บทที่ 13
บัพติศมา
“แท้จริงแล้ว บัพติศมาคือ … การย้าย หรือการฟื้นจากชีวิตหนึ่งไปอีกชีวิตหนึ่ง—ชีวิตของบาปไปสู่ชีวิตของชีวิตทางวิญญาณ”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ในการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ค.ศ. 1951 ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ เล่าประสบการณ์ของท่านประมาณ 67 ปีก่อน เมื่อท่านรับบัพติศมาตอนอายุ 8 ขวบ ท่านเล่าว่าในวันบัพติศมา ท่านรู้สึกว่า “ได้ยืนอย่างบริสุทธิ์ สะอาด ต่อพระพักตร์พระเจ้า” แต่ท่านเรียนรู้ว่าท่านต้องใช้ความพยายามอย่างมากตลอดชีวิตเพื่อรักษาตนให้คงอยู่ในสภาพเช่นนั้น ท่านเล่าว่า “ข้าพเจ้ามีพี่สาวคนหนึ่งซึ่งใจดีมาก เหมือนกับพี่สาวทุกคนของข้าพเจ้า ผู้ที่สร้างความประทับใจให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความจำเป็นในการรักษาตนเองให้พ้นมลทินจากโลก สิ่งที่เธอสอนข้าพเจ้าในวันรับบัพติศมายังเป็นที่จดจำตลอดวันเวลาของชีวิตข้าพเจ้า”1
ด้วยความแน่วแน่ต่อคำสอนของพี่สาว ประธานสมิธกระตุ้นเตือนสมาชิกของศาสนจักรให้รักษาพันธสัญญาบัพติศมาของพวกเขา—เพื่ออยู่ “ในชีวิต [ทาง] วิญญาณ” ที่พวกเขาได้รับเมื่อบัพติศมา2 ท่านประกาศดังนี้
“ไม่มีคำแนะนำใดที่สามารถมอบให้สมาชิกศาสนจักร จะสำคัญไปกว่าการให้พวกเขารักษาพระบัญญัติหลังบัพติศมา พระเจ้าทรงเสนอความรอดบนเงื่อนไขของการกลับใจและความซื่อสัตย์ต่อกฎของพระองค์”3
คำสอนของประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
บัพติศมาโดยลงไปในน้ำทั้งตัวเป็นการเปรียบเทียบถึงการเกิด ความตายและการฟื้นคืนชีวิต
บัพติศมา หลักธรรมข้อที่สามและศาสนพิธีแรกของพระกิตติคุณ เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อความรอดและความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ข้อที่หนึ่ง บัพติศมาคือ วิธีที่คนกลับใจได้รับการปลดบาป สอง เป็นประตูเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า รับสั่งกับนิโคเดมัส และรับสั่งกับเราเช่นนั้นใน ยอห์น 3:1–11 …
… บัพติศมาคือการลงไปในน้ำทั้งตัว … บัพติศมาไม่สามารถกระทำโดยวิธีอื่นนอกจากการลงไปในน้ำทั้งตัว ซึ่งมีเหตุผลดังนี้
(1) เป็นการเปรียบเทียบกับการสิ้นพระชนม์ การฝัง และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และทุกคนที่ได้รับการฟื้นคืนชีวิต
(2) บัพติศมาเป็นการเกิดเช่นกัน และเปรียบได้กับเด็กที่เกิดมาในโลก
(3) แท้จริงแล้ว บัพติศมาเป็นเหมือนการฟื้นคืนชีวิต คือการย้าย หรือการฟื้นคืนชีวิตจากชีวิตหนึ่งไปอีกชีวิตหนึ่ง—ชีวิตของบาปไปสู่ชีวิตของชีวิตทางวิญญาณ
ข้าพเจ้าอยากเริ่มกล่าวถึงเหตุผลข้อที่สองว่า บัพติศมาเป็นการเกิดเช่นกันและเปรียบได้กับเด็กที่เกิดมาในโลก …ใน โมเสส 6:58–60 เราอ่านว่า
“ฉะนั้นเราจึงให้บัญญัติข้อหนึ่งแก่เจ้า, ให้สอนสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผยแก่ลูกหลานของเจ้า, โดยกล่าวว่า:
“คือโดยเหตุของการล่วงละเมิดการตกจึงเกิดขึ้น, การตกนั้นนำมาซึ่งความตาย, และตราบเท่าที่เจ้าเกิดมาในโลกโดยน้ำ, และโลหิต, และวิญญาณ, ซึ่งเรารังสรรค์ไว้, และจากผงธุลีกลายเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตฉันใด, แม้ฉันนั้นเจ้าต้องเกิดใหม่สู่อาณาจักรแห่งสวรรค์, โดยน้ำ, และโดยพระวิญญาณ, และสะอาดโดยพระโลหิต, แม้พระโลหิตของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของเรา; เพื่อเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากบาปทั้งปวง, และยินดีกับถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ในโลกนี้, และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง, แม้รัศมีภาพอมตะ;
“เพราะโดยน้ำเจ้ารักษาบัญญัติ; โดยพระวิญญาณเจ้าได้รับการรับรอง, และโดยพระโลหิตเจ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” …
… เด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกมาพร้อมกับน้ำ เกิดในน้ำ ด้วยเลือดและพระวิญญาณ ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องเกิดในวิธีเดียวกัน โดยบัพติศมาเกิดจากน้ำ โดยผ่านการหลั่งพระโลหิตของพระคริสต์ชำระและทำให้บริสุทธิ์ และได้รับการรับรองโดยผ่านพระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้า บัพติศมาจะไม่สมบูรณ์หากปราศจากบัพติศมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเห็นเส้นขนานระหว่างการเกิดมาในโลกกับการเกิดมาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า …
มาถึงเหตุผลข้อที่สาม แท้จริงแล้ว บัพติศมาคือ สัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีวิต การย้าย หรือการฟื้นคืนจากชีวิตหนึ่งไปอีกชีวิตหนึ่ง—ชีวิตของบาปไปสู่ชีวิตของชีวิตทางวิญญาณ …
… ชายหญิงทั้งปวง … ต้องกลับใจ … พวกเขาอยู่ในความตายทางวิญญาณ พวกเขาจะกลับมาได้อย่างไร โดยการฝังลงไปในน้ำ พวกเขาตาย และถูกฝังในน้ำ แล้วออกมาในการฟื้นคืนชีวิตของวิญญาณที่กลับเข้าสู่ชีวิตทางวิญญาณ นั่นคือบัพติศมา4
2
เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่ถึงวัยรับผิดชอบได้ไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมา เพราะว่าพวกเขาได้รับการไถ่แล้วโดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์
ข้าพเจ้าทราบว่าเด็กเล็กๆ ยังไม่ถึงวัยรับผิดชอบได้ พวกเขาจึงไม่มีความผิดบาป พวกเขาได้รับการไถ่โดยผ่านพระโลหิตของพระคริสต์ และเป็นการล้อเลียนเรื่องศักดิ์สิทธิ์ที่จะยืนกรานว่าพวกเขาต้องรับบัพติศมา อันเป็นการปฏิเสธความยุติธรรมและพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า [ดู โมโรไน 8:20–23]5
ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 29 พระเจ้าตรัสดังนี้ (ข้อ 46–47):
“แต่ดูเถิด, เรากล่าวแก่เจ้า, ว่าเด็กเล็กๆ ได้รับการไถ่นับแต่การวางรากฐานของโลกโดยผ่านพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของเรา;
“ดังนั้น, พวกเขาทำบาปไม่ได้, เพราะมิได้ให้อำนาจซาตานล่อลวงเด็กเล็กๆ, จนกว่าเขาเริ่มรู้จักรับผิดชอบต่อเรา”
ข้อความนี้ฟังดูดีที่ “เด็กเล็กๆ ได้รับการไถ่นับแต่การวางรากฐานของโลก” พระองค์ทรงหมายถึงอะไร หมายความว่าก่อนการวางรากฐานของโลกนี้ แผนแห่งการไถ่ แผนแห่งความรอด ที่เราต้องดำเนินตามในชีวิตมรรตัยนี้ ได้รับการเตรียมไว้แล้ว และพระผู้เป็นเจ้า โดยที่ทรงทราบจุดจบนับแต่กาลเริ่มต้น ทรงจัดเตรียมการไถ่ของเด็กเล็กๆ โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ …
… เมื่อท่านมองใบหน้าของเด็กเล็กๆ เขาเงยหน้ามองและยิ้มให้ท่าน ท่านเชื่อได้หรือว่าเด็กเล็กๆ คนนั้นมีมลทินจากบาป ที่จะปิดกั้นเขาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า และเขาสมควรตาย …
ข้าพเจ้าจำตอนที่อยู่ในสนามเผยแผ่ในประเทศอังกฤษได้ มีครอบครัวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่งอยู่ที่นั่น … เมื่อ [สามี] ได้ยินเอ็ลเดอร์สอนตรงบริเวณถนน เขาเชื้อเชิญเอ็ลเดอร์ให้ไปที่บ้านเพราะพวกเขาเป็นคนชาติเดียวกัน เขาไม่สนใจพระกิตติคุณ แต่เขาสนใจเอ็ลเดอร์ เนื่องจากพวกเขามาจากสหรัฐเช่นกัน ข้าพเจ้าเริ่มทำงานที่นั่น ข้าพเจ้าไม่ใช่คนแรกที่เขาเคยฟังการสอน แต่ต่อมา เขาเชิญข้าพเจ้าให้ไปที่บ้าน …
เราคิดว่าเราจะไปบ้านของเขาและคุยเรื่องเบสบอล ฟุตบอล และเรื่องอื่นๆ แล้วเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ในสหรัฐกับในเกรตบริเตน—สิ่งที่เขาสนใจ นั่นคือสิ่งที่เราทำ เริ่มแรก เราไม่ได้กล่าวถึงศาสนาแม้แต่คำเดียว เรากลับไปที่นั่นหลายครั้ง และเขาคิดว่าเราเป็นเพื่อนที่ดี เพราะเราไม่ได้พยายามยัดเยียดศาสนาให้เขา แต่หลังจากนั้น พวกเขาเริ่มถามคำถาม—เรารู้ว่าพวกเขาจะถาม—เย็นวันหนึ่ง ขณะนั่งในบ้านของเขา ภรรยาของชายคนนั้นหันมาหาข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “เอ็ลเดอร์สมิธ ดิฉันมีคำถาม” ก่อนถามคำถามเธอเริ่มร้องไห้ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอเป็นอะไร เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น และเมื่อเธอตั้งสติได้พอที่จะถามคำถาม เธอเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง
เมื่อพวกเขามาที่อังกฤษ พวกเขาโชคร้ายที่สูญเสียลูกเล็กๆ ไป … เขาไปหาพระ [ของโบสถ์ที่พวกเขาเข้าร่วม] และต้องการฝังร่างของลูกน้อยที่สุสานชาวคริสต์ … พระพูดกับเธอว่า “เราไม่สามารถฝังลูกของคุณไว้ที่สุสานนั้นได้ เพราะเขายังไม่ได้รับพิธีล้างบาป ลูกของคุณจะหายไป” นั่นคือวิธีปฏิเสธโดยไม่อ้อมค้อม แต่นั่นคือวิธีที่เธอเล่าเรื่อง หัวใจของสตรีผู้นั้นเจ็บปวดรวดร้าวมาเป็นเวลาสองหรือสามปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ เธอจึงถามข้าพเจ้าว่า “ลูกดิฉันหายไปจริงหรือ ดิฉันจะไม่ได้พบเขาอีกแล้วใช่ไหม” ข้าพเจ้าเปิดพระคัมภีร์มอรมอนและอ่านให้เธอฟัง คำพูดของมอรมอนที่กล่าวกับโมโรไนบุตรชายของท่าน [ดู โมโรไน 8] ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ลูกของคุณไม่หายไป ไม่มีเด็กเล็กๆ คนใดหายไป เด็กเล็กๆ ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเขาตาย”
… “และข้าพเจ้ามองเห็นด้วยว่าเด็กทุกคนผู้ที่ตายก่อนถึงวัยที่รับผิดชอบได้ ล้วนรอดในอาณาจักรซีเลสเชียลแห่งสวรรค์” [คพ. 137:10] นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธในการเปิดเผยหรือนิมิตที่ท่านได้รับในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ ฟังดูดีใช่ไหม นั่นยุติธรรมแล้วใช่ไหม ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องหรอกหรือ … [เด็กเล็กๆ] ไม่สามารถรับผิดชอบบาปที่มีมาแต่กำเนิด ไม่สามารถรับผิดชอบบาปใดได้เลย และพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้ารับรองเขาและเขาได้รับการไถ่แล้ว
แต่สถานการณ์ของท่านกับข้าพเจ้าเล่า เราอยู่ที่นี่ มีความสามารถที่จะเข้าใจ และพระเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่มีความรู้, เรามิได้บัญชาให้กลับใจหรือ” [คพ. 29:49] เราได้รับบัญชาให้กลับใจ เราได้รับบัญชาให้รับบัพติศมา เราได้รับบัญชาให้ชำระบาปของเราให้หมดสิ้นในผืนน้ำแห่งบัพติศมา เพราะเราสามารถเข้าใจ และเราทุกคนล้วนทำบาป แต่ข้าพเจ้ากับท่านไม่ได้รับบัพติศมาเพราะบาปใดๆ ที่อาดัมก่อขึ้น ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเพื่อข้าพเจ้าจะสะอาดจากสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำด้วยตนเอง กับท่านก็เช่นกัน และเพื่อข้าพเจ้าจะมาสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
… พระเจ้าทรงเตรียมทางให้คนเหล่านั้นที่ปราศจากกฎ และเด็กเล็กๆ ไม่ขึ้นอยู่กับกฎของการกลับใจ ท่านจะสอนเด็กเล็กๆ ให้กลับใจได้อย่างไรเล่า เขาไม่มีอะไรให้กลับใจ
พระเจ้าทรงกำหนด—ตามการพิพากษาของพระองค์—อายุที่รับผิดชอบได้คือแปดขวบ หลังจากเราอายุแปดขวบ เราพึงมีความเข้าใจเพียงพอว่าเราควรรับบัพติศมา พระเจ้าทรงดูแลคนเหล่านั้นที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์6
3
ทุกคนที่รับบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้าแล้ว
ทุกคน เมื่อเข้าไปสู่ผืนน้ำแห่งบัพติศมา รับพันธสัญญาไว้กับตนเอง
“และอนึ่ง, โดยรูปแบบของบัญญัติต่อศาสนจักรเกี่ยวกับวิธีบัพติศมา—คนทั้งปวงที่นอบน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า, และปรารถนาจะรับบัพติศมา, และออกมาด้วยใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด, และเป็นพยานต่อหน้าศาสนจักรว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงจากบาปทั้งหมดของพวกเขา, และเต็มใจรับพระนามของพระเยซูคริสต์, โดยมุ่งมั่นรับใช้พระองค์จนกว่าชีวิตจะหาไม่, และแสดงให้ประจักษ์อย่างแท้จริงด้วยงานของพวกเขาว่าพวกเขาได้รับส่วนหนึ่งของพระวิญญาณของพระคริสต์ไปสู่การปลดบาปของพวกเขา, จะได้รับโดยบัพติศมาเข้าในศาสนจักรของพระองค์” (คพ. 20:37)7
ข้าพเจ้าจะอ่านจากคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 59 ดังนี้
“ดังนั้น, เราให้บัญญัติข้อหนึ่งแก่พวกเขา [สมาชิกของศาสนจักร], โดยกล่าวดังนี้ว่า: เจ้าจงรักพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า, ด้วยสุดพลัง, ความนึกคิด, และพละกำลังของเจ้า; และในพระนามของพระเยซูคริสต์ เจ้าจงรับใช้พระองค์
“เจ้าจงรักเพื่อนบ้านของเจ้าดังตัวเจ้า. เจ้าจะไม่ลักขโมย; ทั้งไม่ประพฤติล่วงประเวณี, หรือฆ่า, หรือทำอะไรที่เหมือนกันนี้.
“เจ้าจงขอบพระทัยพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าในทุกสิ่ง” [คพ. 59:5–7]
ทุกคนที่รับบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรได้ทำพันธสัญญากับพระเจ้าเพื่อรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และในพระบัญญัตินี้ กล่าวย้ำในสมัยการประทานที่เราอยู่ เราทราบว่าเราต้องรับใช้พระเจ้าด้วยสุดใจ สุดความนึกคิด และสุดพละกำลังที่เรามี และทำในพระนามของพระเยซูคริสต์เช่นกัน ทุกสิ่งที่เราทำควรทำในพระนามของพระเยซูคริสต์
ในผืนน้ำแห่งบัพติศมา เราทำพันธสัญญาว่าเราจะรักษาพระบัญญัติเหล่านี้ เราจะรับใช้พระเจ้า เราจะรักษาพระบัญญัติข้อแรกและสำคัญที่สุดของพระบัญญัติทั้งหมด และรักพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าเราจะรักษาพระบัญญัติข้อใหญ่อีกข้อหนึ่ง เราจะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ด้วยสุดพลังที่เรามี ด้วยสุดพละกำลัง ด้วยสุดใจของเรา เราจะพิสูจน์ต่อพระองค์ว่าเราจะ“ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า” [คพ. 84:44] เราจะเชื่อฟังและอ่อนน้อมถ่อมตน พากเพียรในการรับใช้พระองค์ เต็มใจเชื่อฟัง สดับฟังคำแนะนำของคนเหล่านั้นที่ควบคุมดูแลเราและทำสิ่งทั้งปวงด้วยดวงตาที่เห็นแก่รัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเดียว
เราไม่ควรลืมสิ่งเหล่านี้ เพราะนี่คือพระบัญญัติที่ผูกมัดเราในฐานะสมาชิกของศาสนจักร8
4
เพื่อรับพรทั้งหมดของพระกิตติคุณ เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน กลับใจ และเชื่อฟังต่อไป หลังจากรับบัพติศมา
จุดประสงค์สำคัญประการหนึ่งของศาสนจักรที่แท้จริงคือ สอนผู้คนถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำหลังบัพติศมาเพื่อรับพรทั้งหมดของพระกิตติคุณ9
ทุกจิตวิญญาณที่รับบัพติศมา รับบัพติศมาแล้วอย่างแท้จริง จะอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเขาชอกช้ำและวิญญาณของเขาสำนึกผิด เขาทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าว่าเขาจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และละทิ้งบาปทั้งหมดของเขา หลังจากนั้น เขาเข้ามาสู่ศาสนจักร นี่เป็นโอกาสที่จะทำบาปหลังจากบัพติศมาแล้วใช่ไหม เขาละเลยได้หรือไม่ เขาสามารถหมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้ารับสั่งให้เขาหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ ไม่ได้ นี่คือสิ่งจำเป็นซึ่งเขาพึงมีวิญญาณที่สำนึกผิดและใจที่ชอกช้ำเช่นนั้น หลังจากเขารับบัพติศมาเฉกเช่นก่อนรับบัพติศมา10
ข้าพเจ้าได้ยินชายหนุ่มบางคน และบางคนที่ไม่หนุ่มมากนัก พูดคุยเกี่ยวกับบัพติศมา เนื่องจากบัพติศมามีไว้เพื่อการปลดบาป แล้วเหตุใดคนที่ทำบาปจึงไม่ต้องรับบัพติศมาทุกครั้งที่ทำบาป ท่านทราบเหตุผลหรือไม่ ตราบใดที่คนทำบาปและคงอยู่ในชีวิตทางวิญญาณ เขายังมีชีวิต เขาสามารถกลับใจและได้รับการให้อภัย เขาไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมาอีกเพื่อกลับไปยังจุดที่เขาเป็นอยู่แล้ว11
ในบรรดาวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ใครกำลังแสวงหาพื้นที่ในอาณาจักรทีเลสเชียล ในบรรดาวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ใครกำลังแสวหาพื้นที่ในอาณาจักรเทอร์เรสเตรียล เราไม่ควรมีความต้องการที่จะทำอะไรกับอาณาจักรเหล่านั้นเลย นี่ไม่ใช่เจตนาของคนที่บัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักร และไม่ควรเป็นด้วย การทำเช่นนั้นจะทำให้เขาไม่พบพื้นที่ในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า เพราะบัพติศมาคือหนทางไปสู่อาณาจักรนั้นอยู่แล้ว บัพติศมามีจุดประสงค์สองประการคือ ในเบื้องต้นมีไว้เพื่อการปลดบาป จากนั้น เพื่อการเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่อาณาจักรทีเลสเชียลหรืออาณาจักรเทอร์เรสเตรียล แต่เข้าสู่อาณาจักรซีเลสเชียลที่พระผู้เป็นเจ้าทรงพำนัก นั่นคือจุดประสงค์ของบัพติศมา นั่นคือของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการวางมือ เพื่อ—เตรียมเรา โดยผ่านการเชื่อฟัง ว่าเราจะดำเนินต่อไปในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า จนกว่าเราจะได้รับความสมบูรณ์ในอาณาจักรซีเลสเชียล12
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ขณะอ่านความทรงจำของประธานสมิธใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ให้นึกถึงบัพติศมาของท่าน ท่านมีความเข้าใจเรื่องบัพติศมามากขึ้นอย่างไรนับแต่นั้น เราจะช่วยสมาชิกครอบครัวหรือมิตรสหายที่กำลังเตรียมตัวรับบัพติศมาได้อย่างไรบ้าง
-
ท่านได้ข้อคิดอะไรเกี่ยวกับบัพติศมาจากคำสอนของประธานสมิธในหัวข้อที่ 1 คำสอนของท่านเกี่ยวกับสัญลักษณ์บัพติศมาเพิ่มความเข้าใจของเราถึงพันธสัญญาบัพติศมาอย่างไร
-
เรื่องราวในหัวข้อที่ 2 สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อบุตรธิดาของพระองค์ ให้นึกถึงคนที่ท่านรู้จักผู้ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้หลักคำสอนที่สอนเรื่องราวดังกล่าว
-
ไตร่ตรองถึงความพยายามของท่านในการรักษาพันธสัญญาบัพติศมา (ดู หัวข้อที่ 3) พันธสัญญานี้มีอิทธิพลต่อปฏิสัมพันธ์ของท่านกับสมาชิกครอบครัวและคนอื่นๆ อย่างไร
-
พิจารณาถ้อยคำของประธานสมิธในตอนต้นหัวข้อที่ 4 ท่านคิดว่าผู้คนต้องได้รับการสอนหลังรับบัพติศมาหรือไม่ เราจะช่วยกันรักษาพันธสัญญาบัพติศมาได้อย่างไรบ้าง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 3:13–17; 2 นีไฟ 31:5–13; โมไซยาห์ 18:8–13; 3 นีไฟ 11:31–39; คพ. 68:25–27; หลักแห่งความเชื่อ 1:4
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“ท่านจะช่วยให้คนที่ท่านสอนรู้สึกเชื่อมั่นในความสามารถที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนามากขึ้นได้ถ้าท่านตอบสนองต่อความคิดเห็นที่จริงใจทุกข้อในทางบวก ตัวอย่างเช่น ท่านอาจพูดว่า ‘ขอบคุณครับ นั่นเป็นคำตอบที่น่าคิดทีเดียว’ … หรือ ‘นั่นเป็นตัวอย่างที่ดี’ ‘ผมขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณพูดวันนี้”’ (ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], หน้า 64)