บทที่ 6
ความสำคัญของพิธีศีลระลึก
“การรับส่วนของเครื่องหมายเหล่านี้เป็นหนึ่งในศาสนพิธีบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนจักร”
จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ
วันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1929 หลังการรับใช้เป็นอัครสาวก 19 ปี เอ็ลเดอร์โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ ยืนอยู่ในซอลท์เลค แทเบอร์นาเคิลเพื่อกล่าวคำปราศรัยในการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 39 ของท่าน ท่านกล่าวว่า “มีความคิดสองสามเรื่องที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะเสนอเกี่ยวกับคำถามเรื่องศีลระลึก โดยเจาะจงเป็นพิเศษเกี่ยวกับการประชุมที่จัดตั้งขึ้นในศาสนจักรโดยการเปิดเผย โดยพระบัญชาจากพระเจ้า สำหรับการรับส่วนเครื่องหมายเหล่านี้ซึ่งแทนพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์” ตามบทนำของหัวข้อนี้ ท่านได้แบ่งปันความรู้สึกของท่านเกี่ยวกับพิธีศีลระลึกดังนี้
“ในวิจารณญาณของข้าพเจ้า การประชุมศีลระลึกเป็นการประชุมศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ที่สุดของศาสนจักร เมื่อข้าพเจ้านึกถึงการชุมนุมกันของพระผู้ช่วยให้รอดกับอัครสาวกของพระองค์ในคืนแห่งความทรงจำ เมื่อพระองค์ทรงแนะนำพิธีศีลระลึก เมื่อข้าพเจ้านึกถึงวาระอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ใจข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความพิศวง และความรู้สึกของข้าพเจ้าได้รับการสัมผัส ข้าพเจ้าถือว่านั่นเป็นการชุมนุมที่วิเศษและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดครั้งหนึ่งนับแต่กาลเริ่มต้น
“ที่นั่น พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนอัครสาวกถึงการพลีบูชาของพระองค์ที่กำลังจะมาถึง ด้วยความพิศวงงงงวย พวกท่านจึงมิอาจเข้าใจได้ พระองค์รับสั่งกับพวกเขาอย่างชัดเจนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และพระโลหิตของพระองค์จะหลั่งไหล ในโมงยามของความปวดร้าวแสนสาหัสเพราะบาปของโลก นี่คือวาระที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ที่นั่น พิธีศีลระลึกได้รับการสถาปนา เหล่าสานุศิษย์ได้รับพระบัญชาให้มาร่วมรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์และการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ เพราะการพลีบูชาของพระองค์มีไว้สำหรับการไถ่ของโลก
“พระองค์ทรงกำลังรับเอาความรับผิดชอบการจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นบนโลกโดยผ่านการตกไว้กับพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้รับการไถ่จากความตายและจากนรก พระองค์ทรงสอนผู้คนว่าพระองค์ต้องถูกยกขึ้นเพื่อพระองค์จะทรงดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์ ทุกคนที่จะกลับใจและเชื่อในพระองค์ รักษาพระบัญญัติของพระองค์ จะไม่ต้องทนทุกข์ เพราะพระองค์จะทรงรับเอาบาปของพวกเขาไว้กับพระองค์”1
คำสอนของโจเซฟ ฟิลกิงด์ สมิธ
1
พระเจ้าทรงบัญชาเราให้ประชุมกันบ่อยๆ เพื่อรับส่วนศีลระลึก
การรับส่วนของเครื่องหมายเหล่านี้ [ขนมปังและน้ำ] เป็นศาสนพิธีบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดพิธีหนึ่งในศาสนจักร เป็นศาสนพิธีที่จัดตั้งขึ้นแทนการสังหารและรับประทานลูกแกะของพิธีปัสกา ซึ่ง [เป็นสัญลักษณ์] ถึงการพลีบูชาบนกางเขนของพระผู้ไถ่ … นับตั้งแต่การอพยพจากอียิปต์ไปสู่การตรึงกางเขนของพระผู้ไถ่ของเรา ชาวอิสราเอลได้รับบัญชาให้ถือรักษาพิธีปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกปี ในคืนศักดิ์สิทธิ์ก่อนการตรึงกางเขน พระเจ้าทรงเปลี่ยนศาสนพิธีนี้เป็นพิธีศีลระลึก เราได้รับบัญชาให้ประชุมกันบ่อยๆ ไม่ใช่เพียงปีละครั้งเดียว และให้ไปยังบ้านแห่งการสวดอ้อนวอน ระลึกถึงพระผู้ไถ่ของเรา และทำพันธสัญญากับพระองค์ในการรับส่วนของศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้บ่อยๆ 2
บุคคลใดที่ห่างหายจากการประชุมศีลระลึกสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า โดยไม่มีสิ่งใดรั้งเขาไว้ คือคนที่ไม่ภักดีต่อความจริง เขามิได้รักสิ่งนี้ หากเขารัก เขาจะมาที่นี่เพื่อรับส่วนของเครื่องหมายนี้เป็นประจำ—เพียงขนมปังชิ้นเล็กๆ กับน้ำถ้วยเล็กๆ เขาจะทำสิ่งนั้นเพื่อแสดงความรักที่เขามีต่อความจริงและการรับใช้อันจงรักภักดีต่อพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า3
เราได้รับเรียกให้รำลึกถึงเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ [การชดใช้ของพระเยซูคริสต์] และจดจำไว้ในใจตลอดเวลา เพราะจุดประสงค์ดังกล่าว เราจึงได้รับเรียกให้มารวมกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อรับส่วนของเครื่องหมายนี้ เพื่อเป็นพยานว่าเราระลึกถึงพระเจ้าของเรา ว่าเราเต็มใจรับพระนามของพระองค์และเราจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราได้รับเรียกให้ต่อพันธสัญญานี้ทุกสัปดาห์ เราไม่อาจรักษาพระวิญญาณของพระเจ้าให้คงอยู่กับเราได้ หากเราไม่ยอมทำตามพระบัญญัตินี้อย่างสม่ำเสมอ หากเรารักพระเจ้า เราจะไปการประชุมเหล่านี้ด้วยวิญญาณของการนมัสการและการสวดอ้อนวอน เพื่อระลึกถึงพระเจ้าและพันธสัญญาที่เราต่อทุกสัปดาห์โดยผ่านศีลระลึกตามที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากเรา4
2
เรารับส่วนศีลระลึกในความระลึกถึงการชดใช้ของพระเยซูคริสต์
นี่คือหน้าที่ของสมาชิกศาสนจักรที่จะดำเนินชีวิตอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและซื่อสัตย์ในความรู้ความเข้าใจถึงการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ … ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างนี้ ข้าพเจ้าอยากคิดว่าข้าพเจ้าเข้าใจผิด แต่ไม่ใช่ ข้าพเจ้าคิดว่าสมาชิกของศาสนจักรจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึงความหมายในการรับประทานขนมปังชิ้นเล็กๆ และดื่มน้ำถ้วยเล็กๆ ในความระลึกถึงการหลั่งพระโลหิตของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ และการพลีพระชนม์ชีพของพระองค์บนกางเขน
ข้าพเจ้าขออธิบายถึงพร [ส่วนของขนมปัง] ข้าพเจ้าจะอ่านด้วยความนอบน้อม เพื่อเราจะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในนั้น
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, พวกข้าพระองค์ทูลขอพระองค์ในพระนามของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, โปรดประทานพรและทำให้ขนมปังนี้ศักดิ์สิทธิ์แก่จิตวิญญาณของเขาทั้งหลายผู้ที่รับส่วน, เพื่อพวกเขาจะรับประทานในความระลึกถึงพระวรกายของพระบุตรของพระองค์, และเป็นพยานต่อพระองค์, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, ว่าพวกเขาเต็มใจรับพระนามของพระบุตรของพระองค์, และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานให้พวกเขา; เพื่อพวกเขาจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา. เอเมน” [คพ. 20:77.] …
เพื่อรับประทานในความระลึกถึงพระองค์ นั่นหมายความว่า ข้าพเจ้าเพียงจะระลึกถึงว่าเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา คนชั่วร้ายนำพระองค์ไปแขวนบนกางเขน ตอกตะปูลงบนพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ แล้วทิ้งพระองค์ให้สิ้นพระชนม์เท่านั้นหรือ สำหรับข้าพเจ้า สิ่งนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เพื่อระลึกถึงพระองค์—เหตุใดพระองค์จึงทรงถูกตรึงกางเขน มีประโยชน์อะไรบ้างที่มาสู่ [ข้าพเจ้า] เพราะพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงผ่านความทุกขเวทนาใดบ้างบนกางเขนนั้น เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการไถ่หรือการปลดปล่อยจากบาปของข้าพเจ้า
โดยธรรมชาติ คนจะคิดว่า พระองค์ทรงถูกตอกตะปูลงบนพระหัตถ์และพระบาท ถูกแขวนไว้บนนั้นจนสิ้นพระชนม์ … พระองค์ทรงรับทุกขเวทนาอะไรอีกบ้าง นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเราส่วนใหญ่มักมองข้ามไป ข้าพเจ้ามั่นใจว่าการทนทุกข์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดไม่ได้อยู่ที่การตอกตะปูลงบนพระหัตถ์และพระบาทแล้วแขวนไว้บนกางเขน อันเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานแสนสาหัสดังที่เป็นอยู่ พระองค์ทรงกำลังแบกรับภาระหนักอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญและมีพลังมากกว่า อย่างไรหรือ เราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ข้าพเจ้าสรุปได้พอสังเขป5
ข้าพเจ้าไม่คิดว่าใครในบรรดาพวกเราไม่เคยทำผิด จากนั้นก็เสียใจและคิดว่าไม่น่าทำเลย มโนธรรมจึงมีผลต่อเรา ทำให้เราทุกข์ทนหม่นหมองยิ่งนัก ท่านเคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าวหรือไม่ ข้าพเจ้าเคย … แต่ที่นี่ เรามีพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแบกรับภาระการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าและการล่วงละเมิดของท่าน … ความทรมานแสนสาหัสที่สุดไม่ใช่ตะปูในพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ซึ่งเลวร้ายอย่างที่เห็น แต่เป็นความทรมานที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ พระองค์ทรงแบกรับภาระ—ภาระของเรา ข้าพเจ้าเพิ่มเติมบางสิ่งลงไปในนั้น ท่านก็เช่นกัน และคนอื่นๆ ทุกคน พระองค์ทรงรับภาระในการจ่ายชดเชยไว้กับพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะหนีพ้น—เพื่อท่านอาจจะหนีพ้น—การลงโทษตามเงื่อนไขว่าเราจะรับพระกิตติคุณของพระองค์ เราจะแน่วแน่และซื่อสัตย์
ตอนนี้ นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังนึกถึง นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังระลึกถึง—ความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสเมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงในการสวดอ้อนวอนพระบิดาเพื่อให้ถ้วยนั้นเลื่อนพ้นไป พระองค์มิได้ทรงวิงวอนขอให้คลายทุกข์จากการตอกตะปูบนพระหัตถ์หรือพระบาทของพระองค์ พระองค์ทรงเผชิญความระทมทุกข์สาหัสกว่าสิ่งทั้งปวง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจ6
เป็นเรื่องสุดวิสัยสำหรับมนุษย์ที่อ่อนแอ และเราทุกคนอ่อนแอ ที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงขอบเขตความทุกขเวทนาของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้า เราไม่อาจตระหนักได้ถึงราคาที่พระองค์ต้องจ่าย พระองค์ตรัสกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ดังนี้
เพราะดูเถิด, เรา, พระผู้เป็นเจ้า, ทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากพวกเขาจะกลับใจ; แต่หากพวกเขาจะไม่กลับใจ พวกเขาต้องทนทุกข์แม้ดังเรา; ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ; และปรารถนาที่เราจะไม่ต้องดื่มถ้วยอันขมขื่น, และชะงักอยู่—กระนั้นก็ตาม, รัศมีภาพจงมีแด่พระบิดา, และเรารับส่วนและทำให้การเตรียมของเราเสร็จสิ้นเพื่อลูกหลานมนุษย์ [คพ. 19:16–19]
อย่างไรก็ดี ในความสามารถของเราที่จะรู้และตระหนักว่าความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสจากการพลีพระชนม์ชีพของพระองค์นำพรยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะมอบให้ได้มาสู่เรา ยิ่งกว่านั้น เราสามารถตระหนักได้ว่าการทนทุกข์อันใหญ่หลวงที่สุดนี้—ซึ่งเกินกว่าอำนาจของมนุษย์ที่จะบรรลุหรือทนได้—ถูกรับไปเพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพระบิดาและพระบุตรทรงมีต่อมนุษยชาติ …
… หากเราเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งต่อพรมากมายซึ่งเป็นของเราโดยผ่านการไถ่ที่ทรงทำเพื่อเรา ก็ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงเรียกร้องจากเราแล้วเราจะไม่ทำด้วยความกระตือรือร้นและเต็มใจ7
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าหากเราจะนึกภาพตรงหน้าเรา—ดังที่ข้าพเจ้าพยายามมาแล้วหลายครั้ง—ช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาพบกับอัครสาวกของพระองค์ หากเราเห็นพวกท่านชุมนุมกันที่นั่น พระเจ้าในความโศกเศร้าของพระองค์ ด้วยโทมนัสเพราะบาปของโลก โทมนัสเพราะอัครสาวกคนหนึ่งที่ทรยศพระองค์ แต่พระองค์ทรงสอนชายทั้งสิบเอ็ดคนที่รักพระองค์และทรงทำพันธสัญญากับพวกเขา ข้าพเจ้าแน่ใจว่า เราจะรู้สึกในใจว่าเราจะไม่มีวันละทิ้งพระองค์ หากเราเห็นพวกท่านชุมนุมกันที่นั่นและตระหนักได้ถึงภาระอันใหญ่หลวงนั้นที่พระเจ้าของเราต้องรับไว้ และหลังจากอาหารมื้อสุดท้ายนั้นกับการร้องเพลงสวด พวกท่านออกไป พระเจ้าทรงถูกทรยศ หัวเราะเยาะ และถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เหล่าสานุศิษย์ทิ้งพระองค์ไปในช่วงการทดสอบที่ล้ำลึกที่สุดของพระองค์—หากเราเข้าใจสิ่งนี้ทั้งหมด แม้จะไม่สมบูรณ์ และต้องเป็นดังนั้น ข้าพเจ้าแน่ใจ พี่น้องทั้งหลาย เราจะอยากเดินในแสงสว่างของความจริงตลอดกาล หากเราเห็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ทรงทนทุกข์ในสวนและบนกางเขน หากเราตระหนักอย่างแท้จริงว่าทั้งหมดนั้นมีความหมายต่อเรา เราย่อมปรารถนาที่จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และเราจะรักพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วยสุดใจ สุดพลัง ความนึกคิดและพละกำลังของเรา และในพระนามของพระเยซูคริสต์ เราจะรับใช้พระองค์8
3
เป็นหน้าที่ของเราที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงพันธสัญญาที่เราทำเมื่อรับส่วนศีลระลึก
ข้าพเจ้าปรารถนาว่าเราจะช่วยให้สมาชิกศาสนจักรเข้าใจได้อย่างชัดเจนขึ้นถึงพันธสัญญาที่พวกเขาทำเมื่อรับส่วนศีลระลึกที่การประชุมศีลระลึกของเรา9
ข้าพเจ้าเคยเห็นสมาชิกศาสนจักรสองคน นั่งด้วยกัน [ในการประชุมศีลระลึก] เริ่มการสนทนา และหยุดนานพอสมควรช่วงให้พรน้ำและขนมปัง จากนั้นก็เริ่มสนทนากันต่อ … ข้าพเจ้าตกตะลึงและมั่นใจว่าพระเจ้าทรงรู้สึกเช่นเดียวกัน10
เป็นหน้าที่ของเราที่จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงลักษณะของ [ศีลระลึก] คำสวดอ้อนวอนมื่อเราได้ยินในการประชุมของเรา มีสิ่งสำคัญมากสี่ข้อที่เราทำพันธสัญญาว่าเราจะทำทุกครั้งที่รับส่วนของเครื่องหมายเหล่านี้ และในการรับส่วน มีการกระทำอย่างหนึ่งที่เราทำได้โดยสมบูรณ์ต่อพันธรับผิดชอบ และผูกมัดเรา สิ่งเหล่านี้คือ
1. เรารับประทานในความระลึกถึงพระวรกายของพระเยซูคริสต์ โดยสัญญาว่าเราจะระลึกถึงพระวรกายที่บาดเจ็บของพระองค์บนกางเขน
2. เราดื่มในความระลึกถึงพระโลหิตซึ่งหลั่งเพื่อบาปของโลก ซึ่งชดใช้ให้แก่การล่วงละเมิดของอาดัม และปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากบาปตามเงื่อนไขของการกลับใจที่แท้จริงของเรา
3. เราทำพันธสัญญาว่าเราจะเต็มใจรับพระนามของพระบุตรไว้กับเรา และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ในการรักษาพันธสัญญานี้ เราสัญญาว่าเราจะได้รับเรียกโดยพระนามของพระองค์ และจะไม่ทำการอันใดที่จะนำความอับอายหรือความเสื่อมเสียมาสู่พระนามนั้น
4. เราทำพันธสัญญาว่าเราจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้เรา ไม่ใช่หนึ่งข้อ แต่เราจะเต็มใจ “ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า” [คพ. 84:44]
หากเราจะทำสิ่งเหล่านี้ในเวลานั้น เราจะได้รับสัญญาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางเราอยู่เสมอ และหากเราจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่มีการนำทางนั้นเลย11
ข้าพเจ้าอยากถามคำถามท่านสองสามข้อ แน่นอนว่า ข้าพเจ้ากล่าวถึงสมาชิกศาสนจักรทุกคน ท่านคิดว่าคนที่มาการประชุมศีลระลึกในวิญญาณของการสวดอ้อนวอน ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการนมัสการ คนที่รับส่วนของเครื่องหมายเหล่านี้ซึ่งเป็นสิ่งแทนพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จะละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าโดยที่รู้อยู่แล้วหรือไม่ หากมนุษย์ตระหนักอย่างเต็มที่ว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไรเมื่อเขารับส่วนศีลระลึก เขาทำพันธสัญญาที่จะรับพระนามของพระเยซูคริสต์และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และเราต่อคำปฏิญาณนี้ทุกสัปดาห์—ท่านคิดว่าคนเช่นนั้นจะล้มเหลวในการจ่ายส่วนสิบของเขาหรือไม่ ท่านคิดว่าคนเช่นนั้นจะละเมิดวันสะบาโตหรือฝ่าฝืนพระคำแห่งปัญญาหรือไม่ ท่านคิดว่าเขาจะไม่สวดอ้อนวอน และจะไม่ทำหน้าที่โควรัมของเขาหรือหน้าที่อื่นๆ ในศาสนจักรหรือไม่ สำหรับข้าพเจ้าแล้วดูเหมือนว่าเรื่องเช่นนั้นเช่นการฝ่าฝืนหลักธรรมศักดิ์สิทธิ์และหน้าที่เหล่านี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นเมื่อคนๆ หนึ่งทราบว่าการปฏิญาณตนต่อพระเจ้าและต่อหน้าวิสุทธิชนทุกสัปดาห์หมายถึงอะไร12
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
ใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ประธานสมิธแบ่งปันความคิดของท่านเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสถาปนาพิธีศีลระลึก เพราะเหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญต่อท่าน
-
ขณะศึกษาหัวข้อที่ 1 ให้พิจารณาความสำคัญของการเข้าร่วมการประชุมศีลระลึกทุกสัปดาห์ ท่านสามารถเตรียมตนเองให้พร้อมสำหรับการประชุมศีลระลึกได้อย่างไรบ้าง บิดามารดาทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยบุตรธิดาของพวกเขาเตรียมตัว
-
ท่านประทับใจอะไรเกี่ยวกับความคิดของประธานสมิธเมื่อท่านรับส่วนศีลระลึก (ดู หัวข้อที่ 2) เราทำอะไรได้บ้างเพื่อระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดและการชดใช้ของพระองค์ เมื่อเรารับส่วนศีลระลึก
-
ให้ความสนใจกับพันธสัญญาที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่ 3 ไตร่ตรองในใจว่าท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพันธสัญญาเหล่านี้ พันธสัญญาเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตท่านอย่างไรบ้าง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
มัทธิว 26:26–29; 1 โครินธ์ 11:23–29; 3 นีไฟ 18:1–13; มอรมอน 9:29; โมโรไน 4–5; คพ. 20:75–79; 59:9–12
ความช่วยเหลือด้านการสอน
“มอบหมายให้ผู้มีส่วนร่วมอ่านคำถามที่เลือกมาจากท้ายบท (เป็นรายบุคคลหรือในกลุ่มเล็กๆ) ขอให้พวกเขาหาคำสอนในบทที่เกี่ยวข้องกับคำถาม จากนั้นเชิญพวกเขาให้แบ่งปันความคิดและความเข้าใจกับคนในกลุ่ม” (จากหน้า (ⅶ) ในหนังสือเล่มนี้)