คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 26: เตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าของเรา


บทที่ 26

เตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าของเรา

“เจ้าจงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า, และทำวิถีของพระองค์ให้ตรง, เพราะโมงแห่งการเส็จดมาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว” (คพ. 133:17)

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเล่าให้กลุ่มวิสุทธิชนยุคสุดท้ายฟังครั้งหนึ่งว่าท่าน “กำลังสวดอ้อนวอนให้แก่การสิ้นโลก ท่านกล่าว “ข้าพเจ้าจะดีใจถ้ามันเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้” ในการตอบสนองต่อคำประกาศนั้น สตรีคนหนึ่งพูดดังพอที่คนอื่นจะได้ยิน “โอ้ ฉันหวังว่าไม่นะ” เธอกล่าว

การแบ่งปันประสบการณ์นี้ในเวลาต่อมา ประธานสมิธสอนว่า

“ท่านไม่อยากให้การสิ้นโลกมาถึงหรอกหรือ”

“คนส่วนใหญ่มีแนวคิดที่ผิดถึงความหมายของการสิ้นโลก …

“… เมื่อพระคริสต์เสด็จมาก็จะเกิดการสิ้นโลก … จะไม่มีสงคราม ความสับสนอลหม่าน ความอิจฉาริษยา การโป้ปดมดเท็จ จะไม่มีความชั่วร้าย ในเวลานั้น มนุษย์เรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ นั่นคือการสิ้นโลกและเป็นสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสวดอ้อนวอนขอเมื่อเหล่าสานุศิษย์มาหาพระองค์และกล่าวว่า ‘ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน’ พระองค์ทรงทำอะไรหรือ พระองค์ทรงสอนพวกเขา ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ [ดู ลูกา 11:1–2]

“นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอ พระเจ้าทรงสวดอ้อนวอนเพื่อการสิ้นโลกและข้าพเจ้าก็เช่นกัน”1

ในโอวาทและงานเขียน ประธานสมิธอ้างถึงคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์บ่อยๆ เกี่ยวกับยุคสุดท้าย บทบาทของโจเซฟ สมิธในการเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า และการเสด็จมายังโลกในรัศมีภาพของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านแสดงความรู้สึกอันลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพยากรณ์เหล่านี้ในคำสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารออกเด็น ยูทาห์

“ดังที่พระองค์ทรงทราบ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย เรากำลังมีชีวิตอยู่ในวันเวลาสุดท้ายเมื่อสัญญาณแห่งเวลากำลังปรากฏออกมา เมื่อพระองค์ทรงเร่งงานของพระองค์ในเวลานี้ และเมื่อเราได้ยินเสียงของผู้หนึ่งป่าวร้องในแดนทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าและจงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป [ดู มัทธิว 3:3] …

“ข้าแต่พระบิดา พวกข้าพระองค์ปรารถนาวันที่เจ้าชายแห่งสันติจะเสด็จมา เมื่อโลกจะพักผ่อนและจะพบความชอบธรรมอีกครั้งบนพื้นพิภพ นี่คือคำสวดอ้อนวอนของพวกข้าพระองค์ ที่เปล่งวาจาจากใจอันชอกช้ำและต่ำต้อย ว่าพวกข้าพระองค์จะทนได้ในวันนั้นและทรงพบว่ามีค่าควรที่จะอยู่กับพระองค์ ผู้ทรงได้รับมอบหมายให้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์”2

Frontal head and shoulders portrait of Jesus Christ. Christ is depicted wearing a pale red robe with a white and blue shawl over one shoulder. Light emanates from His face.

“ข้าแต่พระบิดา พวกข้าพระองค์ปรารถนาวันที่เจ้าชายแห่งสันติจะเสด็จมา”

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

การเสด็จมาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว

เรากำลังเข้าสู่วันอันสำคัญยิ่งของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว เวลาแห่ง “ความมีชีวิตชีวา” เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในเมฆแห่งสวรรค์เพื่อนำการแก้แค้นมาสู่คนอาธรรม์และเตรียมแผ่นดินโลกเพื่อรับการปกครองด้วยสันติสุข เพื่อคนทั้งปวงที่เต็มใจยึดมั่นในกฎของพระองค์ [ดู กิจการ 3:19–20]3

หลายสิ่งเกิดขึ้นแล้ว … เพื่อทำให้สมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรซาบซึ้งกับข้อเท็จจริงที่ว่าการเสด็จมาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว พระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟู ศาสนจักรได้รับการจัดตั้งอย่างสมบูรณ์ ฐานะปุโรหิตได้รับการประสาทบนมนุษย์ สมัยการประทานหลายสมัยนับจากกาลเริ่มต้นได้รับการเปิดเผยและกุญแจกับสิทธิอำนาจของสมัยนั้นได้มอบให้ศาสนจักรแล้ว อิสราเอลได้รับการรวบรวมและกำลังรวมกันไปสู่แผ่นดินแห่งไซอัน ชาวยิวกำลังกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ปัจจุบันมีการสั่งสอนพระกิตติคุณในทั่วโลกเป็นพยานต่อทุกประชาชาติ พระวิหารกำลังก่อสร้าง งานศาสนพิธีสำหรับคนตายและคนเป็นกำลังประกอบพิธีในพระวิหาร ใจของลูกหลานหันไปหาบรรพบุรุษ และลูกหลานกำลังแสวงหาผู้วายชนม์ของพวกเขา พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอิสราเอลในยุคสุดท้ายได้รับการเปิดเผย อิสราเอลที่ได้รับการรวบรวมแล้วหลายพันคนได้เข้าสู่พันธสัญญาดังกล่าว ดังนั้นงานของพระเจ้าจึงกำลังรุดหน้า และทั้งหมดนี้คือสัญญาณแห่งการเข้าใกล้พระเจ้าของเรา …

ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์กำลังเกิดสัมฤทธิผลอย่างรวดเร็ว แต่ดำเนินไปตามหลักการทางธรรมชาติที่เราส่วนใหญ่มองไม่เห็น

โยเอลสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน บุตรธิดาจะพยากรณ์ คนชราทั้งหลายจะฝัน และคนหนุ่มจะเห็นนิมิต [ดู โยเอล 2:28–29] …

สัญญาณทั้งหลายของวันเวลาสุดท้ายคือการเรียนรู้ที่เพิ่มพูน ดาเนียลได้รับบัญชาให้ “… ปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้นเสีย [คำพยากรณ์ของท่าน] จนถึงวาระสุดท้าย [และในวันนั้น] คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา” พระองค์ตรัส “และความรู้จะทวีขึ้น” (ดาเนียล 12:4) ผู้คนไม่ได้กำลัง “วิ่งไปวิ่งมา” ในวันนี้ ดังที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกหรอกหรือ …

… ความรู้มิได้ทวีขึ้นหรือ เคยมีเวลาในประวัติศาสตร์โลกหรือที่ความรู้มากมายเทลงมาให้ผู้คน แต่น่าเศร้าที่จะกล่าวว่าคำของเปาโลเป็นความจริง—ผู้คนกำลัง “ร่ำเรียนอยู่เสมอ แต่ไม่สามารถเข้าใจหลักความจริงได้เลย” (2 ทิโมธี 3:7) …

เราไม่มีข่าวลือเรื่องสงครามบ้างเลยหรือ [ดู คพ. 45:26] เราไม่เคยมีสงคราม สงครามที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนเลยหรือ ไม่มีความโกลาหลในบรรดาประชาชาติทุกวันนี้ และผู้ปกครองของพวกเขาไม่ทุกข์ร้อนหรอกหรือ อาณาจักรต่างๆ ไม่ได้ล่มสลายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในบรรดาประชาชาติหรอกหรือ ทั่วทั้งแผ่นดินโลกอยู่ในความโกลาหล มีรายงานแผ่นดินไหวในสถานที่แตกต่างกันไปทุกวัน [ดู คพ. 45:33] …

ทว่าโลกเก่าดำเนินกิจธุระในการเอาใจใส่เล็กน้อยต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส กับสัญญาณและการบ่งชี้ที่ให้ไว้แล้ว มนุษย์ทำใจแข็งกระด้างและกล่าว “… ว่าพระคริสต์ทรงรีรอการเสด็จมาของพระองค์จนกว่าการสูญสิ้นของแผ่นดินโลก” (คพ. 45:26)4

มีคนถามข้าพเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ว่าข้าพเจ้าสามารถบอกได้ไหมว่าพระเจ้าจะเสด็จมาเมื่อใด ข้าพเจ้าเคยตอบว่า “ได้” และในตอนนี้ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ได้” ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อไร พระองค์จะเสด็จมาวันพรุ่งนี้ เรามีถ้อยคำในเรื่องดังกล่าว ข้าพเจ้าขออ่านให้ฟังดังนี้

“ดูเถิด, บัดนี้เรียกว่าวันนี้จนกว่าการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, และตามจริงแล้วเป็นวันแห่งการเสียสละ, และวันที่เราจะเก็บส่วนสิบจากผู้คนของเรา; เพราะคนที่จ่ายส่วนสิบจะไม่ถูกเผาไหม้ในการเสด็จมาของพระองค์.”

บัดนี้ มีคำอธิบายเพียงพอเรื่องส่วนสิบ

“เพราะหลังจากวันนี้ การเผาไหม้มาถึง—นี่คือการพูดตามวิธีของพระเจ้า—เพราะตามจริงแล้วเรากล่าว, พรุ่งนี้คนจองหองทั้งหมดและคนเหล่านั้นที่ทำชั่วจะเป็นดังตอข้าว; และเราจะเผาพวกเขาให้สิ้น, เพราะเราคือพระเจ้า จอมโยธา; และเราจะไม่ละเว้นคนหนึ่งคนใดที่ยังคงอยู่ในบาบิโลน” [คพ. 64:23–24]

ดังนั้น พระเจ้ากำลังจะเสด็จมา ข้าพเจ้ากล่าวว่า วันพรุ่งนี้ จึงขอให้เราเตรียมพร้อม5

The resurrected Jesus Christ (wearing white robes with a magenta sash) standing above a large gathering of clouds. Christ has His arms partially extended. The wounds in the hands of Christ are visible. Numerous angels (each blowing a trumpet) are gathered on both sides of Christ. A desert landscape is visible below the clouds. The painting depicts the Second coming of Christ. (Acts 1:11)

“เรากำลังเข้าสู่วันอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว เวลาแห่ง “ความมีชีวิตชีวา” เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในเมฆแห่งสวรรค์”

2

จะมีการพิพากษาเมื่อพระคริสต์เสด็จมา

คำอุปมาที่พระเจ้าทรงสอนเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมานหมายถึงวันสุดท้าย ตามเรื่องราวดังกล่าว ผู้หว่านได้หว่านเมล็ดดีในทุ่งของเขา แต่ขณะที่เขาหลับ ศัตรูมาหว่านข้าวละมานในทุ่ง เมื่อต้นข้าวกำลังผลิใบ พวกผู้รับใช้ปรารถนาที่จะออกไปถอนข้าวละมานทิ้งแต่พระเจ้าทรงบัญชาพวกเขาให้ปล่อยทั้งข้าวสาลีและข้าวละมานเติบโตไปด้วยกันจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว มิฉะนั้น พวกเขาอาจจะถอนต้นอ่อนของข้าวสาลีขณะกำลังทำลายข้าวละมาน จากนั้น เมื่อการเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง พวกเขาต้องออกไปรวบรวมข้าวสาลีและมัดข้าวละมานไว้เป็นฟ่อนๆ เพื่อจะเผาทิ้ง ในคำอธิบายของอุปมานี้ พระเจ้ารับสั่งกับเหล่าสานุศิษย์ว่า “ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์” [ดู มัทธิว 13:24–30, 36–43; คพ. 86]6

ข้าวละมานกับข้าวสาลีกำลังเติบโตไปด้วยกันและเติบโตอยู่ในทุ่งเดียวกันมาตลอดปี แต่วันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเมื่อข้าวสาลีจะถูกรวมไว้ ข้าวละมานก็เช่นกันจะถูกรวมไว้เพื่อนำไปเผา และจะมีการแบ่งแยกคนชอบธรรมจากคนชั่วร้าย เรื่องนี้สอนเราทุกคนให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า กลับใจจากบาป หันมาหาความชอบธรรม หากใจเรามีความต้องการการกลับใจ7

จงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สมาชิกศาสนจักรมีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า คุณความดีรู้ว่าเราต้องการสิ่งนี้ มีอิทธิพลมากมายกำลังทำงานเพื่อแบ่งแยกเราจากกัน ความถูกต้องในบรรดาสมาชิกศาสนจักร และวันหนึ่งจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ การแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน เราอาจเป็นข้าวสาลีหรือข้าวละมานก็ได้ เราจะอยู่ข้างหนึ่งหรืออีกข้างหนึ่ง8

วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะไม่มีโลกนี้ โลกจะถูกเปลี่ยน เราจะได้รับโลกที่ดีกว่า เราจะได้โลกที่ชอบธรรมเพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงชำระโลกให้สะอาด

จงอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของเรา ให้อ่านว่าพระองค์ตรัสอะไรด้วยพระองค์เอง เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชำระโลกนี้ให้สะอาดจากความชั่วร้ายทั้งปวง และพระดำรัสถึงศาสนจักร พระองค์รับสั่งว่าพระองค์จะส่งเทพมาและพวกท่านจะเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดออกจากอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งคือศาสนจักร [ดู มัทธิว 13:41]9

วัน [ที่] ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวไม่อาจเป็นเวลาอื่นไปได้นอกจากเวลาในการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ในเดชานุภาพท่ามกลางคนชอบธรรมบนแผ่นดินโลกและเพื่อชำระโลกให้สะอาดจากความชั่วช้าสามานย์ วันนี้จะไม่เป็นวันแห่งความกลัวและทำให้เกิดความพรั่นพรึงในใจคนชอบธรรม แต่จะเป็นวันแห่งความกลัวและสะเทือนขวัญอย่างใหญ่หลวงต่อคนอาธรรม์ เรื่องนี้เราเรียนรู้จากพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เอง ขณะทรงสอนเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์ [ดู มัทธิว 24; โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1]10

จะมีการพิพากษาเมื่อพระคริสต์เสด็จมา เราได้รับแจ้งว่าหนังสือทั้งหลายจะถูกเปิดออก คนตายจะถูกพิพากษาจากสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในหนังสือ และในบรรดาหนังสือเหล่านั้นจะเป็นหนังสือแห่งชีวิต [ดู วิวรณ์ 20:12] เราจะได้เห็นหน้าต่างๆ ของหนังสือนั้น เราจะเห็นสิ่งที่เราเป็นด้วยตนเอง และเราจะต้องเข้าใจด้วยความเข้าใจที่ชอบธรรมว่าการพิพากษาซึ่งใช้วัดเรานั้นเที่ยงธรรมและแท้จริง ว่าเราจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ … เพื่อรับพรแห่งรัศมีภาพนี้หรือว่าเราจะถูกเนรเทศ 11

ข้าพเจ้าวิงวอนวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้ยืนหยัดและซื่อสัตย์ในสัมฤทธิผลของหน้าที่ทุกอย่าง ในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ให้เกียรติฐานะปุโรหิต เพื่อเราจะยืนหยัดอดทนได้เมื่อพระเจ้าเสด็จมา—ไม่สำคัญว่าเราจะอยู่หรือตาย—เพื่อจะเป็นผู้รับส่วนแห่งรัศมีภาพนี้12

3

ในการเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้า เราต้องเฝ้าระวังและสวดอ้อนวอน และจัดบ้านเของเราให้เป็นระเบียบ

มีเหตุการณ์มากมายในโลกทุกวันนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าวันอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามา เมื่อพระผู้ไถ่จะทรงจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์อีกครั้งในความชอบธรรมเพื่อเตรียมรับการปกครองมิลเลเนียม ขณะเดียวกัน เป็นหน้าที่ของสมาชิกศาสนจักรที่จะแสวงหาความรู้และเตรียมตัวโดยการศึกษาและโดยศรัทธาเพื่อต้อนรับวันอันรุ่งโรจน์และสำคัญยิ่ง13

เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเวลาและฤดูกาลว่าพระคริสต์จะเสด็จมาเมื่อไร แต่เราต้องเฝ้าระวัง สวดอ้อนวอนและเตรียมพร้อม14

บางครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญใจที่ผู้ใหญ่ของเราบางคนกล่าวว่าพระเจ้าจะเสด็จมาเมื่อเราทุกคนชอบธรรมพอที่จะรับพระองค์ พระเจ้ามิได้ทรงรอให้เราชอบธรรม เมื่อพระองค์ทรงพร้อมที่จะเสด็จมา พระองค์ก็จะเสด็จมา—เมื่อถ้วยแห่งความชั่วช้าสามานย์เต็ม—และถ้าเราไม่ชอบธรรม ก็คงจะเป็นเรื่องเลวร้ายเกินไปสำหรับเรา เพราะเราจะถูกจัดอยู่ในบรรดาคนอาธรรม์ และเราจะเป็นดังตอข้าวที่ถูกกวาดออกไปจากพื้นพิภพ เพราะพระเจ้าตรัสว่าคนชั่วร้ายจะทนอยู่ไม่ได้15

แล้วเราจะมัวหลับอยู่ในภวังค์หรือความไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้เป็นคำเตือนแก่เราอย่างนั้นหรือ “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านจะเสด็จมาเวลาไหน

“จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะเฝ้าระวังอยู่ ไม่ให้บ้านถูกงัดเข้าไปได้

“เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:42–44)

ขอให้เราเอาใจใส่พระดำรัสเตือนจากพระเจ้า จัดบ้านของเราให้เป็นระเบียบและพร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า16

4

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายสามารถเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์พระผู้เป็นเจ้าในการเตรียมผู้คนให้พร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า

ไม่เป็นเรื่องแปลกเกินไปหรอกหรือหากพระเจ้าจะเสด็จมาและเริ่มการปกครองด้วยสันติสุข แก้แค้นคนชั่วร้าย ชำระแผ่นดินโลกจากบาป แล้วไม่ส่งผู้ส่งสารมาเตรียมมรรคาก่อนหน้าพระองค์ ควรหรือไม่ที่เราจะคาดหวังให้พระเจ้าเสด็จมาพิพากษาโลกโดยไม่ประทานพระดำรัสเตือนแก่โลกก่อนและเตรียมวิธีหลบหนีให้คนทั้งปวงที่จะกลับใจ

โนอาห์ถูกส่งมายังโลกเพื่อเตือนโลกเรื่องน้ำท่วม หากผู้คนสดับฟังพวกเขาก็คงจะหลบหนีไป โมเสสถูกส่งมานำอิสราเอลไปสู่แผ่นดินที่สัญญาไว้ เพื่อให้สัญญาที่ทำไว้กับอับราฮัมมีสัมฤทธิผล ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาถูกส่งมาเตรียมมรรคาก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ ในแต่ละเหตุการณ์นี้ การเรียกมาโดยผ่านการเปิดฟ้าสวรรค์ อิสยาห์ เยเรมีย์และศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ ถูกส่งมาเพื่อเตือนอิสราเอลและยูดาห์ก่อนที่การกระจัดกระจายและการเป็นเชลยจะเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเขาเอาใจใส่หน้าประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันนี้ก็คงจะมีเขียนเอาไว้ พวกเขามีโอกาสได้ยิน พวกเขาได้รับการเตือนและมีวิธีหลบหนีที่พวกเขาปฏิเสธ

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงให้ความสนพระทัยอย่างเดียวกันนี้ในมนุษยชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์17

โจเซฟ สมิธถูกส่งมาเพื่อเตรียมมรรคาก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองนี้ โดยการประกาศความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ และประทานวิธีการหลบหนีแก่มนุษย์ทั้งปวงจากความชั่วช้าสามานย์และการล่วงละเมิด18

The Prophet Joseph Smith sitting on his bed in the Smith farm house. Joseph has a patchwork quilt over his knees. He is looking up at the angel Moroni who has appeared before him. Moroni is depicted wearing a white robe. The painting depicts the event wherein the angel Moroni appeared to the Prophet Joseph Smith three times in the Prophet's bedroom during the night of September 21, 1823 to inform him of the existence and location of the gold plates, and to instruct him as to his responsibility concerning the plates.

เมื่อเทพโมโรไนมาเยือนเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ ท่านพยากรณ์ถึงการเสด็จมาครั้งที่ของพระผู้ช่วยให้รอด (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:36–41)

ยอห์นบนเกาะปัทมอสเห็นนิมิตในวันเวลาสุดท้าย “ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ”[วิวรณ์ 14:6]

ในสัมฤทธิผลของคำสัญญานี้ โจเซฟ สมิธประกาศว่าโมโรไน ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณในทวีปนี้ และบัดนี้ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว ได้สอนพระกิตติคุณให้ท่าน มอบคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ และพระเจ้าตรัสว่า “เพราะดูเถิด, พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งเทพออกไปป่าวร้องผ่านท่ามกลางฟ้าสวรรค์, โดยกล่าวว่า: เจ้าจงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า, และทำวิถีของพระองค์ให้ตรง, เพราะโมงแห่งการเสด็จมาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว” [คพ. 133:17]

การยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง วิสุทธิชนยุคสุดท้ายเชื่อว่าการสื่อสารได้รับการสถาปนาไว้กับฟ้าสวรรค์ในสมัยใหม่ และบัดนี้ “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” จะส่งออกไปในฐานะพยานต่อโลกก่อนพระคริสต์จะเสด็จมา [ดู มัทธิว 24:14]19

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายอาจมีผู้พิจารณาว่าแปลกและโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่าพวกเขาได้รับเรียกเพื่อทำให้พระคัมภีร์นี้เกิดสัมฤทธิผล [มัทธิว 24:14] แต่ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้าตรัสไว้ว่าพวกเขากำลังส่งผู้สอนศาสนาออกไปทั่วภูมิภาคของโลกด้วยความขยันหมั่นเพียร ยิ่งกว่านั้น เมื่อทุกประชาชาติได้ยินข่าวสารนี้ดังที่เปิดเผยไว้ในวันเวลาสุดท้าย พวกเขาจะเฝ้ารอการเสด็จมาของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ เพื่อในวันนั้น ทุกประชาชาติจะได้รับการเตือนจากผู้ส่งสาร ผู้ที่ถูกส่งมาหาพวกเขาตามพระสัญญาของพระเจ้า20

พระกิตติคุณมีไว้สำหรับคนทั้งปวง และศาสนจักรจะได้รับการสถาปนาขึ้นในทุกหนแห่ง ในทุกประชาชาติ แม้จนสุดแดนแผ่นดินโลก ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์ …

… พระองค์ทรงตั้งพระหัตถ์ของพระองค์อีกเป็นครั้งที่สองเพื่อรวบรวมอิสราเอลให้มาสู่ศาสนจักร และเวลานี้ พระองค์จะทรงยกการชุมนุมของวิสุทธิชนของพระองค์ขึ้นในประชาชาติทั้งปวง21

จากคำสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารออกเด็น ยูทาห์ ดังนี้

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงเร่งวันเมื่อคนชอบธรรมจะมีชัย เมื่อผู้ปกครองของประชาชาติทั้งหลายจะเปิดอาณาเขตของพวกเขาเพื่อการสั่งสอนพระกิตติคุณ เมื่อประตูแห่งความรอดจะเปิดกว้างขึ้นสำหรับคนซื่อสัตย์และซื่อตรง และคนดีในบรรดาชนทุกชาติ

พวกข้าพระองค์สวดอ้อนวอนเพื่อให้ความจริงแผ่ไป และเพื่ออุดมการณ์ของผู้สอนศาสนา พวกข้าพระองค์แสวงหาความเข้มแข็ง จำนวน และวิธีที่จะประกาศความจริงอันเป็นนิจให้แก่บุตรธิดาคนอื่นๆ ของพระองค์เพิ่มมากขึ้นในทุกประชาชาติ ในบรรดาทุกตระกูล และถ้อยคำทุกภาษา …

… พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ในการเตรียมผู้คนเพื่อรับการเสด็จมาของพระบุตรของพระองค์22

5

ยุคมิลเลเนียมจะเป็นช่วงเวลาแห่งสันติสุขและช่วงเวลาที่จะลงมือทำงานของพระเจ้า

คนชอบธรรมจะชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์เสด็จมา เพราะสันติสุขจะมายังแผ่นดินโลก ความชอบธรรมจะมาสู่ผู้คน และวิญญาณเดียวกันของสันติสุข ปีติและความสุข ซึ่งมีชัยไปทั่วทวีปนี้เป็นเวลาสองร้อยปี [ดู 4 นีไฟ 1:1–22] จะได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้งท่ามกลางผู้คนและจะกลายเป็นสากลจักรวาลในที่สุด พระคริสต์จะทรงปกครองในฐานะเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายเป็นเวลาหนึ่งพันปี เรากำลังตั้งตารอวันนั้น23

เป็นเวลาหนึ่งพันปีที่ช่วงเวลาของสันติสุขจะมีชัยและในเวลาที่กำหนดไว้ ผู้อยู่อาศัยทุกคนของแผ่นดินโลกจะถูกนำมาสู่คอกของศาสนจักร24

พระกิตติคุณจะได้รับการสอนอย่างละเอียดลึกซึ้งและด้วยพลังแรงกล้าในช่วง [ยุค] มิลเลเนียม จนกว่าผู้อยู่อาศัยทุกคนของแผ่นดินโลกจะน้อมรับพระกิตติคุณ25

แทนที่จะเป็นเวลาของการพักผ่อน ยุคมิลเลเนียมจะต้องเป็นเวลาทำงานสำหรับทุกคน จะไม่พบความเกียจคร้าน วิธีการที่ดีกว่าจะถูกนำมาใช้ เวลาส่วนน้อยจะใช้ไปในชีวิตประจำวันและเวลาส่วนใหญ่จะมอบให้สิ่งต่างๆ ของอาณาจักร วิสุทธิชนจะทุ่มเททำงานในพระวิหารที่จะสร้างขึ้นทั่วภูมิภาคของแผ่นดิน อันที่จริง พวกเขาจะยุ่งมากจนพระวิหารมีงานทำเกือบตลอดเวลา26

จะมีความเป็นมรรตัยบนแผ่นดินโลกในช่วงพันปีเพราะงานสำคัญต้องสำเร็จ งานแห่งความรอดสำหรับคนตาย ในช่วงพันปีแห่งสันติสุขนั้น งานสำคัญของพระเจ้าจะอยู่ในพระวิหาร ผู้คนจะเข้าไปในพระวิหารเพื่อทำงานแทนผู้วายชนม์และผู้ที่กำลังรอรับศาสนพิธีเหล่านี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรอดของพวกเขา ประกอบพิธีแทนพวกเขาโดยผู้ที่ยังอยู่ในความเป็นมรรตัยบนแผ่นดินโลก27

เป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยคนตายให้รอดและงานนั้นจะดำเนินต่อไปในช่วงมิลเลเนียมจนกว่าเราทุกคนจะได้รับเอ็นดาวน์เม้นท์และผนึกผู้ที่มีสิทธิ์ในพรนี้28

คนเหล่านั้นที่ตายขณะดำเนินชีวิตอย่างองอาจในพระกิตติคุณของพระคริสต์จะออกมาจากบรรดาคนตาย ณ การเสด็จมาของพระองค์ และจะพำนักบนแผ่นดินโลกขณะที่พระคริสต์อยู่บนแผ่นดินโลกในช่วงมิลเลเนียม พวกเขาจะไม่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาในช่วงพันปี แต่พวกเขาจะรวมกับคนเหล่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ในชีวิตมรรตัย วิสุทธิชนที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วเหล่านี้ และพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เองจะเสด็จมาประทานคำแนะนำและการนำทาง ทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ที่เราควรทราบ และประทานข้อมูลแก่เราเกี่ยวกับงานในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อเราจะทำงานที่จำเป็นยิ่งต่อความรอดของคนที่มีค่าควร29

พระเจ้าตรัสผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ว่าในช่วงมิลเลเนียม บรรดาผู้ล่วงลับและเข้าร่วมการฟื้นคืนชีวิต จะเปิดเผยแก่คนที่ยังคงอยู่ในความเป็นมรรตัยถึงข้อมูลทั้งหมดที่กำหนดไว้เพื่อให้งานของผู้ล่วงลับจากชีวิตนี้เสร็จสมบูรณ์ จากนั้น บรรดาคนตายจะมีสิทธิพิเศษของการประกาศสิ่งที่พวกเขาปรารถนาและมีสิทธิ์ที่จะได้รับ โดยวิธีนี้ จะไม่มีจิตวิญญาณใดถูกละเลยและงานของพระเจ้าจะสมบูรณ์แบบ30

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนทุกวันในชีวิตให้พระเจ้าทรงเร่งงานของพระองค์ … ข้าพเจ้ากำลังสวดอ้อนวอนให้ถึงการสิ้นโลกเพราะข้าพเจ้าต้องการโลกที่ดีกว่า ข้าพเจ้าต้องการการเสด็จมาของพระคริสต์ ข้าพเจ้าต้องการการปกครองที่มีสันติสุข ข้าพเจ้าต้องการให้ถึงเวลานั้นเมื่อทุกคนจะดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขและในวิญญาณของศรัทธา ความนอบน้อมถ่อมตน และการสวดอ้อนวอน31

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เรื่องราวใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” มีอิทธิพลอย่างไรต่อความรู้สึกของท่านเกี่ยวกับการสิ้นโลก

  • การพยากรณ์ที่กล่าวถึงในหัวข้อที่ 1 ช่วยเราเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างไร

  • ในหัวข้อที่ 2 ให้ทบทวนคำสอนของประธานสมิธเกี่ยวกับคำอุปมาเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมาน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ “ข้าวสาลี” เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวเราและผู้อื่น

  • ขณะเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้า ท่านคิดว่าข้อความ “จงเฝ้าระวังและสวดอ้อนวอน” หมายความว่าอย่างไร ข้อความที่ว่า “จัดบ้านของเราให้เป็นระเบียบ” หมายความว่าอย่างไร (ดูหัวข้อที่ 3)

  • ประธานสมิธสวดอ้อนวอนว่า “พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ในการเตรียมผู้คนเพื่อรับการเสด็จมาของพระบุตรของพระองค์” (หัวข้อที่ 4) เราสามารถช่วยผู้อื่นเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าในทางใดได้บ้าง

  • ทบทวนหัวข้อที่ 5 เวลานี้เราได้รับประโยชน์ในทางใดบ้างจากความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในมิลเลเนียม

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

สดุดี 102:16; อิสยาห์ 40:3–5; ยากอบ 5:7–8; คพ. 1:12; 39:20–21; 45:39, 56–59

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“อำนาจสูงสุด อำนาจในการทำให้ตระหนัก และอำนาจในการทำให้เปลี่ยนใจเลื่อมใสของการสอนพระกิตติคุณจะเป็นที่ปรากฏเมื่อครูที่ได้รับการดลใจพูดว่า ‘ข้าพเจ้ารู้ว่าโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการเปิดเผยของพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ต่อจิตวิญญาณข้าพเจ้าว่าคำสอนที่ข้าพเจ้าสอนเป็นความจริง’” (บรูซ อาร์. แมคคองกี ใน ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 43)

อ้างอิง

  1. The Signs of the Times (1943), 103–105

  2. “Ogden Temple Dedicatory Prayer,” Ensign, มี.ค. 1972 หน้า 10–11

  3. The Restoration of All Things (1945), 302

  4. ใน Conference Report, เม.ย. 1966 หน้า 12–14

  5. ใน Conference Report, เม.ย. 1935 หน้า 98; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 3:1 ด้วย

  6. “Watch Therefore,” Deseret News, 2 ส.ค. 1941, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 2; ดู Doctrines of Salvation, 3:15 ด้วย

  7. ใน Conference Report, เม.ย. 1918 หน้า 156–157; ดู Doctrines of Salvation, 3:15–16 ด้วย

  8. “How to Teach the Gospel at Home,” Relief Society Magazine, ธ.ค. 1931, 688; ดู Doctrines of Salvation, 3:16 ด้วย

  9. ใน Conference Report, เม.ย. 1952 หน้า 28; เน้นตัวเอนในต้นฉบับ

  10. “The Coming of Elijah,” Ensign, ม.ค. 1972 หน้า 5

  11. “The Reign of Righteousness,” Deseret News, 7 ม.ค. 1933, 7; ดู Doctrines of Salvation, 3:60 ด้วย

  12. ใน Conference Report, เม.ย. 1935 หน้า 99; ดู Doctrines of Salvation, 3:38 ด้วย

  13. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์, ฉบับที่ 5 (1957–1966), 5:ⅹⅱ

  14. “A Warning Cry for Repentance,” Deseret News, 4 พ.ค. 1935, หัวข้อข่าวศาสนจักรหน้า 6

  15. “A Warning Cry for Repentance,” 8

  16. ใน Conference Report, เม.ย. 1966 หน้า 15

  17. “A Peculiar People: Modern Revelation—The Coming of Moroni,” Deseret News, 6 มิ.ย. 1931, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 8; ดู Doctrines of Salvation, 3:3–4 ด้วย

  18. “A Peculiar People: Prophecy Being Fulfilled,” Deseret News, 19 ก.ย. 1931, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 6

  19. “A Peculiar People: Modern Revelation—The Coming of Moroni,” 8; ดู Doctrines of Salvation, 3:4–5 ด้วย

  20. “A Peculiar People: Prophecy Being Fulfilled,” Deseret News, 7 พ.ย. 1931, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 6; ดู Doctrines of Salvation, 3:6 ด้วย

  21. ใน Conference Report, การประชุมใหญ่ภาคบริเตน 1971, 176

  22. “Ogden Temple Dedicatory Prayer,” 9, 11

  23. “The Right to Rule,” Deseret News, 6 ก.พ. 1932, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 8

  24. “Priesthood—Dispensation of the Fulness of Times,” Deseret News, 19 ส.ค. 1933, 4; ดู Doctrines of Salvation, 3:66 ด้วย

  25. “Churches on Earth During the Millennium,” Improvement Era, มี.ค. 1955, 176; ดู Doctrines of Salvation, 3:64 ด้วย

  26. The Way to Perfection (1931), 323–324

  27. “The Reign of Righteousness,” 7; ดู Doctrines of Salvation, 3:58 ด้วย

  28. ใน “Question Answered,” Deseret News, 13 ม.ค. 1934, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 8; ดู Doctrines of Salvation, 2:166 ด้วย

  29. “The Reign of Righteousness,” 7; ดู Doctrines of Salvation, 3:59 ด้วย

  30. “Faith Leads to a Fulness of Truth and Righteousness,” Utah Genealogical and Historical Magazine, ต.ค. 1930, 154;ปรับตัวเอน; ดู Doctrines of Salvation, 3:65 ด้วย

  31. The Signs of the Times, 149