บทที่ 26
เตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าของเรา
“เจ้าจงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า, และทำวิถีของพระองค์ให้ตรง, เพราะโมงแห่งการเส็จดมาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว” (คพ. 133:17)
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเล่าให้กลุ่มวิสุทธิชนยุคสุดท้ายฟังครั้งหนึ่งว่าท่าน “กำลังสวดอ้อนวอนให้แก่การสิ้นโลก ท่านกล่าว “ข้าพเจ้าจะดีใจถ้ามันเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้” ในการตอบสนองต่อคำประกาศนั้น สตรีคนหนึ่งพูดดังพอที่คนอื่นจะได้ยิน “โอ้ ฉันหวังว่าไม่นะ” เธอกล่าว
การแบ่งปันประสบการณ์นี้ในเวลาต่อมา ประธานสมิธสอนว่า
“ท่านไม่อยากให้การสิ้นโลกมาถึงหรอกหรือ”
“คนส่วนใหญ่มีแนวคิดที่ผิดถึงความหมายของการสิ้นโลก …
“… เมื่อพระคริสต์เสด็จมาก็จะเกิดการสิ้นโลก … จะไม่มีสงคราม ความสับสนอลหม่าน ความอิจฉาริษยา การโป้ปดมดเท็จ จะไม่มีความชั่วร้าย ในเวลานั้น มนุษย์เรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ นั่นคือการสิ้นโลกและเป็นสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสวดอ้อนวอนขอเมื่อเหล่าสานุศิษย์มาหาพระองค์และกล่าวว่า ‘ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน’ พระองค์ทรงทำอะไรหรือ พระองค์ทรงสอนพวกเขา ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ [ดู ลูกา 11:1–2]
“นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอ พระเจ้าทรงสวดอ้อนวอนเพื่อการสิ้นโลกและข้าพเจ้าก็เช่นกัน”1
ในโอวาทและงานเขียน ประธานสมิธอ้างถึงคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์บ่อยๆ เกี่ยวกับยุคสุดท้าย บทบาทของโจเซฟ สมิธในการเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า และการเสด็จมายังโลกในรัศมีภาพของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านแสดงความรู้สึกอันลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพยากรณ์เหล่านี้ในคำสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารออกเด็น ยูทาห์
“ดังที่พระองค์ทรงทราบ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย เรากำลังมีชีวิตอยู่ในวันเวลาสุดท้ายเมื่อสัญญาณแห่งเวลากำลังปรากฏออกมา เมื่อพระองค์ทรงเร่งงานของพระองค์ในเวลานี้ และเมื่อเราได้ยินเสียงของผู้หนึ่งป่าวร้องในแดนทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าและจงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป [ดู มัทธิว 3:3] …
“ข้าแต่พระบิดา พวกข้าพระองค์ปรารถนาวันที่เจ้าชายแห่งสันติจะเสด็จมา เมื่อโลกจะพักผ่อนและจะพบความชอบธรรมอีกครั้งบนพื้นพิภพ นี่คือคำสวดอ้อนวอนของพวกข้าพระองค์ ที่เปล่งวาจาจากใจอันชอกช้ำและต่ำต้อย ว่าพวกข้าพระองค์จะทนได้ในวันนั้นและทรงพบว่ามีค่าควรที่จะอยู่กับพระองค์ ผู้ทรงได้รับมอบหมายให้ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์”2
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
การเสด็จมาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
เรากำลังเข้าสู่วันอันสำคัญยิ่งของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว เวลาแห่ง “ความมีชีวิตชีวา” เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในเมฆแห่งสวรรค์เพื่อนำการแก้แค้นมาสู่คนอาธรรม์และเตรียมแผ่นดินโลกเพื่อรับการปกครองด้วยสันติสุข เพื่อคนทั้งปวงที่เต็มใจยึดมั่นในกฎของพระองค์ [ดู กิจการ 3:19–20]3
หลายสิ่งเกิดขึ้นแล้ว … เพื่อทำให้สมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรซาบซึ้งกับข้อเท็จจริงที่ว่าการเสด็จมาของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว พระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟู ศาสนจักรได้รับการจัดตั้งอย่างสมบูรณ์ ฐานะปุโรหิตได้รับการประสาทบนมนุษย์ สมัยการประทานหลายสมัยนับจากกาลเริ่มต้นได้รับการเปิดเผยและกุญแจกับสิทธิอำนาจของสมัยนั้นได้มอบให้ศาสนจักรแล้ว อิสราเอลได้รับการรวบรวมและกำลังรวมกันไปสู่แผ่นดินแห่งไซอัน ชาวยิวกำลังกลับคืนสู่เยรูซาเล็ม ปัจจุบันมีการสั่งสอนพระกิตติคุณในทั่วโลกเป็นพยานต่อทุกประชาชาติ พระวิหารกำลังก่อสร้าง งานศาสนพิธีสำหรับคนตายและคนเป็นกำลังประกอบพิธีในพระวิหาร ใจของลูกหลานหันไปหาบรรพบุรุษ และลูกหลานกำลังแสวงหาผู้วายชนม์ของพวกเขา พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอิสราเอลในยุคสุดท้ายได้รับการเปิดเผย อิสราเอลที่ได้รับการรวบรวมแล้วหลายพันคนได้เข้าสู่พันธสัญญาดังกล่าว ดังนั้นงานของพระเจ้าจึงกำลังรุดหน้า และทั้งหมดนี้คือสัญญาณแห่งการเข้าใกล้พระเจ้าของเรา …
ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์กำลังเกิดสัมฤทธิผลอย่างรวดเร็ว แต่ดำเนินไปตามหลักการทางธรรมชาติที่เราส่วนใหญ่มองไม่เห็น
โยเอลสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน บุตรธิดาจะพยากรณ์ คนชราทั้งหลายจะฝัน และคนหนุ่มจะเห็นนิมิต [ดู โยเอล 2:28–29] …
สัญญาณทั้งหลายของวันเวลาสุดท้ายคือการเรียนรู้ที่เพิ่มพูน ดาเนียลได้รับบัญชาให้ “… ปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้นเสีย [คำพยากรณ์ของท่าน] จนถึงวาระสุดท้าย [และในวันนั้น] คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา” พระองค์ตรัส “และความรู้จะทวีขึ้น” (ดาเนียล 12:4) ผู้คนไม่ได้กำลัง “วิ่งไปวิ่งมา” ในวันนี้ ดังที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกหรอกหรือ …
… ความรู้มิได้ทวีขึ้นหรือ เคยมีเวลาในประวัติศาสตร์โลกหรือที่ความรู้มากมายเทลงมาให้ผู้คน แต่น่าเศร้าที่จะกล่าวว่าคำของเปาโลเป็นความจริง—ผู้คนกำลัง “ร่ำเรียนอยู่เสมอ แต่ไม่สามารถเข้าใจหลักความจริงได้เลย” (2 ทิโมธี 3:7) …
เราไม่มีข่าวลือเรื่องสงครามบ้างเลยหรือ [ดู คพ. 45:26] เราไม่เคยมีสงคราม สงครามที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนเลยหรือ ไม่มีความโกลาหลในบรรดาประชาชาติทุกวันนี้ และผู้ปกครองของพวกเขาไม่ทุกข์ร้อนหรอกหรือ อาณาจักรต่างๆ ไม่ได้ล่มสลายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในบรรดาประชาชาติหรอกหรือ ทั่วทั้งแผ่นดินโลกอยู่ในความโกลาหล มีรายงานแผ่นดินไหวในสถานที่แตกต่างกันไปทุกวัน [ดู คพ. 45:33] …
ทว่าโลกเก่าดำเนินกิจธุระในการเอาใจใส่เล็กน้อยต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส กับสัญญาณและการบ่งชี้ที่ให้ไว้แล้ว มนุษย์ทำใจแข็งกระด้างและกล่าว “… ว่าพระคริสต์ทรงรีรอการเสด็จมาของพระองค์จนกว่าการสูญสิ้นของแผ่นดินโลก” (คพ. 45:26)4
มีคนถามข้าพเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ว่าข้าพเจ้าสามารถบอกได้ไหมว่าพระเจ้าจะเสด็จมาเมื่อใด ข้าพเจ้าเคยตอบว่า “ได้” และในตอนนี้ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ได้” ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อไร พระองค์จะเสด็จมาวันพรุ่งนี้ เรามีถ้อยคำในเรื่องดังกล่าว ข้าพเจ้าขออ่านให้ฟังดังนี้
“ดูเถิด, บัดนี้เรียกว่าวันนี้จนกว่าการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, และตามจริงแล้วเป็นวันแห่งการเสียสละ, และวันที่เราจะเก็บส่วนสิบจากผู้คนของเรา; เพราะคนที่จ่ายส่วนสิบจะไม่ถูกเผาไหม้ในการเสด็จมาของพระองค์.”
บัดนี้ มีคำอธิบายเพียงพอเรื่องส่วนสิบ
“เพราะหลังจากวันนี้ การเผาไหม้มาถึง—นี่คือการพูดตามวิธีของพระเจ้า—เพราะตามจริงแล้วเรากล่าว, พรุ่งนี้คนจองหองทั้งหมดและคนเหล่านั้นที่ทำชั่วจะเป็นดังตอข้าว; และเราจะเผาพวกเขาให้สิ้น, เพราะเราคือพระเจ้า จอมโยธา; และเราจะไม่ละเว้นคนหนึ่งคนใดที่ยังคงอยู่ในบาบิโลน” [คพ. 64:23–24]
ดังนั้น พระเจ้ากำลังจะเสด็จมา ข้าพเจ้ากล่าวว่า วันพรุ่งนี้ จึงขอให้เราเตรียมพร้อม5
2
จะมีการพิพากษาเมื่อพระคริสต์เสด็จมา
คำอุปมาที่พระเจ้าทรงสอนเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมานหมายถึงวันสุดท้าย ตามเรื่องราวดังกล่าว ผู้หว่านได้หว่านเมล็ดดีในทุ่งของเขา แต่ขณะที่เขาหลับ ศัตรูมาหว่านข้าวละมานในทุ่ง เมื่อต้นข้าวกำลังผลิใบ พวกผู้รับใช้ปรารถนาที่จะออกไปถอนข้าวละมานทิ้งแต่พระเจ้าทรงบัญชาพวกเขาให้ปล่อยทั้งข้าวสาลีและข้าวละมานเติบโตไปด้วยกันจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว มิฉะนั้น พวกเขาอาจจะถอนต้นอ่อนของข้าวสาลีขณะกำลังทำลายข้าวละมาน จากนั้น เมื่อการเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง พวกเขาต้องออกไปรวบรวมข้าวสาลีและมัดข้าวละมานไว้เป็นฟ่อนๆ เพื่อจะเผาทิ้ง ในคำอธิบายของอุปมานี้ พระเจ้ารับสั่งกับเหล่าสานุศิษย์ว่า “ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์” [ดู มัทธิว 13:24–30, 36–43; คพ. 86]6
ข้าวละมานกับข้าวสาลีกำลังเติบโตไปด้วยกันและเติบโตอยู่ในทุ่งเดียวกันมาตลอดปี แต่วันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเมื่อข้าวสาลีจะถูกรวมไว้ ข้าวละมานก็เช่นกันจะถูกรวมไว้เพื่อนำไปเผา และจะมีการแบ่งแยกคนชอบธรรมจากคนชั่วร้าย เรื่องนี้สอนเราทุกคนให้รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า กลับใจจากบาป หันมาหาความชอบธรรม หากใจเรามีความต้องการการกลับใจ7
จงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สมาชิกศาสนจักรมีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า คุณความดีรู้ว่าเราต้องการสิ่งนี้ มีอิทธิพลมากมายกำลังทำงานเพื่อแบ่งแยกเราจากกัน ความถูกต้องในบรรดาสมาชิกศาสนจักร และวันหนึ่งจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ การแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน เราอาจเป็นข้าวสาลีหรือข้าวละมานก็ได้ เราจะอยู่ข้างหนึ่งหรืออีกข้างหนึ่ง8
วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะไม่มีโลกนี้ โลกจะถูกเปลี่ยน เราจะได้รับโลกที่ดีกว่า เราจะได้โลกที่ชอบธรรมเพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงชำระโลกให้สะอาด
จงอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของเรา ให้อ่านว่าพระองค์ตรัสอะไรด้วยพระองค์เอง เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชำระโลกนี้ให้สะอาดจากความชั่วร้ายทั้งปวง และพระดำรัสถึงศาสนจักร พระองค์รับสั่งว่าพระองค์จะส่งเทพมาและพวกท่านจะเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดออกจากอาณาจักรของพระองค์ ซึ่งคือศาสนจักร [ดู มัทธิว 13:41]9
วัน [ที่] ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวไม่อาจเป็นเวลาอื่นไปได้นอกจากเวลาในการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ในเดชานุภาพท่ามกลางคนชอบธรรมบนแผ่นดินโลกและเพื่อชำระโลกให้สะอาดจากความชั่วช้าสามานย์ วันนี้จะไม่เป็นวันแห่งความกลัวและทำให้เกิดความพรั่นพรึงในใจคนชอบธรรม แต่จะเป็นวันแห่งความกลัวและสะเทือนขวัญอย่างใหญ่หลวงต่อคนอาธรรม์ เรื่องนี้เราเรียนรู้จากพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เอง ขณะทรงสอนเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์ [ดู มัทธิว 24; โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1]10
จะมีการพิพากษาเมื่อพระคริสต์เสด็จมา เราได้รับแจ้งว่าหนังสือทั้งหลายจะถูกเปิดออก คนตายจะถูกพิพากษาจากสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในหนังสือ และในบรรดาหนังสือเหล่านั้นจะเป็นหนังสือแห่งชีวิต [ดู วิวรณ์ 20:12] เราจะได้เห็นหน้าต่างๆ ของหนังสือนั้น เราจะเห็นสิ่งที่เราเป็นด้วยตนเอง และเราจะต้องเข้าใจด้วยความเข้าใจที่ชอบธรรมว่าการพิพากษาซึ่งใช้วัดเรานั้นเที่ยงธรรมและแท้จริง ว่าเราจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ … เพื่อรับพรแห่งรัศมีภาพนี้หรือว่าเราจะถูกเนรเทศ 11
ข้าพเจ้าวิงวอนวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้ยืนหยัดและซื่อสัตย์ในสัมฤทธิผลของหน้าที่ทุกอย่าง ในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ให้เกียรติฐานะปุโรหิต เพื่อเราจะยืนหยัดอดทนได้เมื่อพระเจ้าเสด็จมา—ไม่สำคัญว่าเราจะอยู่หรือตาย—เพื่อจะเป็นผู้รับส่วนแห่งรัศมีภาพนี้12
3
ในการเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้า เราต้องเฝ้าระวังและสวดอ้อนวอน และจัดบ้านเของเราให้เป็นระเบียบ
มีเหตุการณ์มากมายในโลกทุกวันนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าวันอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามา เมื่อพระผู้ไถ่จะทรงจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์อีกครั้งในความชอบธรรมเพื่อเตรียมรับการปกครองมิลเลเนียม ขณะเดียวกัน เป็นหน้าที่ของสมาชิกศาสนจักรที่จะแสวงหาความรู้และเตรียมตัวโดยการศึกษาและโดยศรัทธาเพื่อต้อนรับวันอันรุ่งโรจน์และสำคัญยิ่ง13
เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเวลาและฤดูกาลว่าพระคริสต์จะเสด็จมาเมื่อไร แต่เราต้องเฝ้าระวัง สวดอ้อนวอนและเตรียมพร้อม14
บางครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญใจที่ผู้ใหญ่ของเราบางคนกล่าวว่าพระเจ้าจะเสด็จมาเมื่อเราทุกคนชอบธรรมพอที่จะรับพระองค์ พระเจ้ามิได้ทรงรอให้เราชอบธรรม เมื่อพระองค์ทรงพร้อมที่จะเสด็จมา พระองค์ก็จะเสด็จมา—เมื่อถ้วยแห่งความชั่วช้าสามานย์เต็ม—และถ้าเราไม่ชอบธรรม ก็คงจะเป็นเรื่องเลวร้ายเกินไปสำหรับเรา เพราะเราจะถูกจัดอยู่ในบรรดาคนอาธรรม์ และเราจะเป็นดังตอข้าวที่ถูกกวาดออกไปจากพื้นพิภพ เพราะพระเจ้าตรัสว่าคนชั่วร้ายจะทนอยู่ไม่ได้15
แล้วเราจะมัวหลับอยู่ในภวังค์หรือความไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้เป็นคำเตือนแก่เราอย่างนั้นหรือ “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านจะเสด็จมาเวลาไหน
“จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะเฝ้าระวังอยู่ ไม่ให้บ้านถูกงัดเข้าไปได้
“เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:42–44)
ขอให้เราเอาใจใส่พระดำรัสเตือนจากพระเจ้า จัดบ้านของเราให้เป็นระเบียบและพร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า16
4
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายสามารถเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์พระผู้เป็นเจ้าในการเตรียมผู้คนให้พร้อมรับการเสด็จมาของพระเจ้า
ไม่เป็นเรื่องแปลกเกินไปหรอกหรือหากพระเจ้าจะเสด็จมาและเริ่มการปกครองด้วยสันติสุข แก้แค้นคนชั่วร้าย ชำระแผ่นดินโลกจากบาป แล้วไม่ส่งผู้ส่งสารมาเตรียมมรรคาก่อนหน้าพระองค์ ควรหรือไม่ที่เราจะคาดหวังให้พระเจ้าเสด็จมาพิพากษาโลกโดยไม่ประทานพระดำรัสเตือนแก่โลกก่อนและเตรียมวิธีหลบหนีให้คนทั้งปวงที่จะกลับใจ
โนอาห์ถูกส่งมายังโลกเพื่อเตือนโลกเรื่องน้ำท่วม หากผู้คนสดับฟังพวกเขาก็คงจะหลบหนีไป โมเสสถูกส่งมานำอิสราเอลไปสู่แผ่นดินที่สัญญาไว้ เพื่อให้สัญญาที่ทำไว้กับอับราฮัมมีสัมฤทธิผล ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาถูกส่งมาเตรียมมรรคาก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ ในแต่ละเหตุการณ์นี้ การเรียกมาโดยผ่านการเปิดฟ้าสวรรค์ อิสยาห์ เยเรมีย์และศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ ถูกส่งมาเพื่อเตือนอิสราเอลและยูดาห์ก่อนที่การกระจัดกระจายและการเป็นเชลยจะเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเขาเอาใจใส่หน้าประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันนี้ก็คงจะมีเขียนเอาไว้ พวกเขามีโอกาสได้ยิน พวกเขาได้รับการเตือนและมีวิธีหลบหนีที่พวกเขาปฏิเสธ
พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงให้ความสนพระทัยอย่างเดียวกันนี้ในมนุษยชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์17
โจเซฟ สมิธถูกส่งมาเพื่อเตรียมมรรคาก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองนี้ โดยการประกาศความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ และประทานวิธีการหลบหนีแก่มนุษย์ทั้งปวงจากความชั่วช้าสามานย์และการล่วงละเมิด18
ยอห์นบนเกาะปัทมอสเห็นนิมิตในวันเวลาสุดท้าย “ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ”[วิวรณ์ 14:6]
ในสัมฤทธิผลของคำสัญญานี้ โจเซฟ สมิธประกาศว่าโมโรไน ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณในทวีปนี้ และบัดนี้ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว ได้สอนพระกิตติคุณให้ท่าน มอบคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ และพระเจ้าตรัสว่า “เพราะดูเถิด, พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งเทพออกไปป่าวร้องผ่านท่ามกลางฟ้าสวรรค์, โดยกล่าวว่า: เจ้าจงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า, และทำวิถีของพระองค์ให้ตรง, เพราะโมงแห่งการเสด็จมาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว” [คพ. 133:17]
การยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง วิสุทธิชนยุคสุดท้ายเชื่อว่าการสื่อสารได้รับการสถาปนาไว้กับฟ้าสวรรค์ในสมัยใหม่ และบัดนี้ “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” จะส่งออกไปในฐานะพยานต่อโลกก่อนพระคริสต์จะเสด็จมา [ดู มัทธิว 24:14]19
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายอาจมีผู้พิจารณาว่าแปลกและโดยเฉพาะในความเชื่อที่ว่าพวกเขาได้รับเรียกเพื่อทำให้พระคัมภีร์นี้เกิดสัมฤทธิผล [มัทธิว 24:14] แต่ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้าตรัสไว้ว่าพวกเขากำลังส่งผู้สอนศาสนาออกไปทั่วภูมิภาคของโลกด้วยความขยันหมั่นเพียร ยิ่งกว่านั้น เมื่อทุกประชาชาติได้ยินข่าวสารนี้ดังที่เปิดเผยไว้ในวันเวลาสุดท้าย พวกเขาจะเฝ้ารอการเสด็จมาของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ เพื่อในวันนั้น ทุกประชาชาติจะได้รับการเตือนจากผู้ส่งสาร ผู้ที่ถูกส่งมาหาพวกเขาตามพระสัญญาของพระเจ้า20
พระกิตติคุณมีไว้สำหรับคนทั้งปวง และศาสนจักรจะได้รับการสถาปนาขึ้นในทุกหนแห่ง ในทุกประชาชาติ แม้จนสุดแดนแผ่นดินโลก ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์ …
… พระองค์ทรงตั้งพระหัตถ์ของพระองค์อีกเป็นครั้งที่สองเพื่อรวบรวมอิสราเอลให้มาสู่ศาสนจักร และเวลานี้ พระองค์จะทรงยกการชุมนุมของวิสุทธิชนของพระองค์ขึ้นในประชาชาติทั้งปวง21
จากคำสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารออกเด็น ยูทาห์ ดังนี้
ข้าแต่พระบิดา ขอทรงเร่งวันเมื่อคนชอบธรรมจะมีชัย เมื่อผู้ปกครองของประชาชาติทั้งหลายจะเปิดอาณาเขตของพวกเขาเพื่อการสั่งสอนพระกิตติคุณ เมื่อประตูแห่งความรอดจะเปิดกว้างขึ้นสำหรับคนซื่อสัตย์และซื่อตรง และคนดีในบรรดาชนทุกชาติ
พวกข้าพระองค์สวดอ้อนวอนเพื่อให้ความจริงแผ่ไป และเพื่ออุดมการณ์ของผู้สอนศาสนา พวกข้าพระองค์แสวงหาความเข้มแข็ง จำนวน และวิธีที่จะประกาศความจริงอันเป็นนิจให้แก่บุตรธิดาคนอื่นๆ ของพระองค์เพิ่มมากขึ้นในทุกประชาชาติ ในบรรดาทุกตระกูล และถ้อยคำทุกภาษา …
… พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ในการเตรียมผู้คนเพื่อรับการเสด็จมาของพระบุตรของพระองค์22
5
ยุคมิลเลเนียมจะเป็นช่วงเวลาแห่งสันติสุขและช่วงเวลาที่จะลงมือทำงานของพระเจ้า
คนชอบธรรมจะชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์เสด็จมา เพราะสันติสุขจะมายังแผ่นดินโลก ความชอบธรรมจะมาสู่ผู้คน และวิญญาณเดียวกันของสันติสุข ปีติและความสุข ซึ่งมีชัยไปทั่วทวีปนี้เป็นเวลาสองร้อยปี [ดู 4 นีไฟ 1:1–22] จะได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้งท่ามกลางผู้คนและจะกลายเป็นสากลจักรวาลในที่สุด พระคริสต์จะทรงปกครองในฐานะเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายเป็นเวลาหนึ่งพันปี เรากำลังตั้งตารอวันนั้น23
เป็นเวลาหนึ่งพันปีที่ช่วงเวลาของสันติสุขจะมีชัยและในเวลาที่กำหนดไว้ ผู้อยู่อาศัยทุกคนของแผ่นดินโลกจะถูกนำมาสู่คอกของศาสนจักร24
พระกิตติคุณจะได้รับการสอนอย่างละเอียดลึกซึ้งและด้วยพลังแรงกล้าในช่วง [ยุค] มิลเลเนียม จนกว่าผู้อยู่อาศัยทุกคนของแผ่นดินโลกจะน้อมรับพระกิตติคุณ25
แทนที่จะเป็นเวลาของการพักผ่อน ยุคมิลเลเนียมจะต้องเป็นเวลาทำงานสำหรับทุกคน จะไม่พบความเกียจคร้าน วิธีการที่ดีกว่าจะถูกนำมาใช้ เวลาส่วนน้อยจะใช้ไปในชีวิตประจำวันและเวลาส่วนใหญ่จะมอบให้สิ่งต่างๆ ของอาณาจักร วิสุทธิชนจะทุ่มเททำงานในพระวิหารที่จะสร้างขึ้นทั่วภูมิภาคของแผ่นดิน อันที่จริง พวกเขาจะยุ่งมากจนพระวิหารมีงานทำเกือบตลอดเวลา26
จะมีความเป็นมรรตัยบนแผ่นดินโลกในช่วงพันปีเพราะงานสำคัญต้องสำเร็จ งานแห่งความรอดสำหรับคนตาย ในช่วงพันปีแห่งสันติสุขนั้น งานสำคัญของพระเจ้าจะอยู่ในพระวิหาร ผู้คนจะเข้าไปในพระวิหารเพื่อทำงานแทนผู้วายชนม์และผู้ที่กำลังรอรับศาสนพิธีเหล่านี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรอดของพวกเขา ประกอบพิธีแทนพวกเขาโดยผู้ที่ยังอยู่ในความเป็นมรรตัยบนแผ่นดินโลก27
เป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยคนตายให้รอดและงานนั้นจะดำเนินต่อไปในช่วงมิลเลเนียมจนกว่าเราทุกคนจะได้รับเอ็นดาวน์เม้นท์และผนึกผู้ที่มีสิทธิ์ในพรนี้28
คนเหล่านั้นที่ตายขณะดำเนินชีวิตอย่างองอาจในพระกิตติคุณของพระคริสต์จะออกมาจากบรรดาคนตาย ณ การเสด็จมาของพระองค์ และจะพำนักบนแผ่นดินโลกขณะที่พระคริสต์อยู่บนแผ่นดินโลกในช่วงมิลเลเนียม พวกเขาจะไม่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาในช่วงพันปี แต่พวกเขาจะรวมกับคนเหล่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ในชีวิตมรรตัย วิสุทธิชนที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วเหล่านี้ และพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เองจะเสด็จมาประทานคำแนะนำและการนำทาง ทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ที่เราควรทราบ และประทานข้อมูลแก่เราเกี่ยวกับงานในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อเราจะทำงานที่จำเป็นยิ่งต่อความรอดของคนที่มีค่าควร29
พระเจ้าตรัสผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ว่าในช่วงมิลเลเนียม บรรดาผู้ล่วงลับและเข้าร่วมการฟื้นคืนชีวิต จะเปิดเผยแก่คนที่ยังคงอยู่ในความเป็นมรรตัยถึงข้อมูลทั้งหมดที่กำหนดไว้เพื่อให้งานของผู้ล่วงลับจากชีวิตนี้เสร็จสมบูรณ์ จากนั้น บรรดาคนตายจะมีสิทธิพิเศษของการประกาศสิ่งที่พวกเขาปรารถนาและมีสิทธิ์ที่จะได้รับ โดยวิธีนี้ จะไม่มีจิตวิญญาณใดถูกละเลยและงานของพระเจ้าจะสมบูรณ์แบบ30
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนทุกวันในชีวิตให้พระเจ้าทรงเร่งงานของพระองค์ … ข้าพเจ้ากำลังสวดอ้อนวอนให้ถึงการสิ้นโลกเพราะข้าพเจ้าต้องการโลกที่ดีกว่า ข้าพเจ้าต้องการการเสด็จมาของพระคริสต์ ข้าพเจ้าต้องการการปกครองที่มีสันติสุข ข้าพเจ้าต้องการให้ถึงเวลานั้นเมื่อทุกคนจะดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขและในวิญญาณของศรัทธา ความนอบน้อมถ่อมตน และการสวดอ้อนวอน31
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เรื่องราวใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” มีอิทธิพลอย่างไรต่อความรู้สึกของท่านเกี่ยวกับการสิ้นโลก
-
การพยากรณ์ที่กล่าวถึงในหัวข้อที่ 1 ช่วยเราเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าอย่างไร
-
ในหัวข้อที่ 2 ให้ทบทวนคำสอนของประธานสมิธเกี่ยวกับคำอุปมาเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมาน เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ “ข้าวสาลี” เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวเราและผู้อื่น
-
ขณะเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้า ท่านคิดว่าข้อความ “จงเฝ้าระวังและสวดอ้อนวอน” หมายความว่าอย่างไร ข้อความที่ว่า “จัดบ้านของเราให้เป็นระเบียบ” หมายความว่าอย่างไร (ดูหัวข้อที่ 3)
-
ประธานสมิธสวดอ้อนวอนว่า “พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ในการเตรียมผู้คนเพื่อรับการเสด็จมาของพระบุตรของพระองค์” (หัวข้อที่ 4) เราสามารถช่วยผู้อื่นเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้าในทางใดได้บ้าง
-
ทบทวนหัวข้อที่ 5 เวลานี้เราได้รับประโยชน์ในทางใดบ้างจากความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในมิลเลเนียม
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
สดุดี 102:16; อิสยาห์ 40:3–5; ยากอบ 5:7–8; คพ. 1:12; 39:20–21; 45:39, 56–59
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“อำนาจสูงสุด อำนาจในการทำให้ตระหนัก และอำนาจในการทำให้เปลี่ยนใจเลื่อมใสของการสอนพระกิตติคุณจะเป็นที่ปรากฏเมื่อครูที่ได้รับการดลใจพูดว่า ‘ข้าพเจ้ารู้ว่าโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการเปิดเผยของพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ต่อจิตวิญญาณข้าพเจ้าว่าคำสอนที่ข้าพเจ้าสอนเป็นความจริง’” (บรูซ อาร์. แมคคองกี ใน ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 43)