คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 19: อยู่ในโลกแต่อย่าเป็นของโลก


บทที่ 19

อยู่ในโลกแต่อย่าเป็นของโลก

“ขณะที่เราอยู่ในโลก เราไม่ใช่ของโลก เราได้รับการคาดหวังให้เอาชนะโลกและดำเนินชีวิตแบบวิสุทธิชน”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

วันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ลูอิส บุตรชายประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเสียชีวิตขณะรับใช้ในกองทัพสหรัฐ แม้ประธานสมิธต้องเผชิญกับความโศกเศร้า แต่ท่านได้รับการปลอบประโลมโดยความทรงจำถึงชีวิตที่ดีงามของลูอิส “หากลูอิสเคยทำหรือกล่าวถ้อยคำหยาบคาย ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยิน” ประธานสมิธเขียนในบันทึกส่วนตัวของท่าน “ความคิดเขาบริสุทธิ์เหมือนการกระทำของเขา … แม้จะยากเย็นเพียงไร เราสงบและมีความสุขที่ทราบว่าเขาสะอาดและเป็นอิสระจากความชั่วร้ายที่แพร่หลายอยู่ในโลกและพบได้ในกองทัพ เขาแน่วแน่ต่อความเชื่อของเขาและมีค่าควรต่อการฟื้นคืนชีวิตในรัศมีภาพ เมื่อเราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง”1

ประมาณ 11 ปีต่อมา ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกับเจสซีภรรยาท่าน เห็นอุปนิสัยคล้ายกันนี้ในบุคลากรของกองทัพ ท่านทั้งสองไปเยี่ยมคณะเผยแผ่ของศาสนจักรในเอเชียตะวันออก และไปเยี่ยมวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจากสหรัฐที่กำลังรับใช้ในกองทัพเช่นกัน ประธานสมิธกับซิสเตอร์สมิธประทับใจชายหนุ่มเหล่านี้ ผู้ที่แม้จะมีการล่อลวงของโลก แต่ยังคงดำเนินชีวิตที่ดีและสะอาด ในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 1955 ประธานสมิธพูดถึงความประทับใจดังนี้

“บิดามารดาทั้งหลาย ผู้ที่บุตรชายกำลังรับใช้ในกองทัพ จงภูมิใจในตัวพวกเขา พวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ดีเยี่ยม ทหารของเราบางคนเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส ผู้ที่เข้ามาในศาสนจักรโดยคำสอน โดยกฎเกณฑ์และแบบอย่าง—ส่วนใหญ่แล้ว โดยแบบอย่างของสมาชิกศาสนจักรที่กำลังรับใช้ร่วมกับพวกเขาในกองทัพ

“ข้าพเจ้าพบปะกับชายหนุ่มหลายคนซึ่งกล่าวว่า ‘เราเข้ามาในศาสนจักรเพราะชีวิตชายหนุ่มเหล่านี้และเพราะพวกเขาสอนหลักธรรมพระกิตติคุณให้พวกเรา’

“พวกเขากำลังทำงานดี อาจมีหนึ่งหรือสองคนที่ประมาท แต่ชายหนุ่มเหล่านั้นกับคนที่ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบปะพูดคุยด้วย จะแสดงประจักษ์พยานของพวกเขาถึงความจริงและกำลังดำเนินชีวิตอย่างนอบน้อม

“เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับเจ้าหน้าที่และอนุศาสนาจารย์ … ทุกคนกล่าวว่า ‘เราชอบชายหนุ่มของท่าน พวกเขาสะอาด พวกเขาเชื่อถือได้”’2

ประธานสมิธเตือนให้สมาชิกศาสนจักรเป็น—เหมือนทหารหนุ่มเหล่านี้—“แตกต่างจากส่วนที่เหลืออยู่ของโลก”3 ในโอวาทเช่นนั้น ท่านมักจะกล่าวถึงการรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ การเชื่อฟังพระคำแห่งปัญญา การเคารพพระนามของพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ การแต่งกายสุภาพเรียบร้อย และการรักษากฎความบริสุทธิ์ทางเพศ ท่านสร้างความเชื่อมั่นแก่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายว่าหากพวกเขาละทิ้งความชั่วร้ายของโลกและรักษาพระบัญญัติ พรที่พวกเขาได้รับจะ “เพิ่มพูนในทุกสิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ในตอนนี้”4

ภาพ
A soldier sitting in a Humvee reading a serviceman's edition of the Book of Mormon

แม้ในยามสงคราม เราสามารถดำเนินชีวิตในโลกแต่ไม่เป็นของโลก

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราละทิ้งความชั่วร้ายของโลกและดำเนินชีวิตแบบวิสุทธิชน

เรากำลังดำเนินชีวิตในโลกที่ชั่วร้ายเลวทราม แต่ขณะที่เราอยู่ในโลก เราอย่าเป็นของโลก เราได้รับการคาดหวังให้เอาชนะโลกและดำเนินชีวิตแบบวิสุทธิชน … เรามีความสว่างมากกว่าโลก และพระเจ้าทรงคาดหวังจากเรามากกว่าที่ทรงคาดหวังจากพวกเขา5

ในยอห์นบทที่สิบเจ็ด—แทบจะไม่มีครั้งใดที่ข้าพเจ้าอ่านบทนี้แล้วไม่หลั่งน้ำตา— … พระเจ้าของเรา ขณะสวดอ้อนวอนพระบิดาในความนุ่มนวลของจิตวิญญาณทั้งหมดเพราะทรงทราบว่าใกล้เวลาที่พระองค์จะทรงพลีพระชนม์ชีพเป็นเครื่องบูชา ทรงสวดอ้อนวอนเพื่อสานุศิษย์พระองค์ ในคำสวดอ้อนวอนนั้นพระองค์ตรัสว่า

“ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย

“พวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก

“ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (ยอห์น 17:15–17)

หากเรากำลังดำเนินชีวิตตามศาสนาที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยและเราได้รับ เราย่อมไม่เป็นของโลก เราไม่ควรมีส่วนร่วมในความโง่เขลาทั้งสิ้นของโลก เราไม่ควรมีส่วนร่วมในบาปและความผิดของโลก—ความผิดในหลักปรัชญาและความผิดในหลักคำสอน ความผิดที่เกี่ยวกับรัฐบาลหรือไม่ว่าความผิดเหล่านั้นจะเป็นเรื่องใดก็ตาม—เราไม่มีส่วนในนั้น

เรามีส่วนเพียงอย่างเดียวคือรักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือทั้งหมด โดยแน่วแน่ต่อพันธสัญญาทุกข้อและพันธรับผิดชอบทุกข้อที่เราเข้าไปและรับไว้กับตัวเรา6

จากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้ว อย่าเพิ่งคิดว่าข้าพเจ้ารู้สึกว่าเราควรตีตนออกห่างจากทุกคนที่อยู่นอกศาสนจักร และไม่คบค้าสมาคมกับพวกเขา ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าต้องการให้เราเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เสมอต้นเสมอปลาย และถ้าผู้คนในโลกเดินอยู่ในความมืด บาป และสิ่งตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า ย่อมมีเหตุให้เราต้องแยกจากไป7

เมื่อเราเข้าร่วมศาสนจักร … เราได้รับการคาดหวังให้ละทิ้งวิถีหลายอย่างของโลกและดำเนินชีวิตแบบวิสุทธิชน เราต้องไม่แต่งกายหรือพูดหรือทำหรือแม้แต่คิดอย่างที่คนอื่นมักจะทำอีกต่อไป หลายคนในโลกใช้ชา กาแฟ ยาสูบ เครื่องดื่มมึนเมา และมีส่วนร่วมในการใช้ยาเสพติด หลายคนหยาบคาย กักขฬะ ประพฤติตนไม่เหมาะสม ไร้ศีลธรรม และดำเนินชีวิตไม่สะอาด แต่ทั้งหมดนี้ เราไม่ควรประพฤติตาม เราเป็นวิสุทธิชนของพระผู้สูงสุด …

ข้าพเจ้าเรียกร้องให้ศาสนจักรและสมาชิกทั้งหมดละทิ้งความชั่วร้ายของโลก เราต้องหลีกเลี่ยงความไม่บริสุทธิ์ทางเพศและการผิดศีลธรรมทุกรูปแบบประหนึ่งเราหลีกเลี่ยงโรคระบาด …

ในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า จุดประสงค์ของเราคือเดินอยู่ในทางที่ทรงเตรียมไว้ให้เรา เราไม่เพียงปรารถนาจะทำหรือพูดสิ่งที่จะทำให้พระองค์พอพระทัยเท่านั้น แต่เราพยายามดำเนินชีวิตเราให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วย8

รักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์

ข้าพเจ้าขอพูดสักเล็กน้อยเกี่ยวกับการถือวันสะบาโตและรักษาไว้ให้บริสุทธิ์ พระบัญญัติข้อนี้ประทานไว้นับแต่กาลเริ่มต้น พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาวิสุทธิชนและผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกให้ถือวันสะบาโตและรักษาไว้ให้บริสุทธิ์—วันหนึ่งในเจ็ดวัน วันนั้นเราควรพักผ่อนจากการทำงานของเรา เราควรไปยังบ้านของพระเจ้าและถวายศีลระลึกในวันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะนี่คือวันที่กำหนดไว้ให้เรา ซึ่งเราจะพักผ่อนจากการทำงานและแสดงความจงรักภักดีต่อพระผู้สูงสุด [ดู คพ. 59:9–10] ในวันนี้ เราควรน้อมขอบพระทัยและเทิดทูนพระองค์ในการสวดอ้อนวอน อดอาหาร ร้องเพลง จรรโลงใจและให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน9

วันสะบาโตกลายเป็นวันแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลิน และอะไรก็ตามแต่ไม่ใช่วันแห่งการนมัสการ … ข้าพเจ้าเสียใจที่จะกล่าวว่าสมาชิกมากมาย—แม้คนเดียวก็มากเกินไปแล้ว—ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเข้าร่วมกับกระบวนการดังกล่าว สมาชิกบางคนของศาสนจักรมองวันสะบาโตว่าเป็นวันแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลิน มากกว่าวันที่เราจะรับใช้พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วยสุดใจ สุดพลัง ความนึกคิดและพละกำลังของเรา …

บัดนี้ นี่คือกฎที่มีต่อศาสนจักรทุกวันนี้ ดังที่เคยเป็นกฎในสมัยอิสราเอลโบราณ และคนของเราบางคนเหนื่อยหน่ายเพราะพวกเขารู้สึกว่าการถือรักษาวันสะบาโตนั้นกำจัดกิจกรรมของพวกเขาออกไป10

เราไม่มีสิทธิ์ละเมิดวันสะบาโต … ข้าพเจ้าเศร้าใจมาก แม้กระทั่งในสังคมวิสุทธิชนยุคสุดท้าย หลักคำสอนนี้ถูกมองข้ามจากสมาชิกบางคนทั้งที่ไม่น่าเป็นเช่นนั้น ในบรรดาพวกเรา มีคนที่ดูเหมือนจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่สุดหากจะทำตามวัฒนธรรมของโลกในเรื่องนี้ พวกเขารับแนวคิดและทัศนะของโลกในการละเมิดพระบัญญัติพระเจ้า แต่ถ้าเราทำเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงถือว่าเรามีภาระรับผิดชอบ เราไม่สามารถฝ่าฝืนพระคำของพระองค์และรับพรของผู้ที่ซื่อสัตย์ได้เลย11

จงเชื่อฟังพระวาจาแห่งปัญญา

พระคำแห่งปัญญาคือกฎขั้นพื้นฐาน กฎนี้ชี้ทางและให้คำแนะนำมากมายแก่เรา ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งในเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หากเราตั้งใจทำตามสิ่งที่เขียนไว้ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า เราก็ไม่ต้องการคำแนะนำใดเพิ่มเติมอีก คำแนะนำที่ยอดเยี่ยมดังกล่าวมีคำสัญญาดังนี้

“และวิสุทธิชนทั้งปวงผู้จดจำที่จะรักษาและทำตามคำกล่าวเหล่านี้, โดยดำเนินชีวิตอยู่ในการเชื่อฟังพระบัญญัติ, จะได้รับพลานามัยในสะดือพวกเขาและไขแก่กระดูกพวกเขา;

“และจะพบปัญญาและขุมทรัพย์แห่งความรู้, แม้ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่;

“และจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย, และจะเดินและไม่อ่อนล้า.” [คพ. 89:18–20]12

เราใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับสุราและยาสูบ การมอมเมาและสิ่งโสมมที่ความชั่วร้ายเหล่านี้นำมาให้ครอบครัวมนุษย์ ไม่เพียงบ่อนทำลายสุขภาพเท่านั้น แต่ทำลายปราการทางศีลธรรมและวิญญาณของมนุษย์ด้วย13

ครอบครัวแตกแยกโดยการใช้ยาผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นและการใช้ยาถูกกฎหมายในทางที่ผิด14

เราต้องไม่ฟังโฆษณา [ที่] ล่อลวงและชั่วร้ายถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายซึ่งตรงข้ามกับพระกิตติคุณที่ประทานแก่เรา สิ่งเหล่านี้ถูกกล่าวโทษจากพระบิดาในสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ …

ร่างกายของเราต้องสะอาด ความคิดของเราต้องสะอาด เราต้องมีความปรารถนาในใจที่จะรับใช้พระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ระลึกถึงการสวดอ้อนวอนของเรา และแสวงหาคำแนะนำด้วยความนอบน้อมซึ่งมาโดยผ่านการนำทางของพระวิญญาณพระเจ้า15

ภาพ
Joseph Smith with a paper in his hand talking with men at the School of the Prophets about the Word of Wisdom. Some of the men are smoking or chewing tobacco. Emma Smith is holding a broom or mop.

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระคำแห่งปัญญาต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ เพื่อช่วยให้วิสุทธิชนได้รับความเข้มแข็งทางร่างกายและทางวิญญาณ

เคารพพระนามพระผู้เป็นเจ้า

เราควรเทิดทูนพระนามพระผู้เป็นเจ้าด้วยความเคารพตามพิธีทางศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรน่าหนักใจหรือทำให้คนดีตกใจมากกว่าการได้ยินบางสิ่งที่หยาบคาย เขลา หรือวาจาที่ไร้ความเคารพพระนามของพระผู้เป็นเจ้า บางคนหยาบคายจนเกือบสุดวิสัยที่พวกเขาจะพูดแค่สองสามประโยคโดยไม่เน้นวาจากักขฬะหรือสบถสาบาน—ดังที่พวกเขาคิด—มีบางคนที่ดูเหมือนจะคิด … ว่าเป็นการบ่งบอกความเป็นลูกผู้ชายและเชิดชูพวกเขาจากความเป็นมนุษย์ธรรมดา หากพวกเขาใช้คำสบประมาทเช่นนั้น … ความสกปรกทุกรูปแบบเป็นการลดมาตรฐานและทำลายจิตวิญญาณ สมาชิกทุกคนของศาสนจักรพึงหลีกเลี่ยงพิษร้ายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต

บ่อยครั้ง เรื่องราวดีๆ มักจะถูกทำลายอย่างง่ายดายเพราะผู้ประพันธ์ไม่เข้าใจความเหมาะสมของการใช้พระนามศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเอ่ยปากดูหมิ่นพระลักษณะอันควรแก่การเคารพยกย่องแทนที่จะยกระดับเรื่องราวที่พวกเขาเชิญชวนโดยใช้คุณค่าและความน่าสนใจ … น่าแปลกเพียงไรที่บางคน แม้แต่คนดี ก็คิดว่าการเอ่ยถ้อยคำที่มีพระนามของพระเจ้า เพิ่มความน่าสนใจ ความขบขัน หรือพลังให้แก่เรื่องราวของพวกเขา …

นอกจากผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลก วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพึงระลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และความคารวะสูงสุดในทุกสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนของโลกไม่ได้รับการอบรมเรื่องดังกล่าวอย่างที่เราได้รับ แม้ว่าจะมีคนซื่อสัตย์ คนเลื่อมใสศรัทธา และคนดีอยู่มากมายในโลกก็ตาม แต่เรามีการนำทางจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และการเปิดเผยจากพระเจ้า พระองค์ทรงสอนเราอย่างจริงจังถึงหน้าที่ของเราในยุคของเรา อันเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้16

การแต่งกายสุภาพเรียบร้อยและการรักษากฎความบริสุทธิ์ทางเพศ

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่ควรตามแฟชั่นและความไม่สุภาพเรียบร้อยของโลก เราคือผู้คนของพระเจ้า พระองค์ทรงคาดหวังให้เราดำเนินชีวิตที่สะอาด ชีวิตที่บริสุทธิ์ เพื่อรักษาความนึกคิดของเราให้สะอาดและจิตใจของเราให้บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ในการรักษาพระบัญญัติข้ออื่นๆ ทุกข้อของพระองค์ เพราะเหตุใดเราจึงควรทำตามโลก เหตุใดเราจึงมีความสุภาพเรียบร้อยไม่ได้ เหตุใดเราจึงทำสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำไม่ได้17

ขณะที่ข้าพเจ้าเดินไปตามถนนเพื่อไปหรือกลับจากอาคารสำนักงานศาสนจักร ข้าพเจ้าเห็นสตรีทั้งที่อยู่ในวัยสาวและสูงวัย หลายคนเป็น “ธิดาของไซอัน” ที่แต่งกายไม่สุภาพเรียบร้อย [ดู อิสยาห์ 3:16–24] ข้าพเจ้าตระหนักว่ากาลเวลาและแฟชั่นเปลี่ยนแปลงไป … [แต่] หลักธรรมแห่งความสุภาพและความเหมาะสมยังคงเหมือนเดิม … มาตรฐานที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักรกล่าวไว้คือหญิงและชายควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย พวกเขาได้รับการสอนให้มีความประพฤติที่เหมาะสมและสุภาพเรียบร้อยตลอดเวลา

ในวิจารณญาณของข้าพเจ้า นี่คือสิ่งที่น่าเสียใจเกี่ยวกับ “ธิดาของไซอัน” เมื่อพวกเธอแต่งกายไม่สุภาพเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ข้อสังเกตนี้มีทั้งบุรุษและสตรี พระเจ้าประทานบัญญัติต่ออิสราเอลสมัยโบราณว่าทั้งชายและหญิงควรปกปิดร่างกายของพวกเขาและถึอรักษากฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศตลอดเวลา

ข้าพเจ้ากำลังวิงวอนขอความสุภาพเรียบร้อยและความบริสุทธิ์ทางเพศ ขอให้สมาชิกทุกคนของศาสนจักร ทั้งชายและหญิง ทำชีวิตของพวกเขาให้สะอาด เชื่อฟังพันธสัญญาและพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่เรา …

… การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่สุภาพเรียบร้อย ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย ได้ [นำ] บางสิ่งบางอย่างไปจากหนุ่มสาวในศาสนจักร สิ่งนี้ทำให้ยากขึ้นต่อการรักษาหลักธรรมนิรันดร์เหล่านั้น ซึ่งเราทุกคนต้องดำเนินตามหากเราต้องกลับไปยังที่ประทับของพระบิดาในสวรรค์18

2

พรที่สัญญาไว้กับคนซื่อสัตย์สำคัญกว่าความพึงพอใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของโลก

[ครั้งหนึ่ง สมาชิกคนหนึ่งของศาสนจักรเคยพูดว่าเขา] ไม่ค่อยเข้าใจว่าเมื่อเขาจ่ายส่วนสิบ รักษาพระคำแห่งปัญญา สวดอ้อนวอนเสมอ และพยายามเชื่อฟังพระบัญญัติทุกข้อที่พระเจ้าประทานแก่เขาแล้ว แต่เขายังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ ขณะที่เพื่อนบ้านเขาละเมิดวันสะบาโต ข้าพเจ้าคิดว่าเขาสูบบุหรี่และดื่มสุราด้วย เขามีสิ่งที่โลกเรียกว่าสนุกสนาน เขาไม่เอาใจใส่คำสอนของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ แต่เขาก็ยังเจริญรุ่งเรือง

เรามีสมาชิกที่ดีหลายคนของศาสนจักรที่ไตร่ตรองเรื่องนี้ในใจพวกเขาและสงสัยว่าเพราะเหตุใด เหตุใดคนคนนี้จึงดูเหมือนจะได้รับพรด้วยสิ่งดีๆ ทั้งหลายของโลก—เป็นเรื่องธรรมดา หลายสิ่งไม่ดีแต่เขาคิดว่าดี—ทว่าสมาชิกมากมายของศาสนจักรกำลังดิ้นรน ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรเพื่อพยายามผ่านโลกนี้ไปให้ได้

คำตอบง่ายๆ ถ้าบางครั้งและนานๆ ครั้งที่ข้าพเจ้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลหรือเบสบอล หรือไปสถานบันเทิงบางแห่ง ข้าพเจ้าจะถูกล้อมรอบด้วยชายหญิงที่กำลังพ่นควันจากบุหรี่หรือซิการ์หรือกล้องยาเส้นอันแสนสกปรกอย่างช่วยไม่ได้ มันน่ารำคาญและรบกวนข้าพเจ้าบ้างเล็กน้อย ข้าพเจ้าจะหันไปหาซิสเตอร์สมิธ พูดอะไรบางอย่างกับเธอ และเธอจะพูดว่า “คุณรู้สินะว่าคุณสอนอะไรดิฉัน คุณอยู่ในโลกของพวกเขา นี่คือโลกของพวกเขา” และคำพูดนั้นนั่นเองที่ทำให้ข้าพเจ้าฉุกคิด ใช่แล้ว เราอยู่ในโลกของพวกเขา แต่เราต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น

ดังนั้น เมื่อนี่คือโลกของพวกเขาซึ่งเรากำลังอาศัยอยู่ พวกเขาจึงรุ่งเรือง แต่พี่น้องที่ดีของข้าพเจ้า โลกของพวกเขากำลังจะถึงจุดจบของมัน …

วันเวลาจะมาถึงเมื่อเราจะไม่มีโลกนี้ โลกนี้จะถูกเปลี่ยนแปลง เราจะได้รับโลกที่ดีกว่า เราจะได้โลกที่ชอบธรรม เพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงชำระล้างแผ่นดินโลก19

หากเราจะค้นคว้าอย่างขยันหมั่นเพียร สวดอ้อนวอนเสมอ เชื่อและดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรง พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าสิ่งทั้งปวงจะร่วมกันส่งผลเพื่อความดีของเรา [ดู คพ. 90:24] สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสัญญาว่าเราจะเป็นอิสระจากการทดลองและปัญหาชีวิต สำหรับช่วงเวลาแห่งการทดสอบนี้วางรูปแบบไว้เพื่อให้ประสบการณ์และสถานการณ์ที่ยากลำบากและขัดแย้งแก่เรา

พระเจ้าไม่ทรงมีเจตนาจะให้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงทำให้การทดลองและความยากลำบากส่งผลเพื่อความดีของเรา พระองค์จะประทานความเข้มแข็งและความสามารถที่จะเอาชนะโลกและยืนหยัดในศรัทธาแม้จะมีการตรงกันข้ามในทุกสิ่ง พระองค์ทรงสัญญาว่าเราจะมีสันติสุขในใจแม้ต้องเผชิญความวุ่นวายและความทุกข์ของโลก เหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นสัญญาว่าเมื่อชีวิตนี้สิ้นสุดลง เราจะมีคุณสมบัติคู่ควรกับสันติสุขนิรันดร์ในที่ประทับของพระองค์ ผู้ที่เราแสวงหาพระพักตร์ ผู้เป็นเจ้าของกฎที่เรารักษา และผู้ที่เราเลือกรับใช้20

3

เมื่อเราให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้ามาก่อนในชีวิต เราเป็นแสงสว่างให้โลกและแบบอย่างให้ผู้อื่นทำตาม

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นดังเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งไม่อาจปิดบังไว้ได้ และเป็นดังเทียนส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน เป็นหน้าที่ของเราที่จะส่องสว่างเป็นแบบอย่างในความชอบธรรม ไม่เพียงกับผู้คนรอบข้างเราเท่านั้นแต่กับผู้คนทั้งโลกด้วย [ดู มัทธิว 5:14–16]21

เราปรารถนาจะเห็นวิสุทธิชนในทุกประชาชาติได้รับพรอันสมบูรณ์ของพระกิตติคุณและยืนเป็นผู้นำทางวิญญาณในประชาชาติของพวกเขา22

พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าตามที่เปิดเผยไว้ เป็นแบบอย่างต่อผู้คนบนแผ่นดินโลก เพื่อพวกเขาที่เห็นงานดีของเรา อาจรู้สึกกลับใจ รับความจริง และยอมรับแผนแห่งความรอด เพื่อที่พวกเขาจะได้รับความรอดในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า23

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าวิสุทธิชนจะยืนหยัดต้านความกดดันและการล่อลวงของโลก พวกเขาจะให้สิ่งที่เป็นของอาณาจักรพระผู้เป็นเจ้ามาก่อนในชีวิต ให้พวกเขาแน่วแน่ต่อความไว้วางใจทุกอย่างและรักษาพันธสัญญาทุกข้อ

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเพื่อคนหนุ่มสาวและอนุชนรุ่นหลังว่าพวกเขาจะรักษาความคิดและร่างกายให้สะอาด—อยู่ห่างจากการผิดศีลธรรม การใช้ยาในทางที่ผิด วิญญาณแห่งการกบฏและการต่อต้านสิ่งดีงามที่ระบาดไปทั่วแผ่นดิน

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงเทพระวิญญาณมาให้บุตรธิดาของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้รับความคุ้มครองจากภยันตรายของโลก และได้รับการรักษาให้สะอาดบริสุทธิ์ คู่ควรแก่การกลับไปยังที่ประทับของพระองค์และพำนักกับพระองค์

ขอให้การปกปักรักษาของพระองค์ดำรงอยู่กับผู้ที่แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์และคนที่ดำเนินชีวิตต่อพระพักตร์พระองค์ในความสุจริตของจิตวิญญาณ เพื่อพวกเขาจะเป็นแสงสว่างให้โลก เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ที่จะทำให้จุดประสงค์ของพระองค์เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก24

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ขณะที่ท่านอ่าน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” ให้นึกถึงความท้าทายที่คนหนุ่มสาวเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เมื่อบิดามารดาหรือผู้นำที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่กับพวกเขา เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้เยาวชนคงความซื่อสัตย์ในสถานการณ์ดังกล่าว

  • พรใดบ้างที่มาสู่เราเมื่อเรารักษาพระบัญญัติตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่ 1

  • ท่านจะใช้คำสอนในหัวข้อที่ 2 ช่วยใครบางคนที่ถูกเรื่องทางโลกทำให้หลงทางได้อย่างไร เราจะพบ “สันติสุขในใจแม้ต้องเผชิญความวุ่นวายและความทุกข์ของโลก” ได้อย่างไร

  • แบบอย่างของเราสามารถช่วยผู้อื่นละทิ้งวิถีของโลกได้อย่างไร (ดู หัวข้อที่ 3) ท่านเคยเห็นพลังของแบบอย่างที่ชอบธรรมเมื่อไร ลองนึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อเป็นแบบอย่างที่ชอบธรรมให้ครอบครัวของท่านและผู้อื่น

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 6:24; มาระโก 8:34–36; ยอห์น 14:27; ฟิลิปปี 2:14–15; โมโรไน 10:30, 32

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“ท่านแสดงความรักต่อคนที่ท่านสอนได้โดยฟังเขาอย่างตั้งใจและสนใจชีวิตของเขาอย่างจริงใจ ความรักแบบพระคริสต์มีพลังทำให้จิตใจอ่อนโยนลงและช่วยให้ผู้คนรับเสียงกระซิบของพระวิญญาณได้ง่าย” (ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 46)

อ้างอิง

  1. โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์และจอห์น เจ. สตูวาร์ท, The Life of Joseph Fielding Smith (1972), 287–288

  2. ใน Conference Report, ต.ค. 1955 หน้า 43–44

  3. ใน Conference Report, เม.ย. 1947 หน้า 60–61

  4. “Our Responsibilities as Priesthood Holders,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 50

  5. “President Joseph Fielding Smith Speaks to 14,000 Youth at Long Beach, California,” New Era, ก.ค. 1971, 8

  6. ใน Conference Report, เม.ย. 1952 หน้า 27–28

  7. “The Pearl of Great Price,” Utah Genealogical and Historical Magazine, ก.ค. 1930, 104

  8. “Our Responsibilities as Priesthood Holders,” 49–50

  9. ใน Conference Report, เม.ย. 1911 หน้า 86

  10. ใน Conference Report, เม.ย. 1957 หน้า 60–61

  11. ใน Conference Report, เม.ย. 1927 หน้า 111

  12. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์ ฉบับที่ 5 (1957–1966), 1:199

  13. “Be Ye Clean!” Church News, 2 ต.ค. 1943, 4; ดู Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี ฉบับที่ 3 (1954–1956), 3:276 ด้วย

  14. ใน “Message from the First Presidency,” Ensign, ม.ค. 1971 หน้า 1

  15. ใน Conference Report, ต.ค. 1960 หน้า 51

  16. “The Spirit of Reverence and Worship,” Improvement Era, > ก.ย. 1941, 525, 572; ดู Doctrines of Salvation, 1:12–14 ด้วย

  17. “Teach Virtue and Modesty,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1963, 6

  18. “My Dear Young Fellow Workers,” New Era, ม.ค. 1971, 5

  19. ใน Conference Report, เม.ย. 1952 หน้า 28

  20. “President Joseph Fielding Smith Speaks on the New MIA Theme,” New Era, ก.ย. 1971, 40

  21. ใน Conference Report, ต.ค. 1930 หน้า 23

  22. ใน Conference Report, British Area General Conference 1971, 6

  23. ใน Conference Report, เม.ย. 1954 หน้า 28

  24. “A Witness and a Blessing,” Ensign, มิถุนายน ค.ศ. 1971 หน้า 110

พิมพ์