คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 2: พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์


บทที่ 2

พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์

“จงให้เรื่องนี้อยู่สูงสุดเสมอในความนึกคิดของท่าน เวลานี้และทุกเวลา ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้เสด็จมายังโลกเพื่อพลีพระชนม์ชีพให้เรามีชีวิต นั่นคือความจริงและสำคัญอย่างยิ่ง จากสิ่งนั้นศรัทธาของเราได้รับการสร้างขึ้น”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ในฐานะอัครสาวก ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธซื่อสัตย์ต่อการเรียกของท่านในการเป็น “พยานพิเศษถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก” (คพ. 107:23) ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพยายามรักพระองค์ พระผู้ไถ่ของเราให้มากกว่าทุกๆ สิ่ง นี่เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินทางไปทั่วประเทศในฐานะพยานพิเศษคนหนึ่งของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่อาจเป็นพยานพิเศษถึงพระเยซูคริสต์ได้เลยหากข้าพเจ้ายังไม่มีความรู้ที่แจ้งชัดและมั่นคงว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของโลก”1

ในฐานะบิดา ประธานสมิธอุทิศตนให้หน้าที่รับผิดชอบของท่านเพื่อเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดเช่นกัน วันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1948 ท่านส่งจดหมายให้ดักลาสและมิลทัน บุตรชายของท่าน ซึ่งกำลังรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ท่านเขียนว่า

“บางครั้งพ่อนั่งครุ่นคิด และขณะอ่านพระคัมภีร์ พ่อนึกถึงพระพันธกิจที่พระเจ้าทรงทำเพื่อพ่อ และเมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับพ่อ พ่อนึกในใจว่า พ่อไม่อาจทรยศต่อพระองค์ พระองค์ทรงรักพ่อด้วยความรักที่สมบูรณ์พร้อมเช่นเดียวกับที่ทรงรักมนุษย์ทั้งปวง โดยเฉพาะคนที่รับใช้พระองค์ และพ่อต้องรักพระองค์ด้วยความรักทั้งหมดที่พ่อมี แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์พร้อมก็ตาม ซึ่งก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น ความรักของพระองค์มหัศจรรย์ พ่อไม่เคยมีชีวิตในวันเวลาของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ไม่เคยปรากฏต่อหน้าพ่อ พ่อไม่เคยเห็นพระองค์ พระบิดาและพระบุตรทรงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะประทานพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้แก่พ่อ แต่นั่นไม่สำคัญ พ่อรู้สึกถึงพระสิริของพระองค์ พ่อรู้ว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทรงจุดประกายความคิดของพ่อและทรงเผยพระองค์แก่พ่อพ่อจึงรักพระผู้ไถ่มากกว่าทุกสิ่งในชีวิตนี้ พ่อหวังและรู้สึกว่านี่เป็นความจริง หาไม่แล้วพ่อคงจะไม่รู้สึก พ่อต้องการแน่วแน่ต่อพระองค์ พ่อรู้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อพ่อ เพื่อลูกและเพื่อมนุษยชาติทั้งปวงเพื่อเราจะมีชีวิตอีกครั้งโดยผ่านการฟื้นคืนชีวิต พ่อรู้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อพ่อจะได้รับการให้อภัยจากความโง่เขลา จากบาปของพ่อ และได้รับการชำระล้างจากสิ่งเหล่านั้น ความรักนี้ช่างประเสริฐเหลือเกิน การที่พ่อรู้ถึงสิ่งนี้ จะให้พ่อทำอะไรได้อีกเล่านอกจากจะรักพระองค์ พระผู้ไถ่ของพ่อ พ่ออยากให้ลูกๆ ของพ่อที่อยู่ในสนามเผยแผ่รู้สึกเช่นเดียวกัน พ่ออยากให้ลูกหลานของพ่อรู้สึกเช่นเดียวกัน และไม่หลงไปจากหนทางของความจริงและความชอบธรรม”2

ลูกชายคนหนึ่งของประธานสมิธเขียนว่า

“ในฐานะลูก เรามักได้ยินท่านพูดบ่อยๆ ‘หากเพียงผู้คนในโลกจะเข้าใจการทดลอง ความทุกข์ยาก บาปที่พระเจ้าทรงรับไว้กับพระองค์เองเพื่อประโยชน์ของเรา’ เมื่อใดก็ตามที่ท่านพูดถึงเรื่องนี้ น้ำตาท่านจะคลอหน่วย

“[ครั้งหนึ่ง] เมื่อผมนั่งกับคุณพ่อตามลำพังขณะที่ท่านกำลังศึกษา ผมสังเกตว่าท่านพินิจไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ผมลังเลที่จะทำลายความเงียบ แต่ในที่สุดท่านก็พูดว่า ‘โอ้ ลูกพ่อ พ่ออยากให้ลูกอยู่ด้วยเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วขณะที่พ่อพบปะกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในพระวิหาร ลูกอาจเคยได้ยินพวกท่านเป็นพยานถึงความรักที่มีต่อพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์! จากนั้นท่านก้มศีรษะลง น้ำตาที่ไหลอาบแก้มหยดลงบนเสื้อท่าน หลังจากหลายวินาทีผ่านไป โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย ท่านผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “โอ้ ข้าพเจ้ารักพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์!”’3

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของโลก

ข้าพเจ้าขอกล่าวอย่างชัดแจ้งและอาจหาญเท่าที่จะทำได้ว่า เราเชื่อในพระคริสต์ เรายอมรับพระองค์โดยไม่ลังเลในฐานะพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของโลก4

Christ, dressed in white, is portrayed as a shepherd.  He is holding a dark colored lamb while many light colored sheep follow behind him.  Illustrating the parable of the lost lamb, this canvas giclée depicts a flock of white sheep grazing on a grassy hill beside a stream. Clothed in a white robe with a crown of light on his head, Christ stands as the good shepherd, compassionately caring for the black lamb cradled in his arms. (Matthew 18:11-14).

“ความจริงทั้งปวงเกี่ยวข้องและมาจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ของโลก”

เราทราบว่าความรอดมาจากพระคริสต์ พระองค์คือพระบุตรหัวปีของพระบิดานิรันดร์ พระองค์ทรงได้รับเลือกและแต่งตั้งล่วงหน้าในสภาสวรรค์ที่จะทำให้การชดใช้อันไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์บังเกิดขึ้น พระองค์ประสูติมาในโลกในฐานะพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงนำชีวิตและความเป็นอมตะมาสู่โลกโดยผ่านพระกิตติคุณ

เราเชื่ออย่างหมดใจว่าพระคริสต์เสด็จมาเพื่อไถ่มนุษย์จากความตายทางวิญญาณและทางร่างกายที่ถูกนำเข้ามาในโลกโดยการตกของอาดัมและทรงรับเอาบาปของมนุษย์ทั้งปวงไว้กับพระองค์เองตามเงื่อนไขของการกลับใจ …

เราเชื่อว่าโดยพระคุณนั่นเองที่เราได้รับการช่วยให้รอดหลังจากเราทำทุกสิ่งจนสุดความสามารถแล้ว [ดู2 นีไฟ 25:23] และสร้างอยู่บนรากฐานของการชดใช้ของพระคริสต์ มนุษย์ทั้งปวงต้องทำให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับพวกเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า [ดู ฟิลิปปี 2:12; มอรมอน 9:27]5

ความแตกต่างระหว่างพระผู้ช่วยให้รอดของเรากับพวกเราทั้งหมดคือเรามีบิดาที่เป็นมรรตัย ดังนั้น เราจึงขึ้นอยู่กับความตาย พระผู้ช่วยให้รอดของเราไม่มีบิดาที่เป็นมรรตัยพระองค์จึงทรงอยู่เหนือความตาย พระองค์ทรงมีอำนาจที่จะสละพระชนม์ชีพและรับคืนมาอีกครั้ง [ดู ยอห์น 10:17–18] แต่เราไม่มีอำนาจที่จะสละชีวิตและรับคืนมาอีกครั้งได้ โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านการฟื้นคืนชีวิตของคนตายและการเชื่อฟังหลักธรรมของพระกิตติคุณ 6

พระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และโดยผ่านพระคุณของพระองค์ และพระคุณของพระบิดา ทรงไถ่เราจากบาปตามเงื่อนไขการกลับใจของเรา เราทราบว่าพระองค์ทรงลุกขึ้นจากความตาย เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง ทรงนำเชลยไปด้วย [ดู สดุดี 68:18] และทรงเป็นพระผู้ทรงลิขิตความรอดแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ ผู้ที่จะกลับใจจากบาปของพวกเขาและยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลก [ดู ฮีบรู 5:9] วิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่ถูกทิ้งไว้ในความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อีก7

ขณะที่มนุษย์วางแผน ยอมรับทฤษฎีต่างๆ เริ่มขนบประเพณีแปลกๆ รวมตัวกันสอนหลักคำสอนที่แปลกประหลาดมากมาย มีคำสอนหนึ่งซึ่งสำคัญ และเราต้องไม่ลืมคือ ความจริงทั้งปวงเกี่ยวข้องและมาจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ของโลก เรายอมรับพระองค์เป็นพระองค์เดียวในเนื้อหนังที่ถือกำเนิดจากพระบิดา พระองค์เดียวที่ทรงพำนักในเนื้อหนังซึ่งมีพระบิดาผู้ทรงเป็นอมตะ เพราะสิทธิกำเนิดและสภาวะแวดล้อมของการเสด็จมายังโลกของพระองค์ พระองค์จึงทรงเป็นพระผู้ไถ่ของมนุษย์ และโดยการหลั่งพระโลหิต เราได้รับสิทธิพิเศษที่จะกลับไปยังที่ประทับของพระบิดาของเราได้ ตามเงื่อนไขของการกลับใจและการยอมรับแผนแห่งการไถ่อันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ลิขิต8

เราเป็นพยานว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นแผนแห่งความรอด และโดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเจ้าของเรา มนุษย์ทั้งปวงย่อมได้รับการยกขึ้นสู่ความเป็นอมตะ เพื่อรับการพิพากษาตามงานที่ทำในเนื้อหนัง คนที่เชื่อและเชื่อฟังความสมบูรณ์แห่งกฎพระกิตติคุณจะได้รับการยกขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระบิดาเช่นกัน9

2

เรากลายเป็นบุตรธิดาของพระเยซูคริสต์โดยผ่านการชดใช้ของพระองค์และโดยผ่านพันธสัญญาของการเชื่อฟังพระองค์

พระบิดาในสวรรค์ของเราคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์ ทั้งในวิญญาณและในเนื้อหนัง พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นพระบุตรหัวปีในวิญญาณ พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดในเนื้อหนัง10

พระองค์ [พระเยซูคริสต์] ทรงเป็นพี่ชายคนโตและพระบิดาประทานเกียรติแด่พระองค์ด้วยความสมบูรณ์ของสิทธิอำนาจและพลังอำนาจในฐานะสมาชิกองค์หนึ่งของพระเจ้าสูงสุด พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์11

พระคัมภีร์ของเราสอนว่าพระเยซูคริสต์เป็นทั้งพระบิดาและพระบุตร ความจริงอันเรียบง่ายคือ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าโดยกำเนิด ทั้งในวิญญาณและในเนื้อหนัง พระองค์ทรงเป็นพระบิดาเพราะงานที่พระองค์ทรงทำ12

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นพระบิดาของเรา ซึ่งมีการใช้คำนี้ในพระคัมภีร์ เพราะพระองค์ทรงเสนอชีวิตและชีวิตนิรันดร์แก่เรา โดยผ่านการชดใช้ที่ทรงทำเพื่อเรา ในคำแนะนำอันยอดเยี่ยมที่กษัตริย์เบ็นจามินให้ไว้เราพบข้อความนี้ “และบัดนี้, เพราะพันธสัญญาที่ท่านทำไว้จะเรียกท่านว่าลูกๆ ของพระคริสต์, บุตรของพระองค์,และธิดาของพระองค์; เพราะดูเถิด, วันนี้พระองค์ทรงให้กำเนิดท่านทางวิญญาณ; เพราะท่านกล่าวว่าใจท่านเปลี่ยนแปลงแล้วโดยผ่านศรัทธาในพระนามของพระองค์; ฉะนั้น, ท่านจึงถือกำเนิดจากพระองค์และกลายเป็นบุตรของพระองค์และธิดาของพระองค์.” [ โมไซยาห์ 5:7; ดู ข้อ 8–11ด้วย]

ดังนั้น เราจึงกลายเป็นบุตรธิดาของพระเยซูคริสต์ โดยผ่านพันธสัญญาแห่งการเชื่อฟังที่เรามีต่อพระองค์ เนื่องจากสิทธิอำนาจแห่งสวรรค์และการพลีบูชาบนกางเขน เรากลายเป็นบุตรธิดาที่ถือกำเนิดทางวิญญาณ และพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของเรา13

Jesus Christ depicted preparing the sacrament for the Last Supper.

“เรากลายเป็นบุตรธิดาของพระเยซูคริสต์โดยผ่านพันธสัญญาของการเชื่อฟังที่เรามีต่อพระองค์

เฉกเช่นชาวนีไฟในสมัยของกษัตริย์เบ็นจามิน เราซึ่งเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายรับพระนามของพระคริสต์ไว้กับเราเช่นเดียวกัน [ดู โมไซยาห์ 5:1–9; 6:1–2] แต่ละสัปดาห์ในการประชุมศีลระลึก ดังที่เราได้รับพระบัญชาให้ทำ เรารับพระนามของพระองค์ไว้กับเราเสมอเพื่อระลึกถึงพระองค์และนั่นคือสิ่งที่ชาวนีไฟทำพันธสัญญาไว้ว่าจะทำ14

3

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปิดเผยพระองค์เองในสมัยการประทานนี้ และเราทุกคนสามารถมีประจักษ์พยานที่ยั่งยืนถึงพระองค์

เรายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ของโลก เราทราบ … ว่าพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองในสมัยการประทานนี้ เราไม่ได้ขึ้นอยู่กับประจักษ์พยานของ … ผู้คนที่มีค่าควรในสมัยโบราณ ซึ่งเคยมีชีวิตในสมัยของพระองค์และเปลี่ยนใจเลื่อมใสกับพระองค์ในการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ และคนที่พระองค์ทรงปรากฏหลังการฟื้นคืนพระชนม์ เรามีพยานที่เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยของเราเอง ผู้ที่เคยเห็นพระองค์ ผู้ที่ทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์และเป็นพยานถึงข้อเท็จจริงนี้ต่อเราและต่อโลก เราทราบว่าประจักษ์พยานของพวกท่านเป็นความจริง โจเซฟ สมิธไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้เป็นพยานถึงพระพันธกิจของพระเยซูคริสต์ในสมัยการประทานนี้ตามลำพัง เพราะพระเจ้าทรงยกพยานอื่นๆ ขึ้นด้วย ผู้ที่เคยเห็นพระผู้ไถ่พร้อมกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ได้รับคำแนะนำจากพระองค์และเห็นพระองค์ในสวรรค์ประทับอยู่ทางทางเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา รายล้อมด้วยเหล่าเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านให้ประจักษ์พยานของพวกท่านแก่เราซึ่งจะยืนคัดค้านโลกเพื่อกล่าวโทษคนทั้งปวงที่มิได้เอาใจใส่เรื่องนี้

แต่ในฐานะสมาชิกของศาสนจักร เราไม่ได้ขึ้นอยู่กับประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธ ออลิเวอร์ คาวเดอรี ซิดนีย์ ริกดัน หรือคนอื่นๆ ที่ปัจจุบันสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ที่ได้รับการเปิดเผยและนิมิตอันน่าอัศจรรย์จากพระเจ้าในสมัยการประทานนี้ ซึ่งพวกท่านทราบว่าพระเยซูทรงพระชนม์และทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก เรามีประจักษ์พยานส่วนตัวที่พระวิญญาณของพระเจ้าประทานแก่คนทั้งปวงที่ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระกิตติคุณ หากเราเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงหลังรับบัพติศมาเพื่อการปลดบาป และได้รับการยืนยันโดยการวางมือเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าจะทรงเปิดเผยแก่เราเป็นการส่วนตัวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง เราไม่ขึ้นอยู่กับประจักษ์พยานของใครทั้งสิ้นสำหรับความรู้นี้ เพราะเรารู้โดยผ่านพระวิญญาณว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระผู้ไถ่ของโลก15

หากมีสิ่งใดที่นำปีติ สันติสุขและความพึงพอใจมาสู่จิตใจมนุษย์ ได้ดีกว่าสิ่งอื่นใดที่ข้าพเจ้าทราบ นั่นคือประจักษ์พยานอันมั่นคงที่ข้าพเจ้าและท่านมีอยู่ ว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์อาจโจมตี หัวเราะเยาะ หรือประกาศว่าพระองค์ไม่ใช่พระผู้ไถ่ของโลก พระพันธกิจของพระองค์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือพระประสงค์ในการหลั่งพระโลหิต ไม่ได้ประทานการปลดบาปแก่มนุษย์ทั้งปวงตามเงื่อนไขของการกลับใจ พวกเขาอาจปฏิเสธที่จะเชื่อการฟื้นคืนชีวิตจากคนตาย หรือแม้แต่พระคริสต์พระองค์เองก็ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์หลังจากถูกศัตรูของพระองค์ประหาร ตามพระคัมภีร์กล่าวไว้ กระนั้นก็ตาม ความจริงยังคงเป็นความจริง พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของโลก ทรงทำให้การไถ่จากความตายเกิดขึ้นจริง พระองค์ประทานโอกาสแห่งการกลับใจและการปลดบาปแก่มนุษย์ โดยผ่านความเชื่อของพวกเขาและการยอมรับหลักธรรมของพระกิตติคุณ และพระพันธกิจของพระองค์ ความจริงเหล่านี้สำคัญยิ่ง สิ่งเหล่านี้จะยั่งยืน ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ไม่ว่ามนุษย์จะพูดหรือคิดอย่างไร16

จงให้เรื่องนี้สำคัญที่สุดในความนึกคิดของท่าน ในเวลานี้และตลอดเวลา ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อพลีพระชนม์ชีพของพระองค์ให้เรามีชีวิต นั่นคือความจริงและสำคัญยิ่ง ศรัทธาของเราสร้างขึ้นจากรากฐานนั้น17

4

เราควรวางรูปแบบชีวิตเราตามพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์

แบบอย่างอันประเสริฐสุดที่เคยวางไว้เพื่อมนุษย์คือแบบอย่างของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เอง พระชนม์ชีพของพระองค์ดีพร้อม พระองค์ทรงทำทุกสิ่งเป็นอย่างดีและสามารถตรัสกับมนุษย์ทั้งปวงได้ว่า “จงตามเรามา” [2 นีไฟ 31:10] เราทุกคนควรวางรูปแบบชีวิตตามพระองค์

ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างจากพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ทรงสอนวิธีสวดอ้อนวอนให้ผู้คนและตรัสว่า “ตามจริงแล้ว, ตามจริงแล้ว, เรากล่าวแก่เจ้า, เจ้าต้องเฝ้าดูและสวดอ้อนวอนเสมอ, เกลือกมารจะล่อลวงเจ้า, และเขาจะนำเจ้าไปเป็นเชลย. และดังที่เราสวดอ้อนวอนอยู่ในบรรดาพวกเจ้า แม้เช่นนั้นเจ้าจงสวดอ้อนวอนในศาสนจักรของเรา, ในบรรดาผู้คนของเราซึ่งกลับใจและรับบัพติศมาในนามของเรา. ดูเถิดเราคือแสงสว่าง; เราทำตัวอย่างไว้ให้เจ้า. … ฉะนั้น, จงชูแสงสว่างของเจ้าขึ้นเพื่อมันจะส่องโลก. ดูเถิดเราเป็นแสงสว่างซึ่งเจ้าจะชูขึ้น—ซึ่งเจ้าเห็นเราทำ. …” [3 นีไฟ 18:15–16, 24]

คำแนะนำอันล้ำเลิศที่สุดของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้อาจเคยประทานแก่เหล่าสานุศิษย์ชาวนีไฟ “เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า” พระองค์ตรัสถาม และจากนั้นประทานคำตอบดังนี้ “ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, แม้ดังที่เราเป็น.”[3 นีไฟ 27:27]18

เราต้องเชื่อในพระคริสต์และวางรูปแบบชีวิตเราตามพระองค์ เราต้องรับบัพติศมาดังที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา เราต้องนมัสการพระบิดาเหมือนดังที่พระองค์ทรงนมัสการ เราต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดาดังที่พระองค์ทรงทำ เราต้องพยายามทำความดีและทำงานชอบธรรมดังที่พระองค์ทรงพยายาม พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเรา ต้นแบบอันล้ำเลิศของความรอด19

เมื่อท่านมีปัญหาและต้องทำการเลือก ลองถามตัวท่านเองว่า “พระเยซูจะทรงทำอะไร” แล้วทำตามพระองค์

ท่านสามารถรู้สึกถึงปีติแห่งพระสิริและมีการดลใจของพระองค์นำทางท่านในชีวิตแต่ละวันหากท่านจะแสวงหาและดำเนินชีวิตให้มีค่าควรต่อสิ่งนั้น ท่านจะได้รับความรักของพระเยซูและพลังแห่งการปลอบโยนจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังบุตรธิดาที่พระองค์ทรงพาพวกเขามาใกล้ๆ ขณะยังมีพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลก20

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าคนที่ทำตามแบบอย่างของพระองค์จะเป็นเหมือนพระองค์และได้รับรัศมีภาพกับพระองค์ในอาณาจักรของพระบิดา เพื่อรับเกียรติ เดชานุภาพ และสิทธิอำนาจ สำหรับสานุศิษย์ชาวนีไฟบางคนผู้ทำตามพระองค์ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว พระองค์ตรัสว่า “… เจ้าจะเป็นแม้ดังเราเป็น, และเราเป็นแม้ดังพระบิดา; และพระบิดากับเราเป็นหนึ่ง” [3 นีไฟ 28:10] …

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราทุกคนเดินตามรอยพระบาทและรักษาพระบัญญัติของพระองค์เพื่อที่เราจะได้เป็นเหมือนพระองค์ นี่คือความปรารถนาของข้าพเจ้า หวังว่านี่คือความปรารถนาของท่านเช่นกัน21

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ท่านคิดว่าบุตรธิดาของประธานสมิธได้รับอิทธิพลจากประจักษ์พยานและการแสดงออกถึงความรักที่ท่านมีต่อพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไร (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) พิจารณาว่าท่านสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มพูนความรักที่ท่านมีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและแบ่งปันประจักษ์พยานของท่านถึงพระองค์

  • ประธานสมิธประกาศว่า “ความจริงทั้งปวงเกี่ยวข้องและมาจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์” (หัวข้อที่ 1) ความจริงดังกล่าวมีอิทธิพลต่อชีวิตส่วนตัวของเราในทางใดบ้าง สิ่งนี้สามารถมีอิทธิพลต่อบ้านของเราในทางใด

  • คำสอนในหัวข้อที่ 2 ช่วยให้ท่านเข้าใจถึงสัมพันธภาพของท่านกับพระผู้ช่วยให้รอดในทางใดบ้าง การรับเอาพระนามของพระคริสต์ไว้กับท่านมีความหมายต่อท่านอย่างไร

  • ประธานสมิธเตือนว่าบางคนจะโจมตีและหัวเราะเยาะความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์ (ดู หัวข้อที่ 3) เราจะปกป้องประจักษ์พยานของเราได้อย่างไรเพื่อที่เราจะสามารถอดทนกับการท้าทายเช่นนั้นได้ บิดามารดาจะช่วยบุตรธิดาปกป้องประจักษ์พยานของพวกเขาได้อย่างไร

  • ไต่ตรองคำแนะนำของประธานสมิธที่ถามว่า “พระเยซูจะทรงทำอะไร” (หัวข้อที่ 4) มีวิธีใดบ้างที่เราสามารถวางรูปแบบชีวิตตามพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ เมื่อเราทำตามแบบอย่างของพระองค์ เราอาจสร้างอิทธิพลต่อชีวิตผู้อื่นอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

ยอห์น 14:6; 1 นีไฟ 10:6; โมไซยาห์ 3:5–7; ฮีลามัน 5:12; 3 นีไฟ 11:3–7; คพ. 34:1–3; 76:22–24; โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“[หลีกเลี่ยง] การล่อลวงที่จะครอบคลุมเนื้อหาให้มากที่สุด…เรากำลังสอนคน ไม่ใช่สอนแต่เนื้อหาอย่างเดียว และ…โครงร่างบทเรียนทุกบทที่ผมเคยเห็นนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเนื้อหามากมายเกินกว่าที่เราจะสามารถครอบคลุมได้ในเวลาที่กำหนดไว้” (เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ “การสอนและการเรียนรู้ในศาสนจักร” เลียโฮนา มิถุนายน 2007 หน้า 59)

อ้างอิง

  1. “Message of President Joseph Fielding Smith” (คำปราศรัย วันที่ 22 พ.ค. 1955, รวมงานเขียนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ, หอสมุดประวัติศาสนจักร), 2

  2. ใน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์และจอห์น เจ. สตูวาร์ท, The Life of Joseph Fielding Smith (1972), 387–388; เน้นตัวเอนในต้นฉบับ

  3. ใน ลีออน อาร์. ฮาร์ทชอร์น, “President Joseph Fielding Smith: Student of the Gospel,” New Era, ม.ค. 1972 หน้า 63

  4. “The First Prophet of the Last Dispensation,” Ensign, ส.ค. 1971 หน้า 6

  5. “Out of the Darkness,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 2, 4

  6. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 1:28–29

  7. ใน Conference Report, เม.ย. 1912 หน้า 67

  8. “The One Fundamental Teaching,” Improvement Era, พ.ค. 1970 หน้า 3; เน้นตัวเอนในต้นฉบับ

  9. “Out of the Darkness,” 2, 4

  10. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:18

  11. “The Spirit of Reverence and Worship,” Improvement Era, ก.ย. 1941, 573; ดู Doctrines of Salvation, 1:15 ด้วย

  12. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:28

  13. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:29

  14. Man: His Origin and Destiny (1954), 117.

  15. ใน Conference Report, ต.ค. 1914 หน้า 98

  16. ใน Conference Report, ต.ค. 1924 หน้า 100–101

  17. ใน Conference Report, ต.ค. 1921 หน้า 186; ดู Doctrines of Salvation, 2:302 ด้วย

  18. “Follow His Example,” New Era, ส.ค. 1972 หน้า 4

  19. “The Plan of Salvation,” Ensign, พ.ย. 1971 หน้า 5

  20. “Christmas Message to Children of the Church in Every Land,” Friend, ธ.ค. 1971 หน้า 3

  21. “Follow His Example,” 4.