คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 21: ประกาศพระกิตติคุณต่อโลก


บทที่ 21

ประกาศพระกิตติคุณต่อโลก

“เราได้ชิมรสผลของพระกิตติคุณแล้วและทราบว่าผลนั้นดี เราปรารถนาให้มนุษย์ทั้งปวงรับพรเดียวกันและวิญญาณเดียวกันที่หลั่งรินมาสู่เราอย่างล้นเหลือ”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกับลูอี ภรรยาของท่านไม่ประหลาดใจเลยเมื่อได้รับจดหมาย เซ็นกำกับโดยประธานลอเรนโซ สโนว์ เรียกโจเซฟ ให้รับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา ในสมัยแรกๆ ของศาสนจักร ชายที่แต่งงานแล้วมักจะรับใช้ในแดนไกล ด้วยเหตุนี้ เมื่อจดหมายนั้นมาถึงเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1899 ประมาณหนึ่งเดือนก่อนวันครบรอบหนึ่งปีของการแต่งงาน โจเซฟกับลูอียอมรับโอกาสด้วยศรัทธาและความกล้าหาญ บวกกับความเศร้าใจที่คิดว่าต้องแยกจากกันเป็นเวลาสองปี

เอ็ลเดอร์สมิธรับใช้ในอังกฤษ ห่างจากบ้านประมาณ 4,700 ไมล์ (ประมาณ 7,600 กิโลเมตร) ท่านขอให้ลูอีส่งจดหมายให้กันบ่อยๆ—จดหมายเต็มไปด้วยการแสดงออกถึงความรักและประจักษ์พยาน จดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นฉบับแรกๆ ที่เอ็ลเดอร์สมิธเขียนถึงลูอี ท่านเขียนว่า “ผมทราบว่างานที่ผมได้รับเรียกให้ทำคืองานของพระผู้เป็นเจ้า ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยอมอยู่ที่นี่แม้แต่นาทีเดียว ไม่ใช่ ผมคงไม่จากบ้านมาแน่ แต่ผมรู้ว่าความสุขของเราขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ของผมขณะอยู่ที่นี่ ผมควรเต็มใจรับใช้ให้มากเพื่อความรักที่มีต่อมนุษยชาติเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงทนทุกข์ ดังที่ทรงทนทุกข์เพื่อเรา … ผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระบิดาบนสวรรค์และพระองค์จะทรงดูแลและทรงคุ้มครองผมหากผมทำตามพระประสงค์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงอยู่กับคุณเช่นกันขณะที่ผมไม่ได้อยู่ดูแลและคุ้มครองคุณในทุกๆ สิ่ง”1

เอ็ลเดอร์สมิธกับคู่ผู้สอนศาสนาของท่านเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตนของพระเจ้า ในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงลูอี ท่านเล่าว่าแต่ละเดือน ท่านกับผู้สอนศาสนาคนอื่นๆ แจกใบปลิว หรือแผ่นพับประมาณ 10,000 ฉบับ และเยี่ยมบ้านประมาณ 4,000 หลัง อย่างไรก็ตาม ท่านติดตามรายงานนี้ด้วยข้อสังเกตอันสุขุมรอบคอบว่า “ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่ามีคนอ่านใบปลิวหนึ่งใบหรือมากกว่าหนึ่งใบในทุกๆ หนึ่งร้อยใบ”2 ช่วงที่เอ็ลเดอร์สมิธอยู่ในอังกฤษ แทบไม่มีใครยอมรับข่าวสารพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู เวลาสองปีของการรับใช้ “ท่านไม่ได้ทำให้ผู้ใดเปลี่ยนใจเลื่อมใสเลย ไม่มีโอกาสประกอบพิธีบัพติศมาแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้จะยืนยันผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสหนึ่งคน”3 ไม่ปรากฏผลงานจากการลงแรงของท่าน ท่านพบการปลอบโยนในความรู้ที่ว่าท่านกำลังทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และท่านกำลังช่วยเตรียมผู้คนซึ่งอาจได้รับพระกิตติคุณต่อมาในชีวิตของพวกเขา

ประมาณสองสัปดาห์ของงานเผยแผ่ เอ็ลเดอร์สมิธถูกกักตัวไว้ที่โรงพยาบาลกับผู้สอนศาสนาอีกสี่คน พบว่าผู้สอนศาสนาห้าคนนั้นเป็นไข้ทรพิษ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องถูกกักบริเวณเพื่อป้องกันความเจ็บป่วยแพร่ระบาด ถึงแม้เอ็ลเดอร์สมิธต้องอยู่ดัง “ถูกพันธนาการ” แต่ท่านกับคู่ยังทำงานเผยแผ่ได้ พวกท่านแบ่งปันพระกิตติคุณให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ช่วงท้ายของการกักบริเวณ เอ็ลเดอร์สมิธเขียนรายงานต่อไปนี้ในบันทึกส่วนตัวว่า “เราผูกมิตรกับพยาบาลและคนอื่นๆ ที่มาเยี่ยมเราในช่วงการกักตัว หลายครั้ง เราพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับพระกิตติคุณ และให้พระคัมภีร์พวกเขาไว้อ่านด้วย เมื่อเราออกจากโรงพยาบาล เราร้องเพลงสวดหนึ่งหรือสองเพลง ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้ฟัง เมื่อเราจากมาพวกเขาน้ำตาซึม ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่โรงพยาบาลรู้สึกดีกับพวกเรา โดยเฉพาะกับบรรดาพยาบาล ซึ่งสารภาพว่าเราไม่เหมือนกับคนที่พวกเขาเคยคิด และ [ว่า] บัดนี้ พวกเขาจะแก้ต่างให้เราตลอดเวลา”4

เอ็ลเดอร์สมิธจบงานเผยแผ่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1901 เจ็ดสิบปีต่อมา ท่านกลับไปยังประเทศอังกฤษอีกครั้งในฐานะประธานศาสนจักรเพื่อควบคุมการประชุมใหญ่ภาค ในเวลานั้นเอง เมล็ดพันธุ์ที่ท่านและผู้สอนศาสนาคนอื่นๆ เพาะไว้ได้เจริญงอกงามแล้ว ท่านชื่นชมยินดีที่ได้เห็นวิสุทธิชนชาวอังกฤษมากมายมาการประชุม5 ท่านกล่าวว่า “สเตคแห่งไซอันมากมาย พระวิหารได้รับการอุทิศแด่พระเจ้า จำนวนอาคารวอร์ดและสเตค งานเผยแผ่ประสบความสำเร็จอย่างสูง—ทั้งหมดนี้เป็นพยานถึงข้อเท็จจริงที่ศาสนจักรกำลังเติบโตขึ้นในเกรตบริเตน” ท่านกล่าวว่าความก้าวหน้าในเกรตบริเตน เป็นตัวแทนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั่วโลก ท่านประกาศว่าพระกิตติคุณมีไว้สำหรับคนทั้งปวงและ “ศาสนจักรจะได้รับการสถาปนาทุกหนทุกแห่ง ในทุกประชาชาติ แม้จนสุดแดนแผ่นดินโลก ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของบุตรมนุษย์”6

"Smith, Joseph Fielding, 1876-1972."

เอ็ลเดอร์โจเซฟ ฟิลดิงก์ ในปี 1910 ไม่นานหลังจากท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวก

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

เราเท่านั้น ที่มีความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู และเราปรารถนาให้คนทั้งปวงได้รับพรเดียวกันนี้

ในพระปรีชาญาณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ เพื่อทำให้พันธสัญญาและคำสัญญาที่ทำไว้กับศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณเกิดสัมฤทธิผล พระเจ้าทรงฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณอันเป็นนิจขึ้นในยุคสุดท้ายนี้ พระกิตติคุณนี้คือแผนแห่งความรอด แผนดังกล่าวได้รับการจัดตั้งและสถาปนาในสภานิรันดรก่อนการวางรากฐานของโลกนี้ และได้รับการเปิดเผยใหม่ในสมัยของเราเพื่อความรอดและพรของบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาในทุกหนแห่ง …

เกือบหกร้อยปีก่อนคริสตกาล—ในการเสด็จมาของพระองค์—นีไฟ ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวแก่ผู้คนของท่านว่า “… มีพระผู้เป็นเจ้าเดียวและพระเมษบาลเดียวทั่วทั้งแผ่นดินโลก

“และเวลามาถึงเมื่อพระองค์จะทรงแสดงองค์ให้ประจักษ์ต่อประชาชาติทั้งปวง …” (1 นีไฟ 13:41–42)

คำสัญญานั้นกำลังเริ่มขึ้น นี่คือเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการสั่งสอนพระกิตติคุณในทั่วโลก และสำหรับการเสริมสร้างอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นในทุกประชาชาติ มีคนดีและซื่อตรงในทุกประชาชาติ ผู้ที่จะตอบรับความจริง ผู้ที่จะมาสู่ศาสนจักร และผู้ที่จะกลายเป็นแสงสว่างนำทางผู้คนของพวกเขา …

… พระกิตติคุณมีไว้เพื่อทุกคน พระเจ้าทรงคาดหวังให้คนเหล่านั้นที่รับพระกิตติคุณ ดำเนินชีวิตตามความจริง และทรงมอบสิ่งเหล่านั้นให้ผู้คนในประชาชาติและภาษาของพวกเขาเอง

และบัดนี้ ในวิญญาณแห่งความรักและความเป็นพี่น้อง เราเชื้อเชิญมนุษย์ทั้งปวงทุกหนแห่ง ให้เอาใจใส่ต่อพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ที่เปิดเผยในสมัยนี้โดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและผู้ร่วมงานของท่าน

เราเชื้อเชิญบุตรธิดาคนอื่นๆ ของพระบิดาของเราว่า “จงมาหาพระคริสต์, และได้รับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์, และปฏิเสธตนจาก “ความไม่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทุกอย่าง” (โมโรไน 10:32)

เราเชื้อเชิญพวกเขาให้เชื่อในพระคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์ เพื่อเข้ามาในศาสนจักรของพระองค์ และเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิสุทธิชนของพระองค์

เราได้ชิมรสผลของพระกิตติคุณแล้วและทราบว่าผลนั้นดี เราปรารถนาว่ามนุษย์ทั้งปวงจะรับพรและวิญญาณเดียวกันที่หลั่งรินมาสู่เราอย่างล้นเหลือ7

ข้าพเจ้าไม่ได้เมินเฉยว่ามีคนดีและผู้มีศีลธรรมจรรยาในบรรดานิกาย พรรค และลัทธิต่างๆ พวกเขาจะได้รับพรและรางวัลตอบแทนคุณความดีทั้งปวงที่พวกเขาทำ แต่ข้อเท็จจริงยังคงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเราเท่านั้นที่มีความสมบูรณ์ของกฎและศาสนพิธีเหล่านั้นที่เตรียมมนุษย์ไว้รับความสมบูรณ์ของรางวัลในที่พำนักเบื้องบน เรากล่าวแก่คนดีและผู้มีใจสูงส่ง คนที่ซื่อตรงและผู้มีศีลธรรมจรรยาทุกหนแห่งว่า จงรักษาคุณความดีที่ท่านมีอยู่ จงแนบสนิทกับหลักธรรมความจริงทุกประการ ซึ่งเป็นของท่านในเวลานี้ แต่จงมารับส่วนความสว่างและความรู้มากขึ้น ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้ วันนี้ และตลอดกาล ทรงหลั่งรินมายังผู้คนของพระองค์อีกครั้ง8

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ทั้งในและนอกศาสนจักร จะบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พระองค์จะประทานพรวิสุทธิชนที่ซื่อสัตย์ รวมทั้งใจทุกดวงของผู้คนมากมายที่แสวงหาความจริง และคนที่ใจของเขาถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้าจะกลายเป็นทายาทร่วมกับเราในความสมบูรณ์ของพรจากพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู9

2

สมาชิกศาสนจักรทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะใช้ความเข้มแข็ง พลังความสามารถ ทรัพย์สิน และการโน้มน้าวในการสั่งสอนพระกิตติคุณ

เราได้ยินว่าเราทุกคนเป็นผู้สอนศาสนา … เราทุกคนได้รับการแต่งตั้ง ไม่ใช่โดยการวางมือ เราไม่มีการเรียกพิเศษ เราไม่ได้ถูกทิ้งให้ทำงานเผยแผ่เป็นรายบุคคล แต่ในฐานะสมาชิกศาสนจักร เราปฏิญาณตนต่อความก้าวหน้าของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เราจึงกลายเป็นผู้สอนศาสนา นั่นคือส่วนหนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบของสมาชิกศาสนจักร10

ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความรักต่อมนุษย์ทั้งปวง ข้าพเจ้าขอให้สมาชิกศาสนจักรเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ ใช้ความเข้มแข็ง พลังความสามารถ และทรัพย์สินในการประกาศพระกิตติคุณต่อโลก เราได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า พระองค์ประทานคำสั่งจากสวรรค์ พระองค์ทรงบัญชาเราให้ออกไปด้วยความพากเพียรอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย และมอบความจริงแห่งความรอดที่ได้รับการเปิดเผยโดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้บุตรธิดาคนอื่นๆ ของพระองค์11

พันธกิจของเรา ข้าพเจ้ากล่าว ตามที่อยู่ในอำนาจของเรา เพื่อรักษา เพื่อนำบุตรธิดาของพระบิดาในสวรรค์มาสู่การกลับใจให้มากเท่าที่จะมากได้ … นั่นคือพันธรับผิดชอบ ที่พระเจ้าทรงวางไว้บนศาสนจักร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนโควรัมฐานะปุโรหิตของศาสนจักร แต่พันธรับผิดชอบนี้เป็นของจิตวิญญาณทั้งปวง12

มีจิตวิญญาณที่ดีและซื่อสัตย์มากมาย ผู้ที่ยังไม่เคยยอมรับโอกาส หรือใช้ความพยายามในการค้นหา เพื่อพวกเขาจะพบความจริงที่มีรัศมีภาพนี้ ซึ่งทำให้เป็นที่รู้ในการเปิดเผยของพระเจ้า พวกเขาไม่นึกถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอยู่ท่ามกลางพวกเรา เราคบค้าสมาคมและติดต่อกับพวกเขาเป็นประจำ พวกเขาคิดว่าเราเป็นคนดีมาก แต่มีมุมมองในศาสนาของเราผิดแผกแตกต่าง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ใส่ใจความเชื่อของเรา และด้วยเหตุนี้งานเผยแผ่อันยิ่งใหญ่ ที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้ในสเตคแห่งไซอันจึงร่วมกันเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณที่จริงใจและซื่อสัตย์ที่นี่จากบรรดาคนที่ไม่เคยได้รับโอกาสมาก่อน ซึ่งเป็นโอกาสของพวกเขาที่จะได้ยินพระกิตติคุณ ข้าพเจ้ากล่าว 13

Two native elder missionaries walking down a dirt road.

“ทุกคนที่ได้รับแสงสว่างแห่งพระกิตติคุณกลายเป็นแสงสว่างและการนำทางให้คนเหล่านั้นที่เขาสามารถสอนได้”

เรา ผู้ที่ได้รับความจริงแห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจแล้วไม่ควรพึงพอใจกับสิ่งใดก็ตาม นอกเสียจากความสมบูรณ์แห่งอาณาจักรของพระบิดา สำหรับการนั้น ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนให้เราดำเนินชีวิตและเป็นแบบอย่างในความชอบธรรมให้มนุษย์ทั้งปวงเพื่อไม่ให้มีใครสะดุด ลังเล หรือละทิ้งหนทางแห่งความชอบธรรม เพราะสิ่งที่เราทำหรือพูด 14

มีอิทธิพลที่ฉายส่องออกมา ไม่เพียงมาจากใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่มาจากทั้งศาสนจักร ข้าพเจ้าเชื่อว่าความสำเร็จของเราในโลกขึ้นอยู่กับเจตคติของวิสุทธิชนเป็นส่วนใหญ่ หากเราเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ในความคิด การกระทำ ความประพฤติ หากเรารักถ้อยคำแห่งความจริง หากเราดำเนินชีวิตตามคำสอน ดังที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำ อิทธิพลจะแผ่ไปทั่ว จากชุมชน จาก [กลุ่ม] ของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในชุมชนทั้งหมดนี้ออกไปสู่โลก อิทธิพลซึ่งไม่อาจต้านทานได้ ชายหญิงที่ซื่อสัตย์จะเปลี่ยนใจเลื่อมใสมากขึ้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงออกไปเตรียมทางไว้ก่อนหน้าเรา … หากพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า สิ่งนี้จะเป็นพลังอำนาจและอิทธิพลในการล้มล้างฝ่ายตรงข้ามและจะเตรียมผู้คนให้รับความสว่างของพระกิตติคุณอันเป็นนิจ และเมื่อเราล้มเหลว เราต้องรับผิดชอบกับผลอันน่าสะพรึงกลัวนั้น

ข้าพเจ้าจะรู้สึกอย่างไร เมื่อถูกเรียกให้มาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา หากใครบางคนจะชี้นิ้วมาที่ข้าพเจ้า หรือท่าน และกล่าวว่า “หากไม่เพราะการกระทำของชายคนนี้ หรือคนกลุ่มนี้ละก็ ผมคงจะได้รับความจริง แต่พวกเขาทำให้ผมมืดบอดเพราะพวกเขาแสร้งทำเหมือนมีความรู้ในพระกิตติคุณ แต่พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามนั้น” 15

พระเจ้ารับสั่งว่าหากเราทำงานตลอดวันของเรา และช่วยแม้จิตวิญญาณเดียวให้รอด ปีติของเราพร้อมกับเขาจะใหญ่หลวงเพียงใด [ดู คพ. 18:15] ในทางกลับกัน ความโทมนัสและการกล่าวโทษของเราจะใหญ่หลวงเพียงใด หากเรานำจิตวิญญาณเดียวออกไปจากความจริงนี้ โดยผ่านการกระทำของเรา16

วิสุทธิชนยุคสุดท้าย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เป็นและควรจะเป็นแสงสว่างแก่โลก พระกิตติคุณเป็นแสงส่องทางในความมืด และทุกคนที่ได้รับแสงสว่างจากพระกิตติคุณกลายเป็นแสงสว่างและการนำทางให้แก่คนทั้งปวงที่เขาสามารถสอนได้

ความรับผิดชอบของท่าน … คือเป็นพยานที่มีชีวิตถึงความจริงและความศักดิ์สิทธิ์ของงาน เราหวังว่าท่านจะดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและทำให้ความรอดเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์[ดู มัทธิว 5:16]17

3

ศาสนจักรต้องการผู้สอนศาสนามากขึ้นเพื่อออกไปอยู่กับธุระของพระเจ้า

เราต้องการผู้สอนศาสนา … ทุ่งนั้นกว้างนัก ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นก็มีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ [ดู ลูกา 10:2] เช่นเดียวกับทุ่งขาวพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว [ดู คพ. 4:4] …

… ผู้สอนศาสนาของเราออกไป ไม่มีอำนาจใดจะยับยั้งมือพวกเขาได้ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเริ่มต้น เมื่อมีผู้สอนศาสนาเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น แต่ไม่อาจหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานได้ ไม่อาจหยุดได้ในตอนนี้ งานต้องออกไป เพื่อผู้อยู่อาศัยของโลกอาจมีโอกาสกลับใจจากบาป รับการปลดบาป มาสู่ศาสนจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ก่อนการทำลายล้างครั้งสุดท้ายจะมาถึงคนชั่วร้าย เพราะสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขา …

ผู้สอนศาสนาเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนชาย ไม่ได้รับการอบรมในวิถีของโลก ออกไปพร้อมกับข่าวสารแห่งความรอดและทำให้คนมีอำนาจตะลึงงัน เพราะพวกเขามีความจริง พวกเขากำลังประกาศพระกิตติคุณนี้ คนซื่อสัตย์และจริงใจกำลังฟังและกลับใจจากบาปของพวกเขา และเข้ามาสู่ศาสนจักร18

เราหวังที่จะได้เห็นวันที่เยาวชนชายวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่มีคุณสมบัติและมีค่าควรทุกคน จะได้รับสิทธิพิเศษของการออกไปอยู่กับธุระของพระเจ้า เพื่อยืนเป็นพยานถึงความจริงในประชาชาติทั้งหลายของโลก

เวลานี้ เรามีและสามารถใช้คู่สามีภรรยาอาวุโสที่อุทิศตนในงานเผยแผ่อันสำคัญยิ่งนี้มากขึ้น เราหวังว่าคนเหล่านั้นผู้มีค่าควรและมีคุณสมบัติจะจัดการกับการงานของพวกเขาให้อยู่ในระเบียบ พวกเขาจะตอบรับการเรียกให้สั่งสอนพระกิตติคุณและทำตามพันธรับผิดชอบของพวกเขาด้วยความเต็มใจ

เรามีและสามารถใช้หญิงสาวมากมายในงานนี้ได้เช่นกัน ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้มีความรับผิดชอบเหมือนพี่น้องชายก็ตาม และสิ่งที่เราห่วงใยพี่น้องสตรีมากกว่านั้นคือ พวกเธอควรเข้าสู่พิธีแต่งงานที่ถูกต้องในพระวิหารของพระเจ้า

เราเชื้อเชิญให้สมาชิกศาสนจักรช่วยเหลือด้านการเงินในการสนับสนุนงานเผยแผ่ และบริจาคทรัพย์สินที่มีอยู่สำหรับการแผ่ขยายของพระกิตติคุณ

เรายกย่องคนเหล่านั้นที่กำลังรับใช้อย่างองอาจในงานเผยแผ่อันสำคัญยิ่งนี้ โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “จากทั้งหมดที่กล่าวมา หน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือสั่งสอนพระกิตติคุณ”19

A senior missionary couple reading the scriptures.

“เรายกย่องคนเหล่านั้นที่กำลังรับใช้อย่างองอาจในอุดมการณ์ของงานเผยแผ่อันสำคัญยิ่งนี้”

4

เราต้องสั่งสอนหลักคำสอนแห่งความรอด ดังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในความแจ้งชัดและเรียบง่าย ดังที่พระวิญญาณทรงนำทาง

ในช่วงแรกๆ ของสมัยการประทานนี้ พระเจ้ารับสั่งกับผู้ที่ทรงเรียกในการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ “เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้พูดในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า, แม้พระผู้ช่วยให้รอดของโลก; … เพื่อความสมบูรณ์แห่งกิตติคุณของเราจะได้รับการประกาศโดยคนอ่อนแอ และคนต่ำต้อยถึงสุดแดนแผ่นดินโลก, และต่อหน้ากษัตริย์และผู้ปกครอง” (คพ. 1:20, 23)

ถึงคนที่ได้รับเรียก “ออกไปสั่งสอน” พระกิตติคุณของพระองค์ และถึงเหล่า “เอ็ลเดอร์ ปุโรหิต และผู้สอน” ทั้งปวงของศาสนจักร พระองค์ตรัสว่า พวกเขา “พึงสอนหลักธรรมแห่งกิตติคุณของเรา, ซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล และพระคัมภีร์มอรมอน” และพระคัมภีร์เล่มอื่นๆ “ดังที่พวกเขาจะได้รับการชี้แนะจากพระวิญญาณ” (ดู คพ. 42:11–13)

ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า เราไม่ได้รับเรียกหรือรับมอบอำนาจให้สอนปรัชญาของโลก หรือทฤษฎีที่มาจากการคาดคะเนของยุควิทยาศาสตร์ พันธกิจของเราคือการสอนหลักคำสอนแห่งความรอดใน ความแจ้งชัด และความเรียบง่าย ตามวิธีที่เปิดเผยและบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

หลังจากทรงกำกับดูแลเราให้สอนหลักธรรมพระกิตติคุณที่พบในงานมาตรฐานต่างๆ ตามการนำทางจากพระวิญญาณ พระเจ้าทรงประกาศหลักการสำคัญซึ่งเป็นการดูแลการสอนพระกิตติคุณของพระองค์ทั้งหมดโดยใครก็ตามในศาสนจักรว่า “และจะประทานพระวิญญาณแก่เจ้าโดยคำสวดอ้อนวอนจากศรัทธา; และหากเจ้าไม่ได้รับพระวิญญาณ เจ้าจะไม่สอน” (คพ. 42:14)20

5

พระกิตติคุณเป็นความหวังเพียงอย่างเดียวของโลก หนทางเดียวที่จะนำสันติสุขมาบนแผ่นดินโลก

ท่านทราบไหมว่าอะไรคือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปัจจัยที่ทรงอำนาจที่สุดในทั่วโลก สำหรับการสถาปนาสันติสุขถาวรในโลกนี้ เมื่อถามคำถามแล้ว ข้าพเจ้าจะตอบคำถามนั้น อย่างน้อยที่สุด ข้าพเจ้าจะชี้แจงมุมมองของข้าพเจ้าเกี่ยวกับคำถามนั้น—จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ปัจจัยสำคัญที่สุดในทั่วโลกคือพลังอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ในการครอบครองของวิสุทธิชนยุคยุดท้าย นับจากกาลเริ่มต้น พระเจ้าทรงส่งผู้สอนศาสนามาในโลก บัญชาพวกเขาให้เรียกผู้คน โดยตรัสว่า จงกลับใจ มาสู่ไซอัน จงเชื่อในกิตติคุณของเราและเจ้าจะมีสันติสุข

แน่นอนว่าสันติสุขจะเกิดขึ้น โดยผ่านความชอบธรรม ความยุติธรรม พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า พลังอำนาจ ซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา จิตใจเราจะได้รับการสัมผัสและเราจะมีความรักให้แก่กัน เวลานี้ หน้าที่ของเราคือการประกาศเรื่องเหล่านี้แก่คนทั้งปวง จงเรียกพวกเขามาสู่ไซอันซึ่งมีธงสัญญาณตั้งไว้—ธงแห่งสันติภาพ—เพื่อรับพรจากพระนิเวศน์ของพระเจ้าและอิทธิพลจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแสดงให้ประจักษ์ที่นี่ ข้าพเจ้าต้องการบอกพวกท่านว่า หากเราจะรับใช้พระเจ้า เราจะมีพลังอำนาจอันน่าอัศจรรย์ในการสถาปนาสันติสุขขึ้นในโลก

บัดนี้ เราปรารถนาให้การเคลื่อนไหวอื่นๆ ในคำแนะนำนี้ดำเนินต่อไป เรามีหน้าที่นำสันติสุขมาสู่โลก แต่ขอให้เราไม่ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า เรา วิสุทธิชนยุคสุดท้าย หากเราจะรวมกัน และยืนเป็นหนึ่งเดียวกันในการรับใช้พระเจ้า และส่งพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ออกไปในบรรดาประชาชาติ เราจะมีพลังอำนาจมากขึ้นสำหรับการสถาปนาสันติสุขในโลกนี้ยิ่งกว่าอำนาจอื่นใด นี่คือคำตัดสินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่กับแนวคิดซึ่งชี้แจงไว้แล้วว่าพระเจ้าทรงใช้ตัวแทนมากมาย งานของพระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เพราะพระองค์ทรงเรียกผู้คนมากมายมาสู่การรับใช้ภายนอกศาสนจักรของพระองค์ และทรงประสาทอำนาจบนพวกเขา ประทานการดลใจให้พวกเขาทำงานของพระองค์ได้ … อย่างไรก็ตาม พี่น้องทั้งหลาย ขอจงอย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่า เราเป็นพลังให้แก่โลกเพื่อความดีและการเผยแพร่ความจริง การสถาปนาสันติสุขในบรรดาประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คนทั้งปวง … พันธกิจของเราในเวลานี้และตลอดมาคือ “จงกลับใจ เพราะอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าอยู่แค่เอื้อม” [ดู คพ. 33:10]

เราต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะรวมคนชอบธรรมทั้งปวงไว้ด้วยกัน จนกว่ามนุษย์ทั้งปวงจะได้รับการตักเตือน จนกว่าคนที่ฟังจะได้ยิน และคนที่ไม่ฟังก็จะได้ยินเช่นกัน เพราะพระเจ้าทรงประกาศว่าจะไม่มีจิตวิญญาณใดที่จะไม่ได้ยิน ทั้งไม่มีใจใดจะไม่ถูกทะลุทะลวง [ดู คพ. 1:2] เพราะพระวจนะของพระองค์จะออกไป ไม่ว่าจะเป็นโดยคำของเหล่าเอ็ลเดอร์ของพระองค์ หรือโดยวิธีอื่นใดก็หาสำคัญไม่ แต่ในเวลาที่ทรงกำหนดไว้ พระองค์จะทรงเร่งงานของพระองค์ในความชอบธรรม พระองค์จะทรงสถาปนาความจริงและจะเสด็จมาปกครองบนแผ่นดินโลก21

เราเคารพบุตรธิดาคนอื่นๆ ของพระบิดา ที่เป็นของนิกาย พรรค หรือลัทธิต่างๆ เราไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากจะเห็นพวกเขาได้รับแสงสว่างและความรู้เพิ่มเติมที่มาสู่เราโดยการเปิดเผย และมาเป็นทายาทร่วมกับเราเพื่อรับพรยิ่งใหญ่มากมายที่มาจากการฟื้นฟูพระกิตติคุณ

แต่เรามีแผนแห่งความรอด เราปฏิบัติพระกิตติคุณ และพระกิตติคุณเป็นความหวังเพียงอย่างเดียวของโลก หนทางเดียวที่จะนำสันติสุขมาบนแผ่นดินโลก และแก้ไขสิ่งผิดที่มีอยู่ในทุกประชาชาติให้ถูกต้อง22

เราทราบว่าถ้ามนุษย์จะมีศรัทธาในพระคริสต์ กลับใจจากบาป ทำพันธสัญญาในผืนน้ำแห่งบัพติศมาเพื่อรักษาพระบัญญัติของพระองค์ จากนั้น รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือ โดยคนเหล่านั้นที่ได้รับเรียกและแต่งตั้งมาสู่อำนาจดังกล่าว—และหากพวกเขาจะรักษาพระบัญญัติ—พวกเขาจะมีสันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง [ดู คพ. 59:23] 23

ไม่มีการรักษาใดจะรักษาความเจ็บป่วยของโลกได้นอกจากพระกิตติคุณของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เราจะพบความหวังสำหรับสันติสุข ความเจริญรุ่งเรืองทางโลกและทางวิญญาณ ตลอดจนการรับมรดกสุดท้ายในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าได้ในและโดยผ่านพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูเท่านั้น ไม่มีงานใดที่เราทำจะสำคัญเท่ากับการสั่งสอนพระกิตติคุณและการเสริมสร้างศาสนจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก 24

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ลองนึกถึงวิธีที่โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธตอบสนองต่อการท้าทายขณะเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) แบบอย่างของประธานสมิธจะมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อการรับใช้ของท่านในศาสนจักร

  • ไตร่ตรองถึงพรของการชิมรส “ผลของพระกิตติคุณ” (หัวข้อที่ 1) ลองนึกถึงผู้คนที่ท่านสามารถแบ่งปัน “ผล” เหล่านี้ได้

  • ถ้อยคำของประธานสมิธในหัวข้อที่ 2 สามารถช่วยเราแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นได้อย่างไร

  • ประธานสมิธกล่าวว่าศาสนจักรต้องการผู้สอนศาสนาเต็มเวลามากขึ้น รวมถึง “คู่สามีภรรยาอาวุโส” (หัวข้อที่ 3) เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยเยาวชนเตรียมรับใช้ ท่านจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมตัวรับใช้

  • คำพูดและการกระทำของเราสามารถสื่อถึงความแจ้งชัดและเรียบง่ายของพระกิตติคุณในทางใดได้บ้าง (ดู หัวข้อที่ 4) ท่านรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางท่านในความพยายามเหล่านี้เมื่อไร

  • คำสอนใดในหัวข้อที่ 5 สร้างแรงบันดาลใจให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านรู้สึกอย่างไรขณะนึกถึงการแบ่งปัน “ความหวังเพียงอย่างเดียวของโลก ทางเดียวที่จะนำสันติสุขมาบนแผ่นดินโลก”

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 24:14; มาระโก 16:15; 1 นีไฟ 13:37; 2 นีไฟ 2:6–8; 3 นีไฟ 12:13–16; คพ. 1:17–24; 4; 50:13–14; 88:81; 133:57–58

ความช่วยเหลือด้านการสอน

เมื่อผู้มีส่วนร่วมอ่านออกเสียงจากคำสอนของประธานสมิธ จงเชื้อเชิญผู้มีส่วนร่วมคนอื่นๆ ให้ “ฟังและหาหลักธรรมหรือแนวคิดที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง ถ้าข้อความมีคำหรือวลีที่ยากหรือไม่ธรรมดา ให้อธิบายก่อนอ่านข้อความนั้น ถ้าคนใดในกลุ่มมีปัญหาในการอ่าน ขออาสาสมัครแทนที่จะให้เขาผลัดกันอ่าน” (ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], หน้า 56)

อ้างอิง

  1. โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธถึงลูอี เชิร์ทลิฟฟ์, ใน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์และจอห์น เจ. สตูวาร์ท, The Life of Joseph Fielding Smith (1972), 114–115

  2. โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ ถึงลูอี เชิร์ทลิฟฟ์, ใน The Life of Joseph Fielding Smith, 102

  3. ดู The Life of Joseph Fielding Smith, 91

  4. บันทึกส่วนตัวของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ, 30 เม.ย. 1901, หอสมุดประวัติศาสนจักร; ปรับเครื่องหมายวรรคตอนและตัวพิมพ์ใหญ่ตามมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

  5. ดู Conference Report, การประชุมใหญ่สามัญภาคบริเตน 1971, 85

  6. ใน Conference Report, การประชุมใหญ่สามัญภาคบริเตน 1971, 176

  7. “I Know That My Redeemer Liveth,” Ensign, ธ.ค. 1971 หน้า 26–27

  8. “A Witness and a Blessing,” Ensign, มิ.ย. หน้า 109–110

  9. “Out of the Darkness,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 4

  10. Take Heed to Yourselves, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์ (1966), 27–28

  11. ใน Conference Report, ต.ค. 1970 หน้า 5–6

  12. ใน Conference Report, เม.ย. 1944 หน้า 50; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 1:308 ด้วย

  13. ใน Conference Report, เม.ย. 1921 หน้า 42

  14. ใน Conference Report, เม.ย. 1923 หน้า 139

  15. ใน Conference Report, ต.ค. 1933 หน้า 62–63

  16. ใน Conference Report, เม.ย. 1951 หน้า 153

  17. ใน Conference Report, การประชุมใหญ่สามัญภาคบริเตน 1971, 176

  18. ใน Conference Report, เม.ย. 1953 หน้า 19–20

  19. ใน Conference Report, ต.ค. 1970 หน้า 7; ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), หน้า 356 ด้วย

  20. ใน Conference Report, ต.ค. 1970 หน้า 5

  21. ใน Conference Report, ต.ค. 1919 หน้า 89–90

  22. “To the Saints in Great Britain,” Ensign, ก.ย. 1971 หน้า 3–4

  23. ใน Conference Report, ต.ค. 1970 หน้า 7

  24. “Counsel to the Saints and to the World,” Ensign, ก.ค. 1972 หน้า 27