บทที่ 17
อำนาจการผนึกและพรพระวิหาร
“เอลียาห์มาฟื้นฟู … ความสมบูรณ์ของอำนาจฐานะปุโรหิตสู่แผ่นดินโลก ฐานะปุโรหิตนี้ถือกุญแจแห่งการผูกและการผนึกศาสนพิธีและหลักธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความรอดของมนุษย์ไว้บนแผ่นดินโลกและในฟ้าสวรรค์”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ในปี 1902 โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเดินทางไปยังรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งท่านสามารถพบข้อมูลเกี่ยวกับบรรพชนตระกูลสมิธของท่าน ขณะอยู่ที่นั่น ท่านพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านลำดับการสืบเชื้อสายนามว่าซิดนีย์ เพอร์ลีย์ คุณเพอร์ลีย์บอกท่านว่า “นี่เป็นความใฝ่ฝันของผมที่จะค้นคว้าบันทึกของทุกคนที่มายังเทศมณฑลเอสเซกก่อนปี 1700 ถ้าผมทำได้”
ประธานสมิธเล่าในเวลาต่อมาว่า “ข้าพเจ้ากล่าวกับเขาว่า ‘คุณเพอร์ลีย์ครับ คุณทำงานใหญ่นี้ด้วยตนเองเลย ใช่ไหมครับ’ เขาตอบ ‘ใช่ครับ และผมเกรงว่าผมคงจะไม่มีวันทำเสร็จ’ ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับเขาว่า ‘คุณทำงานนี้เพราะอะไรครับ’ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งมีแววฉงนเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า ‘ผมไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่พอเริ่มทำแล้วก็หยุดไม่ได้’ ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ผมบอกคุณได้นะว่าคุณกำลังทำงานนี้เพราะอะไร และทำไมคุณถึงหยุดไม่ได้ แต่ถ้าผมพูดไป คุณจะไม่เชื่อแล้วหัวเราะเยาะผมแน่’
“‘โอ้’ เขากล่าว ‘ไม่ทราบสิครับ ถ้าคุณบอกผมได้ ผมแน่ใจว่าผมจะสนใจ’ จากนั้น ข้าพเจ้าจึงเล่าให้เขาฟังถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับเอลียาห์และสัมฤทธิผลของคำสัญญานี้ต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรี เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1836 ในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ วิญญาณของการค้นคว้านี้มีผลต่อผู้คนมากมายและได้หันใจพวกเขาให้ค้นหาผู้วายชนม์ ในสัมฤทธิผลของสัญญาอันสำคัญยิ่งนี้ที่ต้องเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่สอง ทั้งนี้เพื่อแผ่นดินโลกจะไม่ถูกลงทัณฑ์ด้วยคำสาปแช่ง ปัจจุบัน ลูกหลานกำลังหันใจพวกเขามาหาบรรพบุรุษ และเรากำลังปฏิบัติศาสนพิธีแทนผู้วายชนม์เพื่อพวกเขาจะพบการไถ่และมีสิทธิพิเศษของการเข้ามาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า แม้จะสิ้นชีวิตแล้วก็ตาม
“เมื่อข้าพเจ้าพูดจบ เขาหัวเราะและพูดว่า ‘เป็นเรื่องที่ดีมากนะครับ แต่ผมไม่เชื่อหรอก’ ทว่าเขายอมรับว่ามีบางอย่างที่ทำให้เขาค้นคว้าต่อไป และเขาหยุดไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยพบคนดีๆ อีกมากมายที่เริ่มและหยุดไม่ได้เช่นกัน ชายและหญิงที่ไม่ใช่สมาชิกศาสนจักร ดังนั้น เราจึงพบว่าทุกวันนี้ชายหญิงหลายพันคนกำลังค้นคว้าบันทึกของผู้วายชนม์ พวกเขาไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่เพื่อเราจะได้รับบันทึกที่รวบรวมแล้วเหล่านี้และเข้าไปในพระวิหารเพื่อทำงานแทนผู้วายชนม์ของเรา”1
ประธานสมิธสอนว่าประวัติครอบครัวเป็นมากกว่าการค้นหารายชื่อ วันเดือนปี สถานที่และการรวบรวมเรื่องราว แต่เป็นการจัดเตรียมศาสนพิธีพระวิหารที่รวมครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อนิรันดร ผนึกผู้คนที่ซื่อสัตย์ของทุกรุ่นให้เป็นสมาชิกครอบครัวของพระผู้เป็นเจ้า “บิดามารดาต้องผนึกกัน บุตรธิดาผนึกกับบิดามารดาเพื่อรับพรแห่งอาณาจักรซีเลสเชียล” ท่านกล่าว “ด้วยเหตุนี้ ความรอดและความก้าวหน้าของเราจึงขึ้นอยู่กับความรอดของผู้วายชนม์ที่มีค่าควรของเรา ผู้ที่เราต้องได้รับการรวมไว้ในสายใยครอบครัว การนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ในพระวิหารเท่านั้น”2 ก่อนกล่าวคำสวดอ้อนวอนอุทิศในพระวิหารออกเด็น ยูทาห์ ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าเมื่อเราอุทิศพระนิเวศน์แด่พระเจ้า สิ่งที่เราทำจริงๆ คือการอุทิศตนเองให้การรับใช้พระเจ้า พร้อมด้วยพันธสัญญาว่าเราจะใช้พระนิเวศน์แห่งนี้ในทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้”3
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
เอลียาห์ฟื้นฟูอำนาจในการผนึก หรือผูก บนแผ่นดินโลกและในสวรรค์
มาลาคี ศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายแห่งพันธสัญญาเดิม จบคำพยากรณ์ของท่านด้วยถ้อยคำนี้
“นี่แน่ะ เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะมายังเจ้าก่อนวันแห่ง [พระเจ้า] คือวันที่ใหญ่ยิ่งและน่าสะพรึงกลัวจะมาถึง
“และท่านผู้นั้นจะทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ ไม่อย่างนั้น เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นด้วยคำสาปแช่ง” ( มาลาคี 4:5–6)
ดูเหมือนว่าจะเหมาะสมที่สุดที่ศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายจะจบคำพูดของท่านด้วยสัญญาที่มีต่ออนุชนในอนาคต และในสัญญานั้นพยากรณ์ถึงเวลาที่จะมาถึงเมื่อจะมีการเชื่อมโยงสมัยการประทานในอดีตกับสมัยต่อๆ มา …
เรามีความเข้าใจชัดเจนขึ้นถึงการตีความถ้อยคำของมาลาคีที่โมโรไนศาสดาพยากรณ์ชาวนีไฟให้ไว้ ผู้ที่ปรากฏต่อโจเซฟ สมิธเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 นี่คือวิธีที่เทพผู้นั้นยกมาอ้างอิง
“ดูเถิด เราจะเปิดเผยฐานะปุโรหิตแก่เจ้า, โดยมือของเอลียาห์ศาสดาพยากรณ์, ก่อนการมาของวันสำคัญและน่าพรั่นพรึงของพระเจ้า.
“และท่านจะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา.
“หากไม่เป็นเช่นนั้น, ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระองค์.” (คพ. 2:1–3)
โมโรไนแจ้งแก่โจเซฟ สมิธว่าคำพยากรณ์นี้จะเกิดสัมฤทธิผล สัมฤทธิผลเกิดขึ้นในสิบสองปีต่อมา วันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1836 ในวันนี้ เอลียาห์ปรากฏต่อโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรีในพระวิหารเคิร์ทแลนด์และประสาทให้พวกเขาที่นั่น … อำนาจแห่งการผูกหรือผนึกบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ เอลียาห์ถือกุญแจของฐานะปุโรหิตนี้ ผู้ที่พระเจ้าประทานอำนาจให้เหนือธาตุและมนุษย์ทั้งปวง ด้วยสิทธิอำนาจที่จะผนึกเพื่อกาลเวลาและนิรันดรบนศาสนพิธีที่ชอบธรรมทั้งปวงอันเกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์แห่งความรอด4
สมาชิกศาสนจักรบางคนคิดสับสนว่าเอลียาห์มาพร้อมกุญแจแห่งบัพติศมาแทนคนตายหรือความรอดสำหรับคนตาย กุญแจของเอลียาห์ยิ่งใหญ่กว่านั้น กุญแจเหล่านั้นเป็นกุญแจแห่งการผนึก และกุญแจแห่งการผนึกเกี่ยวข้องกับคนเป็นทั้งยังครอบคลุมถึงคนตายที่ยินดีกลับใจ5
เอลียาห์มาฟื้นฟูความสมบูรณ์ของอำนาจฐานะปุโรหิตสู่แผ่นดินโลก โดยการประสาทแด่ศาสดาพยากรณ์มรรตัยที่ได้รับมอบหมายอย่างเหมาะสมจากพระเจ้า ฐานะปุโรหิตนี้ถือกุญแจของการผูกและการผนึกศาสนพิธีและหลักธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความรอดของมนุษย์ไว้บนแผ่นดินโลกและในฟ้าสวรรค์ เพื่อพวกเขาจะมีสิทธิ์ในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า …
โดยอาศัยสิทธิอำนาจนี้ ศาสนพิธีได้รับการปฏิบัติในพระวิหารเพื่อทั้งคนเป็นและคนตาย นี่เป็นพลังอำนาจที่รวมสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวเพื่อนิรันดร เมื่อพวกเขาเข้าสู่การแต่งงานตามแผนนิรันดร์ นี่คือสิทธิอำนาจที่บิดามารดาอ้างสิทธิ์ของฐานะปุโรหิตซึ่งเกี่ยวกับบุตรธิดาของพวกเขาชั่วนิจนิรันดร์และไม่เพียงเพื่อกาลเวลาเท่านั้น ซึ่งทำให้ครอบครัวในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเป็นนิรันดร6
2
การฟื้นฟูสิทธิอำนาจการผนึกช่วยให้โลกรอดจากการถูกทำลายล้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์
ถ้าเอลียาห์ไม่มา เราจะเข้าใจว่างานในยุคสมัยที่ผ่านมาทั้งหมดสูญเปล่า เพราะพระเจ้าตรัสว่าทั้งแผ่นดินโลก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนั้นจะถูกทำลายร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมา ด้วยเหตุนี้ พระพันธกิจของพระองค์จึงสำคัญต่อโลกอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความสงสัยเรื่องบัพติศมาแทนคนตายเท่านั้น แต่การผนึกบิดามารดาและบุตรธิดากับบิดามารดาด้วย ดังนั้น จึงควรมี “การรวมกันและการเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์และครบถ้วนและดีพร้อม, ของการประทานสมัยต่างๆ, และกุญแจ, และอำนาจ, และรัศมีภาพทั้งหลาย” นับจากกาลเริ่มต้นลงมาจนกาลอวสาน [ดู คพ. 128:18] หากอำนาจการผนึกนี้ไม่มีอยู่บนแผ่นดินโลก ความสับสนจะปกครองและความไม่เป็นระเบียบจะเข้าแทนที่ความเป็นระเบียบในวันนั้นเมื่อพระเจ้าจะเสด็จมา และแน่นอนว่าไม่อาจเป็นไปได้ เพราะสิ่งทั้งปวงได้รับการปกครองและควบคุมโดยกฎที่สมบูรณ์แบบในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า7
เพราะเหตุใดโลกจึงจะถูกทำลายล้าง ง่ายมาก เพราะหากไม่มีการเชื่อมเข้าด้วยกันระหว่างบรรพชนกับลูกหลาน—ซึ่งเป็นงานสำหรับผู้วายชนม์—เราก็จะถูกปฏิเสธ งานทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้าจะล้มเหลวและถูกทำลายล้างลงสิ้น แน่นอนว่า สภาพการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น8
การฟื้นฟูสิทธิอำนาจ [การผนึก] นี้ส่งผลให้โลกรอดจากการทำลายล้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เมื่อเราได้รับความจริงนี้อย่างมั่นคงและแจ้งชัดในใจเรา ย่อมเป็นการง่ายที่จะเห็นว่าจะมีเพียงความสับสนและหายนะเท่านั้นหากไม่มีอำนาจการผนึกอยู่ที่นี่ ณ การเสด็จมาของพระคริสต์9
3
การเตรียมตัวรับความรอดอย่างสมบูรณ์ที่สุด เราต้องรับศาสนพิธีพระวิหารโดยผ่านอำนาจการผนึก
พระเจ้าประทานสิทธิพิเศษและพรแก่เรา พระองค์ประทานโอกาสในการเข้าสู่พันธสัญญา การยอมรับศาสนพิธีที่เกี่ยวข้องกับความรอดของเรามากกว่าสิ่งที่สั่งสอนในโลก มากกว่าหลักธรรมของศรัทธาในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ การกลับใจจากบาปและบัพติศมาเพื่อการปลดบาป การวางมือเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลักธรรมกับพันธสัญญาเหล่านี้ไม่อาจรับจากที่ใดนอกจากในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า10
งานพระวิหารเชื่อมโยงกับแผนแห่งความรอด โดยจะขาดงานใดงานหนึ่งไปไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะไม่มีความรอดในที่ซึ่งไม่ [มี] ศาสนพิธีพระวิหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นของพระวิหารเท่านั้น11
มีวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหลายพันคนที่ … เต็มใจไปประชุม จ่ายส่วนสิบและทำหน้าที่ทั่วไปของศาสนจักร แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้สึกหรือเข้าใจความสำคัญของการรับพรในพระวิหารของพระเจ้าซึ่งจะนำความสูงส่งมาให้พวกเขา นับเป็นเรื่องแปลก ดูเหมือนผู้คนพอใจกับการใช้ชีวิตง่ายๆ โดยไม่หาประโยชน์จากโอกาสที่มีให้พวกเขา ไม่ยอมรับพันธสัญญาที่จำเป็นเหล่านี้ ที่จะนำพวกเขากลับไปยังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าในฐานะบุตรธิดาของพระองค์12
หากท่านต้องการความรอดในความสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งคือความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า … ท่านต้องเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าและรับศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นของพระนิเวศน์นั้น ซึ่งไม่มีที่ใดอีกแล้ว ไม่มีชายใดจะได้รับความสมบูรณ์ของนิรันดร ความสมบูรณ์ของความสูงส่งได้ตามลำพัง ทั้งไม่มีสตรีใดจะได้รับพรนั้นตามลำพัง แต่ชายกับภรรยาต่างหาก เมื่อพวกเขาได้รับอำนาจการผนึกในพระวิหารของพระเจ้า พวกเขาจะผ่านไปสู่ความสูงส่ง จะดำเนินต่อไปและกลายเป็นเหมือนพระเจ้า นั่นคือจุดหมายของมนุษย์ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาเพื่อบุตรธิดาของพระองค์13
หมายเหตุ: อ่านถ้อยคำบางส่วนของประธานสมิธเรื่องความหวังและสัญญาสำหรับคนซื่อสัตย์ ผู้ที่ไม่สามารถรับศาสนพิธีพระวิหารทั้งหมดได้ในช่วงชีวิตพวกเขา ให้ดูบทที่ 18 ในหนังสือเล่มนี้
4
เนื่องจากอำนาจการผนึก เราจึงประกอบศาสนพิธีแห่งความรอดแทนผู้วายชนม์ที่ไม่ได้รับศาสพิธีเหล่านั้นได้
ใครคือบรรพบุรุษที่มาลาคีพูดถึง และใครคือลูกหลาน บรรพบุรุษคือบรรพชนของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ที่สิ้นชีวิตโดยปราศจากโอกาสของการรับพระกิตติคุณ แต่คือผู้ที่ได้รับสัญญาว่าเวลาจะมาถึงเมื่อสิทธิพิเศษนั้นจะประทานแก่พวกเขา ลูกหลานคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่เวลานี้ ผู้ที่กำลังเตรียมข้อมูลลำดับการสืบเชื้อสาย และผู้ที่กำลังประกอบศาสนพิธีแทนในพระวิหาร14
เอลียาห์มา โดยมีกุญแจแห่งการผนึกและพลังอำนาจที่มอบให้เราเอื้อมไปหาคนตาย อำนาจการผนึกนี้ครอบคลุมบรรดาคนตายที่ยินดีกลับใจและได้รับพระกิตติคุณ ผู้ที่ตายโดยปราศจากความรู้นั้น เช่นเดียวกับที่เอื้อมออกไปยังคนกลับใจที่ยังมีชีวิตอยู่15
พระเจ้าทรงประกาศิตไว้แล้วว่าบุตรธิดาทางวิญญาณทั้งหมดของพระองค์ ทุกจิตวิญญาณที่เคยมีชีวิตหรือจะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก จะได้รับโอกาสที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรมที่จะเชื่อและเชื่อฟังกฎของพระกิตติคุณอันเป็นนิจ คนเหล่านั้นที่ยอมรับพระกิตติคุณ ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับกฎของพระกิตติคุณ รวมทั้งบัพติศมาและการแต่งงานซีเลสเชียล จะมีชีวิตนิรันดร์
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ มนุษยชาติส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ยินถ้อยคำอันเป็นความจริงซึ่งได้รับการเปิดเผยจากเสียงของผู้รับใช้ที่แท้จริงของพระเจ้า ในพระปรีชาญาณและความยุติธรรมของพระเจ้า ทุกคนต้องได้ยินเช่นนั้น ดังที่เปโตรกล่าวดังนี้
“ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนตาย เพื่อพวกเขาจะมีชีวิตทางจิตวิญญาณตามอย่างพระเจ้า แม้ว่าพวกเขาถูกพิพากษาเหมือนอย่างมนุษย์ปุถุชน” (1 เปโตร 4:6)
บรรดาคนที่ไม่มีโอกาสได้ยินข่าวสารแห่งความรอดในชีวิตนี้ แต่ยอมรับด้วยสุดใจของพวกเขาหากโอกาสเช่นนั้นมาถึง—พวกเขาคือคนที่จะยอมรับข่าวสารนั้นในโลกวิญญาณ พวกเขาคือผู้ที่เราจะประกอบศาสนพิธีในพระวิหารให้ และในวิธีนี้ พวกเขาคือผู้ที่จะเป็นทายาทของความรอดและชีวิตนิรันดร์ร่วมกับเรา16
การหันใจบรรพบุรุษไปหาลูกหลานและใจลูกหลานมาหาบรรพบุรุษเป็นอำนาจแห่งความรอดสำหรับคนตาย โดยวิธีทำงานแทนคนตาย ซึ่งลูกหลานจะทำให้บรรพบุรุษของเขา สมเหตุสมผลและสอดคล้องต้องกันในทุกความหมาย ข้าพเจ้าได้ยินคนพูดต่อต้านงานนี้หลายครั้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะยืนแทนอีกคนหนึ่ง คนเหล่านั้นที่แสดงตนเช่นนี้ได้มองข้ามข้อเท็จจริงของงานแห่งความรอดทั้งหมดว่าเป็นงานแทนคนตาย พระเยซูคริสต์ทรงยืนเป็นพระผู้ไถ่บาป ทรงไถ่เราจากความตาย ซึ่งเราไม่ต้องรับผิดชอบ และทรงไถ่เราจากความรับผิดชอบในบาปของเราเองตามเงื่อนไขของการกลับใจและการยอมรับพระกิตติคุณ พระองค์ทรงทำสิ่งนี้มาแล้วในระดับที่มากมายไม่รู้จบ และโดยหลักธรรมนี้เอง พระองค์ทรงมอบหมายสิทธิอำนาจให้สมาชิกศาสนจักรของพระองค์เพื่อกระทำแทนผู้วายชนม์ที่ไม่สามารถประกอบศาสนพิธีช่วยให้รอดด้วยตนเอง17
ข้าพเจ้าคิดว่าบางครั้งเรามองงานความรอดของคนตายค่อนข้างแคบ เป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องหากจะคิดว่าผู้คนที่เรากำลังทำงานในพระวิหารของพระเจ้าแทนพวกเขานั้นเป็นเพียงคนตาย เราควรคิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และตัวแทนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นตัวแทนในการรับพรที่พวกเขาควรจะได้รับและน่าจะได้รับในชีวิตนี้หากพวกเขามีชีวิตอยู่ในสมัยการประทานพระกิตติคุณ ด้วยเหตุนี้ ผู้วายชนม์ทุกคนซึ่งมีผู้ทำงานแทนในพระวิหารจึงถือว่ายังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่ให้ศาสนพิธี18
หลักคำสอนแห่งความรอดสำหรับคนตายนี้เป็นหลักธรรมอีกหนึ่งข้อซึ่งล้ำเลิศที่สุดเท่าที่เคยเปิดเผยแก่มนุษย์ นี่คือวิธีที่จะมอบพระกิตติคุณให้มนุษย์ทั้งปวง หลักคำสอนนี้เป็นที่แน่ชัดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงลำเอียง [ดู กิจการ 10:34] จิตวิญญาณทุกดวงมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ อันที่จริงและในความเป็นจริง มนุษย์ทั้งปวงจะถูกพิพากษาตามงานของพวกเขา
บัดนี้ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระเจ้าที่ทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณอันเป็นนิจของพระองค์แก่เราในวันนี้ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์สำหรับอำนาจการผนึกที่กลับคืนมายังแผ่นดินโลกโดยศาสดาพยากรณ์เอลียาห์ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์สำหรับหน่วยครอบครัวนิรันดร์ สำหรับการมีสิทธิพิเศษที่เราได้รับการผนึกในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ และทรงทำให้พรการผนึกเหล่านี้มีขึ้นเพื่อมอบให้บรรพชนที่ล่วงลับไปโดยปราศจากความรู้เรื่องพระกิตติคุณ19
5
งานประวัติครอบครัวและงานพระวิหารสำหรับผู้วายชนม์เป็นงานแห่งความรัก
มีจิตวิญญาณที่ดีและนอบน้อมมากมาย ผู้ที่ถอนตนจากความสะดวกสบาย และในเวลาที่ชีวิตขัดสน เพื่อเตรียมบันทึกและทำงานแทนคนตายเพื่อพวกเขาจะได้รับของประทานแห่งความรอด งานแห่งความรักเหล่านี้จะไม่สูญเปล่า เพราะทุกคนที่ทำงานในอุดมการณ์อันดีงามนี้จะพบขุมทรัพย์และร่ำรวยในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า รางวัลของพวกเขาจะยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้ว แม้มากกว่าพลังที่มนุษย์จะเข้าใจได้20
ไม่มีงานใดที่เกี่ยวข้องกับพระกิตติคุณจะปราศจากความเห็นแก่ตัวมากไปกว่างานในพระนิเวศน์ของพระเจ้าสำหรับผู้วายชนม์ของเรา คนเหล่านั้นที่ทำงานแทนผู้วายชนม์ไม่ได้คาดหวังบำเหน็จหรือรางวัลทางโลก เหนือสิ่งอื่นใด นี่คืองานแห่งความรัก ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในใจมนุษย์โดยผ่านงานที่ซื่อสัตย์และมั่นคงในศาสนพิธีช่วยให้รอดนี้ ไม่มีผลตอบแทนเป็นเงินตรา แต่จะมีปีติในสวรรค์พร้อมด้วยจิตวิญญาณเหล่านั้นที่พวกเราช่วยให้ไปถึงความรอดของพวกเขา นี่คืองานที่ขยายจิตวิญญาณมนุษย์ เปิดมุมมองของเขาเรื่องความผาสุกของเพื่อนมนุษย์ และปลูกความรักในใจบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ ไม่มีงานใดเทียบเท่างานแทนคนตายในพระวิหารในการสอนให้มนุษย์รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระเยซูทรงรักโลกจนเต็มพระทัยสละพระองค์เองเป็นเครื่องพลีบูชาเพื่อบาป เพื่อโลกจะได้รับการช่วยให้รอด อีกทั้งเรายังได้รับสิทธิพิเศษ ในระดับเล็กน้อย ของการแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ที่เรามีต่อพระองค์และเพื่อนมนุษย์ของเราโดยการช่วยให้พวกเขามาสู่พรแห่งพระกิตติคุณซึ่งบัดนี้พวกเขาไม่สามารถรับได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของเรา21
6
โดยผ่านงานประวัติครอบครัวและงานพระวิหาร เราทำให้องค์กรครอบครัวสมบูรณ์จากรุ่นสู่รุ่น
หลักคำสอนแห่งความรอดสำหรับคนตายและงานพระวิหารเตรียมโอกาสอันรุ่งโรจน์ของความต่อเนื่องในสัมพันธภาพครอบครัว โดยผ่านงานนี้ เราเรียนรู้ว่าสายใยครอบครัวต้องไม่ขาดสะบั้น สามีภรรยาจะมีสิทธิ์นิรันดร์ในกันและในบุตรธิดาของพวกเขาจนถึงรุ่นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เพื่อได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ เราต้องได้รับศาสนพิธีผนึกในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า สัญญา พันธะ ข้อผูกพัน และข้อตกลงทั้งหมดที่มนุษย์ทำจะยุติลง แต่ข้อผูกพันและข้อตกลงที่จะเข้าในพระนิเวศน์ของพระเจ้า หากรักษาอย่างซื่อสัตย์ จะยั่งยืนตลอดกาล [ดู คพ. 132:7] หลักคำสอนนี้ให้แนวคิดที่ชัดเจนมากขึ้นแก่เราถึงจุดประสงค์ของพระเจ้าต่อบุตรธิดาของพระองค์ ซึ่งแสดงถึงพระเมตตาและความรักอันอุดมและไร้ขีดจำกัดที่พระองค์ทรงมีต่อคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์ ใช่แล้ว แม้แต่คนกบฏ เพราะในพระคุณความดีนั้น พระองค์จะประทานพรอันใหญ่ยิ่งแก่พวกเขา22
เราได้รับการสอนในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ว่าองค์กรครอบครัวจะเป็นองค์กรที่สมบูรณ์ ตราบที่เกี่ยวเนื่องกับความสูงส่งซีเลสเชียล เป็นองค์กรที่เชื่อมโยงจากบิดามารดาและบุตรธิดาในรุ่นหนึ่งกับบิดามารดาและบุตรธิดาของรุ่นต่อไป และด้วยเหตุนี้จึงแผ่ขยายเรื่อยลงมาจนกาลเวลาสิ้นสุด23
ต้องมีการเชื่อมเข้าด้วยกัน การรวมกันของคนในรุ่นต่างๆนับจากสมัยของอาดัมจนกาลเวลาสิ้นสุด ครอบครัวจะได้รับการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน บิดามารดากับบุตรธิดา บุตรธิดากับบิดามารดา รุ่นหนึ่งกับอีกรุ่นหนึ่ง จนกว่าเราจะรวมเข้าด้วยกันในครอบครัวใหญ่พร้อมด้วยคุณพ่ออาดัมผู้เป็นคนแรกซึ่งพระเจ้าทรงวางท่านไว้ เราไม่อาจรอดและได้รับความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเว้นแต่เราจะมีความปรารถนาในใจที่จะทำงานนี้ในขอบเขตอำนาจของเราในฐานะตัวแทนคนตาย นี่คือหลักคำสอนอันรุ่งโรจน์ หลักธรรมแห่งความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับการเปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ เราควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์และพิสูจน์ตนว่ามีค่าควรและเป็นที่ยอมรับในสายพระเนตรของพระเจ้า ว่าเราจะได้รับความสูงส่งนี้สำหรับตัวเรา และมีความชื่นชมยินดีในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับญาติพี่น้องและมิตรสหายในการรวมกันครั้งใหญ่และการชุมนุมกันของบรรดาวิสุทธิชนในศาสนจักรของพระบุตรหัวปี ผู้ที่รักษาตนให้เป็นอิสระและไร้มลทินจากบาปของโลก
ขอพระเจ้าประทานพรแก่เราและขอให้เรามีความความปรารถนาในใจที่จะขยายการเรียกของเราและรับใช้พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ นี่คือคำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้า24
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” อ่านคำแนะนำของประธานสมิธเกี่ยวกับ “สิ่งที่เราทำจริงๆ” ที่การอุทิศพระวิหาร เราจะทำอะไรเพื่อทำตามคำแนะนำนี้
-
คำสอนในหัวข้อที่ 1 สัมพันธ์กับความพยายามช่วยเหลือบรรพชนผู้ล่วงลับของเราอย่างไร คำสอนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพของเรากับสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไร
-
ขณะอ่านหัวข้อที่ 2 ให้มองหาคำอธิบายของประธานสมิธถึงเหตุผลที่อำนาจการผนึก “ช่วยให้โลกรอดจากการทำลายล้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์” คำอธิบายนี้สอนอะไรเกี่ยวกับบทบาทของครอบครัวในแผนแห่งความรอด
-
งานพระวิหาร “เชื่อมโยงกับแผนแห่งความรอด” ในทางใดบ้าง (ดูหัวข้อที่ 3) หลักธรรมนี้ส่งผลต่อความรู้สึกของเราเกี่ยวกับงานพระวิหารอย่างไร
-
ประธานสมิธแนะนำว่าเมื่อเราทำงานพระวิหารแทนคนตาย เราควรนึกถึงพวกเขาประหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (ดูหัวข้อที่ 4) ข้อความนี้มีความหมายต่อท่านอย่างไร แนวคิดนี้ส่งผลต่อวิธีที่ท่านรับใช้ในพระวิหารอย่างไร
-
ขณะทบทวนหัวข้อที่ 5 ให้มองหาพรที่ประธานสมิธกล่าวว่าจะมาสู่คนเหล่านั้นที่ทำงานประวัติครอบครัว ท่านพบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงอย่างไร
-
ศึกษาหัวข้อที่ 6 และจินตนาการถึงประสบการณ์แห่งความชื่นชมยินดีพร้อมกับบรรพชนของท่านใน “การรวมครั้งใหญ่” ให้นึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อเตรียมตนเองและครอบครัวสำหรับสิทธิพิเศษนั้น
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“เมื่อคนหนึ่งถามคำถาม ขอให้เชิญคนอื่นตอบแทนที่จะตอบเสียเอง ตัวอย่างเช่น ท่านอาจพูดว่า ‘นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ คนที่เหลือคิดอย่างไรครับ’ หรือ ‘ใครช่วยตอบคำถามนี้ได้บ้างครับ’”(ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], หน้า 64)