บทที่ 5
ศรัทธาและการกลับใจ
“สิ่งที่เราต้องการจากคนในศาสนจักรและนอกศาสนจักร คือการกลับใจ เราต้องการศรัทธามากขึ้นและปณิธานมากขึ้นในการรับใช้พระเจ้า”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสอนว่า “การอภัยบาปมาจากศรัทธาและการกลับใจที่แท้จริง”1 ท่านกล่าวว่า “เป็นสิ่งจำเป็นที่เราไม่เพียงเชื่อเท่านั้น แต่เราต้องกลับใจด้วย” ท่านสอนอีกด้วยว่าเมื่อเราประกอบคุณงามความดีด้วยศรัทธาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เราจะ “ได้รับรางวัลของคนซื่อสัตย์ และมีที่อยู่ในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า”2 ด้วยความปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงได้รับรางวัลนี้ ท่านเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และสั่งสอนการกลับใจตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของท่าน
ในช่วงแรกที่ท่านรับใช้เป็นอัครสาวก ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วว่านี่เป็นพันธกิจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าประทับใจมากโดยพระวิญญาณของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเดินทางไปสเตคหลายแห่งของไซอัน เพื่อกล่าวแก่ผู้คนว่าเวลานี้ เป็นวันแห่งการกลับใจและเพื่อเรียกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้จดจำพันธสัญญาของพวกเขา สัญญาที่พวกเขาทำไว้กับพระเจ้า ที่จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ทำตามคำสอนและคำแนะนำของเหล่าเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอล—ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า—ดังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เราควรกระทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและละเอียดรอบคอบต่อพระพักตร์พระเจ้าในทุกๆ สิ่ง เพื่อเราจะได้รับพรและการนำทางจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นวันแห่งการเตือน เป็นเวลาแห่งการเตือนนับจากวันที่ศาสดาพยากรณ์ได้รับการแสดงให้ประจักษ์จากสวรรค์เป็นครั้งแรกว่าพระกิตติคุณต้องได้รับการฟื้นฟู” 3
ในการประชุมศีลระลึกของวันอาทิตย์วันหนึ่ง ประธานสมิธบอกกับที่ประชุมว่าเหตุใดท่านจึงเปล่งเสียงเตือน โจเซฟ บุตรชายของท่านซึ่งเข้าร่วมการประชุมเช่นกัน เขียนในเวลาต่อมาว่า “ผมจำคำพูดบางอย่างที่ [คุณพ่อของผม] กล่าวในโอกาสนั้นได้อย่างชัดเจน ‘ใครคือเพื่อนของท่าน หรือใครรักท่านมากที่สุด’ ท่านถามคนในที่ประชุม ‘คนที่บอกท่านว่าทุกอย่างดีในไซอัน ว่าความเจริญรุ่งเรืองจะมาถึงในไม่ช้า หรือคนที่ตักเตือนท่านถึงหายนะและความยากลำบากที่สัญญาไว้ เว้นแต่หลักธรรมพระกิตติคุณจะดำรงอยู่ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้ารักสมาชิกศาสนจักร และข้าพเจ้าไม่อยากให้ใครก็ตามมาชี้นิ้วกล่าวโทษข้าพเจ้าเมื่อเราผ่านม่านแห่งความเป็นมรรตัยไปแล้วและกล่าวว่า “หากท่านเตือนดิฉัน ดิฉันคงไม่อยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนี้” ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเปล่งเสียงเตือนด้วยความหวังว่าพี่น้องทั้งหลายจะเตรียมพร้อมสำหรับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพ”’ 4
คนที่ทำงานใกล้ชิดกับประธานสมิธ เห็นว่าเบื้องหลังคำเตือนที่เข้มงวดของท่านคือบุรุษที่มีความเอื้ออาทรต่อผู้คนที่กำลังทนทุกข์กับบาป เอ็ลเดอร์ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์ รับใช้เป็นเลขานุการฝ่ายประธานสูงสุด ท่านมักจะอยู่ด้วยเมื่อประธานสมิธพิจารณาเรื่องการลงโทษทางวินัยของศาสนจักร เอ็ลเดอร์กิ๊บบอนส์เล่าว่า “ท่านพิจารณาเรื่องราวด้วยความรักความกรุณาเสมอ และด้วยความเมตตามากมายตามสภาพการณ์ที่ชอบด้วยเหตุผล ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับท่านที่จะพูดเมื่อเรียนรู้สภาวการณ์ของคดีที่มีโทษหนัก ‘เหตุใดผู้คนจึงไม่ควบคุมความประพฤติของตนเอง’ นี่ไม่ใช่การพูดเชิงกล่าวหาหรือเป็นการกล่าวโทษแต่อย่างใด แต่ท่านกล่าวด้วยความเสียใจและเป็นทุกข์”5 ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ ผู้เคยรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองกับประธานสมิธ กล่าวดังนี้ “เรากล่าวหลายครั้งว่า เนื่องจากอัครสาวกสิบสองจะเป็นผู้พิพากษาแห่งอิสราเอล เราจะมีความสุขที่ได้รับการพิพากษาจากท่าน เพราะการพิพากษาของท่านมีความเมตตากรุณา เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์”6 เมื่อประธานสมิธแต่งตั้งอธิการ ท่านมักจะให้คำแนะนำว่า “จงจำไว้ว่าทุกคนมีความอ่อนแอ และมีอย่างน้อยที่สุดสองด้านในทุกๆ เรื่อง หากท่านผิดพลาดในการพิพากษา จงแน่ใจว่าท่านผิดพลาดในด้านของความรักความเมตตา”7
คำสอนของประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
หลักธรรมข้อแรกของพระกิตติคุณคือศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์
ศรัทธาของเรามีพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง และโดยผ่านพระองค์ในพระบิดา เราเชื่อในพระคริสต์ เรายอมรับพระองค์เป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า และรับพระนามของพระองค์ไว้กับเราในผืนน้ำแห่งบัพติศมา8
จงให้เรื่องนี้อยู่สูงสุดเสมอในความนึกคิดของท่าน ขณะนี้และทุกเวลา ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้เสด็จมายังโลกเพื่อพลีพระชนม์ชีพให้เรามีชีวิต นั่นคือความจริงและเป็นรากฐาน ศรัทธาของเราสร้างขึ้นบนรากฐานนั้น ซึ่งไม่อาจถูกทำลายได้ เราต้องยึดมั่นต่อคำสอนนี้ แม้จะมีคำสอนของโลก และความคิดเห็นของมนุษย์ก็ตาม เพราะสิ่งนี้สูงส่งยิ่ง สิ่งนี้สำคัญยิ่งต่อแผนของเรา พระเจ้าทรงไถ่เราด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมและประทานความรอดแก่เรา—และมีเงื่อนไขที่เราต้องไม่ลืม—ว่าเราจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา หากเราทำตามนั้น เราจึงจะได้รับการช่วยให้รอด ขณะที่แนวคิดและความโง่เขลาของมนุษย์จะพินาศไปจากโลก 9
เรามาสู่พระผู้เป็นเจ้าโดยศรัทธา หากเราไม่เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ หากเราไม่มีศรัทธาในพระองค์ หรือในการชดใช้ของพระองค์ เราจะมีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ เป็นเพราะเรามีศรัทธานั้น พระองค์จึงทรงนำเรามาสู่ความประสานกลมกลืนกับความจริงของพระองค์และมีความปรารถนาในใจเราที่จะรับใช้พระองค์ …
… หลักธรรมข้อแรกของพระกิตติคุณคือศรัทธาในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และแน่นอนว่า เราจะมีศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้หากเราไม่มีศรัทธาในพระบิดาของพระองค์ จากนั้น หากเรามีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตร และได้รับการทรงนำ ตามที่เราควรได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะมีศรัทธาในผู้รับใช้ของพระเจ้าโดยผ่านผู้ที่พระองค์รับสั่งด้วย10
2
ศรัมธาหมายถึงการกระทำ
ศรัทธาเป็นมูลเหตุที่นำไปสู่การกระทำทุกอย่าง” [Lectures on Faith, lecture 1] หากท่านหยุดเพื่อพิจารณาสักครู่ ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะเห็นด้วยว่าสิ่งต่างๆ ในทางโลกเป็นความจริงเทียบเท่ากับทางวิญญาณอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับเราในการกระทำของเราเองและการกระทำที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้า …
“ความเชื่อ [ศรัทธา] ที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้ว” [ยากอบ 2:26]—อีกนัยหนึ่ง ความเชื่อนั้นไม่มีอยู่จริง ข้าพเจ้าคิดว่าความหมายที่ชัดเจนของยากอบคือ “จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นศรัทธาของท่านโดยไม่มีการประพฤติซิ แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นศรัทธาของข้าพเจ้าโดยการประพฤติ” [ดู ยากอบ 2:18] ศรัทธาหมายถึงการกระทำ … ด้วยเหตุนี้ ศรัทธาจึงแข็งแกร่งกว่าความเชื่อ …
ศรัทธาเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ดีทุกอย่างเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือคำสอนจากพระคัมภีร์ที่พบในฮีบรู บทที่ 11—ซึ่งสาธยายเรื่องศรัทธาได้อย่างกระจ่างแจ้ง—[และ] พระเจ้าประทานการเปิดเผยแก่เราในหลักคำสอนและพันธสัญญา รวมทั้งในพระคัมภีร์เล่มอื่นๆ การอยู่เฉยๆ หรือความไม่แยแส หรือเชื่อแบบเฉยเฉื่อย ไม่ทำให้เกิดศรัทธา ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวในการมีศรัทธาจะไม่ทำให้เกิดศรัทธา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความปรารถนาทักษะด้านดนตรีหรือการวาดรูป ความเชี่ยวชาญจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ลงมือทำด้วยเชาว์ปัญญา เราเผชิญกับอุปสรรค เราได้รับประจักษ์พยานถึงพระกิตติคุณ เราเชื่อในโจเซฟ สมิธ เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อในหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณ แต่เรากำลังทำงานหนักเพียงใดกับสิ่งเหล่านี้
… หากเราต้องการมีศรัทธาที่มีชีวิตและมั่นคงตลอดกาล เราต้องแข็งขันในการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างในฐานะสมาชิกของศาสนจักรนี้ …
โอ้ หากเราใช้ศรัทธาที่แสดงให้ประจักษ์โดยนีไฟ ขอให้อ่านในบทที่ 17 ของ 1 นีไฟ พี่ชายของท่านกำลังต่อต้านและหัวเราะเยาะท่านเพราะท่านกำลังจะต่อเรือ มีความว่า
“น้องเราเป็นคนโง่, เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถต่อเรือได้; แท้จริงแล้ว, และเขาคิดด้วยว่าเขาสามารถข้ามผืนน้ำกว้างใหญ่นี้ไปได้” [1 นีไฟ 17:17]
นีไฟตอบพี่ชายว่า
“หากพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าทำสิ่งทั้งปวง ข้าพเจ้าสามารถทำสิ่งทั้งปวงนั้นได้. หากพระองค์จะทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ากล่าวแก่น้ำนี้, เจ้าจงเป็นแผ่นดิน, มันจะเป็นแผ่นดิน; และหากข้าพเจ้าจะกล่าวเช่นนี้, มันจะเป็นไปเช่นนั้น.” [1 นีไฟ 17:50]
นั่นคือศรัทธาของท่าน11
เราไม่ได้เดินด้วยความรอบรู้ เหมือนที่เราทำก่อนมายังโลกนี้ แต่พระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะเดินด้วยศรัทธา [ดู 2 โครินธ์ 5:7] และโดยการเดินด้วยศรัทธา เราจะได้รับรางวัลของคนชอบธรรม หากเรายึดมั่นต่อพระบัญญัติเหล่านั้นซึ่งประทานไว้เพื่อความรอดของเรา12
หากมนุษย์จะยึดมั่นหลักคำสอนและเดินในศรัทธา ยอมรับความจริงและรักษาพระบัญญัติตามที่ประทานไว้ เขาย่อมอยู่ในวิสัยที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่สำคัญว่าเขาจะสารภาพด้วยคำพูดของเขามากเพียงใดว่าพระเยซูคือพระคริสต์ หรือเชื่อว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลกเพื่อไถ่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ยากอบจึงถูกต้องเมื่อท่านกล่าวว่าคนชั่วร้าย “เชื่อและกลัวจนตัวสั่น” แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมกลับใจ [ดู ยากอบ 2:19]13
3
การกลับใจเป็นหลักธรรมข้อที่สองของพระกิตติคุณและจำเป็นอย่างยิ่งต่อความรอดและความสูงส่งของเรา
การกลับใจเป็นหลักธรรมเบื้องต้นข้อที่สองของพระกิตติคุณและเป็นผลที่เกิดจากศรัทธา 14
สิ่งที่เราต้องการจากคนในศาสนจักรและนอกศาสนจักร คือการกลับใจ เราต้องการศรัทธามากขึ้นและปณิธานมากขึ้นในการรับใช้พระเจ้า15
จริงหรือไม่ที่พวกเราบางคนมีแนวคิดที่ว่าไม่สำคัญว่าเราทำบาปตราบใดที่บาปนั้นไม่ร้ายแรง หรือไม่เป็นอันตราย แล้วเราจะยังคงได้รับการช่วยให้รอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า นีไฟมองเห็นยุคสมัยของเรา ท่านกล่าวว่าจะมีคนพูดเช่นนั้น [ดู 2 นีไฟ 28:7–9] แต่ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านว่า เราไม่สามารถหันไปจากทางแห่งความจริงและความชอบธรรมแล้วยังรักษาการนำทางจากพระวิญญาณของพระเจ้าไว้ได้ 16
ไซอันไม่มีที่สำหรับคนบาปโดยเจตนา แต่มีที่สำหรับคนบาปที่กลับใจ สำหรับคนที่ปฏิเสธความชั่วช้าสามานย์ แต่แสวงหาชีวิตนิรันดร์และแสงสว่างของพระกิตติคุณ เราไม่ควรมองดูบาปด้วยระดับความยินยอมแม้เล็กน้อยที่สุด ไม่ต่างจากที่พระเจ้าทรงทำเช่นนั้น แต่จงดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงและดีพร้อมต่อพระพักตร์พระเจ้า17
มนุษย์สามารถรับการช่วยให้รอดและรับความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในความชอบธรรมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องกลับใจจากบาปและเดินอยู่ในความสว่างเพราะพระคริสต์ทรงสถิตในความสว่าง [ดู 1 ยอห์น 1:7] เพื่อให้พระโลหิตของพระองค์ชำระเราจากบาปทั้งปวง เพื่อให้เรามีสัมพันธภาพกับพระเจ้าและรับรัศมีภาพพร้อมด้วยความสูงส่งจากพระองค์18
เราต้องการการกลับใจ และต้องมีผู้บอกให้เรากลับใจ19
4
ในหลักธรรมแห่งการกลับใจ พระเมตตาของพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ได้รับการแสดงให้ประจักษ์
การกลับใจเป็นหลักธรรมที่ล้ำเลิศและให้การปลอบโยนมากที่สุดที่สอนไว้ในพระกิตติคุณ ในหลักธรรมนี้ พระเมตตาของพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ แสดงให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจนมากกว่าหลักธรรมข้ออื่นๆ ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนักหากไม่มีการอภัยบาปและไม่มีหนทางในการปลดบาปสำหรับคนที่กลับใจด้วยความนอบน้อม เราทำได้เพียงจินตนาการในส่วนของความพรั่นพรึงที่จะเกิดขึ้นกับเรา หากเราต้องอดทนกับบทลงโทษจากการล่วงละเมิดตลอดกาลและตลอดไปโดยปราศจากความหวังของการปลดเปลื้อง เราจะรับการปลดเปลื้องได้อย่างไร จะได้รับจากใคร
พระเจ้าตรัสว่า
“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
“เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” [ยอห์น 3:16–17; ดู ข้อ 18–21ด้วย]
หากพระบิดามิได้ทรงส่งพระเยซูคริสต์มาในโลก ก็คงไม่มีการปลดบาปและการบรรเทาทุกข์จากบาปโดยผ่านการกลับใจ20
หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้ และรู้สึกได้แม้ในระดับที่เล็กน้อย ถึงความรักความเต็มพระทัยที่เปี่ยมด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์ ในการทนทุกข์เพื่อบาปของเรา เราจะยินดีกลับใจจากการล่วงละเมิดทั้งหมดของเราและรับใช้พระองค์21
5
การกลับใจรวมถึงความโทมนัสจากใจจริงสำหรับบาปและการละทิ้งบาปโดยสิ้นเชิง
พระคัมภีร์กล่าวว่า
“เจ้าจงถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าในความชอบธรรม, แม้เครื่องถวายบูชาอันเป็นใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด” [คพ. 59:8]
นั่นหมายถึงการกลับใจ
… การกลับใจ ตามนิยามที่ให้ไว้ในพจนานุกรม คือความโทมนัสด้วยใจจริงสำหรับบาป ด้วยการกล่าวโทษตนเอง และการละทิ้งบาปโดยสิ้นเชิง … ไม่มีการกลับใจที่แท้จริงเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความโทมนัสและความปรารถนาจะเป็นอิสระจากบาป
ความสำนึกผิดคือการแสดงออกถึงวิญญาณที่นอบน้อมหรือชอกช้ำเพราะบาป และรับรู้ถึงความเลวร้ายของบาปด้วยใจจริง ตลอดจนตระหนักถึงพระเมตตาและพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีต่อคนบาปที่กลับใจ … ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัส ดังที่ข้าพเจ้าได้อ้างถึง เราต้องถวายเครื่องบูชา “ในความชอบธรรม, แม้ด้วยใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด” …
การกลับใจเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า … ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครบางคนที่จะกลับใจ แต่ของประทานแห่งการกลับใจและศรัทธาจะทรงมอบให้ทุกคนที่แสวงหา22
ข้าพเจ้าเรียนรู้จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าว่า เมื่อท่านต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ท่านสามารถทำได้ มโนธรรมของเราและพระคัมภีร์บอกเราว่าควรดำเนินชีวิตอย่างไร—และนิสัยอะไรบ้างที่เราควรเปลี่ยนเพื่อความผาสุกและความก้าวหน้านิรันดร์ของเรา23
6
เวลาแห่งการกลับใจคือเดี๋ยวนี้
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงช่วยชายหญิงทุกคนให้รอดในอาณาจักรซีเลสเชียล หากท่านต้องการไปที่นั่น และท่านมีข้อบกพร่อง หากท่านทำบาป หากท่านละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า และท่านทราบแล้ว นี่คือเวลาที่ดีในการกลับใจและแก้ไขเดี๋ยวนี้ อย่าคิดเพียงว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน ทรงตีสองสามที ลงโทษนิดหน่อย แล้วเราจะได้รับการให้อภัย เพราะท่านอาจพบว่าตนเองถูกขับออกไป หากท่านยืนกรานและต่อต้านวิถีดังกล่าว24
การผัดวันประกันพรุ่ง ดังที่ประยุกต์ใช้ในหลักธรรมพระกิตติคุณ คือโจรขโมยชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นชีวิตในที่ประทับของพระบิดาและพระบุตร มีหลายคนในบรรดาพวกเรา แม้สมาชิกของศาสนจักร ที่รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบปฏิบัติตามหลักธรรมพระกิตติคุณและรักษาพระบัญญัติ …
ขออย่าลืมถ้อยคำของ [อมิวเล็ค] ที่ว่า “เพราะดูเถิด, ชีวิตนี้เป็นเวลาสำหรับมนุษย์ที่จะเตรียมพบพระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้ว, ดูเถิดวันแห่งชีวิตนี้เป็นวันสำหรับมนุษย์ที่จะทำงานของพวกเขา
“และบัดนี้, ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านไว้ก่อนแล้ว, ดังที่ท่านมีพยานมากมาย, ฉะนั้น, ข้าพเจ้าวิงวอนท่านว่าท่านอย่าผัดวันแห่งการกลับใจของท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่; เพราะหลังจากวันนี้ของชีวิต, ซึ่งเราได้รับมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนิรันดร, ดูเถิด, หากเราไม่ปรับปรุงเวลาของเราขณะที่อยู่ในชีวิตนี้, เมื่อนั้นคืนแห่งความมืดย่อมมาถึงซึ่งในเวลานั้นจะประกอบการงานหาได้ไม่
“ท่านจะพูดไม่ได้, เมื่อท่านถูกนำไปสู่วิกฤตอันน่าพรั่นพรึงนั้น, ว่าข้าพเจ้าจะกลับใจ, ว่าข้าพเจ้าจะกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า. ไม่เลย, ท่านจะพูดเช่นนี้ไม่ได้; เพราะวิญญาณเดียวกันนั้นซึ่งครอบครองร่างกายของท่านในเวลาที่ท่านออกไปจากชีวิตนี้, วิญญาณเดียวกันนั้นจะมีพลังครอบครองร่างของท่านในโลกนิรันดร์นั้น. [แอลมา 34:32–34]25
7
เราเป็นหนี้โลกนี้เพื่อเปล่งเสียงเตือน
พระเจ้าตั้งพระทัยว่ามนุษย์จะมีความสุข—นั่นคือพระประสงค์ของพระองค์—แต่มนุษย์กลับปฏิเสธความสุขและสร้างความทุกข์ให้ตนเอง เพราะพวกเขาคิดว่าวิถีของพวกเขาดีกว่าวิถีของพระผู้เป็นเจ้า เพราะความเห็นแก่ตัว ความละโมบ และความชั่วร้ายที่อยู่ในใจพวกเขา และนั่นคืออุปสรรคของเราในทุกวันนี้26
จากการสังเกตการณ์ขณะเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และจากสิ่งที่เราอ่านในสื่อสาธารณะ ทำให้เราจำเป็นต้องสรุปว่าการกลับใจจากบาปเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดทั่วโลกทุกวันนี้27
อย่าคิดว่าเราอยู่ในสภาวการณ์ที่ไม่มีวันเลวร้ายไปกว่านี้ หากไม่มีการกลับใจ ทุกสิ่งจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงป่าวร้องการกลับใจต่อผู้คน ต่อวิสุทธิชนยุคสุดท้าย … และต่อประชาชาติทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลก28
เราเป็นหนี้โลกในการเปล่งเสียงเตือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสมาชิกของศาสนจักร [ดู คพ. 88:81]29
เป็นหน้าที่ของเราที่จะดูแลกัน ปกป้องกัน เตือนกันถึงอันตรายต่างๆ สอนหลักธรรมพระกิตติคุณของอาณาจักรให้แก่กัน ยืนหยัดด้วยกันพร้อมทั้งร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านบาปของโลก30
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะมีอะไรสำคัญหรือจำเป็นมากไปกว่าการป่าวร้องการกลับใจในเวลานี้ แม้ในบรรดาวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และข้าพเจ้าเรียกพวกเขาเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่ไม่ใช่สมาชิกของศาสนจักร ให้เอาใจใส่พระวจนะของพระผู้ไถ่ของเรา บัดนี้ พระองค์รับสั่งแน่นอนแล้วว่าไม่มีสิ่งไม่สะอาดจะเข้าไปในที่ประทับของพระองค์ได้ นอกจากบรรดาผู้ที่พิสูจน์ตนในความซื่อสัตย์และล้างอาภรณ์ของพวกเขาในพระโลหิตของพระองค์โดยผ่านศรัทธาและการกลับใจของพวกเขา—มิฉะนั้น จะไม่มีใครหาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าพบเลย31
“ดูเถิด, ประชาชาติ, ตระกูล, ภาษา, และคนทั้งปวงจะดำรงอยู่อย่างปลอดภัยในพระผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล หากเป็นไปว่าพวกเขาจะกลับใจ” [1 นีไฟ 22:28] ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าพวกเขาจะกลับใจ ข้าพเจ้าต้องการให้พวกเขาพำนักอยู่อย่างปลอดภัย ข้าพเจ้าต้องการให้พวกเขาเชื่อในพระผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ผู้เสด็จมาในโลกและทรงชดใช้บาปของเราและบาปของมนุษยชาติทั้งปวง ผู้ประทานการไถ่เราจากความตาย ผู้ทรงสัญญากับเราถึงความรอดและการปลดบาปตามเงื่อนไขของการกลับใจ
โอ ข้าพเจ้าปรารถนาให้มนุษยชาติทั้งปวงเชื่อในพระองค์ นมัสการพระองค์และพระบิดาของพระองค์ รับใช้พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเราในพระนามของพระบุตร เมื่อนั้นสันติสุขจะมา ความชอบธรรมจะมีชัย แล้วพระเจ้าจะทรงสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก32
ข้าพเจ้าวิงวอนโลกให้กลับใจและเชื่อความจริง เพื่อให้แสงสว่างของพระคริสต์ฉายส่องในชีวิตพวกเขา เพื่อรักษาคุณความดีและหลักธรรมความจริงทุกประการที่พวกเขามีอยู่ แล้วเพิ่มแสงสว่างและความรู้มากขึ้น ซึ่งมาจากการเปิดเผยในทุกวันนี้ ข้าพเจ้าวิงวอนพวกเขาให้เข้าร่วมศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและเก็บเกี่ยวพรแห่งพระกิตติคุณ
ข้าพเจ้าวิงวอนสมาชิกของศาสนจักรให้ทำงานแห่งความชอบธรรม รักษาพระบัญญัติ แสวงหาพระวิญญาณ รักพระเจ้า ให้สิ่งที่เกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรกในชีวิตพวกเขา และด้วยเหตุนี้ จงทำให้ความรอดเกิดขึ้นสำหรับท่านทั้งหลายด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า [ดู ฟิลิปปี 2:12].33
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ให้ทบทวนความคิดเห็นของประธานสมิธเกี่ยวกับเหตุผลที่ท่านต้องการ “เปล่งเสียงเตือน” การป่าวร้องให้กลับใจเป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างไร
-
การให้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางศรัทธาของท่าน หมายความว่าอย่างไร (ดู หัวข้อที่ 1)
-
เพราะเหตุใดศรัทธาที่แท้จริงจึงนำไปสู่การกระทำเสมอ (ตัวอย่างบางเรื่อง ดูหัวข้อที่ 2) มีวิธีใดบ้างที่เราสามารถแสดงศรัทธาโดยการกระทำของเรา
-
การกลับใจเป็น “ผลที่มาจากศรัทธา” อย่างไร (ดู หัวข้อที่ 3)
-
ลองตรึกตรองในใจถึงเวลาที่ท่านกลับใจ แล้วรู้สึกถึงความรักความเมตตาของพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ (ดู หัวข้อที่ 4) ท่านแบ่งปันอะไรได้บ้างเกี่ยวกับความสำนึกในพระกรุณาธิคุณสำหรับการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด
-
เพราะเหตุใดการกลับใจจึงไม่เกิดขึ้นถ้า “ปราศจากความโทมนัสและความปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากบาป” (ดู หัวข้อที่ 5) สองย่อหน้าสุดท้ายในหัวข้อที่ 5 ให้ความหวังแก่บางคนที่รู้สึกโทมนัสเพราะบาปอย่างไร
-
การผัดวันประกันพรุ่งเป็น “โจรขโมยชีวิตนิรันดร์” ในทางใดบ้าง (ดู หัวข้อที่ 6) มีอันตรายอะไรบ้างที่มาจากการผัดวันแห่งการกลับใจของเรา
-
ขณะทบทวนหัวข้อที่ 7 ให้พิจารณาว่าการ “เปล่งเสียงเตือน” หมายความว่าอย่างไร เราจะมีความกรุณาและความรักได้อย่างไรบ้างในความพยายามของเราที่จะเตือนผู้อื่น
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ฮีบรู 11:1–6; โมไซยาห์ 4:1–3; แอลมา 34:17; อีเธอร์ 12:4; โมโรไน 7:33–34; คพ. 18:10–16; หลักแห่งความเชื่อ 1:4
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“นักเรียนจะต้องได้รับการกระตุ้นให้มีส่วนร่วม เมื่อครูทำให้ตนเองกลายเป็นดาวเด่นในห้องเรียน พูดคนเดียว และทำกิจกรรมเองทั้งหมด แน่ใจได้ว่าครูคนนั้นกำลังขัดขวางการเรียนรู้ของสมาชิกชั้นเรียน” (ดู อาซาเฮล ดี. วูดรัฟฟ์ Teaching the Gospel [1962], 37; ใน เวอร์จิเนีย เอช. เพียร์ซ, “ชั้นเรียนธรรมดาๆ—สถานที่ซึ่งทรงอานุภาพสำหรับความก้าวหน้าอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง” เลียโฮนา, ม.ค. 1997 หน้า13)