้อย” ที่ประธานสมิธทำเพื่อผู้อื่น (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างรูปแบบของความมีเมตตาที่คล้ายคลึงกันนี้ในชีวิตเรา
-
หลักคำสอนในหัวข้อที่ 1 ช่วยให้เรามีความรักความเมตตาแก่คนรอบข้างได้อย่างไร
-
ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับคำแนะนำของประธานสมิธในหัวข้อที่ 2 เหตุใดท่านจึงคิดว่าเราจะเป็น “พลังในโลกเพื่อก่อเกิดสิ่งดีงาม” เมื่อเราทำตามคำแนะนำนี้
-
พระเยซูคริสต์ทรงทำอะไรเพื่อ “สอนเราให้รักกันและกัน” (ดู หัวข้อที่ 3) เราจะทำตามแบบอย่างของพระองค์ในทางใดได้บ้าง
-
ทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับม้าจูนี (ดู หัวข้อที่ 4) ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดจึงสำคัญที่จะ “ชื่นชมและรักผู้คนดังที่พวกเขาเป็น” เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มองเห็นความดีในตัวผู้อื่น แม้ว่าเรากำลังพยายามช่วยให้พวกเขาเอาชนะนิสัยไม่ดี
-
การรักษาพระบัญญัติมีความหมายต่อท่านอย่างไร ในมัทธิว 22:37–40 (บางตัวอย่าง ดูหัวข้อที่ 5) เพราะเหตุใด เราจึง “ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด” เมื่อเรารักษาพระบัญญัติเหล่านี้
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
กิจการ 17:28–29; โรม 8:16–17; 1 ยอห์น 4:18–21; โมไซยาห์ 2:17; 18:8–10; โมโรไน 7:45–48
ความช่วยเหลือด้านการสอน
ท่านอาจต้องการเชิญให้ผู้ร่วมชั้นเรียนอ่านหัวข้อย่อยในบทและเลือกหัวข้อที่มีความหมายต่อพวกเขาหรือครอบครัวพวกเขา เชื้อเชิญพวกเขาให้ศึกษาคำสอนของประธานสมิธในหัวข้อนั้น รวมถึงคำถามที่สอดคล้องกันท้ายบท จากนั้น ขอให้สมาชิกในชั้นเรียนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้