คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 11: การให้เกียรติกุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟูผ่านโจเซฟ สมิธ


บทที่ 11

การให้เกียรติกุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟูผ่านโจเซฟ สมิธ

“บัดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าว—อย่างชัดเจนและอาจหาญ—ว่าเรามีฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์และกุญแจแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าที่นี่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเท่านั้น”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ ประกาศว่า “ข้าพเจ้ามีความรู้อันสมบูรณ์ถึงพันธกิจจากเบื้องบนของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าพระเจ้าทรงยกท่านขึ้นและประทานการเปิดเผย พระบัญญัติ ทรงเปิดสวรรค์แก่ท่าน และทรงเรียกท่านให้ยืนเป็นผู้นำของสมัยการประทานอันทรงรัศมีภาพนี้”1 ประธานสมิธเชื่อมโยงคำว่า “ความรู้อันสมบูรณ์” ด้วยความคารวะที่มีต่อกุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟูผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ ท่านให้เกียรติและสนับสนุนคนเหล่านั้นที่ถือกุญแจเสมอ และท่านแนะนำให้สมาชิกศาสนจักรทุกคนให้ความเคารพเช่นเดียวกัน ท่านกล่าว “ชายทุกคนที่ได้รับเลือกอย่างเหมาะสมให้ควบคุมศาสนจักรในหน้าที่ใดก็ตามควรได้รับเกียรติในการเรียกของเขา”2

ครั้งหนึ่งในระหว่างโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธรับใช้เป็นอัครสาวก ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองร่วมกันสนทนาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคำถามที่ยากคำถามหนึ่ง เอ็ลเดอร์สมิธแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว วันหนึ่ง ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ ซึ่งเป็นประธานศาสนจักรหลังจากนั้น มาที่ห้องทำงานของเอ็ลเดอร์สมิธ ประธานแกรนท์อธิบายว่าหลังจากพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าวร่วมกับการสวดอ้อนวอน ท่านรู้สึกว่าต้องแนะนำการกระทำที่แตกต่างไปจากมุมมองของประธานสมิธ เอ็ลเดอร์สมิธเอ่ยปากสนับสนุนการตัดสินใจของประธานแกรนท์ทันที ท่านประกาศต่อมาว่า “ในส่วนของข้าพเจ้า เมื่อประธานศาสนจักรกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงให้ประจักษ์หรือดลใจท่านให้ทำอะไรก็ตาม ข้าพเจ้าจะสนับสนุนท่านเต็มที่ในการกระทำนั้น”3

โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธให้การสนับสนุนเช่นนั้นแก่ผู้นำฐานะปุโรหิตของท่านทุกคน ไม่เฉพาะประธานศาสนจักรเท่านั้น ตัวอย่างเช่น นาธาน เอ็ลดอน แทนเนอร์ได้รับเรียกเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 หนึ่งปีต่อมา ท่านได้รับเรียกเป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุด ดังนั้นท่านจึงมีตำแหน่งควบคุมเหนือประธานสมิธ ผู้เป็นประธานโควรัมอัครสาวกสิบสอง ประธานแทนเนอร์แสดงความซาบซึ้งต่อการสนับสนุนของประธานสมิธในเวลาต่อมาว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้รับเรียกเข้าสู่ฝ่ายประธานสูงสุด ถึงแม้ท่านจะเป็นสมาชิกอาวุโสในโควรัมอัครสาวกสิบสองและดำรงตำแหน่งนานกว่าห้าสิบปีแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังให้ความเคารพข้าพเจ้าในตำแหน่งนั้น ทั้งยังให้การสนับสนุนและความมั่นใจแก่ข้าพเจ้าอย่างเต็มที่”4

ประธานสมิธให้เกียรติผู้นำฐานะปุโรหิตในวอร์ดของท่านเช่นกัน เมื่อท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ … ให้บัพติศมาบุตรธิดาของข้าพเจ้าโดยไม่ได้เข้าพบอธิการในวอร์ดที่ข้าพเจ้าอยู่และรับความเห็นชอบจากท่าน เพราะอธิการมีกุญแจสำหรับวอร์ดที่ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกอยู่ ข้าพเจ้าไม่เคยให้บัพติศมาบุตรคนใด … เว้นแต่ไปหาอธิการและได้รับอนุมัติจากท่านเสียก่อนเพื่อปฏิบัติศาสนพิธีและเพื่อยืนยันพวกเขาเป็นสมาชิกของศาสนจักร”5

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

กุญแจฐานะปุโรหิตคือพลังอำนาจและสิทธิอำนาจในการกำกับดูแลงานของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

มีข้อแตกต่างระหว่างการรับตำแหน่งในฐานะปุโรหิตกับการรับกุญแจของฐานะปุโรหิต เราควรทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน …

… ขณะที่ชายทุกคนดำรงฐานะปุโรหิตซึ่งได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งใดก็ตาม แต่มีสิทธิอำนาจพิเศษหรือการกำกับดูแล ประสาทแก่ผู้ได้รับเรียกให้ควบคุม สิทธิอำนาจเหล่านี้เรียกว่ากุญแจ6

กุญแจ [ฐานะปุโรหิต] คือสิทธิของฝ่ายประธาน เป็นพลังอำนาจและสิทธิอำนาจในการปกครองและกำกับดูแลกิจธุระทั้งหมดของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ผู้ที่มีกุญแจเหล่านี้มีอำนาจปกครองและควบคุมการกระทำของบุคคลอื่นๆ ซึ่งอาจรับใช้ในฐานะปุโรหิต7

เมื่อชายได้รับมอบหมายโดยบุคคลที่ถือกุญแจเหล่านี้ การกระทำของพวกเขาจึงเป็นที่ยอมรับ สิ่งที่พวกเขาทำได้รับการผนึกและอนุมัติในศาสนจักรทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์8

2

พระเจ้าทรงส่งผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์จากที่ประทับของพระองค์มาฟื้นฟูกุญแจฐานะปุโรหิต

เราเชื่อว่าหลังคืนแห่งความมืดมนอันยาวนาน ความไม่เชื่อ การละทิ้งความจริงของคริสต์ศาสนาอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบ พระเจ้าในพระปรีชาญาณอันไม่มีขอบเขตของพระองค์ ทรงฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจมายังแผ่นดินโลกอีกครั้ง

เราทราบว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อท่านในฤดูใบไม้ผลิของปี 1820 เพื่อทำให้สมัยการประทานพระกิตติคุณครั้งสุดท้ายนี้เกิดขึ้น ท่านแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้รับกุญแจและสิทธิอำนาจจากเทพที่ทรงส่งมาเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ และพระเจ้าทรงเปิดเผยหลักคำสอนแห่งความรอดแก่ท่าน9

พระเจ้าไม่ทรงยอมรับศาสนพิธีหรือพิธีการใดๆ ถึงแม้ว่าจะกระทำในพระนามของพระองค์ก็ตาม เว้นแต่จะเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์และกระทำโดยบุคคลที่ทรงยอมรับในฐานะผู้รับใช้ซึ่งมีสิทธิอำนาจของพระองค์ นั่นคือสาเหตุที่พระองค์ทรงส่งผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์จากที่ประทับของพระองค์มาหาโจเซฟ สมิธและคนอื่นๆ เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่ถูกนำไปจากโลก แม้ความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณตลอดจนความสมบูรณ์และกุญแจของฐานะปุโรหิต10

กุญแจของฐานะปุโรหิตต้องได้รับการฟื้นฟู นับว่ายังไม่พอที่ยอห์นผู้ถวายบัพติศมามาพร้อมกับกุญแจฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ส่วนเปโตร ยากอบ และยอห์น มาพร้อมกับกุญแจฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค ซึ่งเป็นวิธีที่ศาสนจักรได้รับการจัดตั้ง แต่ต้องมีการเปิดฟ้าสวรรค์และการฟื้นฟูกุญแจที่ถือโดยศาสดาพยากรณ์ทุกท่านผู้เป็นหัวหน้าสมัยการประทานนับจากสมัยของอาดัมลงมาจนถึงสมัยของเปโตร ยากอบ และยอห์น ศาสดาพยากรณ์เหล่านี้มาทีละท่านและแต่ละท่านประสาทสิทธิอำนาจที่ตนดำรงอยู่11

Study sketch with grid for Melchizedek Priesthood restoration.  Peter, James and John are ordaining a kneeling sandy haired Joseph while Oliver, dressed in brown kneels at the side.

เมื่อเปโตร ยากอบและยอห์น ประสาทฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคแก่โจเซฟ สมิธกับออลิเวอร์ คาวเดอร์รี พวกท่านประสาทกุญแจฐานะปุโรหิตด้วยเช่นกัน

กุญแจทั้งหมดของสมัยการประทานทุกสมัยต้องนำกลับมาเพื่อทำให้ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์และพระประสงค์ของพระเจ้ามีสัมฤทธิผลในการทำให้เกิดการฟื้นฟูที่สมบูรณ์ของสิ่งทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ บิดาของครอบครัวมนุษย์ อาดัม มนุษย์คนแรกบนแผ่นดินโลกต้องมาและท่านมาพร้อมกับอำนาจ โมเสสและท่านอื่นๆ มา ทุกท่านที่มีกุญแจมาประสาทสิทธิอำนาจของพวกท่าน … เราไม่ทราบวันเวลาเมื่อสิทธิอำนาจบางอย่างนี้จะปรากฏให้เห็น แต่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงวิสุทธิชนในนอวูเกี่ยวกับความรอดของคนตายประกาศไว้ ตามที่มีบันทึกอยู่ในภาคที่ 128 ของหลักคำสอนและพันธสัญญา [ ข้อ 17–21] ประกาศว่าศาสดาพยากรณ์เหล่านี้ทุกท่านมาพร้อมกับกุญแจในสมัยการประทานที่เรามีชีวิตอยู่ 12

หลังการจัดตั้งศาสนจักร พระเจ้าทรงบัญชาวิสุทธิชนให้สร้างพระนิเวศน์แด่พระนามของพระองค์ วิสุทธิชนแทบจะไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้เลย พวกเขาไม่ยอมออกไปทำงานในทันทีเพื่อสร้างพระนิเวศน์ดังกล่าว พระเจ้าจึงทรงติเตียนพวกเขา [ดู คพ. 95:1–4] หลังจากถูกติเตียน พวกเขาจึงออกไปทำงานด้วยสุดกำลังทั้งที่ยากจนและขาดแคลนเพื่อสร้างพระวิหารเคิร์ทแลนด์ พระวิหารสร้างขึ้นเพื่ออะไร เพื่อเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์สามารถเสด็จมา ที่ซึ่งพระองค์สามารถส่งผู้รับใช้ของพระองค์ ศาสดาพยากรณ์พร้อมด้วยกุญแจแห่งสิทธิอำนาจของพวกท่าน … เราทราบว่าศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่านในสมัยโบราณผู้ที่ถือกุญแจสำคัญมาที่พระวิหารในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1836

ท่านแรกคือโมเสส [ดู คพ. 110:11] ท่านมอบกุญแจทั้งหลายของการรวบรวมอิสราเอลให้โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอร์รี … ท่านรวบรวมอิสราเอล ถึงแม้ท่านจะไม่สามารถช่วยให้พวกเขาครอบครองแผ่นดินได้ แต่ท่านก็มีกุญแจสำหรับการรวบรวมอยู่ในมือท่าน ท่านมาหาเปโตร ยากอบ และยอห์นบนภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพและประสาทกุญแจเดียวกันนี้แก่พวกท่านเพื่อการรวบรวมอิสราเอลในสมัยที่พวกท่านมีชีวิตอยู่ ท่านถูกส่งมาหาศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกับออลิเวอร์ คาวเดอร์รีเพื่อประสาทกุญแจทั้งหลายของการรวบรวมอิสราเอลในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา …

เอลีอัสมาหลังจากโมเสสประสาทกุญแจทั้งหลายของท่านแล้ว ท่านมาพร้อมด้วยพระกิตติคุณของสมัยการประทานซึ่งอับราฮัมยังมีชีวิตอยู่ [ดู คพ. 110:12] ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสมัยการประทานนั้น พรทั้งหลายที่เคยประสาทแก่อับราฮัม สัญญาที่ให้ไว้แก่ลูกหลานของท่าน ทุกสิ่งต้องได้รับการฟื้นฟู และเอลีอัสผู้ที่ถือกุญแจของสมัยการประทานนั้นมาแล้ว

จากนั้นเอลียาห์ ศาสดาพยากรณ์ท่านสุดท้ายผู้ถือกุญแจของอำนาจแห่งการผนึกในอิสราเอลสมัยโบราณ มาประสาทอำนาจนั้น อำนาจแห่งการผนึก [ดู คพ. 110:13–16] สมาชิกศาสนจักรบางคนสับสนว่าเอลียาห์มาพร้อมกับกุญแจแห่งบัพติศมาแทนคนตายหรือความรอดสำหรับคนตาย กุญแจของเอลียาห์ยิ่งใหญ่กว่านั้น กุญแจเหล่านั้นเป็นกุญแจแห่งการผนึก และกุญแจแห่งการผนึกเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคนเป็นและน้อมรับคนตายที่ยินดีกลับใจ13

เอลียาห์ ศาสดาพยากรณ์ … ประสาทอำนาจการผนึกแก่พวกท่าน [โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอร์รี] พลังอำนาจที่ใช้ฐานะปุโรหิตผูกไว้บนแผ่นดินโลกและผนึกไว้ในสวรรค์14

อำนาจ [การ] ผนึกอนุมัติแก่ศาสนพิธีทุกอย่างที่กระทำในศาสนจักรนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประกอบในพระวิหารของพระเจ้า15

A painting by Dan Lewis showing Elijah in a white robe, standing by a window inside the Kirtland Temple and talking to Joseph Smith and Oliver Cowdery.

ในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ เอลียาห์ปรากฏต่อโจเซฟ สมิธกับออลิเวอร์ คาวเดอร์รีและประสาทกุญแจแห่งการผนึก

พี่น้องทั้งหลาย นี่คือสมัยการประทานแห่งรัศมีภาพ สมัยการประทานอื่นๆ ทุกสมัยรวมอยู่ในนี้ สิทธิอำนาจทั้งหมด พลังอำนาจทั้งหมด มีศูนย์กลางในสมัยการประทานนี้ที่เราอยู่ เราได้รับสิทธิพิเศษให้รับส่วนของพรเหล่านี้โดยผ่านความซื่อสัตย์ของเรา16

บัดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าว—อย่างชัดเจนและเฉียบขาด—ว่าเรามีฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์และกุญแจแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าที่นี่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเท่านั้น17

3

ประธานศาสนจักรถือกุญแจทั้งหมดในศาสนจักร

ไม่นานก่อนมรณสักขีของศาสดาพยากรณ์ [โจเซฟ สมิธ] ท่านประสาทกุญแจทั้งหมด ศาสนพิธีและฐานะปุโรหิตที่จำเป็นทั้งหมดแก่อัครสาวกสิบสอง—ผู้เป็นส่วนหนึ่งของโควรัมที่สองในศาสนจักร—เพื่อดำเนินงานยิ่งใหญ่และมีรัศมีภาพแห่งความรอดของมนุษย์ทั้งปวง18

ฐานะปุโรหิตและกุญแจเหล่านี้ … มอบให้ชายทุกคนที่ได้รับการวางมือมอบหน้าที่เป็นสมาชิกสภาอัครสาวกสิบสอง แต่เนื่องจากเป็นสิทธิของฝ่ายประธาน อัครสาวกอาวุโสของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ผู้เป็นประธานศาสนจักรเท่านั้นจึงจะสามารถใช้กุญแจได้อย่างเต็มที่ 19

ประธานศาสนจักรถือกุญแจของทั้งศาสนจักร … ท่านเป็นศูนย์รวมพลังอำนาจของฐานะปุโรหิต ท่านมีกุญแจทั้งหมดทุกประเภทที่เกี่ยวกับสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา กุญแจทั้งหมดของสมัยการประทานก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับการเปิดเผยได้มอบให้ท่านทั้งหมดแล้ว20

4

เราควรให้เกียรติคนเหล่านั้นที่ได้รับมอบกุญแจของสิทธิอำนาจจากประธานศาสนจักร

[ประธานศาสนจักร] มีสิทธิ์ที่จะมอบสิทธิอำนาจและถอดถอนสิทธิอำนาจตามที่ท่านเห็นสมควรและรับการดลใจให้ทำเช่นนั้น21

จำไว้ว่ามีเพียงคนเดียวบนพื้นพิภพที่ดำรงอำนาจการผนึกของฐานะปุโรหิต และท่านสามารถมอบอำนาจนั้นแก่คนอื่น เพื่อพวกเขาอาจทำและพวกเขาอาจผนึกบนแผ่นดินโลก และสิ่งนั้นมีผล เป็นการผูกมัดตราบเท่าที่ท่านยินยอม หากท่านถอดถอนก็ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถใช้อำนาจนั้นได้เลย 22

ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถประกอบพิธีหรือประสาทพรแห่งพระวิหารโดยไม่มีสิทธิอำนาจที่ได้รับมอบหมายจากประธานศาสนจักร ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถประกอบพิธีในศาสนจักรโดยปราศจากคุณธรรมที่มาพร้อมกับเขาในการกระทำนั้น ดังที่ได้รับโดยผ่านพลังอำนาจและกุญแจที่ประธานศาสนจักรมีอยู่ … หากโดยอาศัยกุญแจซึ่งท่านมีอยู่ ท่านจะกล่าวว่าสิทธิพิเศษที่มอบไว้ควรถูกถอดถอนจากผู้คน จากนั้นจะไม่มีมนุษย์คนใดมีสิทธิอำนาจประกอบพิธีในการมอบสิทธิพิเศษเหล่านั้นได้อีก ใครก็ตามที่พยายามทำเช่นนั้น การกระทำของเขาจะไม่มีผล และคนที่พยายามประกอบพิธีจะต้องตอบคำถามต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า หากไม่ต้องตอบต่อหน้าศาสนจักร และจะชี้ขาดว่าเขากระทำการล่วงละเมิด …

… เมื่ออัครสาวกหรือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ไปเยี่ยมสเตคแห่งไซอันและได้รับมอบหมายให้วางระเบียบอะไรก็ตามที่เรียกร้องให้ดำเนินการ พวกท่านทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย หรือสิทธิอำนาจ ที่ประธานศาสนจักรมอบหมายให้พวกท่าน หลักธรรมเดียวกันนี้ประยุกต์ใช้ในระดับที่น้อยกว่าในสเตคและในวอร์ด23

ชายทุกคนที่ได้รับเลือกอย่างเหมาะสมให้ควบคุมการเรียกใดๆ ก็ตามในศาสนจักรควรได้รับเกียรติในการเรียกของเขา เมื่อผู้ชายได้รับแต่งตั้งสู่ตำแหน่งอธิการ เขาได้รับมอบกุญแจจากฝ่ายประธานให้ดูแลวอร์ดที่เขาประจำอยู่และสมาชิกทุกคนในวอร์ดควรให้เกียรติในการเรียกของเขา ไม่สำคัญว่าชายผู้นั้นดำรงตำแหน่งอะไร สิ่งนี้ใช้ได้กับประธานสเตค ประธานโควรัม หรือใครก็ตาม เพื่อยกตัวอย่างว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เราได้รับการสอนว่าไม่มีบิดาคนใดมีสิทธิ์ให้บัพติศมาบุตรธิดาของเขาโดยปราศจากการได้รับอนุญาตจากอธิการของเขาเสียก่อน แม้ว่าเขาจะดำรงฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคก็ตาม เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว บิดาจึงได้รับสิทธิอำนาจให้ประกอบศาสนพิธีแก่บุตรของเขา บิดาไม่ควรตัดสินใจให้บัพติศมา หรือแต่งตั้งลูกชายของเขาด้วยตนเอง หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ควบคุมในวอร์ดหรือสเตคผู้ถือกุญแจแห่งสิทธิอำนาจเสียก่อน จะถือเป็นการล่วงละเมิด ทั้งนี้แล้วแต่กรณี หลักการนี้ใช้กับอัครสาวกตลอดจนเอ็ลเดอร์ในวอร์ด แม้ประธานศาสนจักรจะคิดทำเช่นนั้นก็มิได้ หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากอธิการในวอร์ดหรือประธานสเตคของเขาและมีสิทธิอำนาจที่มอบหมายให้อธิการหรือประธานสเตคเสียก่อน24

5

เสียงเอกฉันท์ของคนเหล่านั้นที่ถือกุญแจแห่งอาณาจักรจะนำทางเราไปสู่ที่ซึ่งพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราอยู่เสมอ

ข้าพเจ้าคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ในใจเรา ไม่ว่าประธานศาสนจักร ฝ่ายประธานสูงสุด หรือเสียงเอกฉันท์ของฝ่ายประธานสูงสุดและอัครสาวกสิบสองจะไม่มีวันนำท่านออกนอกลู่นอกทางหรือให้คำแนะนำแก่โลกที่ตรงข้ามกับพระดำริหรือพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอันขาด

คนหนึ่งอาจตกไปข้างทาง หรือมีความคิดเห็น หรือให้คำปรึกษาที่ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่เสียงของฝ่ายประธานสูงสุดและเสียงเอกฉันท์ของคนอื่นๆ เหล่านั้นที่มีกุญแจแห่งอาณาจักรจะนำวิสุทธิชนกับโลกในทางที่พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาไปเสมอ …

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าหากเราจะมองฝ่ายประธานสูงสุด ทำตามคำแนะนำและการนำทางของพวกท่าน จะไม่มีพลังอำนาจใดบนแผ่นดินโลกสามารถหยุดยั้งหรือเปลี่ยนแปลงวิถีของเราในฐานะศาสนจักรได้ และในฐานะคนๆ หนึ่ง เราจะได้รับสันติสุขในชีวิตนี้และเป็นผู้สืบทอดรัศมีภาพนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง [ดู คพ. 59:23]25

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เราสามารถทำตามแบบอย่างของประธานสมิธในทางใดบ้างเมื่อเราสนับสนุนคนเหล่านั้นที่ถือกุญแจฐานะปุโรหิต (ดู “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ”)

  • หัวข้อที่ 1 ช่วยท่านเข้าใจความแตกต่างระหว่างการดำรงตำแหน่งในฐานะปุโรหิตกับการถือกุญแจของฐานะปุโรหิตอย่างไร เหตุใดท่านจึงคิดว่าการแยกแยะเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ

  • กุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกทำให้ท่านได้รับพรในทางใดบ้าง (ดูหัวข้อที่ 2)

  • ท่านคิดว่าการจัดตั้งตามที่บรรยายไว้ในหัวข้อที่ 3 และ 4 เสริมสร้างศาสนจักรให้เข้มแข็งอย่างไร สมาชิกศาสนจักรแต่ละคนได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างไร

  • ท่านรู้สึกอย่างไรขณะพิจารณาถ้อยคำของประธานสมิธเกี่ยวกับความไม่เป็นหนึ่งเดียวท่ามกลางฝ่ายประธานสูงสุดกับโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านได้รับการนำทางโดยผ่าน “เสียงเอกฉันท์” ของพวกท่านเมื่อไร (ดู หัวข้อที่ 5)

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 16:13–19; กิจการ 3:21; คพ. 21:4–6; 27:5–13; 65:2; 128:8–21; 132:7

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“อาจมี … หลายครั้งที่ท่านไม่ทราบคำตอบของคำถาม ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น ให้ตอบง่ายๆ ว่าท่านไม่ทราบ ท่านอาจต้องการพูดว่าท่านจะพยายามหาคำตอบ หรือท่านอาจต้องการเชื้อเชิญให้ผู้เรียนหาคำตอบโดยให้เวลาในบทเรียนคราวต่อไปเพื่อรายงานสิ่งที่เขาเรียนรู้มา” (ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 64)

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, เม.ย. 1951 หน้า 58

  2. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์, ฉบับที่ 5 (1957–1966), 2:40

  3. ใน ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์, Joseph Fielding Smith: Gospel Scholar, Prophet of God (1992), 342

  4. เอ็น. เอ็ลดอน แทนเนอร์, “A Man without Guile,” Ensign, ส.ค. 1972 หน้า 33

  5. “Principles of the Gospel: The New and Everlasting Covenant,” Deseret News, 6 พ.ค. 1939, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 5; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 3:136–137 ด้วย

  6. ใน Conference Report, เม.ย. 1967 หน้า 98

  7. “Eternal Keys and the Right to Preside,” Ensign, ก.ค. 1972 หน้า 87

  8. ใน Conference Report, เม.ย. 1967 หน้า 99

  9. “Out of the Darkness,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 4

  10. “The Coming of Elijah,” Ensign, ม.ค. 1972 หน้า 5

  11. “The Keys of the Priesthood Restored,” Utah Genealogical and Historical Magazine, ก.ค. 1936, 98–99

  12. “The Keys of the Priesthood Restored,” 101

  13. “The Keys of the Priesthood Restored,” 99–100

  14. ใน Conference Report, เม.ย. 1970 หน้า 58

  15. ใน Conference Report, เม.ย. 1948 หน้า 135; ดู Doctrines of Salvation, 3:129 ด้วย

  16. “The Keys of the Priesthood Restored,” 101

  17. “Eternal Keys and the Right to Preside,” 87–88

  18. Doctrines of Salvation, 3:154

  19. “Eternal Keys and the Right to Preside,” 87

  20. “Priesthood—Restoration of Keys,” Deseret News, 16 ก.ย. 1933; หัวข้อข่าวศาสนจักร หน้า 4; ดู Doctrines of Salvation, 3:135 ด้วย

  21. “The Keys of the Priesthood Restored,” 101; ดู Doctrines of Salvation, 3:135 ด้วย

  22. Elijah the Prophet and His Mission and Salvation Universal (1957), 50; ดู Doctrines of Salvation, 3:136 ด้วย

  23. ใน Conference Report, เม.ย. 1967 หน้า 98–99

  24. คำตอบของคำถามพระกิตติคุณ 2:40–41

  25. “Eternal Keys and the Right to Preside,” 88