คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 18: ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า


บทที่ 18

ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า

“การกระทำอันสูงส่งที่สุดของการนมัสการคือการรักษาพระบัญญัติ ดำเนินตามรอยพระบาทของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้า ทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระองค์เสมอ”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

“ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาความรอด” ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธกล่าว “ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าค้นพบความรอดได้โดยการเชื่อฟังกฎของพระเจ้าในการรักษาพระบัญญัติ ในการทำงานแห่งความชอบธรรม และการดำเนินตามรอยพระบาทของพระผู้ทรงเป็นผู้นำของเรา พระเยซู องค์ต้นแบบและประมุขของสิ่งทั้งปวง”1

นอกจากการแสวงหาความรอดของท่านเองแล้ว ประธานสมิธยังทำงานอย่างขยันหมั่นเพียรเพื่อช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน เอ็ลเดอร์ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์ ซึ่งรับใช้เป็นเลขานุการฝ่ายประธานสูงสุด สังเกตว่าประธานสมิธ “เห็นว่านี่เป็นหน้าที่ของท่านที่จะเปล่งเสียงเตือน เมื่อผู้คนเริ่มออกจากทางที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ท่านไม่มีเจตนาที่จะละทิ้งหน้าที่ไม่ว่าใครจะพูดอะไร การกล่าวเช่นนั้นทำให้ท่านไม่เป็นที่นิยมในวงจรบางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีอิทธิพลขวางกั้นท่านได้ ท่านไม่มีจุดประสงค์จะเป็นที่นิยมชมชอบหรือมีชื่อเสียงในสายตาผู้คน แต่ท่านกลับเห็นบทบาทของท่านเสมือนหนึ่งยามบนหอสูง ผู้มีหน้าที่ส่งเสียงเตือนคนที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งไม่สามารถมองเห็นอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้”2

ครั้งหนึ่ง ประธานสมิธแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใจของบุคคลที่เอาใจใส่คำเตือนนี้ว่า

“ข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมใหญ่สเตคเมื่อหลายปีที่ผ่านมา และพูดเรื่องพระคำแห่งปัญญา … ขณะไปที่ด้านหลังอาคาร [อยู่ใกล้กับการประชุมใหญ่] ทุกคนออกไปเกือบหมดแล้วยกเว้นชายคนหนึ่งที่ยื่นมือออกมาพลางกล่าวว่า

“‘บราเดอร์สมิธ นั่นเป็นคำปราศรัยเรื่องพระคำแห่งปัญญาครั้งแรกที่ผมชอบ’

“ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘คุณไม่เคยได้ยินคำปราศรัยอื่นเรื่องพระคำแห่งปัญญาเลยหรือ’

“เขากล่าวว่า ‘เคยครับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความสุข’

“ข้าพเจ้าถามว่า ‘เพราะอะไรหรือ’

“เขาตอบว่า ‘เพราะตอนนี้ ผมกำลังรักษาพระคำแห่งปัญญาอยู่ครับ”’3

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

พระผู้เป็นเจ้าทรงปกครองจักรวาลโดยกฎ และเราอยู่ใต้อาณัติของกฎนั้น

ผู้คนควรยอมรับว่านับตั้งแต่พระผู้ทรงฤทธานุภาพทรงปกครองจักรวาลทั้งหมดโดยกฎที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์ซึ่งเป็นงานสร้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระองค์ ต้องอยู่ใต้อาณัติของกฎนั้น พระเจ้ารับสั่งความจริงนี้ด้วยความกระชับตรงไปตรงมาและทำให้มั่นใจในการเปิดเผยต่อศาสนจักรว่า

“อาณาจักรทั้งปวงมีกฎให้ไว้;

“และมีหลายอาณาจักร; เพราะไม่มีที่ว่างซึ่งในนั้นไม่มีอาณาจักร; และไม่มีอาณาจักรซึ่งในนั้นไม่มีที่ว่าง, ไม่ว่าอาณาจักรสูงส่งกว่าหรือต่ำต้อยกว่า.

“และแก่ทุกอาณาจักรมีกฎให้ไว้; และแก่ทุกกฎมีขอบเขตบางประการด้วยและเงื่อนไข.

“สัตภาวะทั้งปวงที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านั้นมิได้พ้นผิด” (คพ 88:36–39)

ความจริงนี้ปรากฏชัด ดังนั้น จึงมีเหตุอันสมควรที่เราจะคาดหวังให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าได้รับการปกครองโดยกฎ และคนทั้งปวงที่ปรารถนาจะเข้าไปที่นั่นต้องอยู่ใต้อาณัติแห่งกฎ “ดูเถิด, บ้านของเราเป็นบ้านแห่งระเบียบ, พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าตรัส, และมิใช่บ้านแห่งความสับสน” (คพ. 132:8)

พระเจ้าประทานมาตรฐานของกฎแก่มนุษย์ ที่เราเรียกว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เพราะขาดการดลใจ และการนำทางทางวิญญาณ มนุษย์จึงเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎและนัยสำคัญของกฎเหล่านี้ แต่แทบจะไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่ากฎดังกล่าวมีอยู่จริง และคนทั้งปวงที่พยายามเข้าไปในอาณาจักรนั้นอยู่ใต้อาณัติของกฎเหล่านี้4

เรามีความจริงทุกอย่าง หลักคำสอนทุกข้อ ทุกกฎและข้อเรียกร้อง ทุกการกระทำและศาสนพิธีที่จำเป็นต่อการช่วยให้เรารอดและรับความสูงส่งในสวรรค์สูงสุดของโลกซีเลสเชียล5

2

การรักษาพระบัญญัติเป็นการแสดงความรักที่เรามีต่อพระเจ้า

ความรับผิดชอบของเราในศาสนจักรคือการนมัสการพระเจ้าในวิญญาณและในความจริง เราพยายามทำสิ่งนี้ด้วยสุดใจ พลัง และความนึกคิด พระเยซูตรัสว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (มัทธิว 4:10)

เราเชื่อว่าการนมัสการเป็นมากกว่าการสวดอ้อนวอน การสั่งสอนและการทำตามพระกิตติคุณ การกระทำอันสูงส่งที่สุดของการนมัสการคือการรักษาพระบัญญัติ การดำเนินตามรอยพระบาทของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้า การทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระองค์ตลอดเวลา นี่คือสิ่งหนึ่งที่จะถวายคำสรรเสริญแด่พระเจ้า เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะแสดงความเคารพและเทิดทูนพระประสงค์ของพระองค์โดยทำตามแบบอย่างที่ทรงวางไว้เพื่อเรา … ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในสิทธิพิเศษที่ได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้ายินดีมากที่จะกล่าว ในโลกนี้ และสำหรับความหวังถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในโลกที่จะมาถึง หากข้าพเจ้าจะยังคงซื่อสัตย์และแน่วแน่จนกว่าชีวิตจะหาไม่6

Jesus Christ standing on a mountainside.  A group of men are seated in a circle around Him.  Christ is offering the Lord's Prayer.  Jerusalem is visible in the background.

“ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14:15)

นี่เป็นกฎสำหรับสมาชิกของศาสนจักร ในพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอด “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา …” (ยอห์น 14:21) อนึ่ง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยอห์น 14:15) …

พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงกระทำบาป ทั้งไม่แบกรับมโนธรรมอันเป็นทุกข์ จึงไม่จำเป็นที่พระองค์ต้องกลับใจเหมือนข้าพเจ้ากับท่าน แต่มีบางสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ พระองค์ทรงแบกรับภาระหนักของการล่วงละเมิดทั้งของข้าพเจ้าและของท่าน … ทรงพลีพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพื่อชดใช้หนี้ให้เราทุกคนที่เต็มใจกลับใจจากบาปแล้วหันมาหาพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ลองคิดดูเถิด หากท่านทำได้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแบกรับภาระอันเกินกว่าความเข้าใจของเราในบางด้าน ข้าพเจ้าทราบว่า เพราะข้าพเจ้ายอมรับพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเราถึงความทุกข์ทรมานที่ทรงเผชิญ ความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสจนต้องวิงวอนพระบิดาว่าหากเป็นไปได้ พระองค์จะไม่ทรงดื่มจอกแห่งความขมขื่นและชะงักอยู่ “… แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42) คำตอบที่ทรงได้รับจากพระบิดาของพระองค์คือ “ลูกต้องดื่ม”

ข้าพเจ้าไม่อาจหักห้ามใจที่จะรักพระองค์ใช่ไหม ใช่ ท่านรักพระองค์ไหม ถ้าเช่นนั้นจงรักษาพระบัญญัติของพระองค์เถิด7

3

หากเราละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เราไม่อาจคาดหวังที่จะรับพรของพระองค์ได้

เมื่อเราละทิ้งพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่เราเพื่อการนำทาง เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องพรจากพระองค์8

มีสิ่งที่ดีอะไรบ้างเกิดขึ้นกับเราในการขอพรจากพระเจ้า หากเราไม่มุ่งมั่นรักษาพระบัญญัติของพระองค์ คำสวดอ้อนวอนเช่นนั้นไร้ความหมายและเป็นการสบประมาทต่อบัลลังก์แห่งพระคุณ ช่างบังอาจเพียงไรที่จะคาดหวังคำตอบตามใจหวังด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ “จงแสวงหา [พระเจ้า] ขณะที่จะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงอยู่ใกล้ ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนชั่วละทิ้งความคิดของเขา ให้เขากลับมายัง [พระเจ้า] และพระองค์จะทรงเมตตาเขา และมายังพระเจ้าของพวกเรา เพราะพระองค์ทรงมีการอภัยอย่างเหลือล้น” อิสยาห์กล่าวดังนั้น (อิสยาห์ 55:6–7) แต่ไม่ใช่พระเจ้าหรอกหรือที่ทรงอยู่ใกล้เสมอเมื่อเราขอพรจากพระองค์ ตามจริงแล้ว ไม่ใช่เลย! พระองค์ตรัส “พวกเขาเชื่องช้าในการสดับฟังสุรเสียงของพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา; ฉะนั้น, พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาจึงทรงเชื่องช้าในการสดับฟังคำสวดอ้อนวอนของพวกเขา, ในการตอบพวกเขาในวันแห่งความยุ่งยากของพวกเขา. ในวันแห่งความสงบสุขของพวกเขา พวกเขาถือคำแนะนำของเราเป็นเรื่องเล่นๆ; แต่, ในวันแห่งความยุ่งยากของพวกเขา, ด้วยความจำเป็นพวกเขาคลำหาเรา [คพ. 101:7–8] หากเราเข้ามาอยู่ใกล้พระองค์ พระองค์จะทรงเข้ามาอยู่ใกล้เรา และเราจะไม่ถูกทอดทิ้ง แต่หากเราไม่เข้ามาอยู่ใกล้พระองค์ ก็ไม่มีสัญญาแก่เราว่าพระองค์จะทรงตอบเราขณะที่เรากำลังกบฏ9

เราไม่สามารถสวดอ้อนวอนพระเจ้าแล้วทูลว่า “โปรดทรงสดับฟังความต้องการของพวกข้าพระองค์เถิด ขอทรงนำชัยชนะมาสู่พวกข้าพระองค์ ขอทรงทำสิ่งที่พวกข้าพระองค์ต้องการให้พระองค์ทรงทำ แต่อย่าทรงขอให้พวกข้าพระองค์ทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เลย”10

เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเดินอยู่ในความสว่างของความจริงทั้งหมด ไม่ใช่บางส่วนเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหลักธรรมบางประการของพระกิตติคุณและเชื่อส่วนอื่นๆ แล้วจากนั้นก็รู้สึกว่าข้าพเจ้ามีสิทธิ์ในพรทั้งหมดของความรอดและความสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า หากเราปรารถนาความสูงส่ง หากเราอยากมีที่อยู่ซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้แล้วสำหรับคนเหล่านั้นที่เที่ยงธรรมและแน่วแน่ เราต้องเต็มใจเดินในความสว่างทั้งหมดของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และรักษาพระบัญญัติทั้งหมด เราไม่อาจกล่าวได้ว่าพระบัญญัติบางข้อเล็กน้อยไม่สลักสำคัญอะไร ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจะไม่สนพระทัยหากเราละเมิด เราได้รับบัญชาให้ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า [ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3; คพ. 98:11] “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า” พระองค์ตรัส “แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?” [ดู ลูกา 6:46.]11

A father sitting on a sofa as he reads from the scriptures to two young boys and an infant held on his lap.

บิดามารดาสามารถช่วยให้บุตรธิดา “เดินอยู่ในแสงสว่างอันเจิดจ้าของความจริง”

4

เมื่อเรากำลังรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า เรากำลังอยู่บนเส้นทางไปสู่ความดีพร้อม

พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราเชื่อในพระองค์ ให้เรายอมรับพระกิตติคุณอันเป็นนิจของพระองค์ และดำเนินชีวิตสอดคล้องกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของพระองค์ ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะเลือกและเชื่อฟังเฉพาะหลักธรรมพระกิตติคุณที่เรียกร้องจากเราแล้วลืมส่วนที่เหลือ ไม่ใช่สิทธิของเราที่จะตัดสินใจว่าหลักธรรมบางข้อไม่เข้ากับสภาพการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของเราอีกต่อไป

กฎของพระเจ้าเป็นนิรันดร์ เรามีความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณอันเป็นนิจของพระองค์ เรามีพันธรับผิดชอบที่จะเชื่อกฎและความจริงทั้งหมด จากนั้นเราจะเดินในความสมานฉันท์กับสิ่งเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดสำคัญต่อทุกคนมากไปกว่าการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์ทรงคาดหวังให้เราแนบสนิทกับหลักธรรมที่แท้จริงทุกประการ ให้เรื่องอาณาจักรของพระองค์มาก่อนในชีวิต มุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในพระคริสต์ และรับใช้พระองค์ด้วยสุดกำลัง ความนึกคิด และพละกำลังของเรา ในภาษาของพระคัมภีร์ ขอให้เราฟังบทสรุปของเรื่องทั้งหมดว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง” (ปัญญาจารย์ 12:13)12

ข้าพเจ้าคิดอยู่บ่อยๆ และคิดว่าท่านก็คงคิดเช่นกัน ถึงเรื่องคำปราศรัยที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมนั้น—ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยสั่งสอนมา ตามที่เราทราบ—ซึ่งเราเรียกว่าคำเทศนาบนภูเขา … หากเราจะเพียงสดับฟังคำสอนเหล่านั้น เราจะกลับมาอีกครั้ง ยังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดา และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้ามักจะคิดถึงบทสรุปที่แท้จริงว่า

“เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” [มัทธิว 5:48]

… ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงหมายความตามที่ตรัสไว้ ว่าเราควรดีพร้อมดังที่พระบิดาในสวรรค์ทรงดีพร้อม สิ่งนั้นจะไม่มาพร้อมกันทีเดียว แต่จะเป็นบรรทัดมาเติมบรรทัดและกฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ แบบอย่างมาเติมแบบอย่าง แม้จะไม่นานตราบเท่าที่เราอยู่ในชีวิตมรรตัยนี้ก็ตาม เพราะเราจะต้องไปสู่หลุมฝังศพก่อนที่จะเอื้อมไปถึงความดีพร้อมและจะเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า

แต่ที่นี่ เราวางรากฐานไว้ นี่คือที่ซึ่งเราได้รับการสอนถึงความจริงอันเรียบง่ายเหล่านี้ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ในสถานะแห่งการทดสอบเพื่อเตรียมเราสำหรับความดีพร้อมนั้น นี่เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะเป็นคนดีขึ้นในวันนี้มากกว่าเมื่อวาน เป็นหน้าที่ของท่านที่จะเป็นคนดีขึ้นในวันนี้มากกว่าเมื่อวาน และในวันพรุ่งนี้ต้องดีขึ้นไปอีกให้มากกว่าวันนี้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะเราอยู่บนเส้นทางสายนั้น หากเรากำลังรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า เรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ไปสู่ความดีพร้อม และนั่นมาโดยผ่านการเชื่อฟังและความปรารถนาในใจที่จะเอาชนะโลกเท่านั้น …

… หากเราล้มเหลว หากเราอ่อนแอ มีที่ซึ่งใจเราควรจดจ่อด้วยความปรารถนาที่จะเอาชนะจนเราควบคุมและผ่านพ้นไปได้ หากคนหนึ่งรู้สึกยากที่เขาจะจ่ายส่วนสิบ นั่นจึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำ จนกระทั่งเขาเรียนรู้ที่จะจ่ายส่วนสิบ หากเป็นพระคำแห่งปัญญา นั่นคือสิ่งที่เขาควรทำจนกว่าเขาเรียนรู้ที่จะรักพระบัญญัติข้อนั้น13

5

ขณะที่เรารักษาพระบัญญัติ พระเจ้าทรงปลอบโยนและทรงอวยพรเรา ทรงทำให้เราเข้มแข็งเพื่อให้เราเป็นชายและหญิงที่คู่ควรแก่ความสูงส่ง

เพื่อทำให้ [พระเจ้า] พอพระทัย เราต้องไม่เพียงนมัสการพระองค์ด้วยคำสรรเสริญและน้อมขอบพระทัยพระองค์เท่านั้น แต่จงเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ด้วยความเต็มใจ โดยการทำเช่นนั้น พระองค์ได้รับการผูกมัดที่จะประสาทพรของพระองค์ เพราะหลักธรรมนี้ (การเชื่อฟังกฎ) สิ่งทั้งปวงได้รับการประกาศิตไว้ [ดู คพ. 130:20–21]14

พระผู้เป็นเจ้าประทาน [พระบัญญัติ] แก่เรา เพื่อเราจะใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ได้รับการเสริมสร้างด้วยศรัทธาและพลังความเข้มแข็ง ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม พระบัญญัติที่ประทานแก่เราไม่ได้มีไว้เพื่อความสุขกายสบายใจของเราเลย พระบัญญัติไม่ได้ประทานไว้เพียงเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่เพื่อทำให้เราเป็นชายหญิงที่ดีขึ้น คู่ควรแก่ความรอดและความสูงส่งในอาณาจักรของพระองค์15

หากเราเข้าไปในพระวิหาร เรายกมือขึ้นและทำพันธสัญญาว่าเราจะรับใช้พระเจ้าและถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ รักษาตนให้พ้นมลทินจากโลก หากเราตระหนักได้ว่าเรากำลังทำอะไรในเวลานั้น เอ็นดาวน์เม้นท์จะคุ้มครองเราตลอดชีวิต—การคุ้มครองที่คนไม่ได้ไปพระวิหารไม่มี

ข้าพเจ้าได้ยินบิดาข้าพเจ้ากล่าวว่าในโมงยามของการทดลอง ในโมงยามของการล่อลวง ท่านจะคิดถึงสัญญา พันธสัญญาที่ท่านทำในพระนิเวศน์ของพระเจ้า และสิ่งนี้คุ้มครองท่าน … การคุ้มครองนี้คือสาเหตุของการมีพิธีการ พิธีการเหล่านั้นทำให้เรารอดเวลานี้และมีความสูงส่งหลังจากนี้ หากเราจะให้เกียรติ ข้าพเจ้าทราบว่าการคุ้มครองดังกล่าวมีให้ไว้แล้วเพราะข้าพเจ้าตระหนักในเรื่องนี้เช่นกัน ดังที่คนอื่นๆ หลายพันคนยังจำพันธรับผิดชอบของพวกเขาได้ 16

Daytime exterior photo of the Tampico Mexico Temple.

ในพระวิหาร เราทำพันธสัญญาที่จะ “รับใช้พระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ รักษาตนให้พ้นมลทินจากโลก”

พระเจ้าจะทรงมอบของประทานให้เรา พระองค์จะทรงกระตุ้นความนึกคิดของเรา พระองค์จะประทานความรู้ในการเอาชนะความยากลำบากทุกอย่าง และจะทำให้เราประสานกลมกลืนกับพระบัญญัติที่ประทานแก่เรา พระองค์จะประทานความรู้ที่หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณเรา ซึ่งจะไม่มีวันถอดถอนได้ หากเราจะแสวงหาความสว่างความจริง และความเข้าใจที่ทรงสัญญากับเรา และเราจะได้รับหากเราแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและพันธรับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์17

คำสัญญาอันยิ่งใหญ่ที่ทรงทำไว้กับสมาชิกของศาสนจักรนี้ ผู้ที่เต็มใจยึดมั่นในกฎและรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าคือ พวกเขาจะไม่เพียงรับที่ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขาจะมีพระสิริของพระบิดาและพระบุตรเช่นกัน และนี่ยังไม่หมด เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมีย่อมจะประทานแก่พวกเขาเช่นกัน [ดู คพ. 84:33–39]18

โดยผ่านการเชื่อฟังพระบัญญัติ ซึ่งกำหนดไว้ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และโดยการเชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง เราจะได้รับความเป็นอมตะ รัศมีภาพ ชีวิตนิรันดร์ และพำนักในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดา และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเราจะรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง19

หากเราจะเดินอยู่ในวิถีแห่งคุณธรรมและความบริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงเทพรมาที่เรามากมายจนเราคาดไม่ถึง เราควรประพฤติดังที่เปโตรกล่าวไว้ว่า “พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรรเป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า” (1 เปโตร 2:9) และเราจะเป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าเพราะเราจะไม่เหมือนคนอื่นที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานเหล่านี้ …

ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า จุดประสงค์ของเราคือการเดินในเส้นทางที่ทรงเตรียมไว้ให้เรา เราไม่เพียงปรารถนาจะทำและพูดสิ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระองค์เท่านั้น แต่เราต้องพยายามดำเนินชีวิตจนชีวิตเราเป็นเหมือนพระองค์

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมสำหรับเราในทุกสิ่งและตรัสกับเราว่า “จงตามเรามาเถิด” กับสานุศิษย์ชาวนีไฟ พระองค์ทรงถามว่า “… เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า?” แล้วทรงตอบว่า “ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, แม้ดังที่เราเป็น” (3 นีไฟ 27:27.)

บัดนี้ เรามีข้อผูกมัดในงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ฐานะปุโรหิตที่เรามีคือพลังอำนาจและสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระองค์เอง พระองค์ทรงสัญญากับเราว่า หากเราขยายการเรียกของเราและเดินในแสงสว่าง เพราะพระองค์ทรงอยู่ในแสงสว่างนั้น เราจะมีรัศมีภาพและเกียรติร่วมกับพระองค์ตลอดกาลในอาณาจักรของพระบิดา

ด้วยความหวังอันรุ่งโรจน์ที่อยู่ต่อหน้าเรา เราจะทำน้อยกว่าการละทิ้งหนทางชั่วร้ายของโลกได้หรือ เราจะไม่วางเรื่องของอาณาจักรพระผู้เป็นเจ้าไว้เป็นอันดับแรกในชีวิตเราหรือ เราจะไม่พยายามดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำที่ออกจากโอษฐ์ของพระองค์หรือ20

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าตรัสแล้วในสมัยของเรา ว่าข่าวสารของพระองค์คือความหวัง ความปีติ และความรอด ข้าพเจ้าสัญญาว่า หากท่านจะเดินในแสงแห่งสวรรค์ แน่วแน่ต่อความไว้วางใจ และรักษาพระบัญญัติ ท่านจะมีสันติสุขและปีติในชีวิตนี้ และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง21

รักษาพระบัญญัติ เดินในแสงสว่าง อดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แน่วแน่ต่อพันธสัญญาและพันธรับผิดชอบทุกข้อ แล้วพระเจ้าจะประทานพรแก่ท่านเกินกว่าที่วาดฝันไว้22

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ทบทวนเรื่องราวตอนท้าย “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” เพราะเหตุใดความรู้สึกของเราเกี่ยวกับพระกิตติคุณจึงเปลี่ยนไปขณะที่เราพยายามรักษาพระบัญญัติ

  • ท่านเรียนรู้อะไรบ้างจากข้อความพระคัมภีร์ที่อ้างอิงในหัวข้อที่ 1

  • การเชื่อฟังพระบัญญัติเป็นการแสดงความรักที่ท่านมีต่อพระเยซูคริสต์อย่างไร เป็นการแสดงความกตัญญูต่อการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อย่างไร เป็นการแสดงถึงการนมัสการอย่างไร (ดู หัวข้อที่ 2)

  • ไตร่ตรองคำสอนในหัวข้อที่ 3 เพราะเหตุใดจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่จะคาดหวังให้พระเจ้าประทานพรแก่เราหากเราไม่พยายามเชื่อฟัง

  • การที่ท่านทราบว่าท่านไม่ควรคาดหวังที่จะเป็นคนดีพร้อมทันทีในคราวเดียวหรือแม้แต่ในชีวิตนี้ เป็นประโยชน์แก่ท่านอย่างไร (ดู หัวข้อที่ 4) ให้นึกถึงสิ่งที่ท่านทำได้ในแต่ละวัน ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ที่จะอยู่ “บนเส้นทางสู่ความดีพร้อม”

  • ในหัวข้อที่ 5 ประธานสมิธระบุวิธีการอย่างน้อย 10 วิธีที่พระเจ้าจะประทานพรเราเมื่อเรารักษาพระบัญญัติ ท่านจะแบ่งปันประสบการณ์ใดได้บ้างเกี่ยวกับพรบางอย่างที่ท่านได้รับ

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 4:4; 2 นีไฟ 31:19–20; ออมไน 1:26; คพ.11:20; 82:8–10; 93:1; 130:20–21; 138:1–4

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“ขอให้ผู้ทีมีส่วนร่วมแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากการศึกษาบทนั้นเป็นส่วนตัว ท่านอาจติดต่อผู้มีส่วนร่วมบางคนในระหว่างสัปดาห์และขอให้พวกเขาเตรียมมาแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้” (จากหน้า ⅶ ในหนังสือเล่มนี้)

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, ต.ค. 1969 หน้า 110

  2. ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์, Joseph Fielding Smith: Gospel Scholar, Prophet of God (1992), 313

  3. ใน Conference Report, ต.ค. 1935 หน้า 12

  4. “Justice for the Dead,” Ensign, มี.ค. 1972 หน้า 2

  5. ใน “President Smith’s Last Two Addresses,” Ensign, ส.ค. 1972 หน้า 46

  6. “I Know That My Redeemer Liveth,” Ensign ธ.ค. 1971 หน้า 27

  7. ใน Conference Report, เม.ย. 1967 หน้า 121–122

  8. ใน Conference Report, ต.ค. 1935 หน้า 15

  9. ใน Conference Report, เม.ย. 1943 หน้า 14

  10. ใน Conference Report, ต.ค. 1944 หน้า 144–145

  11. ใน Conference Report, เม.ย. 1927 หน้า 111–112

  12. “President Joseph Fielding Smith Speaks on the New MIA Theme,” New Era, ก.ย. 1971, 40

  13. ใน Conference Report, ต.ค. 1941 หน้า 95

  14. “The Virtue of Obedience,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1968 หน้า 5

  15. ใน Conference Report, เม.ย. 1911 หน้า 86

  16. “The Pearl of Great Price,” Utah Genealogical and Historical Magazine, ก.ค. 1930 หน้า 103

  17. “Seek Ye Earnestly the Best Gifts,” Ensign, มิ.ย. 1972 หน้า 3

  18. “Keep the Commandments,” Improvement Era, ส.ค. 1970, 3

  19. ใน Conference Report, ต.ค. 1925 หน้า 116

  20. “Our Responsibilities as Priesthood Holders,” Ensign, มิ.ย. 1971 หน้า 50

  21. ใน Conference Report, การประชุมใหญ่ภาคบริเตน 1971, 7

  22. “Counsel to the Saints and to the World,” Ensign, ก.ค. 1972 หน้า 27