บทที่ 3
แผนแห่งความรอด
“พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงสถาปนาแผนแห่งความรอดเพื่อบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์ … เพื่อทำให้พวกเขาเจริญก้าวหน้าจนกว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1901 อลิซ น้องสาววัย 18 ปีของประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสิ้นชีวิตหลังจากเจ็บป่วยมานาน โจเซฟเพิ่งจบจากการเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาในประเทศอังกฤษ การตอบสนองที่ท่านมีต่อข่าวการจากไปของอลิซเผยให้เห็นความรักที่ท่านมีต่อครอบครัวและประจักษ์พยานในแผนแห่งความรอด “นี่คือมรสุมที่น่าพรั่นพรึงสำหรับเราทุกคน” ท่านเขียนในบันทึกส่วนตัว “ข้าพเจ้าไม่ได้ตระหนักว่าเธอป่วยหนักมาก แม้ข้าพเจ้าทราบว่าเธอกำลังป่วย ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบเธออีกพร้อมกับครอบครัวในไม่กี่สัปดาห์นี้ แต่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าสำเร็จแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ความหวังซึ่งพระกิตติคุณเสนอให้เราเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดที่จะรับไว้ เราจะพบกันอีกด้านหนึ่งเพื่อรับความสุขและพรของการได้อยู่ร่วมกัน ที่ซึ่งสายสัมพันธ์ของครอบครัวจะไม่มีวันขาดจากกันอีกต่อไป แต่เราทุกคนจะอยู่รับพรที่นั่น และตระหนักในพระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระบิดาในสวรรค์ของเรา ขอให้ข้าพเจ้าเดินอยู่ในทางแห่งความจริง และถวายเกียรติแด่พระนามที่ข้าพเจ้ารับไว้ตลอดไป เพื่อการพบกับญาติพี่น้องของข้าพเจ้าจะนำความชื่นใจอย่างที่สุดมาให้และยั่งยืนไปตลอดกาล นี่คือคำสวดอ้อนวอนอันนอบน้อมของข้าพเจ้า” 1
การรับใช้เป็นอัครสาวกและต่อมาเป็นประธานศาสนจักร ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเป็นพยานซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความหวังที่มาจากความเข้าใจพระกิตติคุณ ท่านสอนว่า “เรามีแผนแห่งความรอด เราปฏิบัติพระกิตติคุณ และพระกิตติคุณคือความหวังเดียวของโลก ทางเดียวที่จะนำมาซึ่งสันติสุขบนแผ่นดินโลกและแก้ไขความผิดที่มีอยู่ในประชาชาติทั้งปวง” 2
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
ในโลกวิญญาณก่อนเกิด เราชื่นชมยินดีที่จะเรียนรู้แผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์
เราทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระบิดาในสวรรค์ เราเคยพำนักอยู่กับพระองค์ก่อนการวางรากฐานของโลก เราเคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ เคยรู้สึกถึงความรักและฟังคำสอนของพระองค์ พระองค์ทรงบัญญัติกฎเพื่อให้เราสามารถเจริญก้าวหน้าและมีหน่วยครอบครัวนิรันดร์เป็นของเราเอง3
พระบิดาในสวรรค์ทรงสถาปนาแผนแห่งความรอดเพื่อบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์ แผนนี้มีไว้เพื่อทำให้พวกเขาเจริญก้าวหน้าจนกว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นสถานภาพของชีวิตที่พระบิดาในสวรรค์ทรงดำรงอยู่ แผนนี้ทำให้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนพระองค์ได้ มีพลังอำนาจ ปัญญาและความรู้ดังที่พระองค์ทรงมี4
เราเรียนรู้จากไข่มุกอันล้ำค่าว่ามีสภาในสวรรค์ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกบรรดาวิญญาณของบุตรธิดาของพระองค์มาอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์และทรงเสนอแผนแก่พวกเขา ซึ่งพวกเขาต้องลงมายังโลกนี้ รับชีวิตมรรตัยและร่างกาย ผ่านการทดสอบความเป็นมรรตัย และเข้าสู่ความสูงส่งโดยผ่านการฟื้นคืนชีวิตที่จะเกิดขึ้นโดยการชดใช้ของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ [ดู โมเสส 4:1–2; อับราฮัม3:22–28] แนวคิดเรื่องการผ่านความเป็นมรรตัยและรับความแปรผันทั้งปวงของชีวิตบนแผ่นดินโลก ซึ่งพวกเขาจะประสบโดยผ่านความทุกขเวทนา ความเจ็บปวด ความโศกเศร้า การล่อลวงและความทุกข์ยาก ตลอดจนความพึงพอใจกับชีวิตทางโลก จากนั้น หากเขาซื่อสัตย์ เขาจะผ่านการฟื้นคืนชีวิตไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะเป็นเหมือนพระองค์ [ดู 1 ยอห์น 3:2] ทำให้พวกเขาเปี่ยมด้วยวิญญาณแห่งความชื่นชมยินดีและพวกเขา “โห่ร้องด้วยความชื่นบาน” [ดู โยบ 38:4–7] ประสบการณ์กับความรู้ที่ได้รับในชีวิตมรรตัยนี้ พวกเขาไม่สามารถรับได้ด้วยวิธีอื่น และการรับร่างกายทางโลกจำเป็นอย่างยิ่งต่อความสูงส่งของพวกเขา5
2
การตกของอาดัมกับเอวาเป็นส่วนหนึ่งในแผนของพระบิดาบนสวรรค์
แผนแห่งความรอดหรือกฎที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าคือพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ได้รับการยอมรับในสวรรค์ก่อนการวางรากฐานของโลก ณ ที่นั้นมีการกำหนดไว้แล้วว่าอาดัมบิดาของเราจะลงมายังโลกนี้และเป็นหัวหน้าครอบครัวของมนุษยชาติทั้งปวง นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันยิ่งใหญ่ว่าท่านจะรับส่วนของผลไม้ต้องห้ามและตก ด้วยเหตุนี้จึงนำความทุกขเวทนาและความตายเข้ามาในโลก เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของบุตรธิดาทั้งหลายของท่าน6
การตกเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทดสอบชีวิตมรรตัยของมนุษย์ … หากอาดัมกับเอวาไม่ได้รับส่วน ของประทานที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นมรรตัยจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขาจะไม่มีลูกหลาน และพระบัญญัติข้อใหญ่ที่พระเจ้าประทานแก่พวกท่านจะไม่เกิดสัมฤทธิผล7
การตกของอาดัมทำให้เกิดความแปรผันทั้งปวงในความเป็นมรรตัย สิ่งนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวด ความโศกเศร้า ความตาย แต่เราต้องไม่พลาดการมองเห็นความจริงที่ว่าสิ่งนี้นำมาซึ่งพรด้วยเช่นกัน … การตกนำมาซึ่งพรของความรู้ความเข้าใจและชีวิตมรรตัย8
3
พระเยซูคริสต์ทรงเสนอพระองค์เองเป็นเครื่องพลีบูชาเพื่อช่วยเรารอดจากการตกและจากบาปของเรา
การล่วงละเมิดของอาดัมทำให้เกิดความตายสองทาง ทางวิญญาณและทางร่างกาย—มนุษย์ถูกขับออกจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า กลายเป็นมรรตัยและต้องรับความเจ็บป่วยทั้งหมดของเนื้อหนัง เพื่อที่จะนำเขากลับมาอีกครั้ง จึงต้องมีการชดเชยการละเมิดกฎ ตามที่ความยุติธรรมเรียกร้อง 9
เป็นเรื่องธรรมดาและยุติธรรมที่สุดที่คนทำผิดต้องรับโทษ—เพื่อชดใช้ความผิดของเขา ด้วยเหตุนี้ เมื่ออาดัมเป็นผู้ล่วงละเมิดกฎ ความยุติธรรมจึงเรียกร้องให้เขา ไม่ใช่คนอื่น ต้องทนทุกข์จากบาป และรับโทษด้วยชีวิตของเขา แต่อาดัมละเมิดกฎ จึงต้องทนทุกข์เนื่องจากคำสาปแช่ง และเพราะการอยู่ภายใต้คำสาปแช่งจึงทำให้เขาชดใช้บาปหรือย้อนกลับไปเพิกถอนการกระทำไม่ได้ บุตรธิดาของเขาก็ทำไม่ได้เพราะพวกเขาก็อยู่ภายใต้การสาปแช่งเช่นกัน และสิ่งนี้เรียกร้องผู้ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การสาปแช่งนั้นให้ชดใช้บาปที่มีมาตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ เนื่องจากเราทั้งหลายอยู่ภายใต้การสาปแช่ง เราจึงไม่มีอำนาจที่จะชดใช้บาปของเราแต่ละคนเช่นกัน จึงจำเป็นที่พระบิดาทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ ผู้ทรงปราศจากบาป มาชดใช้บาปของเราตลอดจนการล่วงละเมิดของอาดัมด้วย เพื่อทำให้สิ่งที่ความยุติธรรมเรียกร้องเสร็จสิ้นลง พระองค์ทรงเสนอพระองค์เองเป็นเครื่องพลีบูชาบาป และโดยผ่านการสิ้นพระชนม์บนกางเขน ทรงรับไว้กับพระองค์เองทั้งการล่วงละเมิดของอาดัมและบาปของเราแต่ละคน เพื่อไถ่เราจากการตกและจากบาปของเรา โดยมีเงื่อนไขของการกลับใจ10
เป็นหน้าที่ของเราที่จะสอนเรื่องพระพันธกิจของพระเยซูคริสต์ เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมา พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อเรา เราได้รับประโยชน์อย่างไร อะไรทำให้พระองค์ทรงทำสิ่งนั้น เหตุใดจึงมีมูลค่าเท่ากับพระชนม์ชีพของพระองค์ ใช่แล้ว มากกว่าพระชนม์ชีพของพระองค์! พระองค์ทรงทำอะไรอีกนอกจากทรงถูกตรึงบนกางเขน เหตุใดจึงตรึงพระองค์ที่นั่น พระองค์ทรงถูกตรึงไว้ที่นั่นเพื่อว่าพระโลหิตจะหลั่งออกมาไถ่เราจากการลงโทษอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดที่จะเกิดขึ้น การถูกขับออกจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อนำเรากลับมา เพื่อให้ร่างกายกับวิญญาณรวมกันอีกครั้ง พระองค์ประทานสิทธิพิเศษนั้นแก่เรา หากเราจะเชื่อในพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้รับการปลดบาปและไม่ต้องรับโทษ พระองค์ทรงจ่ายราคานั้นแล้ว …
… ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำดังที่พระองค์ทรงทำเพื่อเราได้ พระองค์ไม่จำเป็นต้องสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงปฏิเสธได้ พระองค์ทรงทำด้วยความสมัครใจ พระองค์ทรงทำเพราะเป็นพระบัญชาจากพระบิดา พระองค์ทรงทราบว่าความทุกข์ทรมานนั้นเป็นอย่างไร แต่เพราะความรักที่ทรงมีต่อเรา พระองค์จึงเต็มพระทัยที่จะทำ …
การตอกตะปูที่พระหัตถ์และพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นส่วนเล็กน้อยที่สุดในทุกขเวทนาของพระองค์ ข้าพเจ้าคิดว่า เรามักจะทึกทักเอาว่าความทนทุกขเวทนาอันใหญ่หลวงของพระองค์ถูกตรึงไว้ที่กางเขนและแขวนทิ้งไว้ที่นั่น นั่นเป็นช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกที่มนุษย์หลายพันคนทนทุกข์ด้วยวิธีนั้น ดังที่กล่าวไว้ การทนทุกข์ของพระองค์ไม่เหมือนการทนทุกข์ของมนุษย์คนอื่นๆ ที่เคยถูกตรึงกางเขนเช่นนั้น แล้วการทนทุกข์อันใหญ่หลวงของพระองค์คืออะไร ข้าพเจ้าประสงค์จะให้เราตราตรึงความจริงนี้ไว้ในใจสมาชิกศาสนจักรทุกคนว่า การทนทุกข์อันใหญ่หลวงของพระองค์เกิดขึ้นก่อนเสด็จไปที่กางเขน นั่นคือในสวนเกทเสมนี ดังที่พระคัมภีร์บอกเรา ว่าพระโลหิตไหลออกจากทุกขุมขนของร่างกาย และในความเจ็บปวดแสนสาหัสของจิตวิญญาณ พระองค์ทรงร้องทูลพระบิดา ไม่ใช่เพราะตะปูที่ตอกลงบนพระหัตถ์และพระบาท ตอนนี้ อย่าถามข้าพเจ้าเลยว่าการนั้นสำเร็จลงได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบ ไม่มีใครทราบ ทั้งหมดที่เราทราบคือพระองค์ทรงรับเอาการลงโทษรุนแรงที่สุดไว้กับพระองค์ ทรงรับเอาการล่วงละเมิดของเราไว้กับพระองค์ และทรงจ่ายราคา ราคาแห่งความทุกข์ทรมาน
ลองนึกภาพพระผู้ช่วยให้รอดทรงแบกภาระทั้งหมดของทุกคน—ความทุกข์ทรมาน—ซึ่งข้าพเจ้าขอบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าแค่ยอมรับ—สิ่งที่ทำให้พระองค์ต้องทนทุกข์กับความปวดร้าว เมื่อเทียบกับการตอกตะปูที่พระหัตถ์และพระบาทแล้วยังถือว่าเล็กน้อยนัก พระองค์ทรงร้องทูลพระบิดาขณะทุกข์ทรมานแสนสาหัสว่า “หากเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไป!” และถ้วยนั้นเลื่อนพ้นไปไม่ได้ [ดูมัทธิว 26:42; มาระโก 14:36; ลูกา 22:42] ข้าพเจ้าจะอ่านให้ท่านฟังสักหนึ่งหรือสองข้อความว่าพระเจ้าตรัสอะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้น
“เพราะดูเถิด, เรา, พระผู้เป็นเจ้า, ทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากพวกเขาจะกลับใจ;
“แต่หากพวกเขาจะไม่กลับใจ พวกเขาต้องทนทุกข์แม้ดังเรา;
“ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ—และปรารถนาที่เราจะไม่ต้องดื่มถ้วยอันขมขื่น, และชะงักอยู่—
“กระนั้นก็ตาม, รัศมีภาพจงมีแด่พระบิดา, และเรารับส่วนและทำให้การเตรียมของเราเสร็จสิ้นเพื่อลูกหลานมนุษย์.” [คพ. 19: 16–19]
เมื่อข้าพเจ้าอ่านข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าอ่อนน้อมถ่อมตน ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติและต่อโลก ยิ่งใหญ่มากจนพระองค์เต็มพระทัยจะแบกรับภาระที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะแบกรับไว้ได้ และทรงจ่ายราคาอันน่าพรั่นพรึงจนไม่เคยมีใครจ่ายได้ เพื่อให้เรารอดพ้น11
พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า [ตรัส] ว่า “เราจะลงไปและจ่ายราคา เราจะเป็นพระผู้ไถ่ และไถ่มนุษย์จากการล่วงละเมิดของอาดัม เราจะรับบาปของโลกไว้กับเราและไถ่หรือช่วยให้ทุกจิตวิญญาณที่กลับใจรอดจากบาปของเขา”12
ลองดูตัวอย่างนี้ ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปตามถนนแล้วตกลงไปในหลุมลึกและมืดมิดจนไม่สามารถปีนขึ้นมาบนปากหลุมและรับอิสรภาพของเขาได้อีก แล้วเขาจะช่วยตนเองให้รอดจากสภาพจนตรอกได้อย่างไร ความพยายามในส่วนของเขาไม่เป็นผลเพราะไม่มีวิธีหลบหนีออกจากหลุม เขาร้องขอความช่วยเหลือ และผู้มีเมตตาได้ยินเสียงร้องนั้น รีบเข้าไปช่วยโดยหย่อนบันไดลงไปเพื่อให้เขาปีนกลับขึ้นมาบนพื้นดินได้อีกครั้ง นี่คือสภาวการณ์ที่อาดัมวางตัวเขาและลูกหลานของเขาไว้เมื่อรับส่วนผลไม้ต้องห้าม ทุกคนตกลงไปอยู่ในหลุมโดยไม่มีใครกลับขึ้นมาและช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ หลุมนั้นคือการขับออกจากที่ประทับของพระเจ้าและความตายทางโลก จุดจบของร่างกาย ทุกคนต้องตาย ไม่มีใครหาทางหลบหนีไปได้13
พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมา พระองค์ไม่ได้ติดอยู่ในหลุมนั้น และทรงหย่อนบันไดลงไป พระองค์เสด็จลงไปในหลุมนั้นและทรงทำให้เกิดความเป็นไปได้สำหรับเราที่จะใช้บันไดหลบหนี14
ในพระกรุณาอันหาที่สุดมิได้ พระบิดาทรงได้ยินเสียงร้องจากบุตรธิดาของพระองค์และทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ ผู้ที่มิได้ทรงอยู่ใต้อาณัติของความตายหรือบาป เพื่อเตรียมทางในการหลบหนี พระองค์ทรงทำการนี้โดยผ่านการชดใช้อันไม่มีขอบเขตและพระกิตติคุณอันเป็นนิจของพระองค์15
ความกตัญญูของใจเราควรเปี่ยมด้วยความรักอันท่วมท้นและการเชื่อฟังที่มีต่อพระเมตตาอันละเอียดอ่อนและยิ่งใหญ่ของพระผู้ช่วยให้รอด เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เราจึงไม่ควรทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง พระองค์ทรงซื้อเราด้วยราคา ราคาของทุกขเวทนาอันใหญ่หลวงและการหลั่งพระโลหิตในการพลีพระชนม์ชีพบนกางเขน16
4
การสร้างบนืพื้นฐานแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราต้องทำให้เกิดความรอดของเราระหว่างที่เราเป็นมรรตัย
พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเป็นศูนย์กลางในแผนอันยิ่งใหญ่ของความก้าวหน้าและความรอด17
การสร้างบนบนพื้นฐานของการชดใช้ แผนแห่งความรอดจึงประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
หนึ่ง เราต้องมีศรัทธาในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราต้องยอมรับพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องไว้วางใจพระองค์ วางใจในพระคำของพระองค์ และปรารถนาจะรับพรที่มาจากการเชื่อฟังกฎของพระองค์
สอง เราต้องกลับใจจากบาปของเรา เราต้องละทิ้งโลก เราต้องตั้งปณิธานในใจโดยไม่ลังเลว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าและซื่อตรง
สาม เราต้องรับบัพติศมาในน้ำ โดยมือของผู้ดำรงอำนาจที่ถูกต้อง ผู้มีอำนาจในการผูกไว้บนแผ่นดินโลกและผนึกไว้ในสวรรค์ เราต้องเข้าสู่พันธสัญญาในการรับใช้พระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ โดยผ่านศาสนพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้
สี่ เราต้องรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องเกิดใหม่อีกครั้ง เราต้องทำให้บาปและความชั่วช้าสามานย์ออกไปจากจิตวิญญาณเราประหนึ่งถูกเผาไหม้ด้วยไฟ เราต้องรับการสร้างใหม่โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ห้า เราต้องอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เราต้องรักษาพระบัญญัติหลังรับบัพติศมา เราต้องทำให้ความรอดของเราเกิดขึ้นด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นต่อพระพักตร์พระเจ้า เราต้องดำเนินชีวิตจนได้รับคุณลักษณะของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าและเป็นผู้คนที่ได้ชื่นชมรัศมีภาพและความมหัศจรรย์ของอาณาจักรซีเลสเชียล18
บัดนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่ากฎต่างๆ เหล่านี้ที่มนุษย์ต้องเชื่อฟังเพื่อให้ได้มาซึ่งความรอด โดยครอบคลุมพระกิตติคุณทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ ได้รับการเปิดเผยในวันนี้ต่อศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก พวกท่านได้รับแต่งตั้งโดยศาสนจักรของพระองค์ ซึ่งทรงสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลกอีกครั้ง19
เราทุกคนที่อยู่ในโลกมรรตัยนี้ล้วนอยู่ระหว่างการทดลอง ประการแรก เรามายังโลกนี้เพื่อรับ [ร่างกาย] สำหรับวิญญาณนิรันดร์ของเรา สอง เพื่อรับการพิสูจน์โดยการทดลอง เพื่อรับความยากลำบากเช่นเดียวกับปีติและความสุขอันล้นเหลือที่มาโดยผ่านพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของการเชื่อฟังหลักธรรมนิรันดร์แห่งพระกิตติคุณ ความเป็นมรรตัย ดังที่ลีไฮกล่าวแก่บุตรธิดาของท่านว่าเป็น “สภาพของการทดลอง” (2 นีไฟ 2:21) ที่นี่ เราต้องได้รับการทดลองและการทดสอบว่าเราจะรักและให้ความคารวะตลอดจนแน่วแน่ต่อพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์หรือไม่ เมื่อเราออกจากที่ประทับของพระบิดานิรันดร์แล้ว แต่ยังคงได้รับการสอนในวิถีของชีวิตนิรันดร์ 20
เรามาที่นี่เพื่อรับการทดสอบและการพิสูจน์ตนโดยประสบกับความดีและความชั่ว … พระบิดาทรงปล่อยให้ซาตานกับไพร่พลของเขาล่อลวงเรา แต่โดยการนำทางจากพระวิญญาณของพระเจ้าและพระบัญญัติที่ประทานผ่านการเปิดเผย เราจะพร้อมทำการเลือกของเรา หากเราทำชั่ว เราก็จะได้รับโทษตามที่สัญญาไว้ หากเราทำดี เราจะรับรางวัลนิรันดร์ของความชอบธรรม21
การทดสอบทางมรรตัยนี้ [เป็น] ช่วงเวลาสั้นๆ เชื่อมโยงอดีตนิรันดร์กับอนาคตนิรันดร์ ทว่า [เป็น] ช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง … ชีวิตนี้เป็นช่วงสำคัญที่สุดในการดำรงอยู่นิรันดร์ของเรา22
5
ทุกคนจะได้รับพรของการฟื้นคืนชีวิตโดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์
เรามาในโลกนี้เพื่อตาย นั่นเป็นที่เข้าใจก่อนเรามาที่นี่ นี่คือส่วนหนึ่งของแผน ทุกสิ่งได้สนทนากันแล้วและจัดเตรียมไว้นานแล้วก่อนวางมนุษย์ไว้บนแผ่นดินโลก … เราพร้อมและเต็มใจเดินทางจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าในโลกวิญญาณมายังโลกมรรตัยที่นี่ เพื่อรับทุกขเวทนาทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ทั้งโสมนัสและโทมนัส และเพื่อตาย ความตายสำคัญเท่ากับการเกิด23
ความตายทางร่างกาย หรือความตายของมนุษย์มรรตัย ไม่ใช่การแยกกันอย่างถาวรของวิญญาณกับร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง ข้อเท็จจริงคือไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามร่างกายจะกลับคืนสู่ธาตุเดิมอีกครั้ง การแยกจากกันเป็นเพียงชั่วคราว ซึ่งจะยุติในวันแห่งการฟื้นคืนชีวิตเมื่อร่างกายถูกเรียกขึ้นมาจากภัสมธุลีเพื่อให้วิญญาณสวมทับและกลับมีชีวิตอีก พรนี้มาสู่มนุษย์ทุกคนโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์ โดยไม่คำนึงถึงความดีหรือความชั่วของพวกเขาขณะอยู่ในความเป็นมรรตัย เปาโลกล่าวว่าจะมีการฟื้นคืนชีวิตของทั้งคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรม (กิจการ 24:15) และพระผู้ช่วยให้รอดกล่าวว่าทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และจะก้าวออกมา “คนที่ประพฤติดีก็เป็นขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา” (ยอห์น 5:29)24
ทุกส่วนอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของทุกร่างกายจะกลับคืนสู่สภาพที่เหมาะสมอีกครั้งในการฟื้นคืนชีวิต ไม่สำคัญว่าร่างกายจะเป็นอย่างไรเมื่อถึงแก่ความตาย แม้ถูกไฟเผาหรือถูกฉลามกิน ก็ไม่สำคัญ ทุกองค์ประกอบพื้นฐานจะกลับคืนสู่สภาพที่เหมาะสมอีกครั้ง25
วิญญาณไม่อาจถูกทำให้ดีพร้อมโดยปราศจากร่างกายที่เป็นเนื้อหนังและกระดูก ร่างกายกับวิญญาณถูกนำมาสู่ความเป็นอมตะและพรแห่งความรอดโดยผ่านการฟื้นคืนชีวิต หลังการฟื้นคืนชีวิต จะไม่มีการแยกจากกันอีก ร่างกายกับวิญญาณจะเชื่อมผนึกโดยไม่แยกจากกันเพื่อให้มนุษย์ได้รับความสมบูรณ์แห่งปีติ ไม่มีทางอื่นใดที่วิญญาณทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระบิดานิรันดร์ของเราได้ นอกจากการเกิดมาในชีวิตนี้และการฟื้นคืนชีวิต26
6
คนซื่อสัตย์จะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกร่วมกับครอบครัวของพวกเขาในที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์
บางคนได้รับทรัพย์สมบัติที่มาจากความอุตสาหะของบิดาเป็นมรดก บางคนขึ้นครองบัลลังก์ทางโลกโดยการสืบทอดสู่อำนาจ ตำแหน่ง ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ของพวกเขา บางคนแสวงหามรดกจากความรู้ทางโลกและมีชื่อเสียงเกียรติคุณโดยใช้ความวิริยะอุตสาหะและความบากบั่นของตนเอง แต่มีเพียงมรดกเดียวที่มีค่ากว่าสิ่งทั้งปวง นั่นคือมรดกแห่งความสูงส่งนิรันดร์
พระคัมภีร์กล่าวว่าชีวิตนิรันดร์—ที่พระบิดานิรันดร์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงครอบครอง—เป็นของประทานสำคัญที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า [ดู คพ. 14:7] เฉพาะคนที่สะอาดจากบาปทั้งปวงจึงจะได้รับ นี่คือสัญญาแก่คนเหล่านั้นที่ “ชนะโดยศรัทธา, และผนึกโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา, ซึ่งพระบิดาทรงหลั่งรินลงบนคนเหล่านั้นทั้งหมดที่เที่ยงธรรมและจริง. พวกเขาคือคนเหล่านั้นที่เป็นศาสนจักรของพระบุตรหัวปี. พวกเขาคือคนเหล่านั้นที่พระบิดาประทานสิ่งทั้งปวงไว้ในมือพวกเขา.” [คพ. 76:53–55; ดูข้อ 52 ด้วย]27
แผนแห่งความรอดนี้มีครอบครัวเป็นศูนย์กลาง … [แผนนี้] วางรูปแบบไว้เพื่อทำให้เราสามารถสร้างหน่วยครอบครัวนิรันดร์ของเราเอง28
คนเหล่านั้นที่รับความสูงส่งในอาณาจักรซีเลสเชียลจะมี “ความต่อเนื่องของพงศ์พันธุ์ทั้งหลายตลอดกาล” พวกเขาจะอยู่ในสัมพันธภาพแบบครอบครัว29
เราได้รับการสอนในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ว่าองค์กรครอบครัว ตามที่เกี่ยวเนื่องกับความสูงส่งในซีเลสเชียล จะเป็นองค์กรสมบูรณ์แบบที่เชื่อมโยงจากบิดามารดาและบุตรธิดาของรุ่นหนึ่งกับบิดามารดาและบุตรธิดาของรุ่นต่อไป ดังนั้นจึงแผ่ขยายออกไปจนสุดสิ้นกาลเวลา30
พรแห่งรัศมีภาพของมรดกนิรันดร์นี้ … จะไม่มาถึงเราเว้นแต่โดยความเต็มใจรักษาพระบัญญัติและแม้การทนทุกข์กับพระคริสต์หากจำเป็น อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่ปรารถนาจะรับชีวิตนิรันดร์—ของประทานสำคัญที่สุดจากพระผู้เป็นเจ้า—ได้รับการคาดหวังให้วางทุกสิ่งที่เขามีไว้ที่แท่นบูชา และแม้ถึงกับเรียกร้องให้พวกเขาพลีชีวิตเพื่ออุดมการณ์ของพระองค์ พวกเขาไม่มีวันจ่ายค่าตอบแทนพระองค์ได้สมกับพรอันล้นเหลือที่ได้รับและสัญญาไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังกฎและพระบัญญัติของพระองค์31
เมื่อเราออกจากโลกและได้รับพระกิตติคุณในความสมบูรณ์ เราเป็นผู้ที่คู่ควรได้รับรัศมีภาพซีเลสเชียล ไม่ใช่ เราเป็นมากกว่าผู้ที่คู่ควร หากเราซื่อสัตย์ เพราะพระเจ้าประทานความเชื่อมั่นแก่เราว่าโดยความชื่อสัตย์ของเรา เราจะได้เข้าสู่อาณาจักรซีเลสเชียล …
… ขอให้เราดำเนินชีวิตเพื่อเราจะมั่นใจในสิ่งที่เราสืบทอดมา และเพื่อที่เราจะรู้ตลอดชีวิตที่เราดำเนินอยู่ เพื่อเราจะเข้าสู่ที่ประทับของพระองค์และพำนักอยู่กับพระองค์ โดยได้รับความสมบูรณ์ของพรที่สัญญาไว้ ใครที่อยู่ท่ามกลางวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจะพอใจกับทุกสิ่งที่ขาดความสมบูรณ์แห่งความรอดซึ่งสัญญาไว้กับเราหรือ … นี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับเรา ในความอ่อนน้อมถ่อมตนและในวิญญาณแห่งการกลับใจ ที่จะดำเนินต่อไปในการรักษาพระบัญญัติจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะความหวังและเป้าหมายของเราคือชีวิตนิรันดร์ และนั่นคือชีวิตในที่ประทับของพระบิดาและพระบุตร “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์” พระเจ้าตรัส “คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” [ยอห์น 17:3]32
ตรงที่ข้าพเจ้ายืนอยู่เวลานี้ ในสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่าวัยสนธยา ด้วยตระหนักแน่แก่ใจว่าในวันเวลาที่ไม่ไกลนัก ข้าพเจ้าจะได้รับเรียกให้รายงานถึงสิ่งที่อยู่ในความพิทักษ์ของข้าพเจ้าขณะยังมีชีวิต …
ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเราทุกคนรักพระเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์ และข้าพเจ้าเฝ้ารอวันนั้นที่จะได้เห็นพระพักตร์พระองค์ และหวังว่าจะได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก” (มัทธิว 25:34)
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าสิ่งนี้จะเป็นประสบการณ์แห่งความสุขของเราทุกคน ในเวลาอันเหมะสมของเราเอง33
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ขณะอ่านรายงานบันทึกส่วนตัวใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ให้นึกถึงเวลาที่ท่านพบการปลอบโยนในประจักษ์พยานของท่านถึงแผนแห่งความรอด ท่านจะช่วยให้สมาชิกครอบครัวหรือเพื่อนได้รับการปลอบโยนเช่นนั้นอย่างไร
-
คำสอนของประธานสมิธเกี่ยวกับสภาในสวรรค์ช่วยเราได้อย่างไรเมื่อเราเผชิญกับการทดลอง (ดู หัวข้อที่ 1)
-
ประธานสมิธสอนว่า “เราต้องไม่พลาดการมองเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า [การตกของอาดัมกับเอวา] นำมาซึ่งพร” (หัวข้อที่ 2) ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญที่จะจดจำความจริงนี้ มีพรอะไรบ้างที่ท่านได้รับอันเป็นผลจากการตก
-
ในหัวข้อที่ 3 ตัวอย่างของประธานสมิธเรื่องชายที่ตกลงไปในหลุมเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร ไตร่ตรองว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงช่วยเหลือท่านผ่านการชดใช้ของพระองค์อย่างไร
-
คำพูดของประธานสมิธในหัวข้อที่ 4 แนะนำอะไรเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิตเราบนแผ่นดินโลก พระเจ้าประทานอะไรแก่เราเพื่อช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาของการทดสอบได้อย่างปลอดภัย
-
ท่านอาจช่วยใครบางคนให้เข้าใจคำประกาศของประธานสมิธในหัวข้อที่ 5 เรื่อง “ความตายสำคัญมากเท่ากับการเกิด” อย่างไร หลักคำสอนของการฟื้นคืนชีวิตมีอิทธิพลต่อชีวิตของท่านอย่างไร
-
ทรัพย์สมบัติทางโลกแตกต่างจาก “มรดกนิรันดร์” ซึ่งเราสามารถได้รับโดยผ่านแผนแห่งความรอดในทางใดบ้าง (ดู หัวข้อที่ 6) ความเข้าใจถึงความแตกต่างเหล่านี้ช่วยเราเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
โยบ 38:4–7; 2 นีไฟ 2:15–29; 9:5–27; แอลมา 12:20–35; คพ. 19:16–19; โมเสส 5:10–12
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“ศาสนจักรจัดทำคู่มือบทเรียนและอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยให้เราสอนจากพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้าย มีความจำเป็นเพียงเล็กน้อยในการใช้บทวิจารณ์หรือเนื้อหาอ้างอิงอื่นๆ” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน: คู่มือประกอบการสอนพระกิตติคุณ [1999] หน้า 52)