บทที่ 7
โจเซฟและไฮรัม สมิธ พยานของพระคริสต์
“เราเปล่งเสียงของเราด้วยความน้อมขอบพระทัยสำหรับชีวิตและการปฏิบัติศาสนกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และไฮรัม สมิธ ผู้ประสาทพร พร้อมด้วยเหล่าศาสดาพยากรณ์และ อัครสาวก ตลอดจนชายหญิงผู้ชอบธรรมซึ่งสร้างบนรากฐานที่วางไว้”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
ตั้งแต่เยาว์วัย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธทราบว่าครอบครัวของท่านมีความสัมพันธ์พิเศษกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ท่านได้รับแรงบันดาลใจจากแบบอย่างของไฮรัม สมิธ คุณปู่ของท่าน พี่ชายและเพื่อนผู้ภักดีของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ ไฮรัมรับใช้อย่างซื่อสัตย์เคียงข้างน้องชายในฐานะผู้นำในศาสนจักร ท่านช่วยเรื่องการจัดพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนและได้รับเรียกเป็นหนึ่งในพยานแปดคนของพระคัมภีร์เล่มนี้ด้วย วันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1844 โจเซฟและไฮรัมเป็นมรณสักขีในคาร์เทจ อิลินอยส์ ผนึกประจักษ์พยานที่ท่านมีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์ “ยามเป็นคนทั้งสองมิเคยแยกจากกัน, และยามตายคนทั้งสองก็มิได้พรากจากกัน!” (คพ. 135:3)
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธไม่เคยรู้จักคุณปู่สมิธทั้งสอง นานแล้วก่อนท่านเกิด ไฮรัม คุณปู่ของท่าน เป็นมรณสักขี แมรี ฟิลดิงก์ สมิธ ภรรยาของไฮรัม ถึงแก่กรรมเมื่ออายุยังไม่มากเช่นกัน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักคุณย่าสมิธของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจตลอดมา เพราะเธอเป็นสตรีผู้มีจิตใจสูงที่สุดคนหนึ่งที่เคยมีชีวิตอยู่ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพี่สาวแสนดีของเธอ เมอร์ซี ธอมป์สัน คุณป้าของข้าพเจ้า สมัยเด็ก ข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมที่บ้านและนั่งบนตักเธอ เธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้ฟัง และข้าพเจ้าขอบคุณมากสำหรับประสบการณ์นั้น”1
โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเรียนรู้จากแบบอย่างบิดาของท่านโจเซฟ เอฟ. สมิธ ผู้ที่เคยรู้จักกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ เป็นการส่วนตัวเช่นกัน จากแบบอย่างของบิดาท่าน โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกล่าวว่า “ไม่มีข้อกังขาหรือความไม่แน่ใจในประจักษ์พยานของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงนี้ เมื่อท่านเล่าถึงความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอดหรือพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ”2
แบบอย่างและคำสอนเหล่านี้นำโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธไปสู่การมีประจักษ์พยานถึงพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูในวัยเด็กของท่าน “ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเมื่อไรบ้างที่ข้าพเจ้าไม่เชื่อในพระพันธกิจของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ของเรา หรือพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ”3 ท่านกล่าวต่อมาว่า เมื่อท่านสอนพระกิตติคุณ บางครั้ง ท่านแสดงประจักษ์พยานด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงกันนี้ว่า “ข้าพเจ้ารักศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธหรือไม่ ใช่ ข้าพเจ้ารักท่าน ดังที่บิดาแสดงให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้ารักท่านเพราะท่านคือผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าและเพราะการฟื้นฟูพระกิตติคุณ เพราะประโยชน์และพรที่มาสู่ข้าพเจ้า ครอบครัวของข้าพเจ้า และมาสู่ท่านกับครอบครัวของท่าน โดยผ่านพรที่ประสาทบนชายเหล่านี้และคนเหล่านั้นที่ทำงานร่วมกับท่าน”4
ถึงแม้ประธานสมิธจะรู้สึกขอบพระทัยสำหรับคำสอนและมรดกที่สืบทอดกันมาของครอบครัว แต่ท่านมีประจักษ์พยานของท่านเอง ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งเสมอสำหรับประจักษ์พยานโดยผ่านพระวิญญาณของพระเจ้าว่าโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้รับเรียกเป็นผู้นำของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา”5 อีกครั้งหนึ่ง ท่านเป็นพยานว่า “นี่เป็นความรู้ของข้าพเจ้า โดยของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า ว่าโจเซฟ สมิธ เห็นพระบิดาและพระบุตรในปี 1820 พระบิดาทรงแนะนำพระบุตรของพระองค์ พระบุตรของพระองค์ตรัสกับท่าน ทรงถามท่านว่าท่านต้องการรู้อะไร และประทานคำปรึกษาแก่ท่าน พระองค์รับสั่งถึงสิ่งที่ท่านต้องทำ โดยทรงสัญญาว่า ในที่สุด ความสว่างอื่นจะมาและความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณซึ่งไม่มีอยู่บนพื้นพิภพในเวลานั้นจะได้รับการฟื้นฟู” จากนั้น ท่านแสดงความมั่นใจว่าทุกคนสามารถได้รับประจักษ์พยานเดียวกันนี้ว่า “จิตวิญญาณทุกดวงบนแผ่นดินโลก ผู้ที่ปรารถนาจะรู้เรื่องนี้จะได้รับสิทธิพิเศษ เพราะทุกจิตวิญญาณที่จะถ่อมตนในห้วงลึกแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนและศรัทธา พร้อมวิญญาณที่สำนึกผิด ณ เบื้องพระพักตร์พระเจ้า จะได้รับความรู้นั้นอย่างแน่นอนเฉกเช่นพระองค์ทรงพระชนม์”6
คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
1
หัวข้อสำคัญที่สุดสองประการ: พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์
เราเชื่อมโยงพระนามของพระเยซูคริสต์กับชื่อของโจเซฟ สมิธเข้าด้วยกัน พระคริสต์คือพระเจ้า พระองค์ทรงพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ พระองค์คือการฟื้นคืนชีวิตและชีวิต โดยผ่านพระองค์ มนุษย์ทั้งปวงจะลุกขึ้นในความเป็นอมตะ ขณะคนที่เชื่อและเชื่อฟังกฎของพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ด้วย
โจเซฟ สมิธคือศาสดาพยากรณ์ผู้ได้รับเรียกในยุคสุดท้ายนี้เพื่อรับความจริงที่ช่วยให้รอดแห่งพระกิตติคุณโดยการเปิดเผยและเป็นผู้ปฏิบัติศาสนกิจที่มีอำนาจจากเบื้องบนเพื่อปฏิบัติศาสนพิธีแห่งพระกิตติคุณ
เนื่องจากความจริงเหล่านี้ที่ได้รับการเปิดเผยโดยผ่านท่านเป็นการเปิดเผยที่จะออกไปสู่ทุกประชาชาติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สอง เป็นที่น่าสงสัยเล็กน้อยที่เราพบว่าโมโรไนกล่าวแก่โจเซฟ สมิธว่า “ชื่อของ [ท่าน] จะทั้งดีและชั่วในบรรดาประชาชาติ, ตระกูล, และภาษาทั้งปวง, หรือจะมีผู้เอ่ยถึงทั้งในทางดีและชั่วในบรรดาผู้คนทั้งปวง” [โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:33]
ทั้งไม่สงสัยเลยเมื่อเราพบในเวลาต่อมาว่าพระเจ้ารับสั่งกับศาสดาพยากรณ์ดังนี้ “สุดแดนแผ่นดินโลกจะสอบถามเกี่ยวกับนามของเจ้า, และคนโง่เขลาจะเห็นเจ้าสมควรแก่การถูกเยาะเย้ย, และนรกจะเดือดดาลต่อต้านเจ้า;
“ขณะที่ผู้มีใจบริสุทธิ์, และผู้มีปัญญา, และคนจิตใจสูง, และผู้มีคุณธรรม, จะแสวงหาคำแนะนำ, และสิทธิอำนาจ, และพรอยู่เสมอจากฝ่ามือเจ้า.” (คพ. 122:1–2)
สุดแดนแผ่นดินโลกกำลังเริ่มถามหาชื่อของโจเซฟ สมิธในตอนนี้ และผู้คนมากมายในประชาชาติทั้งหลายกำลังชื่นชมยินดีในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูโดยผ่านการเป็นเครื่องมือของท่าน
นับแต่กาลเริ่มต้นของสมัยการประทานนี้ ประจักษ์พยานถึงพระเยซู ดังที่เปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธ มีการสั่งสอนในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เกรตบริเตน ทวีปยุโรปส่วนใหญ่ และหมู่เกาะแปซิฟิก
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ การขยายงานอันน่าทึ่งที่สุดเกิดขึ้นในเม็กซิโก ประเทศแถบอเมริกากลางและในอเมริกาใต้
ปัจจุบันนี้ ในเอเชีย [ค.ศ. 1971] เปิดรับข่าวสารของพระกิตติคุณในวิธีที่ดีเยี่ยมกว่าในอดีตที่ผ่านมา ศาสนจักรได้รับการจัดตั้งในญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง และเรากำลังเริ่มงานในประเทศไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
และวันนั้นจะมาถึง ด้วยการอารักขาของพระเจ้า เมื่อประชาชาติอื่นๆ ที่ปิดกั้นข่าวสารแห่งความจริงอยู่ตอนนี้ จะเปิดประตูรับเรา และเหล่าเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลจะเข้าไปบอกคนที่ใจซื่อสัตย์ในประชาชาติเหล่านั้นเกี่ยวกับพระคริสต์และพระกิตติคุณแห่งอาณาจักรของพระองค์ที่เข้ามาบนแผ่นดินโลกในวันนี้โดยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ7
โจเซฟ สมิธคือผู้เผยความรู้ถึงพระคริสต์และความรอดต่อโลกในสมัยนี้และชั่วอายุนี้8
หัวข้อสำคัญที่สุดสองประการนั้นอยู่ในใจข้าพเจ้าเสมอ ว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงถูกตรึงเพื่อบาปของโลก และโจเซฟ สมิธคือศาสดาพยากรณ์ที่ได้รับเรียกและได้รับแต่งตั้งเพื่อเริ่มต้นสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา นั่นคือข่าวสารที่ข้าพเจ้าให้แก่โลก9
2
พระเจ้าทรงเรียกโจเซฟ สมิธให้เป็นผู้นำของสมัยการประทานแห่งรัศมีภาพนี้
โจเซฟ สมิธ … มาและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์ วางรากฐานเพื่ออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและเพื่องานแห่งปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์นี้ซึ่งโลกต้องเตรียมรับการเสด็จมาของพระเจ้า10
ข้าพเจ้าทราบว่าโจเซฟ สมิธได้รับเรียก ได้รับแต่งตั้งโดยพระบิดาในสวรรค์ ท่านรับการเปิดเผยและการนำทางจากพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นประโยชน์และพรแก่มนุษย์ทั้งปวงหากเขาจะรับ11
ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าพระเจ้าทรงยกโจเซฟ สมิธและประทานการเปิดเผย พระบัญญัติ และทรงเปิดฟ้าสวรรค์ให้ท่าน ทรงเรียกท่านให้เป็นผู้นำของสมัยการประทานแห่งรัศมีภาพนี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าในวัยเยาว์ของท่าน เมื่อท่านออกไปสวดอ้อนวอน ท่านเห็นและยืนอยู่ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลย—ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นความจริง ข้าพเจ้าทราบว่าท่านได้รับการเยือนจากโมโรไนในเวลาต่อมา ฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนภายใต้มือของยอห์นผู้ถวายบัพติศมา ฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคภายใต้มือของเปโตร ยากอบ และยอห์น ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้รับการจัดตั้งในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1830 โดยพระบัญชาจากเบื้องบน12
ในการเลือกตัวแทนให้เป็นผู้นำของ “งานอันยิ่งใหญ่และอัศจรรย์เกี่ยวกับการออกมาในบรรดาลูกหลานมนุษย์” [ดู คพ. 4:1] พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกผู้เชี่ยวชาญการเรียนรู้และประเพณีนิยมของโลก ทางของพระองค์ไม่ใช่ทางของมนุษย์ ความคิดของพระองค์ก็ไม่เหมือนความคิดของมนุษย์ [ดู อิสยาห์ 55:8] คนศึกษาหาความรู้ของโลกจะมีประเพณีและปรัชญามนุษย์มากมายที่ขัดขวางเขาจากความจริง ด้วยพระปรีชาญาณยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงเลือกเด็กที่ด้อยการศึกษา—เด็กชายวัยสิบสี่ปี ในวัยเยาว์นี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณซึ่งโลกจะไม่ได้รับเพราะความไม่เชื่อ ตลอดหลายปีแห่งการนำทางจากสวรรค์ —เพราะท่านได้รับการสอนโดยผู้ส่งสารจากที่ประทับของพระเจ้า—โจเซฟ สมิธ เด็กหนุ่มคนนี้ พระองค์ทรงเตรียมไว้เพื่อกำกับดูแลงานแห่งการฟื้นฟูพระกิตติคุณและสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า13
3
พระเจ้าตรัสว่าคนในรุ่นนี้จะมีพระวจนะของพระองค์ผ่านทางศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ
ทุกยุคทุกสมัยที่พระกิตติคุณอยู่บนแผ่นดินโลก ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าต้องได้รับการเปิดเผย พวกท่านต้องได้รับเรียกให้รับใช้เป็นผู้ปฏิบัติศาสนกิจที่ถูกต้องเพื่อประกอบและกำกับดูแลการประกอบศาสพิธีแห่งความรอดสำหรับเพื่อนมนุษย์ของพวกท่าน
โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกในสมัยนี้ให้ฟื้นฟูความจริงของความรอด รับกุญแจและพลังอำนาจในการปฏิบัติความจริงอันเป็นการช่วยให้รอด
พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “… คนรุ่นนี้จะมีคำของเราโดยผ่านเจ้า” (คพ. 5:10) จากนั้น พระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟูโดยผ่านโจเซฟ สมิธ พระเจ้าตรัสว่า “จะมีการสั่งสอนพระกิตติคุณนี้ของอาณาจักรไปทั่วโลก, เพื่อเป็นพยานต่อประชาชาติทั้งปวง, และเมื่อนั้นการสิ้นสุดจะมาถึง, หรือความพินาศของคนชั่วร้าย” [โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:31]14
บัดนี้ข้าพเจ้ากล่าวว่า
โจเซฟ สมิธคือบุรุษที่มนุษย์ทั้งปวงต้องมองดูในยุคนี้เพื่อเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์
ในที่สุดนามของศาสดาพยากรณ์ท่านนี้จะเป็นที่รู้จักในทั่วทุกมุมโลกและท่ามกลางคนทั้งปวง
คนที่ใจซื่อสัตย์จะยอมรับท่านเป็นศาสดาพยากรณ์และจะนมัสการพระเจ้าผู้ประทานการเปิดเผยแก่ท่าน
ศาสนจักรที่ท่านจัดตั้งโดยพระบัญชาจากเบื้องบนจะรุ่งเรืองเพราะจะเป็นไปตามการเปิดเผยที่ผ่านทางท่าน
และคนทั้งปวงที่เชื่อในคำสอนของโจเซฟ สมิธและทำตามคำสอนของท่านจะมาสู่ความรู้ที่ว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อบาปของโลก
ในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูคือพระคริสต์—และโดยการเปิดเผยจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์—ข้าพเจ้าทราบว่าโจเซฟ สมิธเคยเป็นและจะเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป …
ในวิญญาณแห่งประจักษ์พยานและความขอบพระทัย ข้าพเจ้าขอ [แบ่งปัน] ถ้อยคำแห่งการดลใจเหล่านี้จากหลักคำสอนและพันธสัญญาว่า “โจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ และผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า, ทำเพื่อความรอดของมนุษย์ในโลกนี้, ยิ่งกว่าคนอื่นใดที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก, ยกเว้นพระเยซูเท่านั้น” (คพ. 135:3)15
4
โจเซฟ สมิธและไฮรัม พี่ชายของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในชีวิตและความตาย
ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับการฟื้นฟูความจริงนิรันดร์ในสมัยการประทานพระกิตติคุณครั้งสุดท้ายนี้ สำหรับพันธกิจและการปฏิบัติศาสนกิจของโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ และคุณปู่ของข้าพเจ้า ไฮรัม สมิธ ผู้ประสาทพร และสำหรับข้อเท็จจริงที่กุญแจทั้งหลายแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่มนุษย์บนแผ่นดินโลกอีกครั้ง 16
“และอนึ่ง, ตามจริงแล้ว เรากล่าวแก่เจ้า, ผู้รับใช้ของเราไฮรัม สมิธ เป็นสุขแล้ว; เพราะเรา, พระเจ้า, รักเขาเนื่องจากความสุจริตใจของเขา, และเพราะเขารักสิ่งซึ่งถูกต้องต่อหน้าเรา, พระเจ้าตรัส” [คพ. 124:15]
ใครบ้างจะไม่มีความสุขที่ได้รับคำสดุดีถึงความเชื่อมั่นและคำสรรเสริญที่มอบให้ท่าน และยิ่งมาจากพระเจ้าด้วยแล้ว ไฮรัม สมิธอยู่ในบรรดาผู้ที่รับบัพติศมารุ่นแรกๆ ในสมัยการประทานนี้ ตลอดชีวิตท่าน ท่านยืนเคียงข้างน้องชาย โจเซฟ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ท่านด้วยกำลังใจ ศรัทธาและความรักอันสูงส่ง ไฮรัมเป็นบุรุษที่มีใจอ่อนโยนอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สุดและรักน้องชายมากกว่าชีวิตท่านเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นในการสิ้นชีวิตซึ่งท่านได้รับมงกุฎแห่งมรณสักขี ท่านปราศจากความหวาดหวั่นในการปกป้องความจริง ตามจริงแล้ว ท่าน “รักสิ่งที่ถูกต้อง”
ไฮรัม สมิธเกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1800 มีอายุมากกว่าศาสดาพยากรณ์เกือบหกปี ไม่มีเกียรติใดมาสู่โจเซฟ สมิธแล้วไฮรัมไม่ได้รับ ท่านชื่นชมยินดีกับน้องชายในพรทุกประการที่พระเจ้าประสาทบนท่าน โจเซฟก็แสดงความรักฉันพี่น้องแบบเดียวกันนี้กับไฮรัมพี่ชายของท่านด้วย พวกท่านร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน การข่มเหงแบบเดียวกันประดังเข้ามาหาคนทั้งสอง พวกท่านอยู่ในคุกเดียวกันเพราะเห็นแก่พระกิตติคุณ เมื่อถึงเวลาผนึกประจักษ์พยาน พวกท่านยังเป็นมรณสักขีร่วมกันอีกด้วย “ยามเป็นคนทั้งสองมิเคยแยกจากกัน, และยามตายคนทั้งสองก็มิได้พรากจากกัน!” [คพ. 135:3.] …
นี่คือคำสดุดีจากศาสดาพยากรณ์ “พี่ไฮรัม พี่ช่างมีใจซื่อสัตย์เหลือเกิน! โอ้ ขอพระเยโฮวาห์นิรันดร์ทรงสวมมงกุฎแห่งพรนิรันดร์บนศีรษะพี่ด้วยเถิด เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนความเอาใจใส่ที่พี่มีต่อจิตวิญญาณของผม! โอ้ กี่ครั้งแล้วที่เราร่วมทุกข์กันมา และเราถูกพันธนาการอีกครั้งด้วยการกดขี่ไม่เลิกรา ไฮรัม ชื่อของพี่จะจารึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเพื่อให้คนที่มาหลังจากพี่มองเห็นว่าพวกเขาทำตามแบบงานของพี่ได้”
อนึ่ง ศาสดาพยากรณ์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนในใจขอให้พี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าเป็นเหมือนไฮรัมพี่ชายที่รักของข้าพเจ้า ผู้ครอบครองความนุ่มนวลของลูกแกะ และความสุจริตของโยบ ซึ่งคือ ความอ่อนโยนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักเขาด้วยความรักที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าความตาย เพราะข้าพเจ้าไม่เคยคิดตำหนิเขา และเขาก็เช่นกัน”17
5
โจเซฟและไฮรัม สมิธผนึกประจักษ์พยานด้วยเลือดของพวกท่าน
คุณปู่ของข้าพเจ้า ไฮรัม สมิธ ผู้ประสาทพร ได้รับเรียกให้ถือกุญแจทั้งหลายแห่งสมัยการประทานนี้ร่วมกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ น้องชายของท่าน พระเจ้าตรัสว่าข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปากจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ [ดู 2 โครินธ์ 13:1] …
โจเซฟ สมิธไม่สามารถยืนตามลำพังได้ มิฉะนั้นงานของท่านอาจจะล้มเหลว เช่นเดียวกับงานของพระผู้ช่วยให้รอด เรียกร้องการยืนยันจากพยานอีกหนึ่งคน และใครจะเป็นพยานให้พระคริสต์ได้เล่าหากมิใช่พระบิดาของพระองค์ [ดู ยอห์น 8:12–18] ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเรียกชายอีกคนหนึ่งเพื่อยืนอยู่กับโจเซฟ สมิธและมีกุญแจแห่งความรอดในสมัยการประทานนี้ในฐานะพยานร่วมกับท่าน …
… [ไฮรัม] มิได้รับเรียกเป็นผู้ประสาทพรตามสิทธิบุตรหัวปีของท่านเท่านั้น แต่พระเจ้าตรัสกับท่านในเวลาเดียวกันนั้นว่า
“และตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปเรากำหนดกับเขาว่าเขาจะเป็นศาสดาพยากรณ์, และผู้หยั่งรู้, และผู้เปิดเผยแก่ศาสนจักรของเรา, เช่นเดียวกับผู้รับใช้ของเราโจเซฟ;
“เพื่อเขาจะกระทำในความสามัคคีกับผู้รับใช้ของเรา โจเซฟด้วย; และว่าเขาจะรับคำแนะนำจากผู้รับใช้ของเราโจเซฟ, ผู้จะแสดงกุญแจแก่เขาซึ่งโดยสิ่งนี้เขาจะขอและได้รับ, และสวมมงกุฎด้วยพร, และรัศมีภาพ, และเกียรติยศ, และฐานะปุโรหิต, และของประทานแห่งฐานะปุโรหิตเดียวกัน, ที่ครั้งหนึ่งมีให้เขาที่เคยเป็นผู้รับใช้ของเรา ออลิเวอร์ คาวเดอร์รี;
“เพื่อผู้รับใช้ของเราไฮรัม จะกล่าวคำพยานถึงสิ่งซึ่งเราจะเผยต่อเขา, เพื่อชื่อเขาจะมีอยู่ในความทรงจำอย่างมีเกียรติจากรุ่นสู่รุ่น, ตลอดกาลและตลอดไป” [คพ. 124:94–96]
ตามการเรียกและพระบัญชาดังกล่าว ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธประสาทกุญแจ สิทธิอำนาจ และของประทานแห่งฐานะปุโรหิตแก่ไฮรัม สมิธ ซึ่งท่านศาสดาพยากรณ์ดำรงอยู่ และที่ออลิเวอร์ คาวเดอร์รีเคยดำรงอยู่ พระเจ้าทรงเปิดเผยทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ไฮรัม สมิธเช่นกันเพื่อทำให้ท่านเป็นพยานร่วมกับโจเซฟ น้องชายของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ ผู้เปิดเผย และประธานศาสนจักร เพื่อให้ยืนยงไปตลอดกาลและชั่วนิจนิรันดร์ในต้นสมัยการประทานนี้ร่วมกับโจเซฟ น้องชายของท่าน พยานของพระเยซูคริสต์18
กับไฮรัม สมิธ ผู้ประสาทพร พี่ชายของท่าน และคุณปู่ของข้าพเจ้า ท่าน [โจเซฟ สมิธ] ผนึกประจักษ์พยานท่านด้วยเลือดในคุกคาร์เทจ และข้าพเจ้าอยากเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์พระเจ้าในการทำให้สุดแดนแผ่นดินโลกทราบว่าความรอดมีมาอีกครั้งเพราะพระเจ้าทรงยกผู้หยั่งรู้ที่ยิ่งใหญ่ในสมัยนี้ขึ้นแล้วเพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก19
เราเปล่งเสียงของเราด้วยความขอบพระทัยสำหรับชีวิตและการปฏิบัติศาสนกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ไฮรัม สมิธ ผู้ประสาทพร ศาสดาพยากรณ์ อัครสาวก และบรรดาชายหญิงผู้ชอบธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานที่วางไว้20
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ประธานสมิธเล่าถึงสมาชิกครอบครัวที่ช่วยบำรุงเลี้ยงวัยเด็กของท่านด้วยประจักษ์พยานถึงพันธกิจของโจเซฟ สมิธ (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”) เราสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้ลูกหลานมีประจักษ์พยานถึงพันธกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ
-
พระนามของพระเยซูคริสต์เชื่อมโยงกับนามของโจเซฟ สมิธในทางใด (ดู หัวข้อที่ 1) การปฏิบัติศาสนกิจของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธมีอิทธิพลต่อประจักษ์พยานของท่านถึงพระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์อย่างไร
-
ไตร่ตรองข้อสังเกตของประธานสมิธเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงเรียกโจเซฟ สมิธแทนที่จะเรียก “ผู้เชี่ยวชาญการเรียนรู้และประเพณีนิยมของโลก” (หัวข้อที่ 2) ความเข้าใจนี้ช่วยเราอย่างไร เมื่อเรารู้สึกไม่คู่ควรกับการทำหน้าที่รับผิดชอบของเราให้เกิดสัมฤทธิผล
-
ในหัวข้อที่ 3 ประธานสมิธอ้างถึงหลักคำสอนและพันธสัญญา 5:10 และ 135:3 ท่านจะอธิบายข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กับใครบางคนที่ไม่คุ้นเคยกับพันธกิจของโจเซฟ สมิธอย่างไร
-
ท่านเรียนรู้อะไร จากความสัมพันธ์ระหว่างโจเซฟ สมิธกับไฮรัม พี่ชายท่าน (ดู หัวข้อที่ 4)
-
ท่านรู้สึกอย่างไร ขณะนึกถึงโจเซฟและไฮรัม สมิธผนึกประจักษ์พยานของท่านด้วยเลือด (ดู หัวข้อที่ 5) เราสามารถให้เกียรติการเสียสละของพวกท่านในทางใดได้บ้าง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
งานแปลของโจเซฟ สมิธ, ปฐมกาล 50:30–31; 2 นีไฟ 3:5–15; คพ. 11:11–26; 76:22–24; 135
ความช่วยเหลือด้านการสอน
วิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นการเรียนรู้แบบพากเพียรได้คือการฟังอย่างตั้งใจเมื่อใครบางคนถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็น “การฟังเป็นการแสดงออกของความรัก สิ่งนี้เรียกร้องการเสียสละเสมอ เมื่อเราฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ บ่อยครั้งเราจะหยุดสิ่งที่เราต้องการพูดเพื่อให้เขาได้พูด” ( ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], หน้า 66)