บทที่ 9
พยานของพระคัมภีร์มอรมอน
“สำหรับข้าพเจ้าดูเหมือนว่าสมาชิกศาสนจักรนี้จะไม่มีวันได้รับความพึงพอใจจนกว่าจะได้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนหลายต่อหลายครั้ง และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อจะเป็นพยานได้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือบันทึกที่มีการดลใจจากพระผู้ทรงฤทธานุภาพอยู่ในนั้น และประวัติของบันทึกดังกล่าวเป็นความจริง”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธรับใช้เป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนจักรและผู้เก็บบันทึกตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970 ในตำแหน่งนี้ ท่านเป็นผู้ช่วยจัดหาเอกสารต้นฉบับของความสำคัญทางประวัติศาสตร์แก่ศาสนจักร เอกสารฉบับหนึ่งเป็นประจักษ์พยานที่เขียนด้วยลายมือของเดวิด วิตเมอร์ หนึ่งในพยานสามคนของพระคัมภีร์มอรมอน ประธานสมิธรู้สึกเป็นเกียรติเช่นกันที่ได้ถือประจักษ์พยานที่เขียนด้วยลายมือของออลิเวอร์ คาวเดอร์รี พยานอีกคนหนึ่งในพยานสามคนของพระคัมภีร์มอรมอน หลังจากคัดลอกเอกสารทั้งสองฉบับด้วยลายมือแล้ว ประธานสมิธอ่านคำปราศรัยต่อสาธารณชนอย่างน้อยสองครั้ง—ครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 และอีกครั้งหนึ่งในการประชุมใหญ่สามัญของศาสนจักร เดือนตุลาคม ค.ศ. 1956
ถึงแม้ประธานสมิธจะรู้สึกว่าประจักษ์พยานที่เขียนขึ้นนี้สำคัญมากพอที่จะแบ่งปัน แต่ท่านมักจะกล่าวถึงอีกประจักษ์พยานหนึ่งของพระคัมภีร์มอรมอนบ่อยมากขึ่น นั่นคือ ประจักษ์พยานของท่านเอง ซึ่งท่านได้รับมานานแล้วก่อนที่จะทำงานในสำนักงานนักประวัติศาสตร์ศาสนจักร ท่านกล่าว “ข้าพเจ้าเริ่มอ่านพระคัมภีร์มอรมอนก่อนวัยที่จะเป็นมัคนายก และข้าพเจ้าอ่านเรื่อยมานับแต่นั้น ข้าพเจ้าทราบว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง”1 “ข้าพเจ้าอ่านครั้งแล้วครั้งเล่า” ท่านบอกวิสุทธิชนยุคสุดท้าย “ข้าพเจ้ายังอ่านไม่มากพอ พระคัมภีร์เล่มนี้มีความจริงมากมายที่ข้าพเจ้ายังคงแสวงหาและค้นคว้า เพราะข้าพเจ้ายังไม่เชี่ยวชาญ แต่ข้าพเจ้าทราบว่าพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นความจริง”2
ในการแบ่งปันประจักษ์พยานถึงพระคัมภีร์มอรมอน ประธานสมิธมีจุดประสงค์ที่จะกระตุ้นเตือนคนอื่นๆ ให้ได้รับประจักษ์พยานเป็นของตนเอง ท่านกล่าว “ข้าพเจ้าเป็นพยานกับท่านว่าพระเจ้าได้ทำให้สิ่งนี้เป็นที่แจ้งชัดแก่ข้าพเจ้าโดยการเปิดเผยซึ่งข้าพเจ้าได้รับ และท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ที่นี่ในวันนี้สามารถกล่าวคำพยานได้เช่นเดียวกัน ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง นั่นคือสิทธิพิเศษของคนที่จริงใจ ผู้ที่จะบากบั่นในการอ่านควบคู่กับวิญญาณของการสวดอ้อนวอนและความปรารถนาที่จะทราบว่าพระคัมภีร์นี้เป็นความจริงหรือไม่ และเขาจะได้รับประจักษ์พยานนั้นตามคำสัญญาของโมโรไน ผู้ที่ผนึกบันทึกเพื่อให้ออกมาในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา”3
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
พระคัมภีร์มอรมอนเป็นบันทึกศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบด้วยพระกิตติคุณอันเป็นนิจและกล่าวคำพยานถึงพระเยซูคริสต์
พระคัมภีร์มอรมอนคือประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาสมัยโบราณ มีคำพยากรณ์ของศาสดาพยากรณ์ พระบัญญัติของพระเจ้าที่ประทานแก่พวกเขา เป็นประวัติศาสตร์และจุดหมายของผู้คนสมัยโบราณเหล่านั้น นี่เป็นชุดพระคัมภีร์ในอเมริกา ซึ่งศักดิ์สิทธิ์และได้รับการดลใจทัดเทียมกับพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีบันทึกศักดิ์สิทธิ์ของพงศ์พันธุ์ฮีบรูในซีกโลกตะวันออก4
ศาสดาพยากรณ์ชาวนีไฟสวดอ้อนวอนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงว่างานเขียนของพวกท่านจะได้รับการปกปักรักษาเพื่อให้ออกมาและกล่าวประหนึ่งว่ามาจากคนตาย เพื่อกล่าวคำพยานต่อส่วนที่เหลืออยู่ของลีไฮ และชาวยิวกับชาวต่างชาติด้วย พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณแก่พวกเขาแล้ว พวกท่านกังวลว่าในยุคสุดท้ายนี้ มนุษย์อาจถูกนำมาสู่การกลับใจและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านประจักษ์พยานที่ให้ไว้แก่ศาสดาพยากรณ์ชาวนีไฟเมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว อันที่จริง เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์มอรมอนว่านี่คือวัตถุประสงค์หลักของพระคัมภีร์มอรมอน ดังที่กล่าวไว้ในข้อความหลายแห่งของพระคัมภีร์ …
… พระเจ้าทรงทำให้เป็นที่แจ้งชัดแก่ศาสดาพยากรณ์ชาวนีไฟว่าประวัติศาสตร์และคำพยากรณ์ของพวกท่านจะได้รับการปกปักรักษาเพื่อให้ออกมาในยุคสุดท้ายในฐานะพยานถึงพระเยซูคริสต์และเพื่อสถาปนาพระกิตติคุณของพระองค์ในบรรดาผู้คน นีไฟพยากรณ์แก่คนต่างชาติและชาวยิวในสมัยของเราและฝากประจักษ์พยานของท่านไว้ด้วยคำบอกเล่าและความเฉียบขาดที่สุด (2 นีไฟ 33) โมโรไนก็ทำเช่นเดียวกัน (โมโรไน 10:24–34)5
นีไฟ ศาสดาพยากรณ์ท่านหนึ่งในยุคแรกๆ ของอาณานิคมอิสราเอล พยากรณ์ไว้เกือบหกร้อยปีก่อนคริสตกาล ว่าวันใดที่บันทึกทั้งหลายซึ่งมีประวัติศาสตร์ของผู้คนของท่านควรได้รับการเปิดเผยจากภัสมธุลี วันนั้นคือวันที่ผู้คนจะ “ปฏิเสธพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล” และพวกเขาจะพูดว่า “จงสดับฟังเรา, และท่านจงฟังกฎเกณฑ์ของเรา; เพราะดูเถิดวันนี้ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า, เพราะพระเจ้าและพระผู้ไถ่ทรงงานของพระองค์แล้ว, และพระองค์ประทานอำนาจของพระองค์ให้มนุษย์” [2 นีไฟ 28:5.] อนึ่ง หลายคนในบรรดาพวกเขาจะกล่าวเมื่อนำเสนอพระคัมภีร์ชุดใหม่ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของผู้คนในโลกตะวันตกนี้ว่า “พระคัมภีร์ไบเบิล! พระคัมภีร์ไบเบิล! เรามีพระคัมภีร์ไบเบิลอยู่แล้ว, และจะมีพระคัมภีร์ไบเบิลอีกเล่มไม่ได้” [2 นีไฟ 29:3]
… พระคัมภีร์ชุดใหม่นี้มีไว้เพื่อเป็นพยาน ไม่เพียงเป็นพยานถึงพระคริสต์และมีพระกิตติคุณอันเป็นนิจไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นพยานถึงพระคัมภีร์ของชาวยิวอีกด้วย—พระคัมภีร์ไบเบิล และบันทึกทั้งสองชุดนี้—ตามที่พยากรณ์ไว้โดยนีไฟ บิดาของท่าน และโจเซฟบุตรของอิสราเอลเช่นกัน—ต้องแสดงประจักษ์พยานต่อกันถึงพระกิตติคุณอันเป็นนิจ [ดู 2 นีไฟ 3:11–13; 29:10–14] ในฐานะพยานดังกล่าว บันทึกเหล่านี้ยืนเป็นพยานถึงความจริงในทุกวันนี้เพื่อกล่าวโทษคนทั้งปวงที่ปฏิเสธคำสอนในนั้น6
ข้าพเจ้าทราบว่าโจเซฟ สมิธแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยของประทานและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และพระคัมภีร์เล่มนี้ได้ออกมาแล้ว “เพื่อให้ชาวยิวและคนต่างชาติมั่นใจด้วยว่าพระเยซูคือพระคริสต์, พระผู้เป็นเจ้านิรันดร์, และทรงแสดงองค์ให้ประจักษ์แก่ประชาชาติทั้งปวง” [หน้าชื่อเรื่องพระคัมภีร์มอรมอน]7
2
ตามกฎของพยาน พระเจ้าทรงเรียกพยานพิเศษเพื่อเป็นพยานถึงพระคัมภีร์มอรมอน
มีกฎกล่าวไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการดูแลประจักษ์พยานและการแต่งตั้งพยาน พระเจ้าทรงทำตามกฎนี้เสมอในการประทานการเปิดเผยใหม่แก่ผู้คน8
ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา ผู้คนได้กำหนดกฎนี้ [กฎแห่งพยาน] ให้เป็นแบบแผนที่แน่ชัดแล้ว หากเรามีบันทึกที่สมบูรณ์แบบของทุกสมัย เราจะพบว่าทุกครั้งที่พระเจ้าทรงสถาปนาสมัยการประทานหนึ่ง ต้องมีพยานมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไปเพื่อเป็นพยานให้พระองค์ เปาโล ในสาส์นที่ท่านเขียนถึงชาวโครินธ์กล่าวว่า “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปาก จึงจะเป็นที่เชื่อถือได้” [2 โครินธ์ 13:1]9
เกี่ยวกับการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงเลือกพยาน ควรมีพยานพิเศษสักสามคนที่จะกล่าวคำพยานต่อโลก และตรัสว่า
“และหาได้มีใครอื่นที่จะเห็นหนังสือเล่มนั้น, นอกจากไม่กี่คนตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อแสดงประจักษ์พยานถึงพระวจนะของพระองค์ต่อลูกหลานมนุษย์; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าถ้อยคำของคนซื่อสัตย์จะพูดประหนึ่งว่ามันออกมาจากบรรดาคนตาย
“ดังนั้น, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเริ่มนำถ้อยคำในหนังสืออกมา; และด้วยปากของพยานหลายต่อหลายปากเท่าที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีพระองค์จะทรงสถาปนาพระวจนะของพระองค์ไว้; และวิบัติจงมีแก่คนที่ปฏิเสธพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า!” (2 นีไฟ 27:13–14.)10
ชายสามคนได้รับเรียกให้รับใช้เป็นพยานพิเศษถึงการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนโดยพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า คือ ออลิเวอร์ คาวเดอร์รี เดวิด วิตเมอร์ และมาร์ติน แฮร์ริส … พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของโจเซฟ สมิธในการสถาปนางานอัศจรรย์ในสมัยการประทานนี้ …
ประจักษ์พยานของพวกเขาคือพวกเขาได้รับการเยือนของเทพจากที่ประทับของพระเจ้า ผู้ที่วางบันทึกทองคำตรงหน้าพวกเขานับจากเวลาที่พระคัมภีร์มอรมอนได้รับการแปลและให้คำแนะนำแก่พวกเขา พวกเขาเห็นอักขระบนแผ่นจารึกนั้นตามที่เปิดให้พวกเขาดูต่อหน้าทีละแผ่น และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้า ประกาศจากสวรรค์ว่าการแปลนั้นมาจากของประทานและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และทรงบัญชาให้พวกเขากล่าวคำพยานถึงเรื่องนี้แก่คนทั้งปวงในโลก พยานทั้งสามคนนี้ โดยผ่านความยากลำบาก การข่มเหง และความผันแปรทั้งปวงของชีวิต ยังคงแน่วแน่ต่อประจักษ์พยานของพวกเขาเสมอว่าพวกเขาเห็นแผ่นจารึกในสิริของเทพและได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งกับพวกเขาจากสวรรค์
ยังมีพยานอีกแปดคนที่เห็นและได้ถือแผ่นจารึกเหล่านั้น ตรวจดูอักขระที่มีอยู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนตามที่โจเซฟ สมิธแสดงแก่พวกเขา ประจักษ์พยานของพวกเขาให้ไว้แก่โลกและปรากฏในพระคัมภีร์มอรมอนทุกเล่มด้วยเช่นกัน ชายทั้งแปดคนนี้ยังคงแน่วแน่ต่อประจักษ์พยานตราบจนสิ้นชีวิต
พยานทั้งสิบสองคนนี้ [รวมถึงโจเซฟ สมิธ] สี่คนได้เห็นเทพและมีนิมิตจากสวรรค์ อีกแปดคนเห็นบันทึกตามที่โจเซฟ สมิธได้แสดงต่อพวกท่าน นี่คือคนกลุ่มเดียวที่พระเจ้าทรงเห็นว่าจำเป็นต้องให้สิ่งนี้ปรากฏเพื่อสถาปนาความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้โดยผ่านนีไฟว่าพระองค์จะทรงทำ “และวิบัติจงมีแก่คนที่ปฏิเสธพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า!” ประจักษ์พยานของชายเหล่านี้เป็นมากกว่าการบรรลุข้อเรียกร้องของกฎ11
โจเซฟ สมิธ … อยู่ตามลำพังในนิมิตแรก ท่านอยู่ตามลำพังเมื่อโมโรไนนำข่าวสารมายังท่าน ท่านอยู่ตามลำพังเมื่อรับแผ่นจารึก แต่หลังจากนั้นท่านไม่ได้อยู่ตามลำพัง พระเจ้าทรงเรียกพยานคนอื่นๆ คุณย่าสมิธ [ลูซี แมค สมิธ มารดาของโจเซฟ สมิธ] ในประวัติของเธอเล่าว่าศาสดาพยากรณ์มาที่บ้าน หลั่งน้ำตาเพราะความปีติยินดีหลังจากพยานทั้งหลายได้เห็นแผ่นจารึกโดยมีเทพของพระผู้เป็นเจ้าคอยกำกับดูแล ท่านกล่าวว่า เนื่องจาก “ภาระหนักได้ถูกยกไปแล้วและข้าพเจ้ามิได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไป”12
3
พยานสามคนยังคงซื่อสัตย์ต่อประจักษ์พยานของพวกท่านในพระคัมภีร์มอรมอน
พยาน [พิเศษ] ทั้งสามคนนี้เอาใจออกห่างและละทิ้งศาสนจักร ออลิเวอร์ คาวเดอร์รีกับมาร์ติน แฮร์ริส กลับมาแสวงหาสมาชิกภาพในศาสนจักรอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและทั้งสองท่านสิ้นชีวิตในสิทธิ์อันสมบูรณ์ของการเป็นสมาชิก เดวิด วิตเมอร์ยังคงอยู่นอกศาสนจักร อย่างไรก็ตาม ชายทั้งสามคนนี้ยังคงซื่อสัตย์กับประจักษ์พยานที่พวกท่านให้แก่โลกซึ่งพบในพระคัมภีร์มอรมอนทุกเล่ม13
นี่คือประจักษ์พยานของเดวิด วิตเมอร์ ที่ให้ไว้ในริชมอนด์ มิสซูรี วันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1881—คัดลอกจากเอกสารต้นฉบับ ซึ่งจัดพิมพ์ที่โรงพิมพ์ Conservator ในริชมอนด์ ตามวันเดือนปีดังกล่าว
“จะเข้าไปสู่ประชาชาติ, ตระกูล, ภาษา, และคนทั้งปวงที่ยอมรับงานเขียนนี้—
“จอห์น เมอร์ฟี แห่งโปโล [เทศมนฑลคาลด์เวลล์] มิสซูรีกล่าวไว้ ขณะที่ข้าพเจ้าสนทนากับเขาในฤดูร้อนที่ผ่านมา เขาปฏิเสธประจักษ์พยานของข้าพเจ้าในฐานะหนึ่งในพยานสามคนของพระคัมภีร์มอรมอน—
“เพราะจุดประสงค์ดังกล่าว เขาอาจเข้าใจข้าพเจ้าตอนนี้ถ้าเวลานั้นเขายังไม่เข้าใจ และโลกอาจรับทราบความจริง ในตอนนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะยืนหยัดดังที่เคยทำ ในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ และในความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ทุกสิ่งได้เป็นที่รู้แก่สาธารณชน
“ว่าข้าพเจ้าไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะปฏิเสธประจักษ์พยานนั้นหรือส่วนใดส่วนหนึ่งในนั้น ซึ่งเนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่ได้รับการตีพิมพ์พร้อมกับพระคัมภีร์เล่มนั้น ในฐานะพยานคนหนึ่งในสามคน
“คนเหล่านั้นที่รู้จักข้าพเจ้าดีที่สุด จะทราบว่าข้าพเจ้ายึดมั่นในประจักษ์พยานนั้นเสมอมา—และไม่มีมนุษย์คนใดถูกชักนำให้เข้าใจผิดหรือสงสัยทัศนะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายืนยันความจริงในทุกถ้อยคำของข้าพเจ้าอีกครั้งตามที่พิมพ์ไว้”14
บัดนี้ ข้าพเจ้าขอพูดบางสิ่งเกี่ยวกับมาร์ติน แฮร์ริส … ขณะยังคงแน่วแน่ต่อไปในประจักษ์พยานที่เขามีต่อพระคัมภีร์มอรมอน เขาไม่พอใจศาสนจักรอยู่นานหลายปี แต่ไม่นานหลังจากวิสุทธิชนมาถึงยูทาห์ พี่น้องชายที่ดีบางคนไปตามเขากลับมา พบเขาและช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น แล้วพาเขากลับมา เขามา [ที่ยูทาห์] รับบัพติศมาอีกครั้ง และใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลานานหลายปี ทั้งยังกล่าวคำพยานถึงประจักษ์พยานของเขาท่ามกลางผู้ที่มาตั้งถิ่นฐาน เขาถึงแก่กรรมที่นี่และถูกฝังไว้ [ในคลาร์กสัน ยูทาห์]
ตอนนี้เรามาพูดถึงออลิเวอร์ คาวเดอร์รีกันบ้าง แล้วออลิเวอร์ คาวเดอร์รี คนที่สำคัญที่สุดในบรรดาพยานทั้งสาม เป็นผู้ที่อยู่กับโจเซฟ สมิธหลายครั้งที่การปรากฏของเหล่าเทพและการฟื้นฟูกุญแจทั้งหลาย เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาละทิ้งศาสนจักรและรู้สึกขมขื่นที่สุด แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธประจักษ์พยาน บางคนกล่าวว่าเขาปฏิเสธแล้ว แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เขายังคงแน่วแน่ต่อประจักษ์พยานนั้นเสมอ …
… หลังจากวิสุทธิชนถูกขับไล่ออกจากนอวูและออกไปในทุ่งราบ ทุกสิ่งดูมืดมนที่สุด (ซิดนีย์ ริกดัน กล่าวว่าพวกเขาออกไปสู่หายนะของตนเองและไม่มีความหวังสำหรับพวกเขา หนังสือพิมพ์ต่างพูดกันว่าพวกเขาไม่รอดแน่!) ภายใต้สภาพการณ์เช่นนั้น มีผู้ขอให้ออลิเวอร์ คาวเดอร์รี … กลับคืนสู่ศาสนจักร … เขากลับมาและเตรียมตัวทำงานเผยแผ่ในเกรตบริเตน แต่เขาล้มป่วยและถึงแก่กรรม เขาถึงแก่กรรมที่บ้านของเดวิด วิตเมอร์ แสดงประจักษ์พยานถึงความจริง15
4
สมาชิกศาสนจักรทุกคนสามารถเป็นพยานถึงพระคัมภีร์มอรมอนได้
นี่ไม่ใช่พยานทั้งหมดที่สามารถพูดถึงพันธกิจจากเบื้องบนของโจเซฟ สมิธ หรือพูดถึงความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน พระสัญญาที่ทรงทำไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนว่าทุกคนที่ปรารถนาจะรู้ว่านี่เป็นความจริงและพระคัมภีร์เล่มนี้มีพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ จะรู้ได้ว่านี่คือความจริงหากพวกเขาจะทูลถามด้วยใจจริง ด้วยเจตนาแท้จริง โดยมีศรัทธาในพระคริสต์ พระองค์จะทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ประจักษ์แก่พวกเขาโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ [ดู โมโรไน 10:3–5] มีผู้คนหลายแสนคนที่ทดสอบสัญญานี้และเรียกหาด้วยใจจริงกล่าวว่าพวกเขาได้รับความรู้นั้นแล้ว16
ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างแท้จริงว่าพระคัมภีร์มอรมอนเล่มนี้จากที่ข้าพเจ้าอ่านเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าและได้รับการเปิดเผย ดังที่โจเซฟ สมิธประกาศว่าพระคัมภีร์เล่มนี้ได้รับการเปิดเผย และข้าพเจ้าประกาศอย่างเดียวกันนี้ขณะยืนอยู่ที่นี่ กำลังมองหน้าพวกท่านอยู่ จิตวิญญาณทุกดวงบนพื้นพิภพผู้ที่มีปัญญามากพอจะเข้าใจอาจได้รู้จักกับความจริงนั้น เขารู้ได้อย่างไร ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือทำตามสูตรที่พระเจ้าทรงมอบให้เขาด้วยพระองค์เองเมื่อพระองค์รับสั่งกับชาวยิวว่าพวกเขาที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาจะทราบว่าหลักคำสอนนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า หรือพระองค์รับสั่งเอง [ดู ยอห์น 7:17] ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อทุกคนในโลกว่าพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นความจริง …
ข้าพเจ้าทราบว่าประจักษ์พยานของพยานทั้ง [สามคน] นี้ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนทุกเล่มเป็นความจริง พวกเขายืนอยู่ในสิริของเทพแห่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ประกาศแก่พวกเขาว่าบันทึกชุดนี้ตามที่แปลไว้ถูกต้อง ประจักษ์พยานของพวกเขาที่พระผู้เป็นเจ้ารับสั่งจากสวรรค์เพื่อเรียกให้พวกเขากล่าวคำพยานถึงข้อเท็จจริงนี้เป็นความจริง และไม่มีจิตวิญญาณใดที่ไม่สามารถรับประจักษ์พยานนั้นได้หากเขาปรารถนาจะรับ โดยการอ่านพระคัมภีร์เล่มนี้ร่วมกับการสวดอ้อนวอนและซื่อสัตย์ ด้วยความปรารถนาจะรู้ความจริงดังที่โมโรไนประกาศโดยการเปิดเผย เขาจะรู้ความจริงเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระคัมภีร์ที่ให้แก่ผู้อยู่อาศัยของทวีปนี้ตั้งแต่ครั้งโบราณ17
สำหรับข้าพเจ้าดูเหมือนว่าสมาชิกศาสนจักรนี้จะไม่มีวันได้รับความพึงพอใจจนกว่าจะได้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนหลายต่อหลายครั้ง และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อจะเป็นพยานได้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือบันทึกที่มีการดลใจจากพระผู้ทรงฤทธานุภาพอยู่ในนั้น และประวัติของบันทึกดังกล่าวเป็นความจริง …
… ไม่มีสมาชิกศาสนจักรคนใดจะยืนได้อย่างคู่ควรในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าหากเขาไม่ยอมอ่านพระคัมภีร์มอรมอนอย่างจริงจังและถี่ถ้วน18
เมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ท่านกำลังอ่านความจริง เพราะเหตุใดหรือ เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับดูแลคนเหล่านั้นให้เขียนเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่เกิดขึ้น พระองค์ประทานปัญญาและการดลใจแก่พวกท่านให้กระทำสิ่งนี้ ดังนั้น บันทึกทั้งหลายนี้จึงบันทึกโดยคนที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า บันทึกเหล่านี้ไม่เคยตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนที่ละทิ้งความเชื่อ แต่บรรดานักประวัติศาสตร์เขียนและพูดตามการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราทราบว่าสิ่งที่พวกท่านเขียนเป็นความจริงเพราะพระเจ้าทรงประทับตราอมุมัติด้วยพระองค์เอง [ดู คพ. 17:6] 19
5
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์มอรมอนอย่างต่อเนื่องด้วยความจริงใจร่วมกับการสวดอ้อนวอน เราจะรักพระคัมภีร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์มอรมอนด้วยใจจริงจะรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาสาระในหน้าหนังสือที่มาจากการดลใจ … มีทั้งแรงบันดาลใจ ความรู้สึกสงบสุข และความพึงพอใจที่มาพร้อมกับการอ่านพระคัมภีร์เล่มนี้ด้วยใจจริงร่วมกับการสวดอ้อนวอน20
ขณะอ่าน [พระคัมภีร์มอรมอน] ข้าพเจ้าประทับใจมากขึ้นเรื่อยๆ กับความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ พร้อมด้วยข่าวสารที่เป็นพยานถึงพระพันธกิจของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลาเพื่อความรอดของทุกจิตวิญญาณ ข้าพเจ้ารักบันทึกเล่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่าเพราะข้าพเจ้าได้เห็นการเปิดเผยถึงสัมฤทธิผลของคำพยากรณ์ที่ให้ไว้โดยศาสดาพยากรณ์เหล่านี้ผู้ที่บัดนี้ได้พูดกับประชาชาติของแผ่นดินโลก จากบรรดาคนตายและจากภัสมธุลี ป่าวร้องให้พวกเขากลับใจ และเรียกพวกเขาให้เชื่อในพระคริสต์21
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ประธานสมิธกล่าวว่าท่านยังอ่านพระคัมภีร์มอรมอนไม่มากพอ (ดู หัวข้อ “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) เราเรียนรู้อะไรจากความคิดเห็นนี้
-
ในบทนี้ หัวข้อที่ 1 ได้รวบรวมคำสอนบางส่วนของประธานสมิธเกี่ยวกับจุดประสงค์ของพระคัมภีร์มอรมอน จุดประสงค์เหล่านี้มีสัมฤทธิผลอย่างไรในชีวิตท่าน
-
ถึงแม้ออลิเวอร์ คาวเดอร์รี มาร์ติน แฮร์ริส และเดวิด วิตเมอร์ ละทิ้งศาสนจักร แต่ทั้งสามท่านไม่เคยปฏิเสธประจักษ์พยานที่มีต่อพระคัมภีร์มอรมอน (ดู หัวข้อที่ 2 และ 3) เหตุใดข้อเท็จจริงนี้จึงสำคัญมากขณะที่เราพิจารณาประจักษ์พยานของพวกท่าน
-
ประธานสมิธกล่าวว่าผู้คนทั้งปวงสามารถเป็นพยานถึงพระคัมภีร์มอรมอนได้ (ดู หัวข้อที่ 4) ท่านได้รับประจักษ์พยานถึงพระคัมภีร์อย่างไร ท่านสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อแบ่งปันพยานนี้
-
จากพระคัมภีร์มอรมอน ประธานสมิธกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักบันทึกเล่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า” (ดู หัวข้อที่ 5) ท่านเห็นว่านี่เป็นความจริงสำหรับท่านอย่างไร คนๆ หนึ่งสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประจักษ์พยานของเขาในพระคัมภีร์มอรมอน
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
1 นีไฟ 6:3–5; 2 นีไฟ 29:7–8; เจคอบ 4:1–4; อีนัส 1:13; คพ. 20:8–12
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“เป็นพยานเมื่อใดก็ตามที่พระวิญญาณกระตุ้นเตือนให้ท่านทำเช่นนั้น ไม่เฉพาะแค่ตอนจบชั้นเรียนเท่านั้น เปิดโอกาสให้คนที่ท่านสอนแสดงประจักษ์พยานด้วย” (ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 45)